ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
กลุ่มนศ.ประชาธิปไตยใหม่ กอดคอตะโกน

แถลง5ข้อเคลื่อนต่อ หลังเพื่อนถูกจับ (คลิป)



เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. วันที่ 27  มิถุนายน กลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่  จัดแถลงข่าวถึงแนวทางการดำเนินการรวมถึงภาพรวมและเป้าหมายใหม่ในอนาคตที่บ้านสวนเงินมีมา  มูลนิธิเสฐียรโกเศศ นาคะประทีป ตั้งอยู่ระหว่างซอยเจริญนคร 20-22 แขวงบางลำภูล่าง เขตคลองสาน กทม. โดยมี  นางสาวกตัญญู หมื่นคำเรือง นางสาวชนกนันท์ รวมทรัพย์ และนางสาวลลิตา เพ็ชรพวง  นักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยใหม่  ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ยืนยันจุดยืนหลังจากเพื่อนนักศึกษาร่วมกลุ่มถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวเมื่อวันที่ 26  มิ.ย.ที่ผ่านมา








ก่อนเริ่มแถลงตัวแทนกลุ่มแสดงออกด้วยกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์  กอดคอหันหลังโชว์กระดาษที่เขียนคำว่า "ประชาชน" พร้อมตะโกนว่า  "ประชาชนอยู่เบื้องหลังเรา"


จากนั้นกลุ่มนักศึกษาร่วมกันอ่านแถลงการณ์  โดยมีใจความสำคัญยังคงยืนยันขับเคลื่อนขบวนฯกันต่อไป ตามหลักการกำปั้นห้า  ประกอบด้วย

1.หลักประชาธิปไตย  จะต้องให้พลเมืองทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเสมอหน้าอย่างเท่าเทียมกัน
2.หลักความยุติธรรม  ที่จะช่วยลดความขัดแย้งในสังคม ปราศจากสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม
3.หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน  ในการกำหนดวิถีชีวิตตนเอง รัฐบาลต้องคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว
4.หลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน  ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องเคารพ รัฐบาลต้องหยุดละเมิดสิทธิประชาชน
5.หลักสันติวิธี คือ  การแก้ไขปัญหาทางการเมืองต้องปราศจากการใช้ความรุนแรง  หรือการนำมาสู่เงื่อนไขที่ทำให้เกิดความรุนแรง







ทั้งนี้ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ย้ำว่า  การเคลื่อนไหวจะกระทำด้วยมือเปล่า เท้าเปล่า และมีเบื้องหลังคือประชาชนผู้รักในสิทธิและเสรีภาพเท่านั้น  มิได้มีกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง หรือพรรคการเมืองใดๆแอบแฝงทั้งสิ้น






ขณะที่ตัวแทนกลุ่มนักศึกษาปชต.ใหม่ระบุว่าหลังจากนี้จะมีกิจกรรมต่อวางแคมเปญเคลื่อนไหวและลงพื้นที่ทำงานร่วมกับประชาชนตามที่ทำอย่างต่อเนื่องกลุ่มยืนยันว่าจะมีกิจกรรมขับเคลื่อนตามจุดยืนต่อไปแต่ยังไม่เปิดเผยว่าจะดำเนินการเมื่อไหร่


เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงแนวทางการพิสูจน์ตัวเองว่าไม่มีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลังตัวแทนนักศึกษากล่าวว่าประชาชนเห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาที่ทำกิจกรรมมาตลอด ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็น  และยืนยันว่ากลุ่มที่สนับสนุนเบื้องหลังคือประชาชนทั่วไปที่รักประชาธิปไตยไม่ใช่นักการเมือง


ตัวแทนกลุ่มที่มาแถลงยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่สอบถามสภาพของเพื่อนนักศึกษาที่ถูกควบคุมตัวตามหมายศาลทหารโดยตัวแทนที่มาแถลงเปิดเผยว่าเพื่อนทุกคนยังกำลังใจดียิ้มแย้มแจ่มใสไม่ขอประกันตัว และมีความสุขดี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังกลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่อ่านแถลงการณ์เสร็จสิ้นมีกลุ่มประชาชนที่เรียกตัวเองว่า "ประชาชนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มปชต.ใหม่" อ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้ทางการปล่อยตัวนักศึกษา14 คน  ที่ถูกจับไปเมื่อวานนี้ (26 มิถุนายน)  และถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และเรียกร้องให้รัฐบาลเคารพความเห็นต่าง





(ที่มาคลิป :  พลเมืองโต้กลับ)



(ที่มา:มติชนรายวัน 25 มิ.ย.2558)

แล้งนี้ ร้ายนัก งดนาปี มีอะไรกิน น้ำหาย ใครทำ?


ถ้าชาวนาคือเกษตรกรจำนวนร้อยละ 60-70 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดประมาณ 30 ล้านคน



ย่อมหมายความว่าในปีนี้ จำนวนเกษตรกรและครอบครัวที่จะประสบปัญหาจากภาวะขาดน้ำจนแห้งแล้งอย่างรุนแรง ย่อมมีไม่ต่ำกว่า 18-20 ล้านคน



ความเสียหายนี้รุนแรงเพียงใด



นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า



กรมชลประทานประกาศหยุดปล่อยน้ำและให้เกษตรกรชะลอการเพาะปลูกข้าวนาปีในพื้นที่จังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และผู้ใช้น้ำทุกรายใช้น้ำอย่างประหยัดตั้งแต่ 9 มิถุนายน 2558 ไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม



เนื่องจากสถานการณ์น้ำที่ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวนาปี และนาปรัง การอุปโภค-บริโภค และกิจกรรมอื่นๆ รวมทั้งปริมาณน้ำฝนที่ทิ้งช่วง



ในการนี้ สศก.วิเคราะห์ถึงค่าเสียโอกาสของการหมุนเวียนเม็ดเงินการปลูกข้าวนาปี 2558 ที่กำลังดำเนินการเพาะปลูกในขณะนี้ของเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 13 ล้านไร่ต้องเลื่อนหรือชะลอการเพาะปลูกออกไป



โดยประเมินภายใต้กรอบของต้นทุนการผลิตข้าวนาปี ได้แก่ ค่าแรงงาน ค่าพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่ายาปราบศัตรูพืช ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น



อื่นๆ เช่น ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร ค่าวัสดุอุปกรณ์ และวัสดุสิ้นเปลือง ค่าเสียโอกาสเงินลงทุน



จะรวมเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 60,171.93 ล้านบาท





ก่อนหน้านี้ นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ให้ความเห็นว่า การประกาศว่าจะขาดน้ำในช่วงนี้และชาวนาไม่ควรทำนา ถือว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด



เพราะก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีถึงหน้าร้อน ได้สั่งให้ชาวนาหยุดทำนารอบที่ 1 ไปแล้ว อ้างปัญหาภัยแล้งในหน้าร้อน



มาตอนนี้เข้าหน้าฝนแล้ว ยังมาสั่งให้หยุดทำนาอีกรอบ เป็นครั้งที่ 2 และอ้างภัยแล้งอีก



จึงขอเรียกร้องให้



1.รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยเพื่อช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 3,000 บาท ไม่เกิน 30 ไร่/ราย ยึดข้อมูลจากฐานการขึ้นทะเบียนชาวนาของกระทรวงเกษตรฯ



และให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐ เช่น หน่วยงานเกษตร ท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้านสนธิกำลังร่วมตรวจสอบรายชื่อ จำนวนที่นา/ไร่ ให้เป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบันถูกต้อง ป้องกันข้อหาทุจริตหรือมีคนอื่นนอกจากชาวนาที่ได้รับผลกระทบมาสวมรอยได้ประโยชน์



2.พักชำระหนี้ชาวนาเป็นเวลา 3 ปี ต่อเนื่องโดยไม่คิดดอกเบี้ย



โดย ธ.ก.ส.น่าจะนำร่อง และธนาคารอื่นที่ชาวนาไปกู้ก็ควรทำตาม เพราะว่าตอนนี้ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ย



ส่วนโครงการปลูกพืชอื่นทดแทน ในความเป็นจริงไม่สำเร็จ เพราะขาดน้ำจะไปปลูกอะไรได้



อาจมีบางคนที่ทำได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าชาวนาทั้งหมดที่หยุดทำนาจะทำได้



หากรัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือชาวนาได้ ก็เท่ากับว่าฆ่าชาวนา เพราะทั้งปีนี้ไม่ต้องทำนากัน



จะให้ไปทำนาช่วงปลายปีนั้นทำไม่ได้ เพราะเป็นช่วงน้ำเหนือหลากเข้าทุ่ง





นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปัญหาน้ำใน 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีปริมาณน้ำใช้การได้เหลือแค่ 1,100 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมีน้ำใช้ได้ 30 วัน



เพราะมีการสั่งการจากฝ่ายการเมือง โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กนย.) สั่งการให้ระบายน้ำในเขื่อนทุกเขื่อนลงเหลือ 45% ของความจุเขื่อน เพราะเกรงจะเกิดน้ำท่วมซ้ำรอยปี 2554



ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่ระบายออกในขณะนั้นรวม 1.4 หมื่นล้าน ลบ.ม. จนปริมาณน้ำสะสมเหลือน้อย ขณะที่กรมชลฯได้พยายามทัดทานและประวิงเวลาการระบายน้ำมาโดยตลอด



ท้ายที่สุดฝ่ายการเมืองได้ยอมรับฟังเหตุผลให้หยุดการระบายน้ำจากเขื่อนได้ แต่ได้มีการระบายออกไปจำนวนมากแล้ว เป็นปริมาณน้ำที่ระบายออกที่มากที่สุดในรอบ 15 ปี



รายงานข่าวระบุว่า มติที่ประชุม กนย.ที่กล่าวถึงนั้น คือการประชุมในปี 2555







น่าทึ่งว่าส่งผลต่อเนื่องยาวนานมาถึงปี 2558 ได้



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435215636


























รู้ไหม ! เอกสารสำคัญหายไม่ต้องแจ้งความ ทำใหม่ได้เลย มีอะไรบ้าง ?





http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435403642


คนลำปางฮือฮา! แก้วโป่งข้ามยักษ์ รูปคล้ายใบหน้าคน
                                                                                                                       

                                               
                                                                (28 มิ.ย.) ชาวบ้านแห่ดู แก้วโปางข่ามยักษ์ บังเอิญพบที่ลำปาง รูปร่างคล้ายใบหน้าคน ยังขุดค้นพบอย่างต่อเนื่อง เชื่อเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของหินมงคล ชาวบ้านนำมาวางให้เช่า สร้างรายได้ช่วงวิกฤตภัยแล้ง
บรรยากาศที่วัดบ้านแม่แก่ง ม.4 ต.แม่ถอด อ.เถิน จ.ลำปาง คึกคักตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เนื่องจากนักท่องเที่ยวและประชาชนที่ทราบข่าวว่า มีการพบ แก้วโป่งข่ามยักษ์ และได้นำมาเก็บรักษาไว้ที่วัดแห่งนี้ จึงนำเอาดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ บูชา ขอพรขอโชคต่างๆ ตามความเชื่อ
สำหรับ แก้วโป่งข้าม ที่ค้นพบในครั้งนี้ถือว่า ก้อนใหญ่เป็นพิเศษ โดยกลุ่มชาวบ้านบังเอิญไปพบระหว่างไปหาปลาในอ่างเก็บน้ำแม่แก่ง เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา ขณะนั้นเกิดภัยแล้งในพื้นที่ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างได้ลดลง แต่ระหว่างที่ทุกคนจะลงน้ำไปหาปลา กลับไปสังเกตเห็นก้อนหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำบริเวณกลางอ่างน้ำ และส่องแสงระยิบระยับเมื่อกระทบแสงพระอาทิตย์
เมื่อทำการขุดดูจึงพบเป็น "แก้วโป่งข่าม" ขนาดใหญ่ ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงได้มาแจ้งให้ พระพิบูรณ์ รุตจิอุโน เจ้าอาวาสวัดแม่แก่ง และชาวบ้านในหมู่บ้านมาทำพิธีตามความเชื่อ ก่อนจะระดมชาวบ้านช่วยกันขุดและยกขึ้นมาจากน้ำแล้วนำมาไว้ที่วัดแห่งนี้เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาเยี่ยมชม
กลุ่มชาวบ้านในพื้นที่นำ แก้วโป่งข่าม ที่ขุดพบในพื้นที่ มาวางจำหน่วยให้ผู้ในใจเลือกซื้อไปบูชา เริ่มต้นราคาตั้งแต่ชิ้นละ 9 บาท ไปจนถึงหลักพัน สร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านอีกทางหนึ่ง หลังต้องประสบปัญหาภัยแล้งมานาน
ชาวบ้านในพื้นที่ เล่าว่า ที่ผ่านมาทางด้านเหนือของหมู่บ้านจะพบแก้วโป่งข่ามอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 50 ปีแล้ว ที่ผ่านมาชาวบ้านได้นำแก้วโป่งข่ามมาทำเป็นเครื่องประดับออกจำหน่ายในหมู่บ้านจนเป็นสินค้าชุมชนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะการนำไปทำเป็นเครื่องรางของขลัง เพราะชาวบ้านเชื่อว่าเมื่อนำมาประดับ ไม่ว่าจะเป็นแหวน หรือนำมาห้อยคอก็จะป้องกันภูตผีปีศาจ หรือเดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย
ที่ผ่านมาชาวบ้านยังเคยพบหินประหลาด เป็นหินสีดำมีลักษณะคล้ายใบหน้าคน เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา คนที่พบครั้งแรกและเป็นคนอุ้มหินมา เป็นเด็กชายในหมู่บ้านไปพบ ขณะไปเล่นน้ำที่หนองน้ำในหมู่บ้าน เด็กชายดังกล่าวจึงได้อุ้มมาให้ญาติ และพบว่ามีลักษณะสีดำและคลายใบหน้าคน จึงได้นำมาไว้ที่ วัดแม่แก่ง
ต่อมาจึงได้มีการทำพิธีประทับร่างองค์ทรงเจ้า ทราบว่าเป็นหินมงคล ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นหินที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตอยู่ และตั้งชื่อว่า "พญานิลคำ" และร่างทรงบอกให้สร้างศาลาไว้ เพื่อที่จะรอน้องชายมาอยู่ด้วยกัน และสุดท้ายก็พบจริงๆ คือ โป่งข่ามยักษ์ จึงได้นำมาตั้งที่ศาลาที่สร้างไว้ ให้ศรัทธาประชาชนกราบไหว้สักการะต่อไป

http://news.sanook.com/1820086/

                                                       

ไอเดียแจ่ม...ชาวแพร่แห่โดราเอมอนขอฝน แทนแมวจริง ลดการทรมานสัตว์


             ชาวบ้านแล้งหนัก ไม่อยากเจอโทษทารุณสัตว์ จับตุ๊กตาโดราเอมอนมาขอฝนแทนแมวจริงซะเลย แถมหลังพิธีมีเมฆดำโผล่คล้ายเมฆฝน คนชมไอเดียเจ๋งดี ไม่ต้องทรมานสัตว์

             ในทุก ๆ ปีที่เกิดภาวะน้ำแล้ง ฝนแล้ง เราก็จะได้เห็นชาวบ้านตามต่างจังหวัด จะร่วมกันทำพิธีแห่นางแมวขอฝน โดยการนำแมวมาขังเอาไว้ในกรง แล้วแห่ไปตามหมู่บ้านให้คนสาดน้ำ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าวิธีการนี้ จะช่วยให้ฝนตกน้ำดี และทำให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้ตามฤดูกาล ทว่า วิธีนี้อาจทำให้แมวล้มป่วย จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งผิดต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ ทำให้ ล่าสุด (28 มิถุนายน 2558) ชาวบ้านใน อ. หนองม่วง จ.แพร่ ผุดไอเดียแห่นางแมวแบบใหม่ โดยการจับตุ๊กตาโดราเอมอนมาขังกรง แล้วทำพิธีขอฝนแทน



             ทั้งนี้ จากเฟซบุ๊ก ตระเวนข่าว 3  รายงานว่า ชาวบ้านวังหลวง อ. หนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ เจอวิกฤตแล้งหนัก จึงต้องทำพิธีแห่นางแมวเพื่อขอฝน แต่การจับแมวมาใส่กรงแล้วสาดน้ำใส่แมว อาจเข้าข่ายต้องโทษตามความผิด พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์ ชาวบ้านจึงนำตุ๊กตาโดราเอมอน การ์ตูนยอดนิยม มาใส่กรงแทน ก่อนแห่ไปตามหมู่บ้าน และให้เจ้าอาวาส รดน้ำให้โดเรมอน

             อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ท้องฟ้าก็มีเมฆดำ คล้ายกับจะมีฝนตกลงมาด้วย

             และภายหลังจากที่มีการแห่โดเรมอนขอฝน ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยที่มีการประยุกต์ ไม่ใช้แมวจริง ๆ ในการแห่ เนื่องจากโดยปกติแล้ว แมวจะเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบน้ำ หากเอาน้ำมาสาดเพื่อให้แมวร้อง อาจทำให้แมวป่วยด้วยโรคปอดบวม จนถึงขั้นเสียชีวิต วิธีนี้จึงเป็นวิธีการประยุกต์ที่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว





ภาพจาก เฟซบุ๊ก ตระเวนข่าว 3
http://hilight.kapook.com/view/122533


  เว็บไซต์เดลี่สตาร์รายงานว่า เด็กชายชาวอินเดียถ่ายรูปติดจานบินยูเอฟโอแบบชัดแจ๋ว ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อของแท้แน่นอน














    ด.ช.อภิจิต กุปตา เด็กนักเรียนชั้น ป.5 จากเมืองคานปูร์ รัฐอุตตรประเทศ ตอนเหนือของประเทศอินเดีย กล่าวว่าขณะที่ตนกำลังถ่ายภาพท้องฟ้า ก็มีวัตถุลึกลับคล้ายรูปทรงเหมือนจานบินลอยอยู่บนท้องฟ้า จึงถ่ายภาพมาอีกหลายใบ และหลังจากภาพชุดนี้ถูกเผยแพร่ออกมาก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องยูเอฟโอจากทั่วโลกตื่นเต้น บางคนถึงขนาดกล่าวว่านี่เป็นข้อพิสูจน์ว่ามนุษย์ต่างดาวและจานยูเอฟโอมีอยู่จริงๆ เพราะเป็นภาพที่ชัดมาก





    ด.ช.อภิจิต เจ้าของผลงานภาพจานบิน กล่าวว่า "ผมชอบถ่ายรูปธรรมชาติ ตอนที่ผมเห็นเมฆรูปทรงแปลกๆผมมักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายอยู่เสมอ" หลังจากถ่ายรูปมาได้แล้ว จึงซูมเข้าไปดูใกล้ๆจึงแน่ใจว่าเป็นยูเอฟโอแน่นอน ด้านนายซันโตช กุปตา พ่อของเด็กชาย เปิดเผยว่าเต็มใจที่จะส่งรูปไปให้ห้องแล็ปตรวจสอบ  













  
      ผู้เชี่ยวชาญและสนใจด้านมนุษย์ต่างดาวหลายคนยืนยันว่าภาพชุดนี้เป็นภาพยูเอฟโอชุดที่ดีที่สุดชุดหนึ่งที่เคยมีคนถ่ายไว้ได้ สมาชิกคนหนึ่งในเว็บไซต์นักสำรวจยูเอฟโอกล่าวว่า "ยอมรับเถอะ ว่านี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีมนุษย์ต่างดาวมาเยี่ยมเรา" และ "ภาพนี้ไม่เบลอ แต่คมชัดมาก พวกที่ไม่เชื่อจะพูดว่ายังไงนะ"




    ขณะที่มีชาวเน็ทอีกคนหนึ่งถึงกับมายืนยันว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงๆและตนเห็นจานบินเดียวกันกับในภาพ กล่าวว่า "อภิจิตพุดเรื่องจริง เพราะว่าในวันนั้นผมก็เห็นเหมือนกัน ผมบอกพี่ชายของผมแต่ไม่มีใครเชื่อ จนวันถัดมาเมื่อพวกเขาอ่านเรื่องนี้หนังสือพิมพ์ จึงมาพูดกับผมเรื่องนี้"


    อย่างไรก็ตามยังมีคนอีกจำนวนมากที่สงสัยเรื่องนี้ และเชื่อว่านี่เป็นรูปตัดต่อโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือแอพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถืออย่าง คาเมร่า 360 เท่านั้น

ที่มา....http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1435661450
ขสมก.เรียกผู้ประกอบการสาย 8 มาคุย ลั่นวางมาตรการลงโทษหนักขึ้น-ยกเลิกสัญญาถ้าไม่ปรับปรุง                                                            
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1435737528


                                                            จากเหตุการณ์ที่รถเมล์ร่วมบริการสาย 8 ขับเสียหลักชนตอม่อรถไฟฟ้าใกล้สถานีอารีย์ บริเวณถนนพหลโยธินเมื่อ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ รวมถึงมาตรการที่ดูแลการเดินรถเมล์ร่วมบริการสาย 8

ล่าสุด นายวิศิษฎ์ วงศาโรจน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถเอกชนร่วมบริการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ขสมก. มีมาตรการในการเดินรถมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถสาย 8 ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในสังคม โดยมีมาตรการในการจัดระเบียบป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงการร้องเรียนของผู้โดยสาร และทาง ขสมก.เองก็มีมาตรการในการคุยกับผู้ประกอบการ

นายวิศิษฎ์ระบุว่า กรณีของรถสาย 8 ที่เกิดอุบัติเหตุล่าสุด เป็นรถร่วมบริการของ บริษัท กลุ่ม 39 เดินรถ จำกัด ซึ่งในขณะนี้กำลังมีการเรียกผู้ประกอบการมาคุย โดยอาจมีการใช้มาตรการลงโทษที่หนักขึ้น หรืออาจมีการพิจารณาการยกเลิกสัญญาในกรณีที่พฤติกรรมยังไม่ดีขึ้น

สำหรับมาตรการที่มีการบังคับใช้นั้นนายวิศิษฎ์ชี้แจงว่า มีอยู่ด้วยกัน 4 ขั้น คือ 1.ห้ามขับแข่ง หรือขับแซงกัน เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย 2.ต้องจอดรับผู้โดยสารที่ป้าย เพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นลงรถสะดวก 3.เอื้ออาทรผู้ร่วมเดินทาง ซึ่งในส่วนนี้เน้นไปที่รถมอเตอร์ไซค์และรถเก๋ง โดยไม่ให้มีการขับเบียดหรือขับปาดหน้า และ 4.การเปิดประตู ต้องเปิดที่ป้ายเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร รวมถึงการดูแลโดยเฉพาะคนชราและเด็ก

นอกจากนั้น นายวิศิษฎ์เปิดเผยว่า ได้เน้นย้ำมาตรการให้ทุกบริษัทที่เดินรถปฏิบัติตาม รวมถึงได้มีการสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในกรณีของสาย 8 นั้น การเกิดอุบัติเหตุลดลงไปมาก คือในปีที่แล้วเกิด 1 ครั้ง ปีนี้ก็เกิดเพียง 1 ครั้ง แต่การที่อุบัติเหตุของรถสาย 8 เป็นกระแสสังคม ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์

นายวิศิษฎ์ระบุว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุกับรถเมล์สาย 8 เพราะ มีจำนวนรถมาก โอกาสที่คนจะเห็นเลยมีมากกว่าสายอื่น ส่วนการขับปาด หรือขับเฉี่ยว ต้องเข้าใจว่าถนนเส้นลาดพร้าวแคบ เลยอาจเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นได้

อย่างไรก็ตาม นายวิศิษฎ์ ฝากให้ประชาชนมั่นใจในการใช้บริการรถเมล์สาย 8 เพราะว่าให้บริการมานานแล้ว แต่ถ้าพบเห็นสิ่งไม่ดี ขอให้ร้องเรียนมาเพื่อช่วยกันแก้ไขให้ถูกจุดโดยเฉพาะในสังคมออนไลน์หากแพร่กระจายข่าวสารในด้านที่ดีจะช่วยได้เยอะ                                                                        
                                                            

จ่อยิงสะท้านกรุงฆ่าสมยศ อดีตเจ้าพ่อคาเฟ่ (ชมคลิป)                                                            

                                                                                       
                            ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/508389

‘มือปืน’รอจังหวะเหมาะ ซัด2นัดคาลานจอดรถ หลังกินหูฉลามกับเมีย

มือปืนจ่อยิงอดีตเจ้าพ่อคาเฟ่ “สมยศ สุธางค์กูร” คาลานจอดรถภัตตาคารเฮงหูฉลามย่านคลองตัน ภายหลังนั่งกินอาหารค่ำ กับเมียแล้วเดินมาจะขึ้นรถเบนซ์ส่วนตัว คนร้ายดักรอจังหวะเปิดประตูเตรียมก้าวนั่งข้างให้เมียขับ กระหน่ำกระสุนใส่เหี้ยมเกรียมอย่างเลือดเย็น เผยเป็นตำนานผู้กว้างขวางวงการคาเฟ่แจ้ง เกิดตลกหลายคน คู่แข่ง “บุญเลี้ยง อดุลยฤทธิกุล” เจ้าของวิลล่า คาเฟ่ ผู้ล่วงลับก่อนหน้า ผ่านยุคคาเฟ่ซบเซา หันลงเล่นการเมืองพรรคประชาธิปัตย์

อดีตเจ้าพ่อคาเฟ่คนดังถูกมือปืนจ่อยิงดับสยอง เกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 29 มิ.ย. พ.ต.ท.กู้เกียรติ จันทร์พุ่ม พนักงานสอบสวน ผนก.สน.คลองตัน รับแจ้งเหตุยิงกันบริเวณลานจอดรถร้านอาหารเฮงหูฉลาม ตั้งอยู่เลขที่ 115 ถนนพัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้นแล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป์ ผบก.น.5 พ.ต.อ. นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ชัยพล เอกกุล ผกก.สน.คลองตัน พ.ต.ท.ธนาวุฒิ เปียผ่อง รอง ผกก.สส.สน.คลองตัน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง แพทย์สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ที่เกิดเหตุอยู่หลังร้าน เป็นลานจอดรถกว้างประมาณ 200 ตารางวา รั้วรอบขอบชิด พบศพนายสมยศ สุธางค์กูร อายุ 62 ปี อดีตเจ้าของพระราม 9 คาเฟ่ อยู่บ้านเลขที่ 495 ถนนพระราม 9 ซอย 49 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กทม. นอนหงายข้างประตูฝั่งซ้ายของรถเก๋งยี่ห้อเบนซ์ รุ่นอี 200 สีดำ ทะเบียน ฌร 3636 กรุงเทพมหานคร สภาพศพสวมเสื้อเชิ้ตลายสกอตแขนสั้นสีน้ำตาล กางเกงยีนส์สีฟ้า รองเท้าแตะสีดำ ถูกยิงด้วยปืนไม่ทราบขนาด เข้าที่ศีรษะ 1 นัด ไหล่ซ้ายอีก 1 นัดจมกองเลือด

นายบุญหลาย หาญประจันทร์ อายุ 50 ปี พ่อครัวประจำร้านหูฉลามชื่อดัง เผยว่า ปกติผู้ตาย ชอบเดินทางมากินหูฉลามประมาณเดือนละ 2 ครั้ง ก่อนเสียชีวิตได้เข้ามาพร้อมภรรยาตอนเวลา 2 ทุ่มเศษ สั่งหูฉลามหม้อเล็ก 2 หม้อ เป๋าฮื้อ 1 จานและปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว กินกัน 2 คนตามประสาผัวเมีย ใช้เวลาราว 45 นาทีก็สั่งเช็กบิล แล้วทั้งคู่ก็เดินออกหลังร้านไปลานจอดรถ ไม่นานได้ยินเสียงปืนดัง 2 นัด เลยรีบวิ่งมาดูพบว่านายสมยศถูกยิงลงไปนอนกองกับพื้นเสียชีวิตแล้ว พ่อครัวพยานปากสำคัญระบุด้วยว่า ตอนประมาณ 5 โมงเย็น มีชายต้องสงสัย 2 คน นั่งรถ จยย.เข้ามานั่งอยู่ม้าหินหลังร้าน สอบถามว่า เป็นลานจอดรถของร้านอาหารเฮงหูฉลามหรือไม่ ตนไม่ได้เอะใจอะไร เข้าทำงานตามปกติ

ส่วนนางรัศมี สุธางค์กูร อายุ 52 ปี ภรรยาของนายสมยศ หลังเกิดเหตุได้ตกใจเป็นลมหมดสติ แพทย์ต้องปฐมพยาบาล เบื้องต้นยังไม่สามารถลำดับรายละเอียดถึงนาทีเลือดได้ ตำรวจสอบสวนพยานแวดล้อมเชื่อว่า คนร้ายน่าจะรู้ความเคลื่อนไหวของเหยื่อเป็นอย่างดี กล้องวงจรปิดจับภาพคนร้ายมาดักรอผู้ตายที่เก้าอี้ม้าหินจนผู้ตายกินอาหารกับเมียเสร็จแล้วออกมาให้ฝ่ายหญิงเป็นคนขับสตาร์ตเครื่อง ผู้ตายเปิดประตูเตรียมก้าวขึ้นรถ มือปืนจึงฉวยจังหวะเข้าไปจ่อยิงอย่างเลือดเย็นแล้วซ้อนท้ายรถ จยย.ของคู่หูหนีไป ปิดตำนานเจ้าพ่อวงการคาเฟ่ชื่อก้องของเมืองไทย ขณะที่ชนวนสั่งตายอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน เพราะผู้ตายเลิกกิจการคาเฟ่พระราม 9 ไปนานแล้วหลังหมดยุคเวทีตลกคาเฟ่ เช่นเดียวกับธุรกิจสถานบันเทิงริมถนนพระราม 3 ที่ปิดกิจการเช่นกัน เหลือเพียงสำนักงานทนายความที่ยังรับงานอยู่

สำหรับนายสมยศ สุธางค์กูร เคยประสบความสำเร็จสุดขีดเมื่อเปิดคาเฟ่เป็นเวทีแสดงตลกมากมายในวงการ ภายใต้ชื่อพระราม 9 คาเฟ่ แข่งกับบุญเลี้ยง อดุลยฤทธิกุล เจ้าของดาราคาเฟ่ และวิลล่าคาเฟ่ ย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กระทั่งเฮียเลี้ยงถูกยิงสิ้นชีพเมื่อปี 2541 สมยศตกเป็นข่าวพัวพันอยู่เบื้องหลังการสังหาร แต่ไม่มีหลักฐานสาวถึง และคาเฟ่ปิดกิจการ เหลือเพียงสมยศเป็นเจ้าพ่อคนเดียวที่เปิดคาเฟ่ตลกพระราม 9 ก่อนยุคตลกคาเฟ่ซบเซา สมยศหันไปลงเล่นการเมือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ลำดับที่ 33 อีกทั้งยังเคยนั่งเป็นนายกผู้ประกอบการสถานบันเทิงแห่งประเทศไทย ควบคู่กับเปิดสำนักงานทนายความและการบัญชี



ดาวศุกร์เคียงดาวพฤหัสบดี เผยภาพปรากฏการณ์สุดประทับใจ




         สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เผยภาพปรากฏการณ์ดาวศุกร์เคียงดาวพฤหัสบดี สวยงามสุดประทับใจ ก่อนที่ดาวเคราะห์ทั้ง 2 ดวงจะค่อย ๆ เคลื่อนออกห่างจากกันเรื่อย ๆ

         เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เผยแพร่ภาพดาวศุกร์เคียงดาวพฤหัสบดี เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดาวศุกร์เคียงชิดใกล้ดาวพฤหัสบดีมากที่สุดในรอบปี และหลังจากวันนี้ดาวเคราะห์ทั้งสองจะเคลื่อนห่างออกจากกันเรื่อย ๆ



         ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า การที่ดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดีโคจรเข้ามาใกล้กันในมุมมองของผู้สังเกตจากโลกนั้น ในทางดาราศาสตร์ถือเป็นเรื่องปกติ แต่บางครั้งดาวเคราะห์ทั้งสองโคจรมาใกล้กันในขณะที่ปรากฏอยู่ไม่ไกลจากดวงอาทิตย์มากนัก เราจึงสังเกตเห็นได้ยาก นอกจากนี้การที่ดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเคราะห์ที่สว่างมาก ๆ จึงสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน เมื่อปรากฏอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ระยะใกล้กันมาก ๆ เช่นนี้ ก็เป็นภาพสวยงามที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

         ดร.ศรัณย์ กล่าวต่อว่า สำหรับการจับตาดูการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ทั้ง 2 ดวงตลอดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นอกจากจะได้ชมภาพความสวยงามบนฟากฟ้าแล้ว ยังกลายเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนรู้สึกว่า การเรียนรู้ดาราศาสตร์จากปรากฏการณ์ใกล้ตัวได้อย่างสนุกสนาน และอยากเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของดาวเคราะห์ในแต่ละวันอีกด้วย









ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)

http://hilight.kapook.com/view/122694


ภัยแล้งสระบุรี น้ำแห้งคลองดินถล่ม ทำให้ถนนทรุดเป็นแนวยาว



วันที่ 5 กรกฏาคม  เกิดถนนทรุด บน ถนน สาย หนองแค-หนองเสือ ฝั่งซ้าย  กม.ที่ 16-17  เรียบคลองระพีพัฒน์  ต.หมู่ที่ 8  ต.หนองโรง  อ.หนองแค  จ.สระบุรี นายประกิต  หมีเปรม  นายก  อบต.หนองโรง  องหนองแค  จ.สระบุรี เผยว่า เริ่มเมื่อ เวลา ประมาณ 20.30 น.วันที่4 กรกฏาคม  ถนนบริเวณดังกล่าว เกิดแตกร้าวก่อน เจ้าหน้าที่เอาแผงเหล็กของ อบต.หนองโรงมาปิดกั้นห้ามมิให้รถวิ่งผ่าน ให้ไปวิ่งถนนฝั่งขวาแทน และ ถนนเริ่มทรุดลงเมื่อเวล่า 22.30 น. ถนนก็ค่อยๆ ทรุดลงเรื่อย จนเช้า เป็นทางยาว กว่า 200 เมตร เกือบ 300 เมตร เกือบหมดเลนถนนที่กว้างกว่า 4 เมตร










ช่วงที่ลึกสูงสุด มีความลึกกว่า 3 เมตร และแนวถนนยังแตกร้าว พร้อมที่จะทรุดลงอีกเรื่อยๆ  ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย โดยสาเหตุ มาจากถนนดังกล่าว อยู่ติดเรียบคลองระพีพัฒน์ เนื่องจาก เกิดภัยแล้ง ทำให้น้ำในคลองระพีพัฒน์ลดลง ไม่มีน้ำผดุงแผ่นดินหรือผดุงถนนไว้  เมื่อคลองน้ำแห้ง ทำให้ดินถล่มไหลลงคลอง ถนนก็ทรุดลงตาม และมีแนวโน้มว่า ถนนจะทรุดลงเรื่อยๆ




ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้