ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]

ออก พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน สร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง



ออก พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน สร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองby Wiroon Pleejun5 ตุลาคม 2558 เวลา 20:51 น.
1.4 K
SHARES

Facebook[url=]Twitter[/url]Google plus



ออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืน-กำหนดเขตที่ดิน ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ในท้องที่เขตจตุจักร เขตห้วยขวาง เขตวังทองหลาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอําเภอบางพลีอําเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

(5 ต.ค.58) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตจตุจักร เขตห้วยขวาง เขตวังทองหลาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวงเขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอําเภอบางพลี อําเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2558 และพระราชกฤษฎีกา กําหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดําเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่เขตจตุจักร เขตห้วยขวาง เขตวังทองหลาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอําเภอบางพลี อําเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2558 รวม 2 ฉบับ
โดยเหตุผลของการออกพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ระบุว่า เนื่องจากมีความจําเป็นต้องดําเนินกิจการรถไฟฟ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถสําหรับผู้โดยสารและกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้าตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง ในท้องที่เขตจตุจักร เขตห้วยขวาง เขตวังทองหลาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอําเภอบางพลีอําเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่ออํานวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค สมควรกําหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ ที่จะเวนคืนในท้องที่ดังกล่าว เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทําการสํารวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอนจึงจําเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
อ่านรายละเอียดเพิ่มที่ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา
เครดิต ภาพ เรื่อง เวป Voice TV 21


คนกรุงเทพฯ เตรียมจ่ายภาษีน้ำมันท้องถิ่น 15 ต.ค.นี้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย morntanti เมื่อ 2015-10-6 08:55

คนกรุงเทพฯ เตรียมจ่ายภาษีน้ำมันท้องถิ่น
ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมนี้  ผู้ใช้น้ำมันในกรุงเทพมหานคร จะต้องจ่ายภาษีท้องถิ่นในส่วนของน้ำมันและก๊าซ เพิ่มขึ้น 5 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งเป็นไปตามกฏหมายหากใครก่อมลพิษต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น        
กรณีที่กรุงเทพมหานคร หรือ กทม.  เตรียมเรียกเก็บภาษีบำรุงท้องถิ่น ซึ่งเก็บจากผู้ใช้น้ำมัน 5 สตางค์ต่อลิตร ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้   นายวิฑูรย์  กุลเจริญวิรัตน์  อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน  กล่าวว่า  เป็นไปตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540  และ พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจฯ  พ.ศ. 2542  ที่ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด และ กทม. สามารถออกข้อบัญญัติจัดเก็บภาษีจากสถานค้าปลีกน้ำมันและยาสูบ  ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2555 โดยจัดเก็บภาษีไม่เกิน 10 สตางค์ รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเก็บประมาณ 5 สตางค์ต่อลิตร   
โดยในต่างจังหวัด ยกเว้นพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดเก็บภาษีดังกล่าวแล้ว  ซึ่งผู้ใช้พลังงานจะต้องรับผิดชอบภาษีส่วนนี้ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของกฎหมาย คือ ใครก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่ายเงินเพิ่ม
ด้านผู้ประกอบธุรกิจน้ำมัน ยอมรับว่าภาษีที่เรียกเก็บมีผลให้ราคาหน้าปั๊มเพิ่มขึ้น และอาจมีผลต่อยอดขาย
ขณะที่ผู้ใช้น้ำมัน ยินดีให้ความร่วมมือในการเสียภาษี แต่อยากเห็นแผนการพัฒนากรุงเทพฯ ที่ชัดเจนของ กทม. เช่น การแก้ปัญหาน้ำท่วม หรือ ปัญหารถติด เพราะไม่อยากเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
ทั้งนี้ การเก็บภาษีบำรุงท้องถิ่นจากน้ำมันเบนซิน ดีเซล และก๊าซปิโตรเลียมจากสถานีบริการน้ำมัน จะทำให้ กทม. มีรายได้เพิ่มขึ้น 500 ล้านบาทต่อปี  ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (6 ต.ค.) กทม. จะเชิญผู้ประกอบการมาหารือ เพื่อขอให้รับภาระแทนประชาชน
เครดิต ภาพ เรื่อง เวป Voice TV 21



15 ต.ค.นี้





เมืองไทย 25 น.

ทวี มีเงิน


ดราม่า"ฟองเบียร์"แสนล้าน

   ปรากฏการณ์ "ดราม่า" ในธุรกิจน้ำเมา เป็นประเด็น ขึ้นมาเมื่อ "เฟซบุ๊กชื่อ" Todd Piti ของ "ปิติ ภิรมย์ภักดี" บิ๊กบอสค่าย "เบียร์สิงห์" ออกมาตำหนิกรณีที่ "โดม ปกรณ์ ลัม" โพสต์ภาพกำลังริน "เบียร์ช้างโฉมใหม่" ผ่านไอจีพร้อมกับคำสั้นๆ ว่า "Let the party begin" น่าสังเกตตรงที่ ลักษณะการรินเบียร์จับที่ก้นขวดเหมือนจงใจจะสื่อให้เห็นยี่ห้อสินค้าชัดเจน


   กรณีนี้เป็นการชิงไหวชิงพริบในธุรกิจฟองเบียร์ที่มี เดิมพันสูงถึง 1.3 แสนล้าน จึงต้องรีบเตะสกัดชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันก่อนถูกคู่แข่ง "ตีกิน" ไปมากกว่านี้ ซึ่งไม่เฉพาะกรณี "โดม" แต่มีดาราชาย หญิง มีพฤติกรรมคล้ายๆ กันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุอีก 30 รายซึ่งแต่ละคนอ้างว่าไม่ได้จ้างแค่ช่วยเพื่อน และไม่ใช่เฉพาะเบียร์ช้างเท่านั้น แต่สินค้าน้ำเมาทุกยี่ห้อ ต่างใช้วิธีโฆษณาผ่านไอจีเหมือนๆ กัน


   อันที่จริง การโฆษณาสินค้าผ่านไอจีส่วนตัวดารามีมานานแล้ว กำลังเป็นที่นิยมของเจ้าของสินค้า ดารา เซเลบที่รับโฆษณาผ่านไอจีส่วนตัว ทำรายได้ เป็นกอบเป็นกำ จะว่าไปแล้วโฆษณาวิธีนี้ทั้งคนจ้างและคนรับจ้าง วิน-วินทั้งคู่ ซึ่งดาราจะมีแฟนคลับคอยติดตามทุกอิริยาบถชนิดตาไม่กะพริบ อย่าง "โดม ปกรณ์ ลัม" มีผู้ติดตามถึง 1.4 ล้านคน เรียกว่าสินค้าต้องผ่านสายตานับล้านคู่ เจ้าของสินค้าถือว่า คุ้มมากๆ


   แต่ที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเพราะงานนี้โฆษณาเครื่องดื่ม "น้ำเมา" ซึ่งกฎหมายห้ามโฆษณาในสื่อทีวี สิ่งพิมพ์และบิลบอร์ด ทำให้มีการตั้งข้อสงสัยว่ากรณีนี้ "เลี่ยงบาลี" ด้วยการใช้โฆษณาผ่านไอจี หรือเฟซบุ๊กแทนหรือไม่


   คงต้องตีความกันว่าขัดกับแนวทางปฏิบัติของ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ห้ามไม่ให้ ดารา นักร้อง นักกีฬา ผู้มีชื่อเสียงในสังคม หรือเด็กต่ำกว่าอายุ 20 ปี โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือไม่


   เชื่อว่าในที่สุดผลออกมาแบบไทยๆ คือ จะหยวนๆ กันไป


   แต่ถ้าเรื่องนี้ เป็นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างบริษัทเบียร์ กับดาราจริง ในแง่ของจิตสำนึก ถือว่าไม่เหมาะสมใครๆ ก็รู้ว่า ดารา นักร้อง คนดังมีอิทธิพลกับเด็กและเยาวชนให้เกิดพฤติกรรมเอาอย่างได้


   อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ปรากฏออกมา ในเชิงจรรยาบรรณถือว่าเป็นภาพลบกับสินค้า แต่อีกด้านหนึ่ง ไม่ว่าข่าวที่ปรากฏออกมาจะลบหรือบวกก็ตาม แต่ผู้บริโภคก็ได้รับรู้และจดจำภาพของสินค้าไปเรียบร้อยแล้ว ...คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

ที่มา....http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1444752242
เมียอุ้มลูกโร่พึ่งศาล ผัวขอเลิก หลังถูกหวย30ล.
ขอแยกทางกัน ผ่านเอสเอ็มเอส สาวเรียก10ล้าน




เป็นค่า-เลี้ยงดู หนุ่มรปภ.ดวงดี แจงวุ่นไม่ได้หนี

เมียอุ้มลูก 8 เดือนฟ้องศาลเรียกค่าเลี้ยงดู หลังสามีถูกหวย 30 ล้านแล้วชิ่งหนี เผยเป็นรปภ.ที่ดวงเฮงถูกรางวัลงวด 16 ก.ย. แต่พอรับเงินแล้วก็ให้เมียกลับไปเลี้ยงลูกที่อุดรฯ รับปากเป็นมั่นเหมาะจะซื้อ ที่ทำรีสอร์ตให้บริหาร แต่สุดท้ายก็ปิดโทรศัพท์ ติดต่อไม่ได้ แต่ส่งข้อความทางมือถือ ระบุขอแยกทาง แล้วจะกลับไปเคลียร์หลังออกพรรษา เผยชีวิตสุดช้ำ พบรักกัน ที่อุดรฯ ก่อนที่พี่สาวฝ่ายหญิงจะฝากงานให้ทั้งคู่ แถมตอนที่ซื้อสลากก็ยืมเงินไปซื้อ โดยที่ผ่านมาโอนเงินให้ 3 ครั้งรวม 1.2 ล้าน จึงจำเป็นต้องออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม


จากกรณีนาย ยงยุทธ หรือธรรมรงค์ แก้วสวนจิก อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 114 ม.14 บ้านหนองบ่อ ต.หนองบ่อ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี รปภ.และหัวหน้าคนงานโรงงานผลิตเสื้อยี่ห้อหนึ่งในกรุงเทพฯ พร้อมด้วยภรรยา ชื่อ น.ส.เสาวณี ทองวิเศษ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88 ม.10 ต.เชียงแหว อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี พนักงานโรงงานผลิตปลั๊กไฟฟ้า ในกรุงเทพฯ เช่นกัน ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 งวดวันที่ 16 ก.ย. 2558 หมายเลข 743148 รวม 5 คู่ ได้เงินรางวัลรวม 30 ล้านบาทจนเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วประเทศมาก่อนหน้านี้


ความ คืบหน้า เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดอุดรธานี ถ.ทหาร ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี น.ส.เสาวณี ทองวิเศษ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88 ม.10 ต.เชียงแหว อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี อุ้มลูกชายวัย 8 เดือน พร้อมด้วยนางบุญมา ทองวิเศษ อายุ 58 ปี แม่ น.ส.อุไรพร เข็มตูม อายุ 36 ปี พี่สาว เข้ายื่นฟ้องรับรองบุตร เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นเงิน 10 ล้านบาท กรณีนายยงยุทธ สามี ทอดทิ้ง โดยมีนายธีระพล โภชนุกูล ทนายความ และร.ต.ท.อุดมโชค สิงหกุลศิริ ผู้ช่วยทนายความ ผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้อง เข้ายื่นคำร้อง โดยศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุดรธานี รับคำฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ 339/2558


โดยน.ส.เสาวณีกล่าวว่า เมื่อประมาณ 2 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ตนทำงานอยู่ในหมู่บ้าน และรู้จักกับนายยงยุทธ ซึ่งเป็นคนต่างอำเภอมาเก็บเงินค่าเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าในหมู่บ้าน จนเกิดชอบพอกัน ต่อมา น.ส.อุไรพร พี่สาวของตน ซึ่งทำงานอยู่ในโรงงานที่กรุงเทพฯ ชักชวนไปทำงานด้วยกัน และฝากงานให้นายยงยุทธเข้าทำงานที่โรงงานผลิตเสื้อผ้า จนเมื่อเดือนก.พ.57 ตนกับนายยงยุทธได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และมีบุตรด้วยกัน กระทั่งต้นปี 2558 ตนลาพัก กลับมาอยู่ที่บ้านแม่ เพื่อเตรียมตัวคลอดบุตร


น.ส.เสาวณีกล่าวต่ออีกว่า วันที่ 1 ก.พ. 58 ตนคลอดบุตรที่โรงพยาบาลกุมภวาปี ได้ลูกชาย สามีได้บอกให้ตนเลี้ยงดูลูกอยู่ที่บ้าน ซึ่งตนก็ทำตาม เลี้ยงดูลูก จนลูกหย่านมเป็นเวลานานถึง 6 เดือน จึงกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง ก่อนวันหวยออกนายยงยุทธ สามี ขอเงินตนไป 400 บาท เพื่อเอาไปซื้อลอตเตอรี่ จนถูกรางวัลที่ 1 เป็นเงิน 30 ล้านบาท ตนและนายยงยุทธ ก็เดินทางไปที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อขึ้นเงิน โดยนายยงยุทธได้เอาเงินทั้งหมด 30 ล้านบาทเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชีนายยงยุทธ จากนั้นก็บอกให้ตนกลับมาบ้าน


น.ส.เสาว ณีกล่าวอีกว่า นายยงยุทธบอกให้ตนกลับมาบ้านเลี้ยงลูก และให้หาทำเลจะซื้อที่ดินสร้างบ้าน และสร้างรีสอร์ตติดกับทะเลบัวแดงให้ตนกับลูก เพื่อเป็นรายได้ ซึ่งตนก็ทำตาม ไปจับจองมัดจำซื้อที่ดินเอาไว้ จากนั้นอีกไม่นาน นายยงยุทธโอนเงินมาให้ตนจำนวน 5 แสนบาท โอนเงินให้แม่ของตนอีก 5 แสนบาท และโอนให้ลูกชายอีก 2 แสนบาท จากนั้นก็ไม่ยอมติดต่อมาอีกเลย และบ่ายเบี่ยงบอกว่าไม่ว่าง บางครั้งปิดโทรศัพท์หนี และมีข้อความมาบอกว่า "แยกกันอยู่ซะ ออกพรรษา จะไปเคลียร์" และพร้อมต่อว่าหาว่าตนมีชู้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้ตนเสียหายและต้องการความเป็นธรรม ตนกับลูกจะได้รับเงินเพียงเท่านี้หรือ ได้เงิน 30 ล้านบาท แบ่งให้ 1.2 ล้านบาท มันยุติธรรมแล้วหรือ


ต่อมาในช่วงค่ำ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 114 ม.14 บ้านหนองบ่อ ต.หนอง หาน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เพื่อไปขอทราบข้อเท็จจริงจากนายยงยุทธ สามีของน.ส.เสาวณี เมื่อถึงบ้านดังกล่าวญาติๆ แจ้งว่า นายยงยุทธ แก้วสวนจิก ไปปรับปรุงที่ดิน 40 ไร่ ที่เพิ่งซื้อมาในราคากว่า 5 ล้านบาท บริเวณท้ายหมู่บ้านเพื่อเตรียมสร้างเป็นที่พักรีสอร์ต และโฮมสเตย์ และพบตัวนายยงยุทธ กำลังขับรถไถปรับหน้าดิน


โดยนายยงยุทธ กล่าวว่า ตนเป็นคนติดดิน ทำไร่ทำสวนมาตั้งแต่เกิด อยู่ดูแลพ่อแม่จนแก่เฒ่า พ่อตายแม่ก็ตายไปหลายปีแล้ว สำหรับแม่ตนดูแลท่านจนวาระสุดท้ายเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านรู้จักตนดีในฐานะลูกกตัญญู จากนั้นตนก็ไปทำงานเป็นเด็กปั๊มน้ำมันที่ อ.หนองหาน และไปทำงานเก็บเงินค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า จนได้รู้จักกับ น.ส. เสาวณี และไปทำงานกรุงเทพฯด้วยกัน จนอยู่กินกันฉันสามีภรรยา เมื่อภรรยาตั้งท้อง ก็ให้มาคลอดลูกที่บ้าน และเพิ่งจะกลับไปอยู่ด้วยกันแค่เดือนเดียว ก็มาถูกลอตเตอรี่ 30 ล้านบาท จึงให้ภรรยากลับมาอยู่บ้านดูแลลูก ส่วนตนจะสร้างบ้านและสร้างฐานะให้ครอบครัวและลูกชายคนเดียว แต่มามีเรื่องเมื่อภรรยาไม่เข้าใจ หาว่าตนไม่แบ่งเงินให้คนละครึ่ง


นาย ยงยุทธกล่าวต่ออีกว่า ตนไปหาลูกบอกว่าพ่อฝากเงินไว้ให้ลูกกับกรุงไทย แอ็กซ่า ปีละ 5 แสนบาท ครบ 6 ปี จะเป็นเงิน 3 ล้านบาท เมื่อครบ 10 ปี ลูกชายของตนจะได้เงิน ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยคนอื่นถอนไม่ได้


ส่วน เงินที่เหลือที่ตนให้ภรรยา แม่ยาย และค่านมลูกชายรวม 1.2 ล้านบาท ที่เหลือ ก็เอาไปใช้หนี้ให้ญาติๆ และซื้อรถกระบะ โตโยต้า 1 คัน ราคา 9 แสนกว่าบาท เพื่อเอามาใช้งาน ซื้อรถไถคูโบต้า 1 คัน ซื้อที่ดินจำนวนรวมแล้วเกือบ 40 ไร่ ในราคากว่า 5 ล้านบาท โดยเป็นที่ดินที่พ่อของตนเคยเช่าทำกินมาก่อนในอดีตอยู่ท้ายหมู่บ้าน ตอนนี้ตนเหลือเงินประมาณ 20 ล้าน ก็ฝากไว้กับธนาคารแบบฝากประจำ 8 เดือนเพื่อกินดอกเบี้ย โดยทางธนาคารบอกว่าจะได้ดอกเบี้ยประมาณเดือนละหมื่นกว่าบาท เพื่อป้องกันการใช้เงินฟุ่มเฟือย กลัวว่าเงินจะหมดก่อน


ตน อยากจะบอกว่า ที่ทำแบบนี้เพราะสงสารลูก ตนต้องการสร้างบ้านให้เสร็จ เพื่อลูกเมียจะได้มาอยู่ด้วยกันไม่ได้หนีไปไหน ส่วนที่ดินที่ภรรยาจะไปซื้อที่ใกล้ทะเลบัวแดงเพื่อทำรีสอร์ตนั้นมันแพงเกิน ไป ตนจึงตัดสินใจมาซื้อที่ตรงนี้ใกล้บ้านของตน ตนจะสร้างเป็นรีสอร์ตและโฮมสเตย์เอาไว้ให้ลูกและภรรยาของตน แต่ยอมรับว่าเสียใจมากที่ภรรยาไปฟ้องร้อง ทำให้ตนเสียหาย ใครๆ จะเข้าใจผิดหาว่าตนทิ้งลูกเมีย มีอะไรก็มาคุยกัน อย่าฟังคนรอบข้างให้มากนัก ใครสงสัยให้มาถามตนได้ ตนมีหลักฐานทุกอย่าง จากนี้หลังจากออกพรรษาก็จะไปง้อภรรยาด้วยตัวเอง

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1444790319
′ตู่′ ถาม ′บิ๊กตู่′ ไม่สนใจรื้อคดีเก่า
′ปรส.-โรงพัก′ที่รบ.เสียหาย มาตรวจสอบบ้างหรือ?

เมื่อวันที่18 ตุลาคม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทูปว่า ทำไมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ไม่สนใจให้รื้อคดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) และโครงการก่อสร้างโรงพักทั้ง 396 แห่งทั่วประเทศมาตรวจสอบ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการทุจริตครั้งมโหฬารของประเทศไทย โครงการปรส. เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับโครงการโฮปเวลล์ และทำให้รัฐเสียหายมากกว่า 6.5 แสนล้านบาท พร้อมกับมี  ดอกเบี้ยด้วย โดยเงินจำนวนนี้นำมาจ่ายให้นักธุรกิจที่สมคบกับต่างชาติ แล้วโกงและล้มบนฟูก  ซึ่งเป็นการปล้นประเทศไทย


นอกจากนี้ยังมีโครงการก่อสร้างโรงพักทั่งประเทศจำนวน 396 แห่ง  ที่มีการประมูลงานเพียงรายเดียว จึงเป็นการคิดทุจริตสำเร็จรูปมาตั้งแต่ต้น  เพราะไม่มีใครสามารถบริหารสัญญาการก่อสร้างได้ทั่วประเทศ ดังนั้นจึงมีการรับเหมาช่วง  แล้วเรียกเก็บค่าหัวคิว กินเปอร์เซ็นต์จาก 15 ได้ 5 หรือสมมุติ 20% ก็ได้ 8%


นายจตุพร กล่าวอีกว่า  คดีเก่าที่อยู่ในความสนใจของรัฐบาลและให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย  รื้อมาตรวจสอบกันใหม่ถึง 12 คดีนั้น ต้องการปราบการทุจริตจริงจังหรือไม่  เพราะการเลือกฟื้นคดีเก่าบางคดีขึ้นมา แล้วละเว้นบางคดีนั้น สะท้อนถึงวิธีคิด  โดยเฉพาะคดีก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านไม่ใช่เรื่องใหม่  แต่เป็นคดีที่หลอกให้รัฐกลายเป็นผู้เสียหายแล้วต้องจ่ายเงินชดเชยให้เอกชน ซึ่งนายวิษณุ ย่อมรู้เรื่องดี  นายวิษณุรับรู้โครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านมาตั้งแต่เป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2536-2545 วันยกเลิกสัญญายังเป็นรองนายกรัฐมนตรี (2545-2549) ในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร  ดังนั้นถ้าการยกเลิกสัญญาเป็นความผิดและต้องชดใช้ความเสียหายแล้ว  นายวิษณุต้องร่วมชดใช้ด้วย


นายจตุพร กล่าวอีกว่า  กรณีรัฐบาลจะออกคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายโครงการจำนำข้าวจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น เชื่อว่าเป็นการกระทำด้วยสะใจในการเห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นความสุขของตัวเอง  เพราะคดีนี้ไม่เกี่ยวกับการทุจริต และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังไม่ได้พิพากษา  ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจพยานเท่านั้น  แต่คำสั่งทางปกครองกลับเป็นการพิพากษาถึงขั้นต้องยึดทรัพย์กันแล้ว การกำหนดยุทธศาสตร์ทำลายคนเก่า  เพื่อให้จำคนใหม่ โดยที่คนใหม่ไม่ต้องทำความดีอะไรเลย ประชาชนรักความเป็นธรรมจะเกิดความรู้สึกว่า  ถูกท้าทาย ดังนั้นรัฐบาลควรทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเร่งรีบจนไม่สนใจความรู้สึกของคนรักความเป็นธรรม

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1445168843
IT : กลุ่ม Anonymous เปิดแนวรบต่อต้าน Single Gateway ชี้เป้าเตรียมถล่ม CAT Telecom ??
เป็นข่าวสารในวงการไอทีที่น่าสนใจ เมื่อกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อดัง Anonymous ได้โพสข้อความลงในทวิตเตอร์ในบัญชีผู้ใช้นามว่า @LatestAnonNews และ @anonymousAsia ระบุว่า #OpSingleGateway Thailand Statement #Anonymous pastebin.com/SL0ZamxT ซึ่งเมื่อกดเข้าไปดูในลิงค์ดังกล่าวพบข้อความระบุว่าจะต่อต้านโครงการ Single Gateway โดยมีการระบุถึง Cat Telecom ว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนโครงการดังกล่าว
ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจจะถูกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มแฮกเกอร์กลุ่มนี้ แต่ในขณะเดียวกันทางรัฐบาลก็ชี้แจงว่าไม่ได้มีการดำเนินการเรื่องของ Single Gateway แต่อย่างใดมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ทั้งนั้นกลุ่มแฮกเกอร์ Anonymous ถือเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เคยดำเนินการโจมตีทางไซเบอร์มาแล้วทั่วโลก อย่างเช่นที่เป็นข่าวดังคือ เคยดำเนินการแฮกข้อมูลของกลุ่ม ISIS และนำมาเปิดเผยรายชื่อทั้งทาง Facebook และ Twitter รวมถึงทำให้เว็บไซต์ของกลุ่ม ISIS ล่มไปกว่า 1,000 เว็บไซต์เลยทีเดียว
เครดิต เรื่อง ภาพ จากบทความโดย : น้าป๋วย TechXcite
ที่มา : telecomasia








ปิดห้องเคลียร์โกงกทม.ยังไม่จบ! หมดเวลาใช้"ตั๋วคนดี"คุ้มกะลาหัว                                                           
                                                            

                           
                            ที่มา : http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000119727
                                                            รายงานการเมือง
      
       ไม่ถนัดแต่ล่อคนอื่น พวกเดียวกันก็ล่อได้ ตามคิวที่อาจารย์-ศิษย์ “2 ว.” “วิลาศ จันทร์พิทักษ์”และ"วัชระ เพชรทอง" อดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แท็กทีมสลับหน้ากันออกมาด่ากราด การบริหารงานของกรุงเทพมหานคร ภายใต้การนำทีมของ“ชายหมู”ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.
      
       ไม่กระซวกไส้กันตรงๆ แต่ล่อเป้าไปที่ผู้บริหารคนอื่นๆไม่ว่าจะเป็น"อมร กิจเชวงกุล" รองผู้ว่าฯ กทม. ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของกทม. หรือ “เบญทราย กียปัจจ์”รองโฆษกกทม. ที่ออกมาต่อล้อต่อเถียง
      
       ทว่างานนี้เจตนามันชัดตั้งแต่แรกว่า การแฉกทม. ก็น่าจะมีวัตถุประสงค์เล็งไปที่"หัว"อยู่แล้ว แต่คงไม่ตัดอนาคตตัวเอง ถึงขนาดเฉดหัว "ชายหมู" ออกจากตำแหน่ง เพราะอย่างไรก็ตาม กทม. ยังถือเป็นน้ำบ่อเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์เหลืออยู่ โดยเฉพาะในยามที่ฝ่ายการเมืองยังต้องเว้นวรรค อยู่ในตอนนี้
      
       การออกมาลากไส้คนในชายคาเดียวกัน ไม่ใช่จู่ๆ “2 ว.”นึกคึกอยากทำเอง โดยไม่ปรึกษาหารือใครแน่ โดยเฉพาะธรรมเนียมมารยาทในพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าไม่ได้รับไฟเขียวจากผู้หลักผู้ใหญ่ หรือแกนนำบางคน ลำพังสมาชิกพรรคสองคนคงไม่กล้าผลีผลาม ขนาดแค่เรื่องให้สัมภาษณ์รายวันในประเด็นท่าทีของพรรค ยังรูดซิปปากรอที่ประชุมพรรคเคาะ หรือ"เดอะมาร์ค" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ออกมาพูดก่อน
      
       เรื่องนี้น้ำหนักมันเลยเทไปทาง “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน”เกิดความไม่พอใจกันในพรรค ระหว่างบางขั้วกับบางขั้วมากกว่า เลยล่อกันแรงออกอากาศแบบนี้
      
       โดยเฉพาะเรื่องกรณีทุจริต คอร์รัปชันที่พรรค “พระแม่ธรณีบีบมวยผม”ชูเป็นคอนเซปต์มาตลอดว่า อยู่ตรงข้าม แต่กลับมาเกิดเรื่องอื้อฉาวในหมู่คนกันเอง กลายเป็นว่า“พรรคคนดี”ทำงามไส้ เรื่องเงินๆ ทองๆ ก็มีกับเขาเหมือนกัน เกิดคำถามตามมาว่า ตกลงที่ผ่านมา“ดีจริง”หรือแค่ “สร้างภาพ”
      
       ไหนๆ ก็ไหนๆ แฉแล้วก็ต้องเอาให้สุด อย่ามาทำมวยล้มต้มคนดู เหมือนกับที่“เดอะมาร์ค”พยายามจะเรียกทั้งสองฝ่ายมาเคลียร์ เพื่อยุติศึก เพราะเรื่องทุจริตคอร์รัปชันไม่ใช่เคลียร์กันในพรรคแล้วจบ แต่มันต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบให้รู้ว่า มีการมุบมิบกันจริงหรือไม่ หรือสาวไส้กันแค่ลมปาก
        
       แล้วถ้าผิดจริง มีขบวนการเหลือบไรอยู่ในกทม. ต้องลากคอเอามาลงโทษ ไม่ให้คนนินทาหมาดูถูกว่า ทีพรรคเพื่อไทยทำอะไรก็ผิด แต่พรรคประชาธิปัตย์มี“ตั๋วคนดี”เลยได้เอกสิทธิ์ทุกเรื่อง
      
       ทุกโครงการที่“2 ว.”ออกมาแฉ ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องรีดความจริงออกมาว่า เรื่องมันยังไงกันแน่
      
       โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดของกทม. ที่ส่งกลิ่นไม่จบไม่สิ้น ต้องชำแหละกันสักทีว่า สุดท้ายมันมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เพราะไม่ว่าเกิดเหตุอะไร เวลาจะขอดูกล้องวงจรปิด มีปัญหากันทุกที แม้แต่เหตุการณ์บึ้มราชประสงค์ที่ผ่านมาหยกๆ กทม. กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยังด่ากันเอาล่อเอาเถิดไปพักใหญ่
      
       กรณี"รองผู้ว่าฯกทม."คนหนึ่ง เดินทางไปต่างประเทศทุกเดือน นั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส ใช้เงินสดซื้อตั๋ว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ตกลงเป็นไปตามข้อสงสัยของ“วิลาศ”หรือไม่ว่า ที่มาของเงินจะเกี่ยวข้องกับกรณีการทำหนังสือเวียนถึงเขตต่างๆ ที่ขอให้ตรวจสอบ และทำเรื่องมาถึง กทม. เพื่อขอให้ซื้อรถต่างๆ เช่น รถดูดเลน รถดูดไขมัน หรือไม่
      
       เพราะเดิมแต่ละเขตจะมีอยู่แล้ว 1 คัน แต่มีการสั่งภายในให้เขตทำเรื่องเสนอมา พร้อมกำหนดสเปก เช่น รถดูดไขมันขนาด 8 คิว คันละ 24 ล้านบาท ซึ่งการที่ต้องสั่งให้เขตต่างๆ ทำเรื่องขึ้นมา ก็เพื่อใช้อ้างกรณีถูกตรวจสอบว่าเป็นการเสนอขอซื้อจากเขต ไม่ใช่เป็นคำสั่งจาก“รองผู้ว่าฯกทม.”
      
       หรือเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ ที่มีการแฉว่า ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกทม. เช่น การย้ายผอ.เขต ต้องใช้เงินถึง 7 หลัก มูลค่าตำแหน่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ว่าเป็นเขตใหญ่ เขตเล็ก มีการผลประโยชน์มากน้อยเพียงใด เช่น ฝั่งที่มีคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมาก จะมีการเรียกค่าเซ็นใบอนุญาตก่อสร้าง ทั้งที่ถูกแบบกลางของกทม.แล้ว
      
       นอกจากนี้ยังมีประเด็นการสร้างสวนเฉลิมพระเกียรติ เขตธนบุรี โดยประมูลงานผ่านอีอ็อกชัน แต่บริษัทที่ได้ปรากฏว่า เป็นของคนสนิทของ“รองผู้ว่าฯกทม.”คนหนึ่ง ที่สำคัญคือ มีการสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆล่วงหน้า ก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญา โดยมีการระดม หรือสั่งข้าราชการกทม.ให้อำนวยความสะดวกให้กับบริษัทดังกล่าวทุกอย่าง เมื่อสร้างสิ่งก่อสร้างเสร็จ เพิ่งจะมาเร่งรัดกับทางเขต ให้รีบเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง โอยอ้างว่า“รองผู้ว่าฯกทม.”คนนั้นสั่งให้รีบเซ็น
      
       ไม่เว้นแม้แต่ปมผลาญงบฟุ่มเฟือยที่มีการปอกเปลือกว่า ทำตัวเป็นไฮโซ ขนทีมงานของ“รองผู้ว่าฯกทม.”คนเดิมไปฉลองเกษียณอายุราชการที่ญี่ปุ่น โดยมีการซื้อสินค้าจาก บริษัท คิงพาวเวอร์ ในช่วงโปรโมชัน ซึ่งซื้อครบ 5 หมื่น จะแจกตั๋วเครื่องบินไปกลับญี่ปุ่น 1 ใบ ปรากฏว่า มีการสั่งซื้อสินค้าล็อตเดียวถึง 5 ล้านบาท แล้วได้ตั๋วไปกลับ 100 ใบ
      
       ยังไม่นับรวมเรื่องการใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า บริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ชาวกรุงได้แบบเป็นที่พอใจ เหมือนกรณีซื้อรถดับเพลิง 300 คัน แต่คนขับแค่ 40 คน ที่ดูหละหลวมในการจัดทำโครงการ จนนำมาสู่การตั้งข้อสงสัยในกลิ่นแปร่งๆ
      
       หากความไม่ชอบมาพากลเหล่านี้เป็นเรื่องจริง ถือเป็นความ“อัปยศ”ครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ แล้วยังน่าสนใจว่า เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นมานานแล้วหรือยัง เพราะเท่ากับว่า กทม. กลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ก้อนโตของคนบางกลุ่มบางพวก
      
       ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีมูลเหตุมาจากรอยร้าวภายในพรรคประชาธิปัตย์จนต้องออกมาลากไส้กันเอง เพราะระยะหลัง“ท่อน้ำเลี้ยง” ที่กทม. ต้องจัดส่งให้พรรคมาตลอด เกิด“อุดตัน”ขาดการติดต่อมานาน ตั้งแต่ “ทิดเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกจากพรรคไปเล่นการเมืองบนถนน หรือเป็นเพราะกระแสข่าวว่า กทม.ก็อยู่ในอาการง่อนแง่น มีปัญหาเงินทองฝืดเคือง เงินทุนสำรองที่มีอยู่กว่า 3 หมื่นล้านบาท เหลือ 2 พันล้านบาท จริงหรือไม่
      
       แต่ที่แน่ๆ เมื่อมีการนำความเน่าในออกมาประจานอยู่เบื้องหน้า ประชาชนย่อมอยากรู้ว่า เรื่องไหนจริง เรื่องไหนลวง โกงจริง หรือ แค่ดิสเครดิตกันธรรมดาๆ ดังนั้น กระบวนการตรวจสอบตามกฎหมาย จึงเป็นทางที่จะต้องเดินไปให้สุด
      
       คนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีชื่อไปพัวพันเองก็ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ไม่ใช่ไปปิดห้องคุยกัน แล้วให้ข่าวเงียบหายไปเอง หรือใช้วิธีปลดคนนั้น คนนี้ เพื่อหนีกระแสร้อนเหมือนกับทุกครั้งที่เกิดปัญหา
      
       งานนี้นอกจากปลดแล้วต้องสอบให้สิ้นสงสัยด้วย หมดเวลาใช้ "ตั๋วคนดี" คุ้มกะลาหัวกันเสียที        

  http://www.toptenthailand.com/news/detail/20151027090804332                                                              
                                                            

นักเลงคีย์บอร์ดเตรียมซีด “ปอท.” ลุยเข้ม ไลค์ คอมเม้นท์ แชร์ โพสต์ ไม่คิด มีสิทธิ์ติดคุก

พ.ต.อ.สมพร แดงดี รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รองผบก.ปอท.) ในฐานะผู้รับผิดชอบและดูแลการกระทำความผิดเกี่ยวเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ ลุยเข้มขจัดการกระทำผิดกฎหมายบนโลกออนไลน์ หลังจำนวนผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้น เร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลกฎหมายและพรบ. คอมพิวเตอร์ ย้ำชัดหมดเวลาอ้างวลีฮิต “รู้เท่าไม่ถึงการณ์”  จากนี้หากทำผิด จับแน่ ปรับแน่ คุกแน่ๆ

เพื่อเร่งสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) จึงได้ดำเนินการจัดกิจกรรม “โพสต์ต้องคิด…คลิกเสี่ยงคุก!” ภายใต้ “โครงการออนไลน์ใสสะอาด เรารักในหลวง”  เพื่อรณรงค์ให้ความรู้ใน 2 ประเด็นคือ 1. ให้ประชาชนเข้าใจกฎหมายในการใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัยและ 2. เพื่อให้ประชาชนรู้ทันกลอุบายต่างๆเพื่อสามารถป้องกันตนเองและไม่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่อไป โดยหลังจากนี้เป็นต้นไป จะดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าวอย่างจริงจัง หมดเวลาจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย ดังนั้นประชาชนต้องรู้กฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นประมาทซึ่งมีประชาชนเข้ามาแจ้งความเพื่อดำเนินคดีเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน

ด้วยเหตุนี้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีจึงได้รวบรวม 10 พฤติกรรมที่ประชาชนมักกระทำผิดพร้อมโทษที่จะได้รับ ชี้ชัดประชาชนต้องหันมาสนใจกฎหมาย และ พรบ.คอมพิวเตอร์อย่างจริงจัง เนื่องจากการกระทำผิดด้วยการ กดไลค์ คอมเม้นท์ แชร์ โพสต์ เพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำให้ท่านติดคุกได้ ต่างจากในอดีตซึ่งประชาชนต้องทำความผิดอาญาร้ายแรงถึงจะติดคุก

สำหรับข้อมูล 10 พฤติกรรมเสี่ยงคุก ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้รวบรวมไว้ให้ประชาชนมีดังนี้

1.Upload รูปลามกอนาจารทั้งหลายทั้งปวงในสากลโลก ไม่ว่าจะรูปตัวเองหรือรูปคนอื่น/ คุกเน้นๆได้ถึงห้าปี หรือปรับได้ถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.ตั้งตัวเป็นเจ้ากรมข่าวลือ ที่ชอบปล่อยข่าวให้บ้านเมืองเกิดความชุลมุนวุ่นวาย/ มีโอกาสได้ไปนอนคิดทบทวนพฤติกรรมตัวเองอย่างเงียบๆในคุกได้ถึงห้าปี หรือปรับถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.พวกที่ชอบใช้วิทยายุทธเฉพาะตัว ตัดต่อภาพคนโน้นคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งภาพวีดีโอ แล้วนำมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ทำให้เจ้าของภาพเสียหาย อับอาย / ถูกฟ้องขึ้นมาอาจต้องไปสงบสติอารมณ์ในคุกได้ถึงสามปี หรือเจอปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.แอบ Save ขโมยข้อมูลของคนอื่น แล้วเอาไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเอง เพื่อการหากำไร เพื่อนำไปใช้กลั่นแกล้ง/  ถ้าถูกจับได้มีหวังถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ รวมทั้งตามกฎหมายลิขสิทธิ์ และพรบ. คอมพิวเตอร์แน่นอน

5.พวกชอบใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น กุเรื่องต่างๆนานา ให้คนอื่นเสียหาย อับอาย  ขายหน้า / อาจต้องไปนั่งสลดในคุกได้ถึงห้าปี หรือปรับได้ถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

6.มีความอยากรู้อยากเห็นสูง เรื่องชาวบ้านคืองานของเรา ชอบแอบเอา ID หรือ Password ผู้อื่นไปแอบดูข้อมูลต่างๆนานาของบุคคลอื่น  /  เจอฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย  มีสิทธิ์เจอทั้งคุกทั้งปรับแลกกับความอยากรู้อยากเห็นกันไปเลย

7.เห็น File งานของคนอื่นไม่ได้  มักมือบอนไปลบ เพิ่มเติม หรือแก้ไขเนื้อหาใน File นั้น จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่สุดท้ายเกิดความเสียหายแก่เจ้าของไฟล์นั้น  /  แบบนี้เจอคุกได้ถึงห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับแน่นอน

8.ชอบส่งอีเมลลูกโซ่โดยไม่บอกที่มา ประเภทว่าถ้าไม่ทำตาม ไม่ส่งต่อ ชีวิตท่านจะต้องตกทุกข์ได้ยากไปชั่วกัลปาวสาน การส่งอีเมลโฆษณาขายของต่างๆนานาที่ผู้รับไม่ต้องการ สร้างความน่าเบื่อหน่าย สุดแสนรำคาญแก่ผู้ได้รับ  /  นอกจากจะถูกสาปแช่งจากผู้รับแล้ว ถ้าถูกจับได้ จัดไปถึงหนึ่งแสนบาท

9.ชอบตั้งสำนักข่าวเป็นของตัวเอง เจออะไรทั้งใน Line, Facebook , Twitter เป็นขอกดแชร์ไว้ก่อน เรื่องจริงไม่จริงไม่เคยคิดเช็ค ซึ่งถ้าเกิดดันไปส่งต่อข้อความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรมาก /  เจอคุกพอๆกับคนเริ่มข้อความเหล่านั้น  รับโทษไปด้วยกันทั้งคนทำคนส่งต่อพร้อมๆกันไปเลย

10.การโพสต์ข้อความใดๆที่เป็นการหมิ่นเบื้องสูง หรือทำเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูงซึ่งเป็นที่เคารพของประชาชนชาวไทยให้ได้รับความเสื่อมเสียแห่งเกียรติยศอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร /ถือเป็นความผิดร้ายแรงทั้งกฎหมายอาญา และ พรบ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกสูงสุดได้ถึง สิบห้าปี

เครดิต เรื่อง ภาพ จาก เดอะพับลิกโพสต์

ประเทศนี้ประชาชนอยู่อยากขึ้นทุกทีแล้ว....



วาทะ “ปิดประเทศทำพิษ” หุ้นดิ่งเหว!!! ธนาคารโลกปรับลดอันดับไทย ประเทศดึงดูดธุรกิจ!!!
[size=1.0769em]หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้กล่าวมอบนโยบายในที่ประชุมร่วมแม่น้ำ 5 สาย ซึ่งมีวาทะเด็ดเรื่อง “การปิดประเทศ” ที่นอกจากจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายภาคส่วน จน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหมต้องออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า “ปิดประเทศ” ในความหมายของพล.อ.ประยุทธ์ หมายถึงหากเจอทางตัน เกิดความรุนแรงจลาจลถึงขั้นฆ่ากันตาย และวอนอย่าตื่นตระหนกเพราะไม่มีเหตุบ่งชี้
แม้จะมีการออกมาชี้แจงแล้ว แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ หลุดวาทะเด็ด “ปิดประเทศ” วันรุ่งขึ้น(29 ตุลาคม) ตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวลดลงจนทะลุแนวรับที่ 1400 จุดไปเป็นที่เรียบร้อย และยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาเกินเพดาน 1400 จุดเมื่อใด
นอกจากนี้ยังมีรายงานเรื่อง การจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจำปี 2559(Doing Business 2016) ซึ่งจัดทำโดยธนาคารโลกเมื่อวันที่ 28 ที่ผ่านมา โดยปีนี้ไทยติดอยู่ในลำดับที่ 49 จาก 189 ประเทศลดลง 3 อันดับ เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 46 สำหรับการปรับลดลงของอันดับของประเทศไทยนั้น เนื่องจากตัวชี้วัดส่วนใหญ่ของไทยลดลง เช่น ขั้นตอนความสะดวกในการขอสินเชื่อของSME การเข้าถึงข้อมูลเครดิตลูกค้าของสถาบันการเงิน นับว่าของไทยได้คะแนน 0 การขอใบอนุญาตในการตั้งธุรกิจไทยยังใช้เวลามากกว่า 20 วัน ขณะที่ประเทศอื่นใช้เวลาลดลงแล้ว
ที่สำคัญคือหลายประเทศในแถบภูมิภาคนี้ ได้เร่งปฏิรูปหลายด้าน จึงทำให้อันดับของประเทศอื่นขยับเพิ่มขึ้น เช่น อินโดนีเซีย อำนวยความสะดวก ในการชำระภาษีผ่านระบบออนไลน์, เวียดนาม ผู้ขอเงินกู้สามารถตรวจสอบเครดิตของตนเองได้ ธุรกิจขนาดเล็กในเวียดนามจึงขอกู้ง่ายขึ้น, เมียนมาลดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำของบริษัทในประเทศ, บรูไนก็ได้มีการปฏิรูปขั้นตอนการจัดตั้งนิติบุคคลด้วยเช่นกัน เหลือเพียง 14 วันจากเดิม 104 วันเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการปรับปรุงการดำเนินงานระบบออนไลน์
ถือว่ายังเป็นโชคดีที่การจัดอันดับในรายงานดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่จะมีวาทะเด็ดเรื่อง “ปิดประเทศ” ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะถูกปรับลดอันดับมากกว่านี้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่า “การปิดประเทศ” จะยังไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อวาทกรรมดังกล่าวออกมาจากปากนายกรัฐมนตรีของประเทศว่ามีความพร้อมที่จะทำ ความเชื่อมั่นของนักธุรกิจนักลงทุนต่อประเทศไทยย่อมได้รับผลกระทบ อย่าลืมว่า “คำพูด” เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อพูดแล้วแก้ไขไม่ได้!!!
เครดิต เรื่องและภาพ จาก facebook ispace THAILAND



‘เสี่ยอู๊ด’ นักสร้างพระคนดัง ตายแล้ว!! ดับคาโรงแรม-เขียนจดหมายสั่งเสีย
  เสี่ยอู๊ดนักสร้างพระชื่อดังกลายเป็นศพในโรงแรม จ.พิษณุโลก เปิดห้องพัก 9 วัน เสียชีวิตมาแล้ว 2 วัน ก่อนเพื่อนเปิดห้องเจอศพ แจ้งตำรวจ พบจดหมายสั่งเสียลาตายทิ้งไว้ เผยกินยานอนหลับจำนวนมาก สั่งน้องชายให้เผาเลย ไม่ต้องมีพิธีบำเพ็ญกุศล

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 30 ต.ค. ร.ต.ท.อำนาจ อ่อนปาน ร้อยเวร สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งเหตุมีชายนอนคว่ำหน้าเสียชีวิตภายในห้องพักเลขที่ 209 ชั้นสอง ของโรงแรมแห่งหนึ่ง ถ.พระลือ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน 6 นพ.ณัฐสิทธิ์ เจริญสันติ แพทย์เวรนิติเวช รพ.พุทธชินราช และเจ้าหน้าที่กู้ภัยสมาคมกู้ภัยข่าวภาพพิษณุโลก  
ที่เกิดเหตุเป็นห้องพักชั้น 2 พบผู้เสียชีวิตเป็นชายสภาพนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ลักษณะสภาพศพเริ่มขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็น ทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ เสี่ยอู๊ด หรือ นายสิทธิกร บุญฉิม อายุ 44 ปี นักสร้างพระชื่อดัง ภูมิลำเนาอยู่ แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
เจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานอย่างละเอียด โดยภายในห้อง พบขวดน้ำดื่มยี่ห้อดัง จำนวน 3 ขวด กระเป๋าเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิต และจดหมายสั่งลา วางไว้บนโต๊ะแต่งหน้า นอกจากนี้ ยังพบยา XIEMED (Alprazolam) เป็นยาในกลุ่มที่ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ใช้สำหรับรักษาอาการวิตกกังวล และช่วยให้นอนหลับ โดยพบจำนวนมากในถุงพลาสติกจำนวน 20 แผง และพบร่องรอยการแกะรับประทานไปแล้วจำนวน 10 แผงๆ ละ 10 เม็ด

และยาส่วนตัวของผู้เสียชีวิตเป็นยารักษาโรคมะเร็ง โรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี ไม่พบร่องรอยการทำร้ายร่างกาย จากการชันสูตรพบว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 วัน หลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว แพทย์เวร ได้ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยข่าวภาพนำร่างนายสิทธิกร ไปชันสูตรโดยละเอียดอีกครั้ง ที่นิติเวชโรงพยาบาลพุทธชินราช

จากการสอบถามเจ้าของโรงแรมดัง กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตเพิ่งมาพักที่นี่ครั้งแรก โดยมีเพื่อนผู้ชายพามาเปิดห้องพัก ซึ่งมาเปิดห้องพักตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา ได้ออกมาจากห้องพักและกินข้าวทุกวัน และจ่ายเงินห้องพักวันต่อวัน กระทั่งสามวันก่อน ผู้ตายได้บอกแม่บ้านว่า ไม่ให้ใครรบกวน จากนั้นก็เงียบหายไป กระทั่งเมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค. เพื่อนที่เปิดห้องพักให้ ได้มาหาผู้ตายที่ห้องพัก และขึ้นไปเคาะประตู แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงลงมาข้างล่าง พบแม่บ้าน และได้ขอโทรศัพท์ภายในขึ้นไปที่ห้องพัก แต่ไม่มีคนรับ จึงคิดว่าผู้ตายนอนหลับแล้ว จึงกลับไป


กระทั่งเช้านี้ เวลาประมาณ 09.00 น. เพื่อนผู้ตายได้กลับมาอีกครั้ง ตนและแม่บ้าน พร้อมเพื่อนผู้ตาย จึงนำกุญแจสำรองไปเปิดห้องพัก และพบว่า นายสิทธิกร ได้เสียชีวิตไปแล้ว

สำหรับ จดหมายลาตายของเสี่ยอู๊ด ระบุว่า (ภูมิใจ) จากเด็กกำพร้ายากจนมีวุฒิ ม.3 ได้หาเงินช่วยเหลือสังคม ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา ก่อเกิดสาธารณะประโยชน์เป็นวัด โรงเรียน โรงพยาบาล สถานศึกษา มหาวิทยาลัยสงฆ์ องค์กรการกุศล สงเคราะห์ผู้ยากไร้ อุปการะเยาวชนให้เล่าเรียน คิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์ และเงิน รวมๆ บริจาคไปกว่า 3,000 ล้านบาท กระจายอยู่ทั่วแผ่นดินทั้งที่คนรู้และไม่รู้  


(เสียใจ) ที่หาเงินได้มากมาย แต่ไม่เคยเก็บสะสมสร้างฐานะ เพราะมัวแต่ช่วยเหลือผู้อื่นไม่เคยช่วยพี่น้อง ช่วยสาธารณะจนตัวเองเดือดร้อน ผลตอบแทนกลับมาให้เสื่อมเสียไม่มีความดีและความจริง จากผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือไปจะเป็นจริงอย่างถาวร “ดีชั่ว ถูกผิด ยึดติดใครไม่ได้”

(คำสั่ง) หากเสียชีวิตที่พิษณุโลก ให้น้องชายขึ้นมาจัดการศพ ทำการเผาทันที ไม่ให้จัดพิธีการใดๆ ไม่ให้บำเพ็ญกุศล เพราะไม่ต้องการให้พี่น้องเดือดร้อน ไม่ต้องการให้คนอื่นเข้ามายุ่งยากที่สำคัญผมทำบุญไว้เยอะแล้วไม่มีใครจะทำบุญให้ผมได้ เท่าตัวผมทำตอนอยู่ ท้ายสุดฝากบอกบุญ เชิญคนไทยไปบริจาคทรัพย์รับพระกริ่ง ซึ่งผมบริจาคไว้ 75 ล้านบาท ช่วยสร้างอาคารศูนย์ดูแลผู้สูงอายุระยะยาวของคณะแพทย์ศาสตร์ มช.นะครับ


ฝากคำคมข้อคิดจากบัณฑิต ม.3  “ดีที่สุด คือหยุดอยาก..ดียาก คืออยากที่สุด” ลงชื่อ สิทธิกร วันออกพรรษา ปี 2558


ด้านนายสุรพันธุ์ อายุ 23 ปี อยู่ ต.ปากโทก อ.เมือง จ.พิษณุโลก เพื่อนของเสี่ยอู๊ด ผู้เสียชีวิตที่มาเปิดห้องพักให้ เปิดเผยว่า ตนได้รู้จักกับผู้ตายมาตั้งแต่เมื่อปลายปี 2556 จากนั้นก็ได้ติดต่อกันเรื่อยมา จนกระทั่งล่าสุดผู้ตายได้ติดต่อตนเองมาจากไลน์ส่วนตัวว่าจะมาเที่ยวที่จังหวัดพิษณุโลก วันที่ 21 ต.ค. และมาพักอยู่ที่โรงแรมที่เกิดเหตุใน อ.เมืองพิษณุโลก ช่วงที่ผู้ตายมาพักอยู่นั้น ตนเองก็แวะมาหาผู้ตายทุกวัน โดยมีหน้าที่มารับไปทานอาหาร รับเสื้อผ้าไปซักทุกวัน

จนกระทั่งเจอกับผู้ตายครั้งสุดท้าย เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 27 ต.ค. ผู้ตายได้ไลน์มาหาตนเองว่าให้มารับไปทานข้าว ตนเองได้ขับรถจักรยานยนต์มาจากร้านนมที่ตนดูแลอยู่ช่วงเวลา 14.00 น. และพาไปทานที่ร้านอาหาร ร้านส้มตำปู่เสื่อ ห่างจากที่พักประมาณ 15 กิโลเมตร ก่อนจะกลับมาส่งที่ห้องพัก หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย จนกระทั่งกลางดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนเองเห็นว่าผู้ตายได้เงียบหายไป จึงมาหาที่พัก ขึ้นไปเคาะประตูห้องพัก แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงได้กลับมาติดต่อที่เคาน์เตอร์ เพื่อให้โทรศัพท์ขึ้นไปที่ห้องพัก และขึ้นไปเปิดประตูกับแม่บ้าน ก็พบว่าเสียชีวิตดังกล่าว


  โดย ‘เสี่ยอู๊ด’ สิทธิกร บุญฉิม" เซียนพระชื่อดัง เคยติดคุกมานานกว่า 5 ปี ก่อนได้รับคำสั่งให้ปล่อยตัวจากคดีหลอกลวงประชาชนเช่า "พระสมเด็จเหนือหัว" และยังเคยตกเป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งกับดาราชายชื่อดังหลายคน
เครดิต เรื่อง ภาพ จาก ข่าวสดออนไลน์


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้