ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
ประกาศเตือน 11 จุดในกรุงเทพฯ เสี่ยงรับน้ำประปาเค็ม                                                            
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1437110225


                                                            พื้นที่เสี่ยงน้ำประปาเค็ม ฝั่งพระนคร ได้แก่ สำนักงานประปาสาขาสุขุมวิท พระโขนง สมุทรปราการ แม้นศรี ทุ่งมหาเมฆ ลาดพร้าว พญาไท มีนบุรี สุวรรณภูมิ ประชาชื่น และบางเขน
   
นายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการการประปานครหลวง หรือ กปน. แจ้งว่า ช่วงนี้น้ำทะเลหนุนสูงขึ้นมาถึงจุดรับน้ำดิบของ กปน.ที่สถานีสูบน้ำดิบสำแล ปทุมธานี ค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา ขยับขึ้นตั้งแต่คืนวันเสาร์ มาสูงสุดเมื่อวาน 1.04 กรัมต่อลิตร และวันนี้ 0.9 กรัม ต่อลิตร เค็มกว่าค่ามาตรฐานต้อง 0.25 ถึงไม่เกิน 0.5 กรัม
   
ขณะที่ กรมอุทกศาสตร์ คาดว่าน้ำทะเลหนุนสูงสุดวันนี้ เวลา 19.30 น. ที่ปากอ่าวไทย สมุทรปราการ ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา จะขึ้นไปอยู่ที่ 1.12 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง น้ำเค็มที่หนุนขึ้นมาจากปากอ่าวอาจหนุนเข้าไปได้ถึงอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ เพราะน้ำในเขื่อนระบายลงมาไม่พอไล่น้ำเค็ม ภาวะน้ำทะเลหนุนสูงจะเป็นไปอีก 2-3 วัน

การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค ได้หารือกับกรมชลประทาน สั่งเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาลงมาจาก 70 เป็น 85 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ผลักดันน้ำเค็ม ให้ผลิตน้ำประปาได้ตามปกติ                                                                        
                                                            

หม่อมอุ๋ย เบรก "อย่ากู้เงินมาขยายกิจการ" ทำใจ เศรษฐกิจโลกส่อเค้าทรุดหนัก 3 ปี



          รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ เตือน เจ้าของธุรกิจอย่ากู้เงินมาขยายกิจการตอนนี้ เหตุเพราะเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอยส่อเค้านานถึง 3 ปี แต่ยังมีข่าวดีท่องเที่ยวไทยกลับมาฟื้นตัวช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยทดแทนการส่งออก


วันที่ 16 กรกฎาคม 2558 หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ เดินหน้าประเทศไทย โดยได้กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ว่า เนื่องจากในขณะนี้สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังอยู่ในภาวะถดถอย อันมีสาเหตุมาจากการแข่งขันทางด้านพลังงาน โดยเฉพาะการที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาสินค้าของทุกประเทศลดลงตามไปด้วย เพราะสินค้าแต่ละประเภทได้มีการรวมต้นทุนค่าการผลิตและค่าขนส่งเอาไว้แล้ว เมื่อราคาน้ำมันลดลงราคาสินค้าก็ต้องปรับตัวลดลงตามไปด้วย จึงอยากจะเตือนบรรดาผู้ประกอบการและนักลงทุน ว่าอย่าเพิ่งรีบไปกู้เงินมาลงทุนขยายกิจการในตอนนี้เพราะมีความเสี่ยงสูงมากที่ธุรกิจจะไม่ให้ผลตอบแทนสมเหตุสมผลกับที่ลงทุนไป เพราะประเทศไทยจะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ซึ่งน่าจะมีผลกระทบไปอีกอย่างน้อย 2 - 3 ปี

นอกจากนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังได้พูดถึงภาพรวมธุรกิจการท่องเที่ยวว่า ในปีนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตได้ดี โดยพบว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2558 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นกว่าร้อยละ 28 ซึ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไว้ไม่ให้ทรุดไปมากกว่านี้ ทดแทนการส่งออกที่มียอดติดลบในทุก ๆ เดือน โดยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 12 ของจีดีพี และขณะนี้รัฐบาลมีแผนที่จะพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบขนส่งเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมไปถึงเพื่อรองรับการติดต่อซื้อขายสินค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน ให้สอดรับกับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้

ส่วนปัญหาที่มีผู้ประกอบการธุรกิจที่พัก โรงแรม ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลลดดอกเบี้ย เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวนั้น รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาที่ผู้ประกอบการที่พักบางรายขาดทุนหรือธุรกิจซบเซา ไม่ได้เป็นเพราะรัฐบาลไม่ยอมลดดอกเบี้ยให้ แต่เป็นเพราะบรรดาผู้ประกอบการที่พักโรงแรมไปตัดราคาที่พักกันเองมากกว่า ซึ่งในส่วนนี้ภาครัฐไม่สามารถไปบังคับใช้กฎหมายหรือไปออกมาตรการระงับการขยายธุรกิจได้ เพราะจะเป็นการไปแทรกแซงการแข่งขันในตลาดเสรี ดังนั้น ในนามของรัฐบาลจึงอยากให้ผู้ประกอบการที่พัก โรงแรม ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ หันหน้าเข้าพูดคุยกันเพื่อหาทางออกร่วมกันก่อนจะดีกว่า เพราะปัญหาการตัดราคาเป็นปัญหาทางด้านการแข่งขันของธุรกิจการค้าอยู่แล้ว ซึ่งถ้าหากว่ามีการหารือและได้ทางออกร่วมกันที่ชัดเจนเมื่อไร และอยากจะให้รัฐบาลช่วยในส่วนไหน ก็สามารถเสนอมายังรัฐบาลได้เลย


ที่มา: http://money.kapook.com/view124427.html
ศาลฮ่องกงตัดสินเอาผิดผู้ประท้วงหญิงฐาน
"ใช้นมทำร้ายเจ้าหน้าที่"





จากรายงานของ South China Morning Post  สตรีรายหนึ่งผู้เข้าร่วมการประท้วงต้านการค้าข้ามพรมแดนเมื่อวันที่ 1  มีนาคมที่ผ่านมาถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานทำร้ายเจ้าพนักงานโดยใช้หน้าอกปะทะร่างกายเจ้าหน้าที่




รองหัวหน้าศาลแขวงตวนมุน นายไมเคิล ชาน ปิก-กุย ได้ตัดสินว่า  นางอึ้ง  ไล-ยิง วัย 30 ปี ใช้หน้าอกของเธอชนไปที่แขนขวาของผู้บังคับบัญชาการตำรวจ นายชาน กา-โป  ซึ่งพยายามควบคุมเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าว

นอกจากนี้แฟนหนุ่มของ นางสาวอึ้ง ไล-ยิง,  นักศึกษามหาวิทยาลัย นายปูน เซ-ฮัง วัย 22 ปี  ยังถูกตัดสินให้มีความผิดฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อีกด้วย

ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี จำเลยทั้งสองได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาโดย นางสาวอึ้ง อ้างว่า นายชาน ได้ยื่นแขนขวามาที่บริเวณไหล่ของเธอ ก่อนที่มือของเขาจะไปโดนที่หน้าอกของเธอ  ทำให้เธอร้องตะโกนว่า นายชาน "กระทำอนาจาร" เธอ

แต่หลังการพิจารณาหลักฐาน  ศาลกลับไม่รับฟังข้ออ้างของเธอ พร้อมโจมตีเธอว่าโกหกสร้างเรื่องขึ้นมาเอง  

"คุณใช้อัตลักษณ์ของสตรีเพศเพื่อสร้างเรื่องขึ้นมาว่าเจ้าหน้าที่ลวนลามคุณ  นี่ถือเป็นการกระทำที่มุ่งร้าย" ศาลกล่าว พร้อมเสริมว่า  การกระทำของนางสาวอึ้งได้ทำลายภาพลักษณ์อันดีงามของเจ้าหน้าที่

"ใครก็ตามที่ถูกทำร้ายเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ต้องได้รับการคุ้มครอง" ผู้พิพากษาชานกล่าว

จำเลยทั้งหมดจะถูกตัดสินโทษอีกครั้งในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้ โดยขณะนี้ได้ถูกควบคุมตัวระหว่างรอการพิจารณาเพื่อหาการลงโทษที่เหมาะสมต่อไป



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437143880
พายุฝนกระหน่ำบึงกาฬสลายภัยแล้งแต่กลับจมบาดาลแทน                                                                                                                   
                            ที่มา : http://www.dailynews.co.th/regional/336084


                                                            เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดบึงกาฬ ว่า ได้เกิดฝนตกหนักทั่วจังหวัดบึงกาฬ และฝั่งประเทศเพื่อนบ้านฝั่งเมืองปากซัน แขวงบลิคำไชย สปป. ติดต่อกันมา 3 วัน โดยเฉพาะกลางดึกที่ผ่านมา ซึ่งมีปริมาณฝนตกหนักที่สุด และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โดยฝนที่ตกลงมาชนิดไม่ลืมหูลืมตา ส่งผลกระทบทั้งดีและร้าย โดยผลดีคือเกษตรกรในพื้นที่ พ้นวิกฤติภัยแล้ง เนื่องจากมีน้ำใช้ในการเกษตรโดยเฉพาะการปลูกข้าว ขณะที่ผลเสียคือเกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่เนื่องจากระบายน้ำไม่ทัน โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองบึงกาฬ เช่น ถนนหน้าตลาดสดและบ้านเรือนประชาชน ในเขตบ้านพักโรงพยาบาลบึงกาฬในเขตโรงเรียนบึงกาฬ น้ำได้ท่วมขังในพื้นที่และไหลเข้าบ้านเรือนประชาชนนับร้อยหลังคาเรือน                                                                        
                                                            

ปิดตำนาน! ระเบิดทิ้งโรงงาน"ฟิล์มโกดัก"ชื่อดัง หลังล้มละลาย ตึกพังราบในพริบตา!(ชมภาพ)                                                           

                                                                                       
                            ที่มา : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437375259


                                                            สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการเมืองสหรัฐได้ระเบิดทำลายโรงงาน"โกดัก"ผู้ผลิตฟิล์มชั้นนำของโลก ในเมืองโรเชสเตอร์ ในรัฐนิวยอร์ก เพื่อสร้างอาคารใหม่ขึ้น และถือเป็นการปิดตำนานโรงงานของบริษัทชื่อดังแห่งนี้ ซึ่งตั้งตระหง่านมากว่า 90 ปี

รายงานระบุว่า เหตุการณ์ระเบิดทำลายนี้เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยโรงงานโกดัก ซึ่งประกอบด้วยตึกอาคารกว่า 40 แห่ง ได้ถูกทำลายเพื่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ภายในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งตึกได้กลายเป็นซากปรักหักพังอย่างราบคาบ ท่ามกลางเหล่าผู้คนที่เฝ้าดูเหตุการณ์ปิดตำนานโรงงานแห่งนี้ ซึ่งตั้งบนถนนอีสต์แมน บิสสิเบส พาร์ค เป็นเวลาถึง 92 ปี ในยุคที่โลกยังต้องพึ่งฟิล์ม "เนกาทีฟ" ก่อนที่โลกจะเข้าสู่สื่อดิจิตอล ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

โดยในยุคก่อน กล้องใช้ฟิล์มตัวแรกของโลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1888 และฟิล์มโกดักกลายเป็นฟิล์มยอดนิยมของยุค ก่อนเข้าสู่ภาวะโลกเปลี่ยนแปลงสู่เทคโนโลยีดิจิตอล และทำให้โกดักเข้าสู่ภาวะล้มละลาย โดยบริษัทได้ยื่นเรื่องต่อศาลขอพิทักษ์ทรัพย์ล้มละลาย และเปลี่ยนแนวทางการขายของบริษัทเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ปรินซ์ภาพด้วยระบบไฮเทค และมุ่งขายให้แก่หน่วยงานธุรกิจมากกว่าผู้บริโภค



ความสิ้นไร้ไม้ตอกของการต่อรอง


โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


หัวหน้า คสช.ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า  ที่เราส่งชาวอุยกูร์กว่า 100 คนกลับจีนนั้น ไม่ใช่เพราะถูกจีนกดดัน แต่ทำตามกฎหมายไทย  กล่าวคือส่งผู้ลักลอบเข้าเมืองกลับประเทศต้นทาง ในขณะที่จีนประกาศว่าอย่างน้อย 13 คน  ในกลุ่มชาวอุยกูร์เหล่านี้ กระทำผิดกฎหมายความมั่นคงของจีน


คสช.รู้มาก่อนหรือไม่ว่า  การกระทำเช่นนี้จะถูกประท้วงและประณามไปทั่วโลก ผมคิดว่ารู้ แต่คงไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้  อันที่จริงแม้ประเทศไทยไม่มีกฎหมายผู้ลี้ภัย  แต่รัฐบาลไทยหลายสมัยมาแล้วรู้ว่าการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศทำให้ถูกประณามหรือประท้วงจากนานาชาติ  เหตุดังนั้น หากจะทำก็มักพยายามทำอย่างลับๆ (แต่ข่าวก็มักรั่วไหลไปถึงสื่อต่างชาติจนได้ แต่สื่อไทยแบ๊ะๆ  ตามเคย) หรือในกรณีที่ไม่มีพรมแดนติดกันไม่อาจผลักดันได้  ก็มักกักตัวไว้ให้เดินทางไปประเทศที่สาม

ดังนั้น จึงไม่น่าสงสัยแต่อย่างใดว่า คสช.ถูกจีนกดดัน  ซึ่งหัวหน้า คสช.จะกล่าวว่าถูกจีนกดดันแก่ผู้สื่อข่าวไทยก็ไม่ได้ จึงเฉไฉไปน้ำขุ่นๆ  อย่างนั้น

ความจำเป็นจะต้องส่งชาวอุยกูร์กลับจีนจึงไม่จำเป็น  หากเป็นการส่งตัวตามกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดน  เป็นภาระของฝ่ายจีนต้องพิสูจน์ให้ศาลไทยเชื่อว่าบุคคลผู้นั้นกระทำความผิด  (ตามที่กฎหมายไทยบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิด) จริง  บุคคลคนหนึ่งอาจต้องใช้เวลาดำเนินคดีกันหลายปี

การที่ไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กถูกมหาอำนาจกดดันให้ทำหรือไม่ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ใครๆก็คาดได้หากมหาอำนาจไม่เคยกดดันไทยเลยสิ เป็นเรื่องประหลาดและไม่น่าเชื่อ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่ารัฐบาลที่ผ่านๆ  มาต้องทำให้พอดูได้ว่าการกระทำตามแรงกดดันเป็นความสมัครใจของไทยเอง  เพื่อมิให้นานาชาติเห็นว่าไทยไม่เหลืออำนาจอธิปไตยในฐานะรัฐเอกราชอีกแล้ว และที่สำคัญกว่านั้น  คือทำให้คนไทยเองไม่รู้สึกขัดเคืองกับแรงกดดันนั้น

รัฐบาลของ  คสช.ทำไม่เป็น



คสช.มีฝีมือจะทำหรือไม่ ยกไว้ก่อน แต่  คสช.ตกอยู่ในเงื่อนไขที่ทำให้แม้มีฝีมือก็ทำได้ยาก หรือทำไม่ได้เลย เพราะ  คสช.ไม่ประสบความสำเร็จที่จะดึงประชาชนส่วนใหญ่เข้ามาสนับสนุน พลังการต่อรองของประเทศเล็กๆ  กับมหาอำนาจนั้นอยู่ที่ประชาชน ถ้าไม่สามารถขับเคลื่อนประชาชนให้เข้ามาหนุนนโยบาย  ก็ยากที่จะบ่ายเบี่ยงต่อรองกับมหาอำนาจได้

แม้แต่ประเด็นปัญหาว่าจะทำอย่างไรกับอุยกูร์จำนวนหลายร้อยซึ่งถูกกักตัวอยู่ที่สงขลาก็ไม่เคยเปิดให้ประชาชนเข้ามาพิจารณาร่วมกันแม้แต่การที่ประเทศตุรกีเปิดรับอุยกูร์เหล่านี้ให้อพยพไปได้ก็ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเพิ่งมารู้กันเมื่อได้ส่งตัว

อุยกูร์กลับไปให้จีนแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้หากเปิดให้เป็นประเด็นสาธารณะมาแต่ต้น ก็จะเป็นข่าวในนานาประเทศ  ไทยก็จะถูกกดดันจากประเทศอื่นไปพร้อมกันว่าไม่ควรส่งคนเหล่านี้กลับจีน จีนไม่อาจกดดันได้ตามใจ อย่างน้อย  คสช.ก็อ้างได้ว่าเป็นปัญหาละเอียดอ่อน ไม่สามารถฝืนมติของสังคมไทยและสังคมโลก พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ  อย่าปล่อยให้แรงกดดันมาจากทิศทางเดียว แต่เปิดให้มาจากหลายทิศทาง  แรงกดดันจากแต่ละทิศทางก็จะเบาไปเอง

ส่วนที่จีนจะขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน  ก็มาพิสูจน์กันในศาล

ในโลกที่มีมหาอำนาจหลายขั้ว บางเรื่องประเทศเล็กๆ  อย่างไทยก็เล่นยาก แต่บางเรื่องก็เล่นง่ายขึ้น เช่น การถ่วงดุลอำนาจของมหาอำนาจ  อย่าปล่อยให้ใครโดดเด่นมาข่มเราได้ฝ่ายเดียว

อาเซียนเองก็ใช้นโยบายอย่างนี้ คือเปิดให้ทั้งสหรัฐ,  อียู และออสเตรเลีย เข้ามาถ่วงดุลกับการบีบลงมาของจีน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เป็นปรปักษ์กับจีน  เพราะอาจใช้อำนาจจีนมาถ่วงดุลมหาอำนาจฝ่ายอื่นได้ พม่าเคยถูกบีบให้ต้องเอียงไปหาจีนมากเกินไป  แต่เมื่อโอกาสเปิด พม่าก็รีบนำผลประโยชน์ของมหาอำนาจฝ่ายอื่นไปถ่วงดุลกับจีนบ้าง  การหันมาปรองดองกันของสมเด็จฯ ฮุน เซน กับนายสม รังสี  ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความสงบในการเมืองกัมพูชาเท่านั้น  แต่ก็เท่ากับเปิดประตูให้แก่มหาอำนาจฝ่ายอื่นเข้ามาถ่วงดุลจีนในกัมพูชาเช่นกัน




ผู้นำไทยในอดีตนั้นไม่สุ่มเสี่ยงเล่นไพ่หน้าเดียวจนถึงเผด็จการสฤษดิ์ธนะรัชต์ท่านปรีดีพนมยงค์ ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากฝ่ายสัมพันธมิตร แต่เมื่อสิ้นสงคราม  ท่านก็เปิดพื้นที่ประเทศให้แก่การกู้เอกราชของเพื่อนบ้าน  เท่าที่จะไม่ให้ดูเป็นอริกับเจ้าอาณานิคมเก่าจนเกินไป เพราะท่านคาดสถานการณ์ได้ถูกแล้วว่า  อย่างไรเสียไทยก็ต้องอยู่กับเพื่อนบ้านหน้าใหม่ (หรือหน้าเก่าก่อนที่จักรวรรดินิยมยึดไป)  ปัญหาคือจะอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านหน้าใหม่เหล่านี้อย่างไรให้เป็นสุขและเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายด้วย

จอมพลป.พิบูลสงครามคือผู้ลงนามในสนธิสัญญาร่วมมือทางทหารและเศรษฐกิจกับสหรัฐใน 2492 ซึ่งหมายความว่าหน้าฉาก ไทยกลายเป็นฝ่ายเดียวกับสหรัฐในสงครามเย็น แต่ท่านก็วางสายของท่าน  (คุณสังข์ พัธโนทัย) ไว้ในประเทศจีนคอมมิวนิสต์ คุณสังข์เข้านอกออกในกับผู้นำจีนถึงระดับสูงได้  หมายความว่าช่องทางการเจรจาของไทยกับผู้นำจีนในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าสงครามเย็นจะลงเอยอย่างไร ประเทศเล็กๆ อย่างไทยก็ยังพอมีช่องให้ขยับขยายปรับเปลี่ยนไปได้  ตามแต่ผลประโยชน์ของไทยในช่วงนั้นจะกำหนดให้เดินไปอย่างไร

อย่าลืมว่าสงครามเย็นนั้นเราไม่ได้เป็นผู้เปิดฉากและเราจึงไม่ใช่ผู้ปิดฉากเมื่อมันสิ้นสุดลงแล้วเราไม่ควรตกอยู่ในตาอับที่ขยับไปไหนไม่ได้ ต้องทิ้งชะตากรรมบ้านเมืองไว้กับสหรัฐจนหมดตัว



จนถึงยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์  นายทหารสาย จปร.ล้วนๆ (ตอนนั้นยังใช้ชื่อโรงเรียนนายร้อยทหารบก)  ไม่เคยเห็นโลกกว้างที่ไหนมาเลยจนเมื่อมีอำนาจในกองทัพแล้ว  ซ้ำยังเป็นโลกที่สหรัฐเป็นผู้เปิดให้ชมฝ่ายเดียวเสียด้วย  บทบาทของไทยในสงครามเย็นจึงกลายเป็นสมุนของสหรัฐเต็มตัว  สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือคำรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากสหรัฐว่าจะช่วยปกป้องไทย หากถูกรุกราน  (ข้อตกลงถนัด-รัสค์) เมื่อเขาได้มา  ก็ไปหลงคิดว่ากระดาษแผ่นนั้นคือความมั่นคง

เช่นเดียวกับทหารบ้านนอกทั่วไป ("บ้านนอก"  ของโลกนะครับ ไม่ใช่ของไทย) สฤษดิ์มองเห็นความมั่นคงของไทยอยู่ที่กำลังทหารเพียงอย่างเดียว  ถ้ากำลังทหารไทยไม่พอ ก็ต้องมีกำลังทหารของนักเลงใหญ่ค้ำประกันไว้  แล้ววันหนึ่งนักเลงใหญ่ก็แพ้สงครามเวียดนาม  เผ่นกลับบ้านกันแทบไม่ทัน

แล้วเราก็กลัวนักเลงข้างบ้านที่เอาชนะอเมริกันได้จนตัวสั่น  นายกรัฐมนตรีคุณคึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องรีบไปโขกศีรษะที่ปักกิ่ง เพื่อใช้กำลังของจีนมาถ่วงเวียดนาม  จีนพาเราเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของกัมพูชา แต่คุณคึกฤทธิ์ซึ่งถูกบังคับให้ขับฐานทัพสหรัฐออกไป  ก็ฉลาดพอที่จะแอบร่วมมือกับสหรัฐไว้ เช่น กรณีเรือมายาเกซ เพราะไม่ต้องการให้ไทยซบอยู่กับมหาอำนาจเดียว  และถึงจะแพ้สงคราม สหรัฐก็ยังเป็นมหาอำนาจมหึมาอยู่นั่นเอง

จนถึงทุกวันนี้  เมื่อโลกมีมหาอำนาจหลายขั้วแล้ว นายทหารสาย จปร.ก็ยังคิดเหมือนสฤษดิ์  คือความมั่นคงของประเทศขึ้นอยู่กับกำลังทหารเพียงอย่างเดียว  นี่คือที่มาของการสะสมยุทธภัณฑ์เหมือนเด็กเห่อของเล่น แต่หาก จปร.ได้สอนเรื่องการรบมาบ้าง  นายทหารเหล่านี้ก็คงรู้ดีว่า เรารบกับใครไม่ได้หรอก เพราะกำลังทางทหาร, ทางเศรษฐกิจ และยิ่งหลังจาก  คสช.ยึดอำนาจ แม้แต่กำลังทางสังคมของเราก็ไม่เพียงพอจะรบกับใครได้

ดังนั้น นโยบาย  "แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ" จึงไม่ได้มีไว้เผชิญหน้ากับต่างชาติ  แต่มีไว้สำหรับการสถาปนาอำนาจครอบงำของกองทัพภายในประเทศต่างหาก

อย่างไรเสียก็ปฏิเสธการถ่วงดุลระหว่างมหาอำนาจหลายขั้วไม่ได้แต่ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าเกมนี้จะเล่นได้ดีก็ต่อเมื่อต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเพราะการถ่วงดุลจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อสามารถต่อรองกับทุกมหาอำนาจได้ระดับหนึ่งด้วย

ในประเทศไทยทุกวันนี้รัฐไม่สามารถผูกขาดการโฆษณาชวนเชื่อไว้ฝ่ายเดียวได้แล้วจึงทำให้ไทยหลีกหนีการเมืองระบบเปิดไม่ได้ตราบเท่าที่ คสช.ยังยึดอำนาจไว้เด็ดขาดเยี่ยงเผด็จการอย่างไม่ยอมคลายเช่นนี้  การรักษาความมั่นคงของประเทศก็จะเหลือแต่เพียงการซื้อเรือดำน้ำและฝูงบิน  กับการโอนอ่อนตามแรงกดดันของมหาอำนาจฝ่ายที่ตนซบอยู่

ในแง่นี้  การส่งอุยกูร์ให้เผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงสะท้อนความอ่อนแอของ  คสช.ซึ่งไม่อาจบริหารบ้านเมืองในการเมืองระบบเปิด ถึง คสช.ต่อรองเป็น ก็ไม่มีอำนาจอะไรเหลือให้  คสช.ใช้ในการต่อรอง

เมื่อ คสช.เลือกการเอียงเข้าข้างจีนมาแต่ต้น  ระวังการอิงกับมหาอำนาจเดียวให้ดี เพราะเขารู้แล้วว่า คสช.ไม่มีอำนาจต่อรองอะไรในมือเลย  แรงกดดันต่อไปของเขาคืออะไร?


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437377632
ม็อบธรรมกาย บุกศูนย์ราชการ ขอความเป็นธรรมให้                                                            
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.nationtv.tv/main/content/social/378464637/


                                                            ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ 21 ก.ค. 58 - พระ-ศิษย์ธรรมกายกว่า 1,000 คน บุกศูนย์ราชการ จี้ผู้ตรวจการแผ่นดินยุติการดำเนินการการทุกกรณีกับธัมมชโย อ้างเพื่อความสงบสุขของประเทศ ขู่ให้เวลา 15 วันจะมาทวงถามความคืบหน้า

เมื่อเวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระภิกษุจากวัดพระธรรมกายกว่า 100 รูป พร้อมประชาชนกว่า 1,000 คน เดินทางมารวมตัวกันที่บริเวณประตูด้านทิศตะวันออก อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อปกป้องพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และแสดงความไม่เห็นด้วย กรณีสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557มาตรา 44 ดำเนินการกับพระธัมมชโยกรณีปาราชิกจากความผิดเกี่ยวกับการเบียดบังทรัพย์สินของวัดพระธรรมกาย

โดยมีการนำเครื่องขยายเสียงมาปราศรัยและขอให้ศิษย์ธรรมกายใช้โทรศัพท์และโซเซียลมีเดียติดต่อให้ญาติธรรมมาสมทบเพิ่มเติม พร้อมกับชูป้ายข้อความ เรามาขอความเป็นธรรมให้หลวงพ่อธัมมชโย ลูกหลวงพ่อไม่เล่นการเมืองแต่รักความยุติธรรม ผู้ตรวจการฯไม่ใช้หลักกฎหมาย แต่ตะเกียกตะกายใช้หลักกู ผู้ตรวจการฯตาบอดหรือไง คนรีดไถโรงแรมไม่ปาราชิกหรือนอกจากนี้ยังมีน.ส.ลีลาวดี วัชโรบล อดีตส.ส. พรรคเพื่อไทย มาร่วมสมทบด้วย

ทั้งนี้ผู้ชุมนุมในนาม กลุ่มลูกศิษย์รักหลวงพ่อ 21 ก.ค. 2558 ได้ออกแถลงการณ์ว่าหลังจากผู้ตรวจการแผ่นดินมีผลวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวแล้ว ทำให้กลุ่มลูกศิษย์รู้สึกไม่สบายใจและกังวลต่อผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน เนื่องจากขัดต่อหลักพระธรรมวินัยและหลักกฎหมาย เป็นการตัดสินโดยใช้อคติ ซึ่งอาจนำไปสู่ความแตกแยกของพุทธบริษัทและชาวไทยได้  จึงขอชี้แจงกรณีข้อหาปาราชิกนั้นได้ยุติไปแล้วตั้งแต่ปี 2549

ส่วนการถอนฟ้องคดีดังกล่าวก็เป็นอำนาจของ อัยการสูงสุด (อสส.) ซึ่งถือว่าคดีดังกล่าวเป็นที่สุดแล้ว รื้อฟื้นไม่ได้ และเรื่องดังกล่าวเป็นดุลยพินิจโดยเด็ดขาดของ อสส. และผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจในการดำเนินการดังกล่าวแต่กลับไปรื้อฟื้นคดีที่จบไปแล้วทำให้เกิดความแตกแยกและความวุ่นวายในสังคม ขัดกับนโยบายการสร้างความปรองดองของชาติ

ด้านนายอดิศักดิ์ วรรณสิน ตัวแทนคณะศิษย์ธรรมกาย ระบุว่า ขอให้ผู้ตรวจยุติการดำเนินการใดๆกับคดีพระธรรมชโย เพื่อให้เกิดความสงบสุขเรียบร้อยของประเทศ โดยศิษย์ธรรมกายจะมาติดตามผลภายใน15วัน ส่วนหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ระบุว่าประเด็นพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชเป็นคำแนะนำไม่มีผลบังคับตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505และมหาเถรสมาคมได้นำเข้าที่ประชุมพิจารณาเสร็จสิ้นสิ้นตั้งแต่ปี 2542 การนำเรื่องที่เสร็จสิ้นมาพิจารณาดำเนินการใหม่ขัดต่อหลักนิติธรรมว่าด้วยบุคคลไม่ควรได้รับความเดือดร้อนสองครั้ง เพราะการกระทำอันเดียวและพระธรรมวินับกำหนดว่าอิกรณ์ที่ระงับแล้วจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีกไม่ได้ ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือผู้ใดก็ตามไม่มีอำนาจสั่งการให้คณะสงฆ์ดำเนินการในสิ่งที่เหมาะสมพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

ส่วนประเด็นการถอนฟ้องคดีอัยการสูงสุดได้ดำเนินการโดยชอบด้วยกำหมายและศาลก็ได้พิจารณาให้ถอนฟ้องได้และจำหน่ายคดีออกสาระบบถือว่าศาลได้ใช้ดุลยพินิจตัดสินไปแล้ว ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่มีอำนาจหน้าที่และเหตุผลที่จะเสนอให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมารื้อฟื้นคดีใหม่

ต่อมาเวลา 15.20น. นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดินได้มารับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจากตัวแทนธรรมกาย พร้อมชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการของผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งได้เสนอความเห็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้รับจากฝ่ายผู้ร้อง หากมีข้อเท็จจริงอื่นที่สามารถเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยก็พร้อมจะนำเสนอให้ประธานกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดินรับไปพิจารณา

โดยกรณีของพระธรรมชโยและมหาเถรสมาคมไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้เสนอความเห็นให้หัวหน้า คสช.ตั้งคณะกรรมการร่วมพิจารณา ซึ่งไม่แน่ว่าผลที่ออกมาอาจเป็นไปตามความประสงค์ของศิษย์วัดธรรมกายก็ได้ เช่นเดียวกับกรรีคำสั่งถอนฟ้องของอดีตอัยการสูงสุดซึ่งได้เสนอให้หัวหน้า คสช.ตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบการใช้อำนาจเช่นกัน ทั้งนี้ภายหลังรับฟังคำชี้แจงศิษย์ธรรมกายก็ได้สลายการชุมนุมแยกย้ายกันเดินทางกลับ                                                                        
                                                            

หุ้นไทยร่วงหนัก หลังนลท.ขาดความเชื่อมั่น แห่ถล่มเทขายหุ้นทิ้ง หวั่นเจอพิษศก.ในประเทศกดดัน                                                            
                           
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1437454339


                                                            ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่าภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าวันนี้บรรยากาศการลงทุนนค่อนข้างน่ากลัว หลังดัชนีปรับตัวลงแรงจากแรงเทขายที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลมาจากภาวะตลาดขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง หลังทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ชะลอตัวชัดเจนและผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2558 ของบริษัทจดทะเบียนที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์มีโอกาสปรับประมาณการทั้งจีดีพีและกำไรของตลาดปีนี้ลงได้  

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายวันนี้ คาดว่าดัชนีน่าจะปรับตัวลดลงต่อ หลังประเมินว่าช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาพยุงภาวะตลาดได้ หลังปัจจัยตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศยังดูไม่สดใสเท่าใดนัก ซึ่งคาดว่าโอกาสของดัชนี้ข้างหน้านี้น่าจะอยู่ในช่วงของการปรับฐานลง ซึ่งมีโอกาสร่วงลงแรงถึงระดับ 1,400 จุดได้ หากดัชนีหลุดระดับแนวรับจิตวิทยาที่ 1,451 จุดไปได้ โดยแนะนำให้นักลงทุนเข้าไปหลบในหุ้นปันผล พร้อมให้กรอบดัชนีไว้ที่ระดับ 1,400 – 1,468 จุด                                                                        
                                                            

นักบีบคอมนุษยชน
ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน



นาย สุณัย ผาสุข นักสิทธิมนุษยชนที่รู้จักกันดี ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์ วอตช์ ได้เตรียมส่งจดหมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไปยังองค์กรสิทธิมนุษยชนสากลและองค์กรระหว่างประเทศทั่วโลก ให้รับทราบถึงข้อกังวลต่อการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในไทยชุด ล่าสุด



โดยการสรรหา ทำให้ผู้ที่ได้รับคัดเลือกมา 7 คนนั้น



ยกเว้นนางอังคณา นีละไพจิตร เพียงคนเดียว



นอกนั้นล้วนเป็นบุคคลที่ไม่เคยมีผลงานส่งเสริม คุ้มครองปกป้องสิทธิมนุษยชน



กลับกันในบางคน ได้ให้การสนับสนุนให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและร้ายแรง



นอกจากนี้ยังขอเรียกร้องให้สนช. ไม่ให้ความเห็นชอบรายชื่อกรรมการสิทธิมนุษยชนที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ



โดยขอให้มีการสรรหาใหม่ด้วยกระบวนการที่ดีกว่านี้!



นั่นเป็นท่าทีของนายสุณัย ซึ่งเท่ากับว่า กระแสการคัดค้าน ว่าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนชุดใหม่ กำลังจะไปไกลถึงระดับโลกแล้ว



ทั้งขั้นตอนของรายชื่อกรรมการชุดนี้ จะต้องนำเข้าพิจารณาในสนช. เพื่อให้ความเห็นชอบ



ซึ่งนายสุณัยหวังว่า สนช.จะตีตกไป



แน่นอนว่า กรณีอังคณา นีละไพจิตร นั้น ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับ เพราะการทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนมีมาตลอด



ทั้งยังได้แปรการสูญเสียนายสมชาย นีละไพจิตร ผู้เป็นสามี ให้เป็นการต่อสู้เพื่อหลักการ เพื่อคุ้มครอง ชีวิตอื่นๆ



ไม่ใช่สู้ด้วยความอาฆาตแค้นส่วนตัว!



สู้เพื่อให้มีกฎหมายใหม่ มาคุ้มครองปกป้องไม่ให้เกิดการอุ้มคนหายสาบสูญต่อไปอีก



นี่จึงต้องนับเป็นผู้มีหัวใจเป็นนักสิทธิมนุษยชน ขนานแท้



ยกเว้นคนอื่นๆ โดยเฉพาะบางคน ซึ่งนายสุณัยถึงกับระบุว่า ได้ให้การสนับสนุนให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและร้ายแรง



ทำให้นึกได้อย่างทันทีทันควัน กรณีที่ผู้ได้รับการสรรหาบางรายเป็นแกนนำม็อบ!



ชูเป้าหมายการต่อสู้ว่า ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แต่ความหมายจริงๆ คือ จะไม่ให้มีการเลือกตั้ง



พร้อมกับไปขัดขวางสถานที่รับสมัครส.ส. ไป ขัดขวางการนำหีบบัตรและบัตรเลือกตั้งออกแจกจ่าย



ไปขัดขวางหน้าคูหาเลือกตั้ง



คุกคามบีบคั้นประชาชนคนอื่นไม่ให้ไปใช้สิทธิ ถึงขั้นบีบคอ



หรือว่าเรากำลังจะได้กรรมการสิทธิ์
ผู้สนับสนุนนักบีบคอมนุษยชนแทน!

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1437754812

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้