ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
ตามหาเจ้าของทิ้ง Apple I คอมพ์รุ่นแรกมูลค่า 6 ล้านในกองขยะ

                                                                                


                                                                                       
ตามหาเจ้าของทิ้ง Apple I คอมพ์รุ่นแรกมูลค่า 6 ล้านในกองขยะ
                                                เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวอันน่าตกตะลึง เมื่อคนงานจากคลีนเบย์แอเรีย บริษัทรีไซเคิลขยะในย่านซิลิคอนแวลลีย์ ทางตอนใต้ของอ่าวซานฟรานซิสโก้ ประเทศสหรัฐอเมริกา เจอคอมพิวเตอร์ "แอปเปิ้ล 1" ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกของแบรนด์แอปเปิ้ลซุกในกล่องที่ปนมากับกองขยะ โดยเจ้าของคือหญิงสาวนิรนามคนหนึ่งซึ่งต้องการเคลียร์ของเก่าๆ ออกจากโรงเก็บของที่บ้านให้หมดเนื่องจากสามีเสียไปแล้ว

คณะนี้ทางโรงรีไซเคิลก็กำลังตามหาตัวหญิงสาวคนดังกล่าวกันให้วุ่น เพราะคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ถือเป็นสมบัติหายากของชาติเลยก็ว่าได้ เนื่องจากมันเป็นบรรพบุรุษของคอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลอย่างที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยถูกผลิตเพียง 200 เครื่องมาตั้งแต่ปี 2519 แล้ว ด้วยการรังสรรค์ของสตีฟ จ็อบ สตีฟ วอซเนียก และรอน เวย์น และตอนนี้มีมูลค่าสูงถึง 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6 ล้านบาท) เลยทีเดียว

"เราแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย ทีแรกนึกว่าเป็นของเก๊ซะด้วยซ้ำ" วิคเตอร์ จีชัน รองประธานบริษัทคลีนเบย์ฯกล่าว ก่อนจะเผยว่า ทางบริษัทขายคอมพิวเตอร์ตัวนั้นให้นักสะสมคนหนึ่งไปแล้ว โดยมีการเจียดเงินที่ได้จากการขายออกมา 50% เพื่อเก็บไว้แบ่งให้กับหญิงสาวที่เป็นเจ้าของคนเดิมด้วย








สภาพ! 'อี้ หลง' จมูกหัก หลังจากดวลหมัดกับ 'บัวขาว'by supatsorn chantapan10 มิถุนายน 2558 เวลา 19:15 น.
7.5 K
SHARES

Facebook[url=]Twitter[/url]Google plus



เฟซบุ๊ก Banchamek Gymเผยภาพ 'อี้ หลง' หลังจากชกกับ 'บัวขาว' เมื่อ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยจมูกหักและหน้าอกโดนกระแทกกระดูกเดาะ
เฟซบุ๊ก Banchamek Gym เผยแพร่ภาพ 'อี้ หลง' กังฟูเส้าหลินจีน หลังจากชกกับ 'บัวขาว บัญชาเมฆ' ยอดนักชกขวัญใจชาวไทย ที่เมืองเจิ้นโจว ประเทศจีน เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อชิงเข็มขัด WLF World Champion นอกจากนี้เฟซบุ๊กดังกล่าวได้โพสต์ข้อความระบุว่า ความคืบหน้าหลวงพี่ล่าสุด จมูก หัก หมอสั่งห้ามโดนอะไร 100 วันและหน้าอกโดนกระแทกกระดูกเดาะอีก
สำหรับการชกในครั้งนี้ 'บัวขาว บัญชาเมฆ' เป็นฝ่ายชนะพร้อมกับคว้าเข็มขัด WLF World Champion มาครองได้สำเร็จ




ความคืบหน้าหลวงพี่ล่าสุด จมูก หัก หมอสั่งห้ามโดนอะไร 100 วันและหน้าอกโดนกระแทกกระดูกเดาะอีก









ดวงสมพงษ์ ก.สะเภาทอง ประกาศศักดาขอท้า บัวขาว ลั่นแค่มวยอุปโลกน์โซเชียลเดือด ดวงสมพงษ์ ก.สะเภาทอง นักมวยเมืองคอน ท้าต่อย บัวขาว บัญชาเมฆ แถมยังข่มสุดฤทธิ์ ด้านแฟนมวยชี้หากอยากท้าต้องท้าให้เป็นทางการ ไม่ใช่มาท้าตีท้าต่อยเหมือนอันธพาลแบบนี้
หลังจากที่นักมวยชื่อดังอย่าง บัวขาว บัญชาเมฆ ได้เปิดศึกตะบันหมัดกับมวยเส้าหลินอย่าง อี้ หลง จนได้รับชัยชนะกลับมา แถมยังทำให้ชาวไทยภูมิใจสุด ๆ ที่บัวขาว สามารถวาดลวดลายแม่ไม้มวยไทยได้อย่างสวยงามต่อหน้าคนดูเกือบล้านคน ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าได้ใจคนไทยไปเต็มร้อย

ล่าสุด (10 มิถุนายน 2558) ดูเหมือน "บัวขาว" จะงานเข้าเพราะมีคนมาท้าต่อยอีกแล้ว โดยทางเฟซบุ๊กเพจ Banchamek Gym ค่ายมวยของบัวขาว ได้โพสต์รูปภาพนักมวยชื่อ "ดวงสมพงษ์ ก.สะเภาทอง" ยืนถือถ้วยแชมป์มวย พร้อมกับระบุข้อความว่า ขอท้าต่อยกับ บัวขาว บัญชาเมฆ แถมยังข่มบัวขาวสุด ๆ โดยระบุว่า บัวขาวต่อยกับฝรั่งมานาน ต้องลืมเหลี่ยมมวยไทยเป็นแน่แท้ และยังบอกอีกว่า บัวขาวไม่มาหรอก เพราะบัวขาวเป็นมวยอุปโลกน์


งานนี้เหล่าแฟนมวยของบัวขาวที่ได้เห็นภาพดังกล่าวถึงกับปรี๊ดแตก บอกบัวขาวผ่านอะไรมาเยอะ ได้รางวัลมาอย่างภาคภูมิใจ แต่นักมวยคนนี้เป็นใครผ่านมาแค่สามเวที แต่มาท้าบัวขาวหวังใช้ทางลัดเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง อีกทั้งยังไม่ให้เกียรติเพื่อนร่วมอาชีพเรียกบัวขาวมวยอุปโลกน์ และถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งหากอยากชกจริง ๆ ก็ต้องทำให้เป็นทางการ ไม่ใช่มาท้าตีท้าต่อยเหมือนอันธพาลแบบนี้

เรียกความแต่ละคอมเม้นท์นี่เดือดสุด ๆ แต่ทางนักมวยรายดังกล่าว ก็ยังไม่ได้ออกมาตอบโต้หรือมีความคืบหน้าใด ๆ ส่วนทางค่ายบัญชาเมฆยิมก็ไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบแต่อย่างใด ยังไงก็คงต้องรอติดตามว่าจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวหรือไม่
เครดิต...ภาพจาก เฟซบุ๊ก BanchamekGym

morntanti ตอบกลับเมื่อ 2015-6-11 06:56
ดวงสมพงษ์ ก.สะเภาทอง ประกาศศักดาขอท้า บัวขาว ลั่นแค่ ...

สร้างความดังง่ายจัง

น่าจะไปชกเอาแชมป์เควันก่อนดีกว่าไหม

แล้วค่อยมาเที่ยวไล่ท้าคนอื่นเขา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2015-6-11 13:14



เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจจบ


: ขยายปมร้อน โดยอรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ สำนักข่าวเนชั่น



               หลังจากเป็นข่าวมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ สำหรับประเด็นที่มีคนออกมาเรียกร้องให้มีการ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งอย่างน้อยสองปี" และมีอีกนัยหนึ่งคือรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วยนั้น ก็ทำท่าจะจบลงเมื่อตัวท่านผู้นำประเทศออกมาคล้ายกับสยบกระแสด้วยตนเอง โดยพูดในระหว่างตอบคำถามนักข่าวถึงเรื่องการล่าชื่อเพื่อทำประชามติให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งว่า
                       
                       ล่า ล่ามาทำอะไร ผมไม่สนใจ เป็นเรื่องของโรดแม็พ จบ เลิกถามเรื่องนี้กับผม”

               เรียกได้ว่าเหยียบเบรกกันหัวทิ่มทีเดียว เพราะเรื่องนี้เริ่มถูกจุดกระแสจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คือกลุ่มที่ประสานเป็นหนึ่งเดียวกับ กปปส. ที่เคยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งมาแล้ว
              
                       จากนั้น “พล.อ.ประยุทธ์” เองก็พูดในทำนองที่ไม่ปิดทางและบอกว่าหากอยากให้อยู่ต่อก็ “ไปหาทางมา” แถมยังต้องหาทางปกป้องตัวเขาทั้งจากภายในและภายนอกประเทศด้วย
              
                       ทันใดนั้นเองลำคลองเล็กๆ ในแม่น้ำสายหลัก ก็รีบเสนอหนทางออกมา ไม่ว่าจะเป็นการล่าชื่อขอทำประชามติว่าจะให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือไม่ และบางคนก็เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 เพื่อทำประชามติ บางคนก็เสนอให้เพิ่มเติมในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อทำประชามติ ขณะที่อีกบางคนก็เสนอให้เขียนในร่างรัฐธรรมนูญให้ชัดเรื่องระยะเวลาว่ารัฐธรรมนูญจะมีผลบังคับใช้หลังจากผ่านความเห็นชอบไปสองปี และบางความเห็นก็เสนอให้เขียนในร่างรัฐธรรมนูญว่าต้องเขียนกฎหมายใหม่ในระยะเวลาเท่าไหร่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป รวมทั้งบางส่วนก็สนับสนุนผ่านทางโพลล์

               แต่สุดท้าย “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ตัดสินใจดับกระแสเรื่องนี้ไป พร้อมกับเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีแบบไม่เป็นทางการ และต่อมามีการเปิดเผยว่าเป็นการเตรียมการเพื่อส่งมอบงานต่อให้รัฐบาลต่อไป

               ซึ่งเรื่องนี้ต้องชม “พล.อ.ประยุทธ์” อยู่ไม่น้อยที่ตัดสินใจเรื่องดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที เพราะท่ามกลางกระแสเรียกร้องจากคนรอบตัว เขายังพอมองเห็นมุมต่าง ซึ่งอาจจะเป็นผลเสียซึ่งคนใกล้ชิดเขาอาจจะไม่ได้นำเสนอ
               
                       มุมแรกถ้าจับได้ตั้งแต่แรกสิ่งที่ “พล.อ.ประยุทธ์” กังวล คือเสียงต่อต้านจากภายนอกประเทศ ถึงขนาดที่บอกว่าถ้าจะให้อยู่ต้องหาทางปกป้องเขาจากต่างประเทศด้วย เพราะนี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร หากเขาอยู่ต่อต่างชาติจะไม่ยอมรับเขามากยิ่งขึ้นไปอีก จากวันนี้ที่เรื่องความสัมพันธ์กับต่างชาติอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก หากเป็นเช่นนั้นจริงการเจรจากับชาติตะวันตกในหลายๆ อย่างจะยุติลง สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้วจะยิ่งทรุดหนักลงไปอีก เพราะในวันนี้ต่างชาติยังคงรักษาระดับความสัมพันธ์ ไม่ให้แย่ลงไปเพราะยังรอดูว่ารัฐบาลจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งตามโรดแม็พหรือไม่

               นอกจากเรื่องต่างชาติแล้ว เขาก็คงรู้ด้วยว่านอกจากเสียงเชียร์แล้วยังมีแรงต้านที่แฝงตัวอยู่ทุกที่ วันนี้ที่กลุ่มต่างๆ ยังคงสงบนิ่งเพราะยังคงเชื่อในคำมั่นสัญญาว่าเขาจะคืนอำนาจเหมือนกับเพลงที่บอกว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน”

               แต่หากเขาเปลี่ยนแปลงโรดแม็พออกไป แรงต้านที่เคยสงบนิ่งอาจไม่สงบนิ่งอีกต่อไป ประวัติศาสตร์ก็เคยมีให้เห็นสมัย “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” เมื่อเลือกที่จะก้าวเข้าสู่อำนาจและสร้างวาทกรรม “เสียสัตย์เพื่อชาติ” ครั้งนั้นเองก็เป็นชนวนที่ทำให้คนออกมาต่อต้านและนำมาสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในที่สุด

               ส่วนเรื่องที่มีเสียงสนับสนุน โดยที่ไม่มีเสียงค้านนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนที่เห็นต่างก็เลือกที่จะเงียบและไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา ทำให้ดูเหมือนเสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงในมุมสนับสนุนทั้งหมด ซึ่งค่อนข้างขัดกับความเป็นจริงไม่น้อย

               และที่สำคัญเหล่าบรรดาคนที่มีบทบาทออกมาสนับสนุนนั้นก็เป็นคนที่ถูกตั้งคำถามได้แทบจะทั้งสิ้น เช่นคนที่ออกมาโดยมากเป็นคนที่มาจาก กปปส. ซึ่งเคยขัดขวางการเลือกตั้ง นอกจากนี้หลายคนยังเป็น สปช.ซึ่งหากรัฐบาลนี้ได้อยู่ในอำนาจต่อไป แน่นอนว่าพวกเขาก็มีสิทธิที่จะมีตำแหน่งแห่งหนในการทำงานต่อไปด้วย
               
                       จนถึงขนาดที่มองได้ว่า หาก “พล.อ.ประยุทธ์” อยู่ต่อ คนเกล่านี้ก็จะมีผลพลอยได้ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นเสียงสนับสนุนที่กึกก้อง พร้อมๆ กับการหาถนนเพื่อให้รัฐบาลได้อยู่ต่อภายใต้วาทกรรม “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”

               การที่จะอยู่หรือไปจากอำนาจได้อย่างสวยงาม มิใช่เกิดจากการฟังเสียงเยินยอที่หอมหวานจากคนที่มีผลประโยชน์เท่านั้น เพราะคนเหล่านี้มักจะไม่บอกผลเสีย หากแต่ต้องฟังเสียงเห็นต่างแม้จะไม่เสนาะหู แต่ก็เป็นประโยชน์หากเลือกนำมาใช้

http://www.komchadluek.net/detail/20150610/207732.html


สั่งฝนตกห้ามรถติดเกิน 1 ชม. ตกกลางคืน ตี 5 น้ำต้องแห้ง ไม่แห้งปิดถนน




          พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย สั่ง กทม. ฝนตกกลางวันรถต้องไม่ติดเกิน 1 ชั่วโมง แต่หากฝนตกกลางคืน น้ำต้องแห้งก่อนเวลา 05.00 น. ถ้าไม่แห้งปิดถนน เพื่อเร่งระบายน้ำทันที

          เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2558 พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงผลหารือแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ตนได้ฝากให้ทางกรุงเทพฯ เร่งแก้ไขปัญหาในเรื่องต่อไปนี้

          1. ปัญหาขยะ

          2. หากฝนตกจนเกิดปัญหาน้ำท่วมขังบนผิวจราจร จะต้องจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการแก้ปัญหาระบายรถตามจุดสำคัญ 300 แยก เพื่อให้การจราจรเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว และในพื้นที่วิกฤตจะต้องจัดกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเข้าช่วยเหลือ

          3. หากเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย จะมีการประสานสถาบันอาชีวศึกษา จัดชุดเคลื่อนที่เข้าช่วยเหลือ


          โดยตนได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า หากเกิดฝนตกหนักเหมือนวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ประชาชนต้องไม่ประสบปัญหาการจราจรติดขัดบนท้องถนนเกิน 1 ชั่วโมง

          สำหรับปัญหาขยะนั้นการบังคับใช้กฎหมายจับกุมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้วิธีการสร้างวัฒนธรรม ปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนไม่ทิ้งขยะลงในพื้นที่สาธารณะอย่างที่ผ่านมา


          พล.อ. อนุพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับระบบป้องกันน้ำท่วมของกรุงเทพฯ พบว่ายังมีบางส่วนไม่สมบูรณ์ อาทิ เขื่อนป้องกันน้ำท่วม พื้นที่รับน้ำที่ไม่เพียงพอ รวมถึงท่อระบายน้ำที่มีขนาดเล็ก จึงทำให้อุโมงค์ระบายน้ำทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งทางกรุงเทพฯ ได้เตรียมแผนพัฒนาระบบต่าง ๆ ไว้แล้ว

          นอกจากนี้ จะมีการประสานข้อมูลกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพื่อวางแผนจัดกำลังเจ้าหน้าที่แก้ปัญหาในจุดอ่อนน้ำท่วม ที่มีปัญหาน้ำท่วมขังบ่อย ทั้งนี้หากฝนตกในช่วงเวลากลางคืน น้ำจะต้องแห้งก่อนเวลา 05.00 น. แต่หากพื้นที่ใดน้ำไม่แห้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการปิดถนนดังกล่าวเพื่อเร่งระบายน้ำ พร้อมแจ้งประชาชนให้หลีกเลี่ยงเส้นทาง และจะมีการประสานเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อจัดรถยกสูงมาคอยรับส่งประชาชน

          พร้อมกันนี้ พล.อ. อนุพงษ์ ได้ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นการทำงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เพราะเคยทำงานร่วมกันมา ส่วนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตนไม่อยากให้สังคมไปโทษคนคนเดียว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหา




อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก


ที่มา http://hilight.kapook.com/view/121719

"ชาวสุรินทร์" แห่นางแมวขอฝนหลังประสบปัญหาแล้งหนักข้าวแห้งตาย

                                                                                                                                                
                                
                                
ชาวอำเภอท่าตูม ทำพิธีแห่นางแมวขอฝน ทนแล้งไม่ไหวต้นข้าวเหี่ยวแห้งตาย ขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่องในหลายอำเภอ หวังพึ่งไสยศาสตร์ตามความเชื่อแต่โบราณ




วันนี้(11มิ.ย.58)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า   ที่ทุ่งนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้านหลังสหกรณ์ปฎิรูปที่ดินท่าตูม 1 บ้านหนองฮะ ตำบลทุ่งลา อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ชาวบ้านจากบ้านโคกสะอาด ต.บะ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ได้เดินทางมาประกอบพิธีแห่นางแมวขอฝน ตามความเชื่อของชาวบ้านมาแต่โบราณว่าหากฝนไม่ตกแห้งแล้งเป็นเวลานาน ทางไสยศาสตร์ช่วยได้คือการแห่นางแมวขอฝน


ชาวบ้านโคกสะอาด ได้นำแมวสีน้ำตาล ชื่อเจ้าน้ำหวาน อายุ 2 ปีเศษๆ นำมาใส่เข่ง สอดคานหาม มีพวงมาลัยวางบนเข่ง ผู้เข้าร่วมพิธีมีทั้งชายและหญิง แต่กายสวยงาม ด้วยผ้าไหมมัดหมี่เมืองสุรินทร์ ดนตรีมีกลอง มีแคนเป่า และขันน้ำปะพรหมไปที่ตัวแมวขณะที่ทำการแห่ก่อนเดินแห่ไปตามทุ่งนา ได้ประกอบพิธีขอฝนตามความเชื่อของชาวบ้าน บอกกล่าวนางแมวในเข่ง ให้ช่วยเรียกฝนมาตกลงตามท้องทุ่งนา ที่ต้นข้างกำลังขาดน้ำเหี่ยวแห้งใกล้ตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งใช้เวลาในการแห่นางแมวสามรอบ เป็นวงกลม ตามบริเวณแปลง ซึ่งหลังจากนี้ไปในสามวัน หรือเจ็ดวัน ชาวบ้านเชื่อว่าฝนจะตกลงมาแน่นอน


ขณะที่ตามแปลงนาทั่วไปในพื้นที่ตำบลโพนครก และตำบลทุ่งกุลา อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ พบว่านาข้าวแห้งแล้งต้นข้าวยืนแห้งตายเพราะขาดน้ำ ไม่มีฝนตกลงมาเป็นเวลากว่า 1 เดือน ขณะที่พื้นที่ทั่วไปทั้งจังหวัดสุรินทร์ 17 อำเภอ กำลังประสบปัญหาภัยแล้งยาวนานต่อเนื่องต้นข้าวกำลังเหี่ยวแล้งตายเช่นกัน

ที่มา http://social.tnews.co.th/content/147012/


เตรียมปรับเวลาประเทศไทยช้าลง 1 วินาที ดีเดย์ 1 ก.ค.58                                                        
                                                                                                                                                                                                                                                                                             

เตรียมตัว! กรมอุทกศาสตร์ ประกาศปรับเวลาในไทยช้าลง 1 วินาที เริ่ม 1 ก.ค.นี้ หวังให้สอดคล้องกับการปรับเวลาตามมาตรฐานสากล

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ได้ออกประกาศเปลี่ยนแปลงเวลามาตรฐานประเทศไทย ด้วยเช่นกัน โดยจะทำการเปลี่ยนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 จากเวลา 07 นาฬิกา 00 นาที 01 วินาที เป็นเวลา 07 นาฬิกา 00 นาที 00 วินาที เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเวลาตามมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ พล.ร.ต.จรินทร์ บุญเหมาะ รองเจ้ากรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ เผยว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นการปรับแต่งเวลาเพื่อให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติ เนื่องจากหน่วยงานติดตามระบบการหมุนของโลก ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ พบว่าโลกมีการหมุนช้าลง และไทยปรับล่าสุดไปเมื่อประมาณ 2-3 ปี ครั้งละประมาณ 1 วินาที โดยเวลาที่ไทยใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นเวลาที่มีการเชื่อมโยงไปทั่วโลก และเข็มวินาทีจะต้องเดินตรงกัน ซึ่งทั่วโลกมีการปรับเปลี่ยนเวลา 10 กว่าครั้งแล้ว ถ้าเทียบเป็นบัญญัติไตรยางศ์ง่ายๆ ใน 3600 ปี เวลาจะมีการเคลื่อนไปเรื่อยๆ ถ้าหาก 100 ปีปรับครั้งหนึ่ง เวลาจะเคลื่อนไปประมาณ 1 ชม. ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีปรับทีละเล็กละน้อย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้เวลาใกล้เคียงกับธรรมชาติ ซึ่งดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6 นาฬิกา ตกประมาณ 18 นาฬิกา

เรียบเรียงข้อมูลโดย Ch7 News Online


        

ที่มา http://news.ch7.com/detail/127693/t.html




"เมอร์ส" มาแล้วเข้าไทย รู้ทัน-เสี่ยงตายแค่ไหน?                                                            
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.thairath.co.th/infographic/231-MERSVirus


                                                            แม้ในประเทศไทยกระทรวงสาธารณสุข หรือ สธ. ยืนยัน ยังไม่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ 2012 หรือ กลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ยืนยันพบผู้ป่วยรายแรกในประเทศไทยเป็นชาวต่างชาติ และมีบุคคลเข้าข่ายเฝ้าระวังอีกจำนวนหนึ่ง

ดังนั้น เพื่อให้รู้เท่าทันและรู้วิธีป้องกันโรคนี้ ที่ยังไม่มียารักษาโดยตรง และอันตรายถึงชีวิต "ไทยรัฐออนไลน์" ขอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโรคร้ายแรงนี้ ทั้งข้อควรรู้ทั่วไป อาการผู้ป่วย และการป้องกัน ซึ่งหวังว่า จะเป็นประโยชน์ต่อไป.                                                                        
                                                            

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้