ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
วันจันทร์, กรกฎาคม 13, 2558ที่ประชุมสหภาพยุโรป ลงมติ คว่ำบาตร ประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย ความตกลง ความร่วมมือความช่วยเหลือ แม้แต่การเดินทางมาเยือนประเทศไทย ถูกระงับทั้งหมด


[size=13.8709993362427px]




แรงเสียดทานประชาธิปไตย[size=13.8709993362427px]

[size=13.8709993362427px]ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
[size=13.8709993362427px]โดย หมัดเหล็ก
[size=13.8709993362427px]13 ก.ค. 2558

ที่ประชุมสหภาพยุโรป ลงมติ คว่ำบาตร ประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย ความตกลง ความร่วมมือความช่วยเหลือ แม้แต่การเดินทางมาเยือนประเทศไทย ถูกระงับทั้งหมด

บนเงื่อนไขจนกว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไปแล้วค่อยคุยกันใหม่ ตอนนี้ระงับความสัมพันธ์ชั่วคราว ซึ่งไม่เฉพาะ อียู เท่านั้น ทั้งสหรัฐฯ ทั้งประเทศมุสลิม หรือกรณี ประเทศตุรกี ที่ออกแถลงการณ์ ต่อกรณีที่ไทยส่ง ชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และมีการกระทำที่ขัดต่อหลักการมนุษยชน ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยยิ่งถูกเพ่งเล็ง เข้าไปอีก

การเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย แม้แต่เข็มหล่น ก็รู้กันไปทั่วโลก การจับกุมนักศึกษา และผู้ที่เคลื่อนไหวทางการเมือง หรือการเข้มงวดตรวจสอบการทำงานของสื่อ อียู หยิบมาเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ คว่ำบาตร ประเทศไทยเช่นกัน

ความสัมพันธ์ปัจจุบัน เป็นเพียงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบผิวเผิน ที่ประเทศเหล่านั้นจะได้ประโยชน์จากประเทศไทยมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคมนาคม หรือการกู้ยืมเงิน แต่ในหลักการประชาธิปไตย ประเทศเหล่านั้นก็ยังยืนหยัดจะเอารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ดี

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แรงเสียดทานจากระบอบประชาธิปไตย จะทวีความเข้มข้นขึ้น รัฐบาลจะใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามก็ยิ่งจะส่งผลให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นเช่นกัน

นี่ไม่ใช่หมากเกมทางการเมือง ที่ คสช.หวาดระแวง แต่เป็นปรากฏการณ์ความจริงวันนี้ ที่ไม่ว่าประเทศไทย หรือประเทศไหนก็ตาม ที่ไม่ได้อยู่ในวิถีของระบอบประชาธิปไตยก็จะเจอกับมาตรการเหล่านี้

อยากให้ดูตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านที่จะมีการเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มีความพยายามจากฝ่ายรัฐบาลทหาร ที่จะแก้รัฐธรรมนูญ จับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมัดมือมัดเท้ามัดปาก ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ให้ได้

แต่ในที่สุดแล้วความหมายของระบอบประชาธิปไตย คืออำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน จะใช้ปลายกระบอกปืนชี้ไปทางไหน ก็ไม่ยั่งยืนถาวร เท่ากับอำนาจการตัดสินใจของประชาชน

จะจินตนาการให้พรรคการเมืองต้องเป็นอย่างนั้น ให้นายกฯ ต้องมาจากคนนอก ให้พรรคนี้ต้องจับมือกับพรรคโน้น ให้คนนี้อยู่ให้คนนั้นไป แล้วการยึดอำนาจจะไม่สูญเปล่า ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีของประชาธิปไตยได้

เพราะระบอบประชาธิปไตยจะต้องไม่ถูกครอบงำทางความคิดจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้ถูกลิขิตโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่ละเมิดความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่

เพราะคนไทยไม่ได้กินแกลบกินรำ.

หมัดเหล็ก







morntanti ตอบกลับเมื่อ 2015-8-2 22:56
วันจันทร์, กรกฎาคม 13, 2558ที่ประชุมสหภาพยุโรป ลงมติ คว่ ...

อยากให้ดูตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านที่จะมีการเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มีความพยายามจากฝ่ายรัฐบาลทหาร ที่จะแก้รัฐธรรมนูญ จับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมัดมือมัดเท้ามัดปาก ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ให้ได้

แต่ในที่สุดแล้วความหมายของระบอบประชาธิปไตย คืออำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน จะใช้ปลายกระบอกปืนชี้ไปทางไหน ก็ไม่ยั่งยืนถาวร เท่ากับอำนาจการตัดสินใจของประชาชน

จะจินตนาการให้พรรคการเมืองต้องเป็นอย่างนั้น ให้นายกฯ ต้องมาจากคนนอก ให้พรรคนี้ต้องจับมือกับพรรคโน้น ให้คนนี้อยู่ให้คนนั้นไป แล้วการยึดอำนาจจะไม่สูญเปล่า ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีของประชาธิปไตยได้

เพราะระบอบประชาธิปไตยจะต้องไม่ถูกครอบงำทางความคิดจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้ถูกลิขิตโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่ละเมิดความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่

เพราะคนไทยไม่ได้กินแกลบกินรำ.

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2015-8-5 06:02

คอลัมน์  สถานีคิดเลขที่ 12/มติชนรายวัน 3 สิงหาคม 2558
"ของตกยุค"



คนบางคนหรือกลุ่มคนบางกลุ่มนั้น อาจมีบทบาทหน้าที่สำคัญ  ในบางช่วงเวลาหรือบางยุคสมัยทางประวัติศาสตร์

แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง  สภาพปัญหาและการเผชิญหน้าได้คลี่คลายจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง บทบาทหน้าที่ที่เคยมีความสำคัญ  ก็กลายสถานะเป็น "สิ่งไม่จำเป็น"

เช่นเดียวกันกับคนหรือกลุ่มคน  ผู้เคยปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว

คงไม่ต่างอะไรกับมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย  ที่จำแลงแปลงกายมาจาก กปปส.

มูลนิธิที่เปิดตัวพร้อมกับการกลับคืนสู่ทางโลกย์อย่างเป็นทางการของ  นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

เป็นการกลับมาพร้อมข้อเสนอหลักเดิมๆ คือ  "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" โดยไม่จำกัดระยะเวลา

แม้จะเรียก "เสียงขานรับ"  ได้พอสมควร แต่ก็มี "ความเห็นต่าง" ปรากฏขึ้นไม่น้อย

ไม่ต้องอื่นไกล กระทั่ง  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังต้องออกมาย้ำว่า อย่างไรเสีย  คสช.ควรดำเนินการตามโรดแมปที่วางไว้  โดยรัฐบาลควรจัดลำดับความสำคัญของการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรมให้แล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้ง

แต่ไม่ใช่ต้องเร่งปฏิรูปทุกๆเรื่องเพราะหน้าที่การปฏิรูปประเทศในระยะยาวนั้นคสช.ควรส่งมอบภาระให้แก่นักการเมือง (ที่จะถูกกดดันจากสังคม) เป็นผู้สานต่อ

แม้แต่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ เอง ก็ต้องรีบออกมาชี้แจงว่า การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง  มิใช่การเลื่อนเลือกตั้งหรือปรับเปลี่ยนโรดแมป ซึ่งการตัดสินใจในเรื่องนั้นเป็นอำนาจของ  คสช.

ทว่า สิ่งที่มูลนิธิเสนอ ก็คือ การอยากเห็นความคืบหน้าในการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม  ก่อนหน้าการเลือกตั้งตามกำหนดการในโรดแมป

จึงกลายเป็นว่า ข้อเสนอ  "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" ที่ถูกจุดพลุซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง ได้ถูก "ลดโทน" ลง ในเวลาคล้อยหลังเพียงไม่กี่วัน

ไม่ใช่แค่คนของมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ  และคนของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นหรอก  ที่เห็นถึงความจำเป็นในการต้องออกมาลดโทนข้อเสนอสุดโต่งดังกล่าวลง

และไม่ต้องไปไล่ถามความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศซึ่งยังไม่ได้รับสิทธิเลือกตั้งผู้แทนราษฎรกลับคืน

แต่แค่ลองไปถามคนในรัฐบาลหรือคนในคสช. ที่กำลังทำงานเหนื่อยหนัก ตลอดจนคนชั้นกลางระดับบน-เครือข่ายคนชั้นสูง ใน กทม. ที่เคยสนับสนุน  กปปส.อย่างแข็งขัน ดูก็ได้

ว่ากับสภาพปัญหารอบด้านที่ประเทศต้องเผชิญอยู่ ณ ขณะนี้  ทั้งปัญหาการเมืองภายใน, ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ รวมถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  ฯลฯ

จะมีใครสักกี่คน ที่ยังอยากจะอยู่ปฏิรูปยาวๆ เว้นวรรคจากระบอบประชาธิปไตยยาวๆ นำ  "คนดีๆ" มาบริหารบ้านเมืองกันแบบยาวๆ ก่อนหน้าการเลือกตั้ง  ซึ่งอาจถูกเลื่อนออกไปไร้กำหนด

แน่นอน ชนชั้นนำไทยจำนวนมากอาจจะพยายามชะลอเวลา  เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-การเมือง อันถาโถมเข้ามาโดยไม่หยุดหย่อน

แต่ในเวลาปีกว่าๆ หลังรัฐประหาร  คงเหลือชนชั้นนำไม่กี่คน ที่ยังหลงคิดว่าตนเองสามารถหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินกลับหลังไปยังหมุดหมายเดิมๆ  ตามใจปรารถนาได้

มิฉะนั้น เราคงไม่ได้ยินข่าวคราวแนวโน้มการ "ปรับเปลี่ยน"  คณะรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช.  หรือคงไม่ได้ยินผู้นำทหารยืนกรานที่จะปฏิบัติตามโรดแมปซึ่งวางเอาไว้

ส่วนข้อเสนอที่พยายามจะยื้อหยุดฉุดเวลาให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ว่าจะมาจากผู้นำมวลมหาประชาชนหรือสปช.คนไหน

ก็อาจจะต้องกลายเป็น "ของตกยุค" หรือค่อยๆ  กลายสถานะเป็น "สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์" ไปในท้ายที่สุด



ที่มา..http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1438603514
เตือนใช้แล้วกม.ลิขสิทธิ์ใหม่-ถึงคุก จอมแชร์ระวังให้ดี-ทำมากไปเข้าข่ายเป็นการค้า

                                                                                       
                            ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1438711438


                                                            อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาย้ำอีกรอบกฎหมายลิขสิทธิ์ใหม่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ย้ำหากก๊อบปี้บทความหรือรูปภาพจากเว็บไซต์มาใส่เฟซบุ๊กหรือแชร์ต่อทางไลน์ ปริมาณน้อย 1-2 รูปทำได้ โดยต้องให้เครดิต แต่ถ้ามากกว่านั้นอาจเข้าข่ายพาณิชย์มีความผิด

นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนทั่วไปให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง และยังมีข้อสงสัยหลายอย่างเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมจากกฎหมายฉบับเดิมที่มีการบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2537 แต่ได้แก้ไขให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

มีเนื้อหาเพื่อคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิ ที่เปรียบเสมือนบาร์โค้ดของสินค้าที่แสดงรายละเอียดต่างๆ เช่น ชื่อผลงาน ชื่อผู้สร้างสรรค์ ชื่อเจ้าของ หากผู้ใดมาลบ แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลดังกล่าวจะถือว่าละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิ ยกเว้นการทำซ้ำชั่วคราว การใช้งานคอมพิวเตอร์อาจจะมีการก๊อบปี้งานลิขสิทธิ์ในแรมเพื่อให้เครื่องสามารถทำงานต่อไปได้ ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

รวมทั้งพ.ร.บ.ดังกล่าวยังเพิ่มบัญญัติค่าเสียหาย โดยให้ศาลสั่งให้ผู้ละเมิดจ่ายค่าเสียหายเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้น คุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี กรณีที่เจ้าของใส่รหัสผ่านให้กับงานตนเองบนอินเตอร์เน็ตถ้าใครเจาะรหัสผ่านหรือหาวิธีเพื่อเข้าถึงงานดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีความผิดฐานละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยี

รวมทั้งเพิ่มสิทธิ์ของนักแสดงให้มีสิทธิ์ระบุชื่อของตัวเองในงานที่ได้แสดงไป ทั้งนี้ การละเมิดข้อมูลการบริการสิทธิหรือละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยีมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท หากกระทำเพื่อการค้า จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน-2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และโทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ปรับ 20,000-200,000 บาท เพื่อการค้า 100,000-800,000 บาท หรือจำคุก 6 เดือน-4 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนการก๊อบปี้บทความหรือรูปภาพจากเว็บไซต์มาใส่เฟซบุ๊กหรือแชร์ต่อทางไลน์ ควรพิจารณาประกอบกับเงื่อนไขการอนุญาตให้ใช้เนื้อหาของเว็บไซต์นั้นๆ ว่าทำได้มากน้อยเพียงใด ถ้านำมาใช้ในปริมาณน้อย เช่น 1 ถึง 2 ภาพ และไม่ได้เป็นการใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือหากำไร โดยให้แสดงที่มาของบทความหรือรูปภาพ อาจถือว่าเป็นการใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ถ้ามากกว่านั้นต้องขออนุญาตอย่างเป็นทางการ

ที่มา http://www.toptenthailand.com/news/detail/20150805104217231

                                                            

วิจัยฝักมะรุมป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่รักษามะเร็งไม่ชัด-อย่าหลงเชื่อขายออนไลน์              
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1438857361


                                                            เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล นางชนิพรรณ บุตรยี่ รองผอ.สถาบันโภชนาการ ร่วมกับ น.ส.ศิริพร ตันติโพธิ์พิพัฒน์ นักวิจัยสถาบันโภชนาการ มหิดล ร่วมแถลงข่าว “มะรุมกับมะเร็งลำไส้ใหญ่”

นางชนิพรรณ กล่าวว่า สถาบันโภชนาการร่วมกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศึกษาตัวฝักมะรุม เพื่อศึกษาคุณสมบัติในการป้องกันและต้านภาวการณ์อักเสบของมะเร็งลำไส้ ที่สนใจตัวนี้ เพราะคนนิยมรับประทานมะรุม และประสิทธิภาพที่เชื่อว่ารักษามะเร็งลำไส้ ซึ่งพบมากเป็นอันดับ 2 ของคนไทย

อีกทั้งสาเหตุหนึ่งมาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม อย่างนิยมกินพวกเนื้อแดง หรือผลิตภัณฑ์อาหารพวกไส้กรอก แฮมมากๆ ก็อาจเสี่ยงก่อมะเร็งได้ ดังนั้น การศึกษาประสิทธิภาพของฝักมะรุม จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง และยังนำมาประกอบอาหารง่ายกว่าพวกใบ ที่นิยมอบแห้งและนำไปทำแคปซูล


นางชนิพรรณ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการแชร์ข้อมูลผ่านโลกออนไลน์ต้องระวังกันมากขึ้น เนื่องจากมีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารรักษาโรค รวมไปถึงผักผลไม้ต่างๆ บ้างก็ระบุว่ารักษาโรคมะเร็ง โรคเรื้อรังต่างๆได้ ซึ่งตรงนี้ต้องระวัง เพราะหากไม่มีงานวิจัยใดยืนยันอาจเสี่ยงอันตราย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา คนนิยมหันมากินมะรุม เพราะมีการแชร์ข้อมูลว่ารักษามะเร็งลำไส้ได้ ขณะเดียวกันมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับมะรุมในรูปแคปซูล ซึ่งเกิดคำถามว่ากินมากๆ จะเกิดอันตรายหรือไม่

ทั้งนี้ มะรุม เป็นพืชที่พบได้ทั่วไป อย่างประเทศไทยก็พบได้แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาว ปลูกง่าย มีคุณค่าทางโภชนการ มีโปรตีน มีกรดไขมันต่างๆสูง คือ มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่เรียกว่า โอเมก้า 9 ในปริมาณสูง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

“ทีมวิจัยได้ทดสอบในหนูทดลอง โดยให้กินมะรุมที่ผสมในอาหารปกติในปริมาณเทียบเท่ากับคน คือ 2 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน ยกตัวอย่างหากคนน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัมก็เท่ากับกินมะรุมประมาณ 120 กรัม หรือ 1 ขีดกว่าๆ ซึ่งน้อยมาก โดยนำมะรุมมาผสมอาหารให้หนูกิน ในปริมาณความเข้มข้นของมะรุมแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1.5 % 3% และ 6% โดยให้หนูทดลองอาการปกติ และหนูทดลองที่มีเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ผลการศึกษา พบว่ารูปแบบที่ 1 ในเรื่องการศึกษาความปลอดภัยในการบริโภคนั้น หนูทดลองอายุน้อยที่กินฝักมะรุมต้มเป็นเวลา 5 สัปดาห์ และหนูทดลองอายุมากกินเป็นเวลา 15 สัปดาห์ในปริมาณที่แตกต่างกัน 3 ระดับนั้น ไม่มีผลต่อการส่งเสริมให้เกิดพยาธิการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้” นางชนิพรรณ กล่าว


นางชนิพรรณ กล่าวอีกว่า รูปแบบที่ 2 ศึกษาการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบว่าหนูทดลองกินมะรุมต้มผสมอาหารเป็นเวลา 5 สัปดาห์สามารถลดความรุนแรงของพยาธิสภาพของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แม้จะกินในปริมาณมากก็ไม่ส่งผลใดๆ ขณะที่รูปแบบที่ 3 ศึกษาการบรรเทาอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ หนูทดลองที่ถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งเมื่อกินฝักมะรุมต้มเป็นเวลา 15 สัปดาห์ แบ่งเป็นปริมาณมะรุม 3 ขนาดพบว่า สามารถลดเซลล์มะเร็งได้ แต่มะรุมที่มีปริมาณต่ำกลับให้ผลดีกว่าการให้ผงฝักมะรุมต้มในปริมาณสูง

สรุปคือการกินฝักมะรุมต้มในแง่ของการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้น สามารถทำได้ ไม่ก่อผลใดๆ แต่หากกินเพื่อการรักษาโรคมะเร็งต้องระวังปริมาณ เนื่องจากเซลล์ไม่ลดลงเลย และไม่มั่นใจว่าจะเกิดผลเสียอย่างไร ดังนั้น ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ควรกินปริมาณน้อยๆ ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำการรักษาด้วย

น.ส.ศิริพร ตันติโพธิ์พิพัฒน์ นักวิจัยสถาบันฯ กล่าวว่า จริงๆแล้วได้ศึกษาพืชผักหลายชนิด แต่จากการคัดเลือกพบว่ามะรุมมีประสิทธิภาพในอันดับต้นๆ โดยพิจารณาเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเซลล์ที่ตอบสนองการอักเสบต่างๆ โดยเมื่อเกิดการอักเสบขึ้น ทางทีมวิจัยได้สกัดสารในพืชผัก 10 ชนิดเพื่อดูประสิทธิภาพว่าลดการอักเสบได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งศึกษาในพืชผัก 10 ชนิด มีฝักมะรุม ผักชีฝรั่ง ชะอม สะตอ มะระจีน ฝักทอง บวบเหลี่ยม บวบ ถั่วพู และมะเขือยาว โดยพบว่า ฝักมะรุม และผักชีฝรั่ง มีฤทธิ์ดีที่สุด

“การรับประทานเป็นอาหาร ไม่น่ากังวล กินมากอย่างไรก็จะถูกจำกัดด้วยความอิ่มอยู่แล้ว ดังนั้น จะไม่ทำให้ได้รับปริมาณมากเกินไป แต่ที่กังวลคือ การไปกินพวกผลิตภัณฑ์แคปซูลต่างๆ ตรงนี้จะทำให้ไม่สามารถปริมาณที่เหมาะสม กินมากจะส่งผลต่อการทำงานของตับ ยิ่งในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ยิ่งต้องระวัง ควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาด้วยดีที่สุด และไม่ควรเชื่อข้อมูลในไลน์ ในเฟซบุ๊ก ทั้งๆที่ไม่มีงานวิจัยใดรองรับเลย หลายคนเชื่อจนไม่กินยา ไม่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งไม่ถูกต้อง และเสี่ยงอันตราย เพราะขาดโอกาสการรักษาให้หายขาดได้” น.ส.ศิริพร กล่าว

http://www.toptenthailand.com/news/detail/20150806175717703

                                                            

กระสุนจริง!?
ทิ้งหมัดเข้ามุม

สมิงสามผลัด



ตอนนี้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งบ้านทั้งเมือง เรื่อง "กระสุนจริง" หรือ "กระสุนยาง"


  จะว่าไปแล้ว ก็มีข่าวออกมาว่าคณะกรรมการร่วมระหว่างดีเอสไอและตำรวจนครบาล ซึ่งได้รับมอบหมายให้สอบสวนกรณีความสูญเสียจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 53 ใกล้สรุปสำนวนการสอบสวนเพื่อส่งให้อัยการพิจารณาสั่งคดี


คาดว่าจะสรุปได้ในเดือนส.ค.นี้


ช่วงนี้ก็เลยมี "ข่าวลือ" กันหนาหูว่า เจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลานั้นให้การว่า ใช้แต่ "กระสุนยาง" ไม่ได้ใช้ "กระสุนจริง"


  ลือกันหนักขนาดนี้ก็เลยต้องทวน ความจำกันสักหน่อย


เริ่มจากกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์กับ นางมิชาล ฮูเซน ผู้ดำเนินรายการบีบีซี เมื่อปี 2555 ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์การเสียชีวิต 99 ศพจากการกระชับพื้นที่ โดยมีการถอดความจากภาษาอังกฤษ ดังนี้


ฮูเซน : คุณอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงใช่ไหม


Husain : You do authorize the use of live ammunition?


  อภิสิทธิ์ : เราอนุญาตให้ใช้กระสุนจริง


Abhisit : We did authorize the use of live ammunition.


  กรณีคำให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งศอฉ. ก็สอดคล้องกับที่มีการเผยแพร่ภาพในช่วงกระชับพื้นที่เมื่อปี 53 เพราะมีการติดป้ายไว้ชัดเจนว่า "พื้นที่การใช้กระสุนจริง Life Firing Zone"


  อีกกรณีหนึ่ง หากคอการเมืองยังจำกันได้ในการเปิดสภาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อเดือน มี.ค.2554 ฝ่ายค้านในยุคนั้นมีการเปิดข้อมูลการเบิกกระสุนจริงในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 2553


  พบว่าเบิกใช้กระสุนจริงเป็นจำนวนมาก


ทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นการกล่าวอ้างถึงการใช้กระสุนปืนในเหตุการณ์สลายม็อบแดง 99 ศพ


แต่ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุด คือ การที่ศาลมีคำสั่งในคดีชันสูตรการตายไปแล้ว 17 ศพ (เสียชีวิตในเหตุการณ์กระชับพื้นที่ม็อบเสื้อแดงเมื่อปี"53) โดยระบุว่าเสีย ชีวิตจากกระสุนปืนความเร็วสูงจากฝั่ง เจ้าหน้าที่


ฉะนั้นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ไม่ได้ใช้ "กระสุนจริง" ที่ดังกระหึ่มอยู่ตอนนี้


ก็คงเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1438880511
ฮิวแมนไรท์วอตช์ออกแถลงจี้รบ.ไทยอย่าปกปิด
พร้อมนำคนผิดคดี99ศพมาลงโทษ

วันที่ 06 สิงหาคม  พ.ศ. 2558 เวลา 16:47 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 47255 คน
ที่มา บีบีซีไทย


เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ฮิวแมนไรท์วอตช์ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทางการไทย เลิกปกปิดการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงที่เกิดเหตุรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 และนำตัวผู้กระทำความผิดทุกฝ่ายมาลงโทษ

ฮิวแมนไรท์วอตช์ ระบุว่าตามรายงานของสื่อไทย เจ้าหน้าที่กล่าวอ้างไว้ในรายงานการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอว่าได้ใช้กระสุนยางปราบปรามผู้ประท้วง และเคยมีการเผยแพร่คำกล่าวอ้างที่ว่ามาครั้งหนึ่งแล้วในคราวที่ดีเอสไอสอบสวนมือปืนซุ่มยิงของทหารเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2555

  แต่จากหลักฐานแน่นหนาที่มีอยู่ รวมทั้งจากการชันสูตรศพได้ข้อสรุปว่าพลเรือนเสียชีวิตจากกระสุนจริง ทั้งนี้ คาดว่าดีเอสไอจะนำเสนอผลการสอบสวนต่อสำนักงานอัยการสูงสุดในปลายเดือน ส.ค.นี้

  แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของฮิวแมนไรท์วอตช์ กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนว่าทหารใช้กำลังเกินกว่าเหตุกับผู้ประท้วงและคนอื่น ๆ แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดได้รับผิดจากการเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บของผู้ประท้วง

ฮิวแมนไรท์วอตช์ระบุว่า นับตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ปี 2553 การเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขยายวงกลายเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัด ตามตัวเลขของดีเอสไอ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 99 คน และได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน ดีเอสไอเผยแพร่รายงานการสอบสวนเมื่อเดือนกันยายน 2555 ชี้ว่าผู้เสียชีวิต 36 ราย เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

ทั้งนี้ข้อมูลที่เจ้าหน้าที่แจ้งต่อดีเอสไอ ไม่ตรงกับข้อมูลที่ฮิวแมนไรท์วอตช์ตรวจสอบพบว่าในจำนวนผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากซึ่งรวมถึงผู้ประท้วงที่ไม่มีอาวุธ แพทย์อาสา เจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉิน นักข่าว ช่างภาพ และคนทั่วไป นั้น เป็นผลมาจากการกำหนด “เขตใช้กระสุนจริง” โดยรอบพื้นที่ประท้วงในกรุงเทพฯ ที่ทหารวางกำลังนักแม่นปืนและมือปืนซุ่มยิงเอาไว้ นอกจากนี้ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ยังตรวจสอบพบในทำนองเดียวกันมาแล้วด้วย และได้เสนอให้ทางการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม

ฮิวแมนไรท์วอตช์ยังมีข้อมูลด้วยว่าผู้เข้าร่วมกับ นปช.บางส่วน ซึ่งรวมถึง “นักรบชุดดำ” เป็นผู้ทำร้ายทหาร ตำรวจ และพลเรือนจนเสียชีวิตเช่นกัน และแกนนำ นปช.บางคนได้ใช้ถ้อยคำยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมประท้วงก่อจลาจล วางเพลิงและปล้น

แม้จะมีหลักฐาน แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยเพิกเฉยต่อการกระทำของทหาร ในขณะที่แกนนำ นปช.และผู้สนับสนุนถูกตั้งข้อหากระทำความผิดทางอาญาร้ายแรง ขณะที่ดีเอสไอเองไม่ได้ใช้ความพยายามเพียงพอที่จะตรวจสอบว่าทหารและผู้บังคับบัญชาคนใดเป็นผู้รับผิดชอบให้เกิดการยิงขึ้น และรัฐบาลทั้งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถูกกดดันจากฝ่ายทหาร ต่างประกาศว่าทหารไม่ควรมีส่วนรับผิดชอบใดๆ เพราะได้กระทำการภายใต้คำสั่งของรัฐบาล

ขณะเดียวกันศาลอาญากรุงเทพใต้ ยังสั่งโอนคดีสลายการชุมนุม ที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกยื่นฟ้อง ไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) อีก

ฮิวแมนไรท์วอตช์เห็นว่าโอกาสที่เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ครั้งนั้นจะได้รับความเป็นธรรมยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นภายใต้รัฐบาลทหาร และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้ระบุหลายครั้งว่าทหารไม่ควรถูกประณามจากการที่มีผู้เสียชีวิตในการชุมนุมทางการเมืองปี 2553

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1438854469

แก่นแท้ ความหมาย  ที่ว่ารัฐประหาร “เสียของ”  อยู่ที่ผล “เลือกตั้ง

จะสามารถเข้าใจข้อเสนอ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ไม่ว่าจะมาจาก นายไพบูลย์ นิติตะวัน ไม่ว่าจะมาจาก นายวันชัย สอนศิริ ได้

จำเป็นต้องศึกษาถ้อยคำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

เพราะว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงในนาม “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” เพราะว่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน เพราะว่า นายวันชัย สอนศิริ ล้วนเคยคล้อง “นกหวีด”

เหมือนกับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาแล้ว

การเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้จึงเหมือนกับเป็นการเขี่ยลูก คนหนึ่งเป็นฝ่ายเขี่ย คนหนึ่งเป็นฝ่ายรับประสานและกลมกลืนกันอย่างสดสวยงดงามในสนาม

ขอให้ศึกษาคำกล่าวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

“ขณะนี้ที่กำลังเขียนรัฐธรรมนูญ หากเขียนแล้วกลับไปเลือกตั้งแล้วกลับไปสู่รูปแบบเดิม ประเทศไทยขาดทุนย่อยยับ”

คำว่า “เสียของ” คำว่า “ขาดทุน”  อยู่ตรงนี้

ถามว่าเหตุใดการเคลื่อนไหวของ “มวลมหาประชาชน” ในห้วงจากเดือนตุลาคม 2556 กระทั่งถึงรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 จึงเน้นหนักไปที่การต่อต้าน “การเลือกตั้ง”

จำเป็นต้อง “ปฏิรูป” ก่อน “การเลือกตั้ง”

ถึงขั้นต้องประกาศ “ชัตดาวน์” กทม.โดยไม่คำนึงว่าจะทำให้กระทบกระเทือนถึงเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศอย่างไร

ในที่สุด ก็ปิดกั้นไม่ให้มีการรับสมัคร ไม่ให้มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

บทสรุปอันเด่นชัดอย่างยิ่งก็คือ กระบวนการเลือกตั้งเท่ากับเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยได้ชัยชนะ เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 โดยเฉพาะเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554 จึงหากมีการเลือกตั้งอีกก็พ่ายแพ้อีก

จำเป็นต้อง “ปฏิรูป” ก่อนเข้าสู่กระบวนการ “การเลือกตั้ง”

ความหมายโดยแท้จริงของการปฏิรูปในที่นี้ก็คือ การวางตัวบท วางกฎกติกาอย่างไรไม่ให้พรรคเพื่อไทยได้ชัยชนะจากการเลือกตั้งอีก

อย่างที่เห็นจากการรุกไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

มีความคิดไปไกลถึงขนาดจะอาศัยบทลงโทษจากป.ป.ช. การถอดถอนจากสนช. การฟ้องร้องไปยังศาลนำไปสู่บทสรุปของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต

เพราะเกรงว่าคะแนนนิยมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นสำคัญ

หากพรรคเพื่อไทยยังมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำก็หมายความว่าโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้ชัยชนะไม่เหลืออยู่เลย

จึงต้อง “ปฏิรูป” แบบนี้เพื่อโอกาสของ “ประชาธิปัตย์”

บทสรุปจากรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 จึงโยงสายยาวมายังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ในที่สุด

คำว่าอย่าให้รัฐประหาร “เสียของ” ความหมายของเสียของหมายความว่า อย่าให้พรรคเพื่อไทยได้ชัยชนะจากการเลือกตั้งอีก ไม่มีอะไรซับซ้อน

ในอีกด้านจึงหมายความว่า “ประชาธิปัตย์” คือผู้กำชัยชนะ

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1439132301







ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน
ศึก 2 นก

ความกังวลของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยวันนี้คือ เริ่มห่วงสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะยุ่งเหยิงกันอีกครั้ง เมื่อหัวหน้านกหวีดเริ่มออกมาเคลื่อนไหวเต็มกำลัง ชูข้อเรียกร้องเดิมเมื่อปีสองปีที่แล้ว


นั่นคือจะต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง พูดง่ายๆ ว่ายืนยันจะยังไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง


ทั้งที่จะปฏิรูปอะไรไม่มีขอบเขตชัดเจน ดังนั้นแปลได้ว่า ยังไงก็ได้ แต่ยังไม่ควรเลือกตั้งเร็ว


ความรู้สึกของชาวบ้านทั่วไปก็คือ เขากำลังจะฉายหนังม้วนเก่ากันอีกแล้วหรือ!?


  เรียกร้องให้แช่แข็งประเทศ หยุดประชาธิปไตยต่อไปอีกหลายๆ ปี


คงอยากให้ประเทศไทยย้อนกลับไปเหมือนพม่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อน


หรืออยากให้การเมืองไทยถอยกลับไปยุคก่อน 14 ตุลาคม 2516 ก่อนรัฐบาลถนอม-ประภาส โน่นเลย!


  ในแง่ของแกนนำนกหวีด คงมองว่าถ้าปล่อยให้รัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองกลับมาเร็วเมื่อไร ยิ่งแนวโน้มพรรคที่เคยโค่นล้มเขาก็คงจะชนะเลือกตั้งเหนือพรรคอนุรักษนิยมเก่าแก่อีก


ย่อมต้องหวั่นเกรงการเอาคืนเป็นธรรมดา


ไปจนถึงอารมณ์ของชาวบ้านส่วนที่ขุ่นเคืองกับการโดนแย่งชิงสิทธิอำนาจการเมืองในมือไป ก็คงไประบายออกด้วยการกาบัตรคะแนนแบบพิพากษาอีกฝ่าย ทำนองนั้น


นี่กระมัง ทำให้นกหวีดเริ่มก่อกระแสกดดันรัฐบาลคสช. ว่าอย่าเพิ่งคายอำนาจ อย่าเพิ่งยอมให้มีการเลือกตั้ง


แต่เชื่อว่าข้อเรียกร้องนี้ คงทำให้รัฐบาลและคสช.ไม่สบายใจนัก


เพราะคนทำหน้าที่แบกรับปัญหาย่อมรู้ดีว่า การเลือกตั้งถ้าล่าช้าไปเท่าไร โลกจะยิ่งบีบคั้น เศรษฐกิจจะยิ่งดิ่งเหว!


  โดยเฉพาะอารมณ์ของชาวบ้านที่อดอยากแร้นแค้น ถ้าถึงจุดนั้นเมื่อไร จะรับมือยากที่สุด


นั่นเป็นประเด็นแรกที่คสช.ต้องหนักใจกับเสียงจากนกหวีด


ประเด็นต่อมา คือปฏิกิริยาอีกฝ่าย ทั้งนี้สิ่งที่คสช.สามารถคุยได้อย่างเต็มปากเต็มคำ นับจากเข้าควบคุมการปกครองเมื่อ 22 พ.ค. 2557 คือ นำความสงบในบ้านเมืองคืนมา


โดยเฉพาะเสื้อแดง โดยรวมสงบเสงี่ยมมาก ให้ความร่วมมือแทบทุกอย่าง


โดยแสดงท่าทีชัดว่า ขออดทนรอวันเลือกตั้ง


แต่ที่ยอมนิ่งเฉยอยู่ปีกว่า พอเห็นนกหวีดออกมากดดันต่างๆ นานา ชักจะมีอารมณ์ร้อนรุ่ม


เริ่มประกาศจะมีนกกรงหัวจุกออกมาบ้างแล้ว


ยิ่งถ้ากำหนดเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปด้วยการปฏิรูปที่ไม่มีขอบเขตไม่มีกำหนด คราวนี้จะยอมอยู่นิ่งๆ ต่อไปหรือไม่


ถ้านกกรงหัวจุกออกมาเผชิญนกหวีดเมื่อไร


คงเหนื่อยหนักไปตามๆ กัน!

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1439224899
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2015-8-11 06:06

โลกขย่มไทย... "เทียร์3"แค่น้ำจิ้ม


เมืองไทย 25 น.

  ทวี มีเงิน

กรณีไทยติดกับดักเทียร์ 3 ของสหรัฐยังเป็น "ทอล์กออฟเดอะทาวน์"  ไม่เฉพาะในไทย ในสหรัฐเอง รัฐบาลถูกวิจารณ์หนักจากฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ว่างานนี้มีการเมืองแทรกแซง ถึงขั้นวุฒิสภาสหรัฐนำเรื่องนี้เข้าหารือ


กรณีมาเลย์ถูกวิจารณ์หนักสุด หลังปรับจากเทียร์ 3 มาเทียร์ 2 เฝ้าระวังว่าเป็นเพราะ "โอบามา" จะทิ้งทวนผลงานในการทำข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก "ทีทีพี" ทั้งที่มาเลย์ถูกมองว่าเรื่องค้ามนุษย์นั้น "พูดมากกว่าทำ"


ยังมีคิวบา อุซเบกิสถาน เม็กซิโก อินเดีย และจีน ก็ถูกวิจารณ์หนักว่าไม่ได้ทำอะไรแต่ได้โบนัส


นอกจากเรื่องค้ามนุษย์แล้ว ยังมีกรณีองค์กรการบินพลเรือนของสหรัฐ หรือ "FAA" กำลังประเมินคุณภาพมาตรฐานการบินของไทยต่อจากองค์การการบินพลเรือนระหว่าง ประเทศ "ICAO" ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึง 60 วันก็จะรู้ว่าหมู่หรือจ่า จะได้ใบเหลืองหรือใบแดง เท่าที่ประเมินเรายังมีปัญหาคือบุคลากรไม่เพียงพอ คุณภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่


ขณะที่ ICAO ปักธงแดงเราอยู่ ไม่รู้จะปลดล็อกได้หรือไม่


แต่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หนีไม่พ้นกรณีการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU ที่กำลังลุ้นว่าจะยังได้ใบเหลืองตามที่เราตั้งเป้าหรือจะได้ใบแดง ส่วนปลดล็อกคงต้องรอ


ส่วนที่ห่วงว่ากรณีเทียร์ 3 สหรัฐจะคว่ำบาตรสินค้าไทยนั้น ไม่ต้องห่วงเท่าที่ติดตามเรื่องส่งออกมานาน หลายๆ ครั้งที่รัฐบาลสหรัฐ "คว่ำบาตร" แต่เอกชนก็ไม่เคยปฏิบัติตาม เล่นกันคนละบทบาท นักการเมืองต้านรัฐประหาร เอกชน เล่นบททำมาค้าขายไป


ยิ่งครั้งนี้หากคว่ำบาตรคงเป็นเรื่องความช่วยเหลือเรื่องงานวิจัยและอื่นๆ ที่ไม่ใช่การค้า จำได้รัฐประหารใหม่ๆ แรกๆ ส่งออกก็ไม่กระเตื้อง เพราะเศรษฐกิจไม่ดี การค้าไทย-สหรัฐขึ้นกับเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องการเมือง


แต่ที่ห่วงที่สุดกรณี IUU ของยุโรป กรณีประมงไทยทำผิดกฎหมาย ทั้งรัฐบาลและประชาชนในอียูจะเป็นเอกภาพ และคิดเห็นทางเดียวกัน ทุกวันนี้ยังไม่ทันที่รัฐบาลจะคว่ำบาตร


แต่ประชาชนของเขาคว่ำบาตรสินค้าทะเลเราไปแล้ว เวลาซื้ออาหารในตลาดผู้บริโภคจะถามว่าสินค้าทะเลจากที่ไหน พอบอกว่าจากไทยก็จะไม่ซื้อ ไปซื้อจากที่อื่นแทน


ฉะนั้นอย่าห่วงเทียร์ 3 แต่ระวังไอยูยู หนักกว่าหลายเท่า



http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1439227973

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้