ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
ยูเอ็นเอชซีอาร์ แถลงตำหนิไทย
ส่งตัว 2 นักกิจกรรมกลับจีน ทั้งที่ได้สถานะผู้ลี้ภัย






วันที่ 18 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2558 เวลา 00:46 น.

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. การ์เดียนรายงานว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แถลงว่าไม่สบายใจอย่างรุนแรงกับการที่ไทยส่งตัวผู้ลี้ภัย 2 คนที่ได้รับการรับรองแล้วกลับไปยังประเทศที่พวกเขาลี้ภัยมา ทั้งที่ผู้ลี้ภัยทั้งสองรายได้รับการรับรองให้ตั้งรกรากได้นอกประเทศไทยและจีน และอยู่ระหว่างรอการเดินทางในอีกไม่กี่วันนี้ แต่กลับถูกส่งตัวกลับจีนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

"การกระทำของไทยเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังอย่างรุนแรงและเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงช่องว่างที่มีอยู่อย่างยาวนานในกฎหมายไทย ที่จะต้องรับรองการดูแลบุคคลที่ต้องการความคุ้มครองจากนานาชาติอย่างเหมาะสม" ยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุ

ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 และมิได้ยอมรับสถานะของผู้ลี้ภัย และผู้อพยพที่หนีภัยจากประเทศบ้านเกิด  แต่รัฐบาลไทยระบุว่าได้ยึดถืออนุสัญญาดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัย

สาเหตุของการเนรเทศตัวผู้ลี้ภัยทั้งสองรายของไทยยังไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัด ขณะที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุว่า การเนรเทศดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นแม้ว่านานาชาติ รวมถึงตัวแทนของยูเอ็นเอชซีอาร์ ในประเทศไทย พยายามทักท้วง

ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์เรดิโอ ฟรี เอเชีย รายงานว่า ทางการไทยส่งกลับชาวจีน 5 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลจีน 2 คนที่ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจากสหประชาชาติแล้ว ได้แก่ นายเจียง อี้เฟย (Jiang Yefei) และนายตง กวงพิง (Dong Guangping) ถูกจับกุมในไทยเมื่อวันที่ 28 ต.ค. เนื่องจากเข้าประเทศโดยไม่มีวีซ่าที่ถูกต้อง

องค์กรสิทธิมนุษยชนระบุว่า นายเจียงเคยถูกจับกุมและถูกทรมานในจีนเมื่อปี 2551 กรณีวิจารณ์รัฐบาลต่อการจัดการเหตุแผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวนเมื่อปี 2551 ขณะที่ตงเคยถูกจับกุมเนื่องจากเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมินปี 2532

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1447782552

“นำพล หนองกี่พาหุยุทธ” นักชก 2 แชมป์ชาวบุรีรัมย์
ป่วยวัณโรคปอดนาน 3 ปีร่างกายซูบผอม








วันที่ 17 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2558 เวลา 16:43 น.

“นำพล หนองกี่พาหุยุทธ” ขุนเข่าหน้าเปื่อย ดีกรีนักชก 2 แชมป์ชาวจ.บุรีรัมย์ ป่วยหนักเป็น “วัณโรคปอด” นานกว่า 3 ปีหลังเลิกรากับภรรยามาใช้ชีวิตอยู่ลำพังที่บ้านเกิด ปัจจุบันร่างกายซูบผอมมีเพียงหนังหุ้มกระดูก เจ้าตัวยอมรับ รักษาไม่ต่อเนื่องทำให้อาการทรุด ขณะนายอำเภอ ผอ.รพ.และนายกเทศมนตรี รุดเยี่ยมให้กำลังใจ



(17 พ.ย.58)  นายยงยุทธ  จรเสมอ  นายอำเภอหนองกี่  จ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วยนายแพทย์บุญโฮม  แก้วชนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหนองกี่ , นายประพันธ์  บุญชัยสุข  นายกเทศมนตรีตำบลหนองกี่ และเจ้าหน้าที่  ได้เดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจนายนำพล  ศรีจันทึก  หรือ “นำพล  หนองกี่พาหุยุทธ”  อายุ 46 ปี  อดีตนักมวยไทยชื่อดัง ฉายา ‘ขุนเข่าหน้าเปื่อย’ ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัด และประเทศ  มีดีกรีเป็นนักชก 2 แชมป์ “รุ่นไลต์ฟลายเวท และเฟเธอร์เวท”  หลังทราบข่าวว่านายนำพล  ล้มป่วยด้วยโรค “วัณโรคปอด”  มาตั้งแต่ปี 2556  โดยปัจจุบันได้ใช้ชีวิตอยู่ลำพัง ที่บ้านเกิดในบ้านชั้นเดียว เลขที่  37 ม.8  บ้านพัฒนาชน  ต.ทุ่งกระตาดพัฒนา  อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีที่นาล้อมรอบเนื้อที่กว่า 70 ไร่  หลังเลิกรากับภรรยา เมื่อเห็นสภาพร่างกายของนายนำพล  ถึงกับตกใจ  เพราะมีร่างกายที่ซูบผอมมากไม่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก  จนไม่หลงเหลือคราบความเป็นนักสู้บนสังเวียน หากเปรียบเทียบกับรูปถ่ายเมื่อครั้งที่เป็นนักมวย  โดยนายนำพล  พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่มีเรี่ยวแรง  ว่าตนเองได้ล้มป่วยด้วยโรคปอดติดเชื้อ หรือวัณโรคปอด  ตั้งแต่ปี 2556  ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่จ.นครราชสีมา อย่างต่อเนื่อง แต่ระยะหลังขาดการรักษาและไม่ได้กินยาต่อเนื่อง จึงทำให้อาการทรุดหนักและร่างกายซูบผอมอย่างที่เห็น  แต่ยังพอเดินไปไหนมาไหนได้ตามปกติและยังช่วยเหลือตัวเองได้ แต่อาจจะนั่งหรือยืนเป็นเวลานานๆ ไม่ได้จะเกิดอาการเหนื่อย   เมื่อเห็นทางทางอำเภอ และเทศบาลมาเยี่ยม  ก็มีกำลังใจมากขึ้นพร้อมรับปากว่า  หลังจากนี้จะเข้ารับการรักษาและกินยาให้ต่อเนื่องตามที่หมอสั่ง   พร้อมยังระบุด้วยว่า  หากหายจากอาการป่วยและสภาพร่างกายฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว   จะกลับไปเป็นครูฝึกสอนมวยให้กับเด็ก  เยาวชน ที่ค่าย “หนองกี่ พาหุยุทธ” ที่เคยปลุกปั้นตัวเองจนเป็นนักชกที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาแล้ว   เพราะอยากให้เด็ก เยาวชน ได้ใช้เวลาว่างหันมาออกกำลังกาย  ทั้งจะได้สืบทอดศิลปะแม่ไม้มวยไทยต่อไปด้วย

นำพล  ยังกล่าวทิ้งท้ายถึงแฟนมวย และคนที่รู้จักคุ้นเคยด้วยว่า  ไม่ต้องเป็นห่วง และขอบคุณทุกกำลังใจทั้งที่มาเยี่ยมด้วยตัวเอง และที่ส่งกำลังใจผ่านทางสื่อออนไลน์ต่างๆ

ด้านนายยงยุทธ  จรเสมอ นายอำเภอหนองกี่  กล่าวว่า  หลังทราบข่าวว่านายนำพล  ล้มป่วยทางอำเภอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจได้ประสานกับทางโรงพยาบาล  เพื่อช่วยเหลือดูแลด้านรักษาอาการป่วยอย่างต่อเนื่อง  แต่ที่อาการทรุดหนักลงเนื่องจาก  นายนำพล  ขาดการกินยาที่ต่อเนื่องทั้งไม่ได้ดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองเท่าที่ควร  ดังนั้นตัวนายนำพล ก็ต้องให้ความร่วมมือในการดูแลรักษาตัวเองด้วย เพื่อให้หายจากอาการป่วยที่เป็นอยู่   ทั้งยังบอกด้วยว่านายนำพล  ถือเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดและประเทศ  ทั้งยังเป็นบุคคลตัวอย่างแก่เด็ก เยาวชน รุ่นใหม่อีกด้วย

ทางด้านนายแพทย์บุญโฮม   แก้วชนะ  ผอ.โรงพยาบาลหนองกี่  ระบุว่า  หลังจากนี้ทางโรงพยาบาลจะได้ทำการรักษาอย่างจริงจัง  โดยจะส่งเจ้าหน้าที่พยาบาลมาดูแลเรื่องการรับประทานยาให้สม่ำเสมอ  พร้อมทั้งดูแลเรื่องอาหารการกิน   เพราะโรคดังกล่าวสามารถรักษาให้หายขาดได้  แต่ผู้ป่วยต้องให้ความร่วมมือในการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ  เชื่อว่าหากทำการรักษาต่อเนื่องกินยาสม่ำเสมอ  และปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่ง  คาดว่าประมาณ 4 – 5 เดือน สภาพร่างกายก็จะกลับมาฟื้นตัวและหายเป็นปกติได้

ประวัตินายนำพล  หรือ “นำพล หนองกี่พาหุยุทธ” หรือฉายา ‘ขุนเข่าหน้าเปื่อย’ เคยโด่งดังไล่ๆ กันกับ ‘สามารถ พยัคฆ์อรุณ’ มีดีกรีเป็นแชมป์ในรุ่นไลต์ฟลายเวท และเฟเธอร์เวท ของเวทีลุมพินี  กระทั่งเมื่อปี 2534 นำพลเกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ได้รับบาดเจ็บถูกส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาล  ด้วยเหตุนี้จึงต้องแขวนนวมไปโดยปริยาย หลังแขวนนวม นำพล ได้เปิดกิจการร้านหมูกระทะชื่อ "นำพล หมูย่างเกาหลี" ในตัวเมือง จ.นครราชสีมา  ต่อมากิจการร้านเนื้ออย่างก็ประสบปัญหา ทั้งครอบครัวแตกแยก  หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวนำพลเป็นเวลานานหลายปี ล่าสุดได้มีผู้โพส์ตลงเฟสบุ๊ก ว่านำพล ล้มป่วยนอนพักรักษาตัวที่บ้านเกิด  โดยมีร่างกายซูบผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกอย่างเห็น

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1447753808



กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ เยือนกลาโหม ล้อเลียนขายอาวุธของเล่น


(19 พ.ย.58) เมื่อเวลา 14.50 น. ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ได้เดินทางมายังหน้าที่ทำการ กระทรวงกลาโหม  ถนนสนามไชย  โดยมีนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.ส.ชนกนันท์ รวมทรัพย์ นายฉัตรมงคล  วัลลีย์ นายรังสิมันต์ โรม นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และน.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่ม  ได้เดินทางยื่นหนังสือ พร้อมกับนำสิ่งของจำลองแทนยุทโธปกรณ์ต่างๆที่กองทัพใช้งานและประจำการอยู่ อาทิ  เรือเหาะตรวจการณ์ เครื่องตรวจจับระเบิด GT200 เครื่องบินของเล่นที่จำลองว่าเป็นเครื่องบินขับไล่กริพเพ้นท์ เป็นต้น




ทั้งนี้  ตัวแทนกลุ่มฯ ได้ยื่นหนังสือผ่าน พ.อ.วิสุทธิ์ เดชสกุล  เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของกองทัพ

ด้านนายรังสิมันต์ โรม ตัวแทนกลุ่มฯ กล่าวว่า การที่กลุ่มเดินทางมาหน้ากระทรวงกลาโหมในวันนี้  ก็เพื่อล้อเลียนกองทัพ ที่ไม่สามารถจัดการปัญหาการคอร์รัปชั่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อจัดจ้าง  ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ หรือการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447926306



วิกฤติศรัทธา คสช.

ระยะหลังข่าวการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นใน รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชักจะหนาหูขึ้นทุกวัน เป็นการเอาคืนจากฝ่ายการเมือง หลังจากที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพ่งเล็งการทุจริตคอร์รัปชันของฝ่ายการเมืองเป็นพิเศษ ประเด็นอุทยานราชภักดิ์ เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะถ้าเรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง หรือถูกตัดตอน ฝ่ายการเมืองก็จะเอาไปเปรียบเทียบได้ว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็เหมือนกัน
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง

และกรณีที่มีที่ปรึกษาบางคน หรือมีกระบอกเสียงรัฐบาล มาการันตีความบริสุทธิ์ของคนในรัฐบาลหรือในกองทัพ ทั้งๆที่ยังไม่มีผลการสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรมออกมา ยิ่งจะทำให้ภาพของรัฐบาลตกที่นั่งลำบาก
เรื่องนี้ จะมีการกินปูนร้อนท้อง หรือไม่ หรือจำเป็นจะต้องรักษาศรัทธาของรัฐบาลของกองทัพเอาไว้อย่างไร เป็นเรื่องที่ตอบยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนบุคคลหรือองค์กร แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นในยุคใดสมัยใด ผู้นำก็จำเป็นต้องรับผิดชอบแม้ไม่ใช่ในฐานะผู้ที่รู้เห็นในการกระทำความผิด แต่ก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ปรากฏและดำเนินการตามกฎกติกาด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม

ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดวิกฤติศรัทธาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และไม่ว่าจะเป็นเรื่องเก่าหรือเรื่องใหม่ รัฐบาลชุดนี้ก็ต้องมีหน้าที่ระงับยับยั้ง หรือสืบสวนหาความจริงอยู่ดี อย่างกรณีที่ วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลทุกวัน ล่าสุดก็เรื่อง การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ บริเวณย่านเกียกกายที่ใกล้จะหมดสัญญา แต่การก่อสร้างดำเนินการไปได้แค่ 16% เท่านั้น

เรียกร้องให้ประธานพรเพชร วิชิตชลชัย ออกมาแถลงข้อเท็จจริง
องค์กรภาคเอกชน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรวจสอบความโปร่งใส ความไม่ชอบมาพากล ที่เป็นแรงกระเพื่อม เป็นคลื่นใต้น้ำท้าทายวิกฤติศรัทธาของรัฐบาล คสช.ในเวลานี้
อย่าลืมว่า รัฐบาล คสช.ยังเดินทางมาได้แค่ครึ่งทาง โรดแม็ปที่จะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ที่ตั้งเป้าจะให้มีการเลือกตั้งภายในเดือน ก.ค.ปี 2560 หากเกิดวิกฤติศรัทธาขึ้น คงไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลและประเทศโดยตรง

ถึงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องตัดสินใจ ว่าจะตัดเนื้อร้ายเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ หรือจะปล่อยให้เกิดปัญหาวิกฤติศรัทธาตามมา
วันนี้ประชาชนอยากเห็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เข้ามา

แก้ปัญหาตกค้างที่ฝ่ายการเมืองแก้ไม่ได้ อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน ปฏิรูปประเทศ ตามคำสัญญา ถ้าเสี่ยงปล่อยให้เกิดวิกฤติศรัทธา
ระวังจะตายน้ำตื้น.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th





ข้อสังเกตกรณีจับกุม"กลุ่มป่วน"






วันที่ 27 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2558 เวลา 00:45 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 17012 คน
การจับกุม 2 ผู้ต้องหากลุ่มขอนแก่นโมเดล และอยู่ระหว่างหลบหนีอีก 7 คน

โดยเจ้าหน้าที่ระบุกลุ่มผู้ต้องหามีเป้าหมายเพื่อป่วนเมือง ลอบประทุษร้ายบุคคลสำคัญนั้น

ยังมีคำถามและข้อสงสัยจากสังคมในหลายประเด็น

มีความเห็นจากนักวิชาการ ตัวแทนด้านสิทธิมนุษยชน และภาคประชาสังคม



ยุทธพร อิสรชัย
รองอธิการบดี ม.สุโขทัยธรรมาธิราช

การบุกค้นจับกุมจำเป็นต้องใช้หลักฐานที่แน่นหนา ยึดตามหลักนิติธรรม ยิ่งหนล่าสุดที่ฝ่ายความมั่นคงจับกุมตัวบุคคลด้วยข้อหาร้ายแรงว่า จะก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ โดยเน้นในช่วงเทศกาลเพราะจะมีคนจำนวนมาก ก็มีความจำเป็นมากที่ต้องแสดงหลักฐานที่ชัดเจน สามารถพิสูจน์ได้

โดยเฉพาะหลักฐานที่อ้างว่าพบจากแอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อให้สังคมได้รับรู้รับทราบ มิเช่นนั้นก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองได้อีก เพราะคนที่ถูกกล่าวหาถูกอ้างว่าพัวพันกับกลุ่มมวลชน นปช.ด้วย

ความปรองดองคือสิ่งที่รัฐบาลต้องการทำให้เกิดขึ้นเมื่อมีการเลือกตั้ง ซึ่งความปรองดองจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายในสังคมมีความไว้วางใจต่อกัน โดยทั้งหมดนี้ต้องมาจากรากฐานที่สำคัญคือ ความเป็นธรรม

เพราะประชาชนทุกคนจะมีความรู้สึกเสมอว่าอยู่ภายใต้กติกาที่เสมอภาคกัน ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รู้สึกว่าสังคมมีเสรีภาพ ไม่มีอะไรที่ไร้เหตุผลมาอธิบายได้

จากกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นนี้จึงต้องคำนึงถึงการสร้างความปรองดอง กระบวนการทางกฎหมายจะต้องโปร่งใส

ส่วนการออกมาแสดงความคิดเห็นของ นปช. ว่ากรณีดังกล่าวอาจต้องการเบี่ยงกระแสของรัฐบาลเรื่องอุทยานราชภักดิ์ ที่กำลังถูกตั้งคำถามก็เป็นสิทธิเสรีภาพอย่างหนึ่งที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะสถานการณ์นี้ยังถือว่าคลุมเครือ ภาพไม่ค่อยชัดเจน

หากทางรัฐบาลสามารถทำให้กระบวนการนี้โปร่งใสได้ ก็จะทำให้ลดเสียงวิจารณ์ หรือการตั้งข้อสังเกตนี้ลงได้

ดังนั้น การใช้อำนาจจึงจำเป็นต้องคำนึงความเป็นธรรมเป็นสำคัญ เพราะจะสามารถช่วยให้การแก้ปัญหาทุกด้านเป็นไปได้อย่างราบรื่น มิเช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่ไปไหน ต้องวนกลับมาที่เดิม

ในจุดที่คนบางฝ่ายยังรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าพวกของตนเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกแล้ว



สุณัย ผาสุข
ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอตช์ประจำประเทศไทย

การตั้งข้อสังเกตกรณีการจับกุมผู้ต้องหาที่เตรียมจะก่อเหตุร้าย ในแง่การหาข้อเท็จจริงความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ แต่ในมุมมองขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนคงต้องมีการตั้งคำถามถึงรูปแบบและกระบวนการยุติธรรมที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อผู้ต้องหาว่าเป็นอย่างไร

ตามที่ปรากฏจากสื่อจะพบว่าผู้ต้องหาถูกจับกุมตัวตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. ซึ่งไม่ปรากฏข้อมูลที่ชัดเจนว่าผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ที่ไหน การสืบสวนสอบสวนเป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหาร

ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญเนื่องจากไม่กี่วันก่อนหน้านี้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) รวมทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้ตั้งคำถามและวิจารณ์ถึงรูปแบบที่ใช้ค่ายทหารควบคุมตัวผู้ต้องหา

เพราะรูปแบบดังกล่าวค่อนข้างเป็นไปอย่างลับ ตรวจสอบไม่ได้ และไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการสอบสวนได้เปิดโอกาสให้มีทนายของผู้ต้องหาเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ ถ้าไม่มีแล้วการสอบสวนจะมีน้ำหนักต่อสำนวนจนไปถึงการพิจารณาคดีของศาลมากน้อยแค่ไหน

เป็นประเด็นที่องค์กรสิทธิฯ ต่างให้ความกังวลอย่างมากเพราะรูปแบบดังกล่าวถูกใช้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขอนแก่นโมเดล รวมถึงคดีมือวางระเบิดใจกลางเมือง

การตั้งคำถามขององค์กรสิทธิฯ คือเพื่อต้องการให้กระบวนการยุติธรรมนี้สอดคล้องกับหลักสากล ต้องอย่าลืมว่าทั้งยูเอ็นและองค์กรสิทธิฯระหว่างประเทศต่างกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

และมีความเป็นไปได้ว่าประเด็นที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะถูกนำเข้าไปสู่การตรวจสอบของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติในเร็วๆ นี้ ซึ่งฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสนใจเพราะถือว่าเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยมีส่วนร่วม

หากภายหลังการตรวจสอบแล้วคณะมนตรีมีความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใดในเชิงที่มองว่าประเทศไทยไม่เคารพต่อพันธกรณี ก็อาจทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศต่อระดับสากลถูกมองในมุมที่ไม่ดี



สมบัติ บุญงามอนงค์
บ.ก.ลายจุด

การจับกุมในครั้งนี้อ้างว่าได้ข้อมูลการวางแผนมาจากการพูดคุยผ่านโปรแกรมสนทนาทางไลน์ จึงต้องไปดูข้อเท็จจริงว่าเขาพูดเรื่องอะไรกัน

มีการพูดคุยกันแบบไหน เป็นการพูดคุยแบบคึกคะนอง หรือว่าพูดคุยกันแบบจริงจังถึงขั้นวางแผนไปถึงขนาดไหน และคนกลุ่มนี้จะมีศักยภาพในการก่อเหตุได้ขนาดไหน ตรงนี้ยังไม่มีใครรับทราบรายละเอียดของข้อมูล

แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงตามที่มีหมายจับก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะการใช้อาวุธสงครามก่อเหตุทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นการทำเพื่อประชาธิปไตย และไม่สามารถอ้างได้ว่าจะทำเพื่อล้มล้างทหารที่เข้ามาปกครองประเทศด้วยการทำปฏิวัติ

ส่วนจะเป็นขอนแก่นโมเดล เหมือนที่ตำรวจกล่าวอ้างหรือไม่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะก่อนหน้านี้เคยเกิดการกวาดล้างชาวบ้านคนธรรมดาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการทำปฏิวัติครั้งนี้มาแล้ว

ต้องให้ทนายความเข้าไปช่วยเหลือคนที่ถูกจับกุม และเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่พูดคุยกันในไลน์ว่าเป็นอย่างไร แต่ส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อเท่าไรว่าจะมีใครกล้าทำอะไรแบบนี้ในตอนนี้

ส่วนเสียงวิจารณ์ว่าครั้งนี้เป็นปฏิบัติการใช้ข่าวกลบข่าว เพื่อเลี่ยงกระแสการตรวจสอบจากสังคมกรณีโครงการราชภักดิ์นั้น เชื่อว่าไม่สามารถกลบเรื่องการตรวจสอบทุจริตอุทยาน ราชภักดิ์ได้ และสังคมต้องติดตามเป็น 2 เรื่องพร้อมกัน ทั้งเรื่องสร้างสถานการณ์ความรุนแรง และเรื่องทุจริตสร้างอุทยานราชภักดิ์

ขณะเดียวกันเสียงวิจารณ์อีกมุมที่มองว่า  คนเสื้อแดงใช้ความรุนแรงก็คงไม่สามารถลบภาพนี้ได้ แต่การใช้ความรุนแรงถ้าเป็นข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่สามารถเหมารวมกลุ่มคนหมู่มากได้

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1448557125









ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน




ใครกันแน่ต้องปฏิรูป



มีคนจำนวนไม่น้อย ไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่เรียกว่า การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งอยู่แล้ว เพราะโดยหลักการนั้น การปฏิรูปต้องดำเนินอยู่ตลอดเวลา ต้องทำกันไปเรื่อยๆ เป็นระยะๆ จะมาบอกว่าต้องปฏิรูปให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี 3 ปีอะไรแบบนี้ ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง

อีกทั้งคำว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้งที่ชูกันในขณะนี้ หลายคนมองว่า ประเด็นสำคัญคือ จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งเร็วเท่านั้นเอง

นับจากมีการยึดอำนาจมาปีครึ่ง มีการตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติขึ้นมาดำเนินการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แล้วก็หมดอายุไป จากนั้นตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศขึ้นมาแทน

คนที่ไม่เชื่อถือคำว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ยิ่งประจักษ์ชัดว่าตนเองคิดถูกต้อง

เพราะเรายังไม่เห็นการปฏิรูปอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ออกมา

แล้วที่น่าตลกก็คือ คิดอะไรไม่ออก ก็ผลักดันการปฏิรูปตำรวจเอาไว้ก่อนง่ายสุด

แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวอีก!

ล่าสุดสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ หรือสปท. นำเสนอการปฏิรูปตำรวจให้เป็นประเด็นข่าวเกรียวกราวสักหน่อย

ยิ่งได้พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ที่เพิ่งเกษียณอายุไปอยู่ในสภา อาศัยความช่างคิดช่างพูด เลยมาแนวใหม่ล่าสุด

นั่นคือต้องแก้ไขพ.ร.บ.ตำรวจ ตัดนักการเมือง ออกไป พ้นจากการมีตำแหน่งในองค์กรบริหารบุคคลตำรวจ

เพื่อปลอดพ้นการเมือง

ส่วนตำแหน่งผบ.ตร. ใช้วิธีให้ตำรวจทั่วประเทศลงคะแนนเลือกตั้งไปเลย เพื่อไม่ให้นักการเมืองมามีส่วนแต่งตั้ง!

โดยหลักแล้ว ก็ถือเป็นแนวคิดแปลกใหม่ที่ไม่เลว

อะไรก็ตามที่เปิดให้คนส่วนใหญ่ในองค์กรสามารถมีส่วนร่วมคิดตัดสินใจได้ ย่อมสอดรับกับพัฒนาการของสังคมยุคใหม่ แต่ในทางปฏิบัติจะเป็นจริงหรือไม่ อาจจะต้องศึกษาหาข้อดีข้อเสียอีกมาก

ที่สำคัญ ข้อเสนอสภาขับเคลื่อนปฏิรูปฯนั้น ลงเอยจะเป็นจริงเป็นจังหรือเปล่า

แต่จะว่าไปแล้ว ที่พยายามเสนอกันเหลือเกิน ต้องปฏิรูปตำรวจอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ลองหันมามองดูความจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองทุกวันนี้กันบ้าง

เกิดคดีแอบอ้างสถาบันเพื่อไปหาประโยชน์ มิชอบ เราได้เห็นตำรวจจับตำรวจด้วยกันดำเนินคดีกราวรูด

ระดับผู้บัญชาการและผู้การ ไม่ได้ไปร่วมหากินอะไรกับเขา ยังต้องโดนย้ายเพราะบกพร่อง

บอกชัดว่า องค์กรตำรวจนั้นไม่มีกำแพงอะไรมาปกปิดตัวเอง

หรือเพื่อขวางกั้นไม่ให้ใครสามารถตรวจสอบได้!?

องค์กรตำรวจจะเละเทะอย่างไร แต่ก็เปิดเผย ตรวจสอบได้มากที่สุด

นักปฏิรูปทั้งหลาย ต้องหันไปคิดปฏิรูปหน่วยอื่นที่กำลังมีปัญหาและยากต่อการตรวจสอบมากกว่ากระมัง!

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1449160473
"ตู่-เต้น"ไปไม่ถึงราชภักดิ์ "ไม่ได้ทำผิด กลัวอะไร?"




วันที่ 04 ธันวาคม  พ.ศ. 2558 เวลา 00:13 น.

ข่าวทะลุคน


ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มองเห็นว่าเป็นการ "เรียกแขก" สำหรับการจะเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ หัวหิน ของ จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จนนำสู่ปฏิบัติการเชิญตัวโดยเหล่าทหารหาญกลางตลาดมหาชัย

ก็มีข้อสังเกตมาจากคนถูกคุมตัว

ไม่คิดเหมือนกันว่าคนไทยที่เดินทางไปอุทยานราชภักดิ์จะกระทบต่อความมั่นคงหรือผู้มีอำนาจ

ระบุว่าเมื่อความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แม้รัฐบาลจะอ้างว่าตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว แต่คณะกรรม การที่ตั้งขึ้นมาเป็นทหาร 100% และคณะกรรมการระดับรองปลัดกระทรวงกลาโหมจะกล้าตรวจสอบครม. หรือรมช.กลาโหมหรือไม่

ชี้ด้วยว่าไม่มีประเทศใดตั้งผู้ใต้บังคับบัญชาสอบผู้บังคับบัญชา ผิดหลักการสอบสวน

ย้ำว่าที่โฆษกคสช.รับไม่ได้กับคำว่าทุจริต ตนก็รับไม่ได้ที่บอกว่าการทุจริตเป็นความรู้สึก

และผู้มีอำนาจต้องยอมรับความจริงว่า การห้ามไม่ให้พวกตนไป ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงใจให้เกิดขึ้น

"มติชนสุดสัปดาห์" ฉบับทางตันสู่อุทยานราชภักดิ์

พาดปก "ไม่ได้ทำผิด กลัวอะไร?"

ถามแล้วคล้ายดังว่าเสียงจากพล.อ.ประวิตรจะก้องซ้ำ

"อย่าทำเรื่องสร้างประเด็นไปเรียกแขก เราไม่ต้องการ"

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1449163025

รัฐบาลประยุทธ์ จากจุดแข็งความมั่นคง “ทีมพี่ใหญ่” พลิกเป็นจุดอ่อน !?                                               
                                                            .

                           
                            ที่มา : http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000133951
                                                            เมืองไทย 360 องศา

      
       ต้องยอมรับว่า เวลานี้รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเผชิญกับปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่เป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลก่อน ๆ และปัญหาที่เกิดขึ้นจากคนในรัฐบาลของเขาเอง จนทำให้เป็นที่น่าจับตามองว่าสิ่งที่เคยมั่นใจว่าเป็น “จุดแข็ง” กำลังจะกลายเป็น “จุดอ่อน” บ่อนเซาะจนทำลายศรัทธาจากประชาชนลงไปเรื่อย ๆ หรือไม่
      
       แน่นอนว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเคยกล่าวอย่างมั่นใจ และให้เครดิต ก็คือ “ทีมงานด้านความมั่นคง” ที่นำโดย “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะที่ผ่านมา สามารถควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย จนทำให้รัฐบาลสามารถมีเวลาไปแก้ปัญหาสำคัญอื่น ๆ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง และแม้ว่าเป็นงานหิน แก้ยาก แต่เมื่อสามารถควบคุมให้เกิดความสงบเรียบร้อยเอาไว้ได้ ก็ทำให้มีสมาธิไปแก้ปัญหาอย่างอื่นได้มากขึ้น
      
       อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งนานวันกลับกลายเป็นว่า “ทีมความมั่นคง” ทีมเดียวกันนี้ทำท่าจะกลายเป็นว่าจะกลายเป็น “จุดอ่อน” กับรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ อาจเป็นเพราะเป็น “ทีมใหญ่” ที่เกี่ยวข้องกับ “อำนาจ” อันมหาศาล และแน่นอนว่าจะต้องแวดล้อมและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ตามมาแบบไม่อาจเลี่ยงได้พ้น
      
       หากพิจารณาในเชิงอำนาจก็ต้องยอมรับว่า ทั้งในรัฐบาล และใน คสช. บุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดก็คือ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จนในช่วงแรกถึงกับมีข้อสงสัยด้วยซ้ำไปว่า กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ใครมีอำนาจแท้จริงมากกว่ากัน แต่อย่างไรก็ดีเมื่อวัดกันจากศรัทธาจากประชาชน จากผลสำรวจทุกสำนัก อีกทั้งด้วยบุคลิกท่าทาง และการบริหารจัดการก็ออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังกินขาด
      
       ในทางตรงกันข้าม เมื่อพิจารณาจากผลลัพธ์ที่ออกมา ยิ่งชัดเจนว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่อาจเพิ่มความศรัทธาได้มากขึ้นเลย ส่วนใหญ่เป็นผลออกมาในทางลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องยอมรับความจริงว่าสังคมภายนอกอาจมองด้วยสายตาที่หวาดระแวง ไม่มั่นใจเต็มร้อย ส่วนหนึ่งอย่างระบุตั้งแต่ต้นว่า เป็นเพราะมีความรับผิดชอบในภารกิจสำคัญที่สุด ถูกมอบหมายให้เข้าไปดูแลในเรื่องสำคัญก็ย่อมมีทั้งฝ่ายที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์ ฝ่ายเสียประโยชน์ก็อาจสร้างเรื่องโจมตีก็ได้
      
       หากพิจารณาจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายใช้อำนาจแทนนายกฯ ก็มีทั้งเป็นรองนายกฯอันดับหนึ่ง นั่นหมายความว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปต่างประเทศ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นี่แหละจะทำหน้าที่แทนทุกครั้ง ภารกิจที่ดูแลก็มีทั้งตำรวจ ทหาร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ เอาเป็นว่าถ้าเป็นเรื่องสำคัญเขาจะเข้ามาดูแลทุกเรื่อง อย่างไรก็ดี เมื่อเป็น “พี่ใหญ่” มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมี “ทีมงาน” มีเครือข่ายแวดล้อมคอยเป็นมือเท้าจำนวนมาก มากันแบบร้อยพ่อพันแม่ มีทั้งประเภทลูกน้อง เป็นเครือญาติ ซึ่งแน่นอนว่า ในจำนวนนั้นย่อมมีไม่น้อยที่ “แฝงตัว” เข้ามาหาผลประโยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับคนที่มีอำนาจแบบนี้
      
       ขณะเดียวกัน หากมีการพิจารณาแบบแยกย่อยลงไปอีก ในแบบแยกส่วนเฉพาะเรื่อง ในระยะหลังที่ “พี่ใหญ่” เริ่มส่งสัญญาณพลาดมาแบบคาดไม่ถึง อาจเป็นเพราะ “พูดไม่เก่ง” หรือเป็นคำพูดที่ “หลุด” ออกมาแบบไม่ตั้งใจ แต่ก็อย่างว่าในฐานะคนสำคัญก็ย่อมถูกโฟกัส และนำไปขยายผลจนลุกลามบานปลาย ที่เห็นได้ชัดเริ่มจากการ พลาดในคดี มาตรา 112 ที่ในตอนแรกรีบออกตัวยืนยันแข็งกร้าวว่า “ไม่มีทหารเกี่ยวข้อง” พร้อมทั้งย้ำว่า ข่าวที่อ้างคำพูดของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้าพนักงานสอบสวน ที่ระบุว่า มีทหารเกี่ยวข้องสี่ห้าสิบคนนั้นไม่จริงและขู่ว่าจะมีการฟ้องสื่อที่ปูดข่าง แต่ในภายหลังไม่นานก็มีการออกหมายจับนายทหารคนสำคัญตามมาสองนาย คือ พ.อ.คชาชาต บุญดี และ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ แม้ว่าจะไม่ใช่จำนวนถึง 4-50 คนแต่อย่างน้อยมันก็เป็นความจริงว่ามีทหารเกี่ยวข้อง และต่อมาทหารทั้งสองนายดังกล่าวก็หลบหนี
      
        เฉพาะแค่เรื่องมีนายทหารคนสำคัญเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดี “อ่อนไหว” ดังกล่าวมันก็ทำให้สังคมเริ่มมองด้วยสายตาสงสัย และช่วยไม่ได้ที่จะเริ่มถูกระแวงว่าปกปิดช่วยเหลือพวกเดียวกัน เพราะแทนที่จะพูดเน้นย้ำตั้งแต่ต้นว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายตำรวจที่จะดำเนินการ หากพบว่าใครทำความผิดหรือเกี่ยวข้องก็ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายให้เต็มที่ไม่มีข้อยกเว้น แบบนี้ถึงจะได้ใจ
      
       จนกระทั่งลุกลามต่อเนื่องมาถึงกรณี “ค่าหัวคิว” จากโรงหล่อพระบรมรูปฯโนโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ แม้ว่าในความเป็นจริงในเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนทั่วไป รวมไปถึงฝ่ายตรงข้ามที่จ้องฉวยจังหวะเข้ามาดิสเครดิตอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า “หากเปิดทาง” ให้ตรวจสอบอย่างเต็มที่ตั้งแต่ต้น แต่นี่ก็มาในทำนองเดียวกัน คือ “ปิดทาง” กลายเป็น “เขตทหารห้ามเข้า” มีแต่คำยืนยันจากปากเปล่าคนกันเองเท่านั้นว่าไม่โกงไม่ทุจริต แม้ว่าอาจจะจริงหรทอไม่จริง แต่ในสายตาของสังคมภายนอกมันไม่ใช่เป็นเครื่องการันตี เหมือนกับที่เวลานี้มีการตั้งคณะกรรมการที่มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รอ
      
       ปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นมาตรวจสอบอีกชุดหนึ่ง หลังจากก่อนหน้านี้ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบกเคยตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนใน 7 วันมาแล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกประเด็น
      
       คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน การตั้งคณะกรรมการโดยกระทรวงกลาโหม ขึ้นมาตรวจสอบล่าสุดก็ถือว่า “ไม่ตอบโจทย์” ไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือจากภายนอก ที่สำคัญ ไม่ได้ลดเงื่อนไขโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามได้เลย เพราะยังถูกมองว่า “สอบกันเอง” รู้คำตอบล่วงหน้าแล้วอะไรประมาณนั้น แทนที่จะเปิดทางให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาสอบ และมีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ใครผิดก็ว่ากันไปตามผิด แม้ว่าผลที่ออกมาอาจจะ “สั่นสะเทือน” กันบ้าง แต่ก็น่าจะดีกว่าทำแบบนี้ เพราะความเชื่อมั่นจะต่างกันลิบลับ
      
       ขณะเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรณีค่าหัวคิวการก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ ย่อมส่งผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ต่อ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญใน คสช. เพราะเป็นประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ และในเวลานี้มีอดีตคนสนิทถึงสองคนเข้าไปเกี่ยวข้องและถูกออกหมายจับ และหลบหนีไปต่างประเทศแล้วทั้งหมด ดังนั้น เวลานี้ปัญหาก็คือ หากทอดเวลานานออกไปไม่ว่าในที่สุดแล้ว เขาจะตัดสินใจลาออกหรือไม่ก็ตาม ปัญหามันอาจไม่หยุดอยู่แค่นี้แล้วก็ได้ แต่ขณะเดียวกันภาพลักษณ์ของรัฐบาล และ คสช. ในเวลานี้ส่วนสำคัญล้วนมาจากต้นตอของ “ทีมพี่ใหญ่” ทั้งสิ้น
      
       นอกจากนี้ จากเรื่องดังกล่าวยังอาจสร้าง “รอยปริร้าว” ภายในให้เกิดขึ้นมา โดยเฉพาะเป้าสายตาที่มีต่อ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช กับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร
      
       ดังนั้น จากเดิมที่เคยมองว่าเป็นจุดแข็ง แต่นานทีน่าจับตากันว่าำลังจะกลายเป็น “จุดอ่อน” ให้กับรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่ !!

http://www.toptenthailand.com/news/detail/20151204090137178

                                                            

ป้าย "หยุดเถอะ ธรรมกาย" โผล่ตั้งคู่โฆษณาเดินธุดงค์ฯ - ชาวปทุมฯนัดรวมตัวค้าน (มีคลิป)                                                               
                                
                           
                                                                                       
                            ที่มา : http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000141002


                                                            วันนี้ ( 24 ธ.ค.)ที่บริเวณสี่แยกปทุมวิไล ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ทางวัดพระธรรมกายได้ขึ้นป้ายโฆษณาเชิญชวนกัลยาณมิตรทั่วประเทศ ให้ร่วมทำบุญกับพระธุดงค์ ในโครงการ "ธรรมยาตราธุดงค์ธรรมชัย เส้นทางพระผู้ปราบมาร ปีที่ 5" ของวัดพระธรรมกาย เชิญชวนพุทธศาสนิกชน ร่วมทำกิจกรรมบุญที่กำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2-31 ม.ค. 2559 ซึ่งข้างกันมีป้าย ถูกนำมาติดตั้งไว้คู่กัน ระบุข้อความ หยุดเถอะ ธรรมกาย ก่อนที่ “สังฆมณฑล” ล่มสลาย ก่อนที่ “ชาวพุทธ” แตกแยก ลักษณะแสดงความไม่เห็นด้วยกับกิจกรรม ที่ทางวัดพระธรรมกายจัดเป็นประจำทุกปี
      
       ขณะที่ เครือข่ายสตรีปกป้องข่ายสตรีปกป้องพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชนชาวปทุมธานี ได้เชิญชวนผู้ไม่เห็นด้วย นัดรวมตัวต่อต้านการเดินธุดงค์ของพระวัดพระธรรมกาย ในวันอังคารที่ 29 ธ.ค. ในเวลา 09.00 น. พร้อมยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เพื่อคัดค้านงานบุญดังกล่าว
      
       สำหรับโครงการธุดงค์ธรรมชัย ได้มีการจัดขึ้นติดต่อกันมานานหลายปี ซึ่งในปีล่าสุดมีประชานชนที่ไม่เห็นด้วยออกมาแสดงความคิดเห็นที่ได้รับผลกระทบทางด้านการจราจร ซึ่งทำให้มาการจราจรติดขัดต่อเนื่องหลายเส้นทาง ขณะเดียวกันทางวัดพระธรรมกายเคยออกมาชี้แจงแล้วว่า การเดินธุดงค์ ไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้การจราจรติดขัด ซึ่งโดยรวมแล้วสภาพการจราจรตามเส้นทางก็มีสภาพที่ติดขัดอยู่แล้ว จึงไม่ใช่สาเหตุที่การเดินธุดงค์นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้การจราจรติดขัด



http://www.toptenthailand.com/news/detail/20151225092913548
ป.ป.ช.สั่งยึดอายัดทรัพย์ ธาริต เพ็งดิษฐ์–ภรรยา 27.47 ล้านบาท                                                               
                                
                           
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1451463325


                                                            เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 30 ธ.ค. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้เผยแพร่เอกสารข่าว เพื่อแถลงมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ว่าตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งที่ 631/2557  ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2557 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายธาริต  เพ็งดิษฐ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีนายปรีชา  เลิศกมลมาศ  กรรมการ ป.ป.ช  เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน  และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของนายธาริต  เพ็งดิษฐ์ และนางวรรษมล  เพ็งดิษฐ์  ไว้เป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2558  จำนวน  40,954,720.58 บาท นั้น

ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตรวจพบว่า นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ หลานชายของ นางวรรษมล  เพ็งดิษฐ์ คู่สมรสของนายธาริต  เพ็งดิษฐ์  มีพฤติการณ์ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริต  เพ็งดิษฐ์  และนางวรรษมล  เพ็งดิษฐ์  ซึ่งถือว่าเป็นพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สิน  คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ดังกล่าว  ได้แก่ เงินฝากและที่ดิน รวมมูลค่า  27,473,572 บาท ดังนี้ 1.  บัญชีเงินฝากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)  จำนวน  4  บัญชี  รวมเป็นเงิน 643,572  บาท และ2. ที่ดินที่อำเภอปากช่อง  จังหวัดนครราชสีมา  จำนวน  9  แปลง  มูลค่ารวม  26,830,000  บาท ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการมิให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินรายการอื่นๆ ของนายธาริต  เพ็งดิษฐ์ ที่อยู่ในชื่อของนายปิยฤกษ์  อรรถกานต์รัตน์  คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้แถลงข่าวให้สาธารณชนทราบ

http://www.toptenthailand.com/news/detail/20151230152236899



                                                            

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้