ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนานพระเกจิอาจารย์แห่งแดนสยาม
»
~ หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง ~
1 ...
6
7
8
9
10
11
12
13
14
/ 14 หน้า
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
เจ้าของ: kit007
~ หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง ~
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
131
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-27 15:49
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“สมถะกับวิปัสสนา เป็นธรรมมีอุปการะแก่พระเถระ และพระขีณาสวเจ้า แต่ต้นจนวาระสุดท้ายแห่งขันธ์ ต้องอาศัยสมถะและวิปัสสนา เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ระหว่างขันธ์และจิตที่อาศัยกันอยู่ จนกว่าขันธ์อันเป็นสมมติ และจิตอันวิสุทธิและวิมุตติจะเลิกลาจากกัน.....”
ซึ่ง
“ขันธ์”
และ
“จิต”
ของหลวงปู่ ก็ใกล้จะเลิกลาจากกันไปจริง ๆ...!
แสงตะวันที่กำลังจะอัสดงลับเหลี่ยมขุนเขา แมกไม้ หรือผืนน้ำ ย่อมจะเจิดจ้า ทอแสงจับขอบฟ้า เปล่งเป็นรังสีสะท้อนเป็นสีจ้าจับตา ดูงดงามยิ่งนัก บารมีธรรมในระยะเวลาช่วงหลัง ๆ นี้ของหลวงปู่ ก็เป็นประดุจ
“แสงตะวันลำสุดท้าย”
ที่ใกล้จะอัสดงเช่นกัน...ให้ความอบอุ่นทางจิตใจ ให้แสงสว่างในทางธรรมแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนทุกถ้วนหน้า ด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่งของท่านอย่างมิมีประมาณ
ตะวันลา...ลับแล้ว
กิจวัตรประจำวันของหลวงปู่ ระหว่างพักที่ที่พักสงฆ์เย็นสุดใจ หัวหิน ตามปกติท่านจะออกจากห้องเวลาประมาณ ๗.๓๐ น. แล้วเดินจงกรมอยู่ที่ระเบียงหน้ากุฏิเสมอ จนได้เวลาประมาณเกือบ ๘.๐๐ น. ท่านจึงจะลงมารับประเคนอาหาร แต่ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ นั้น ท่านออกมาจากห้องก่อนเวลาตามปกติ คือท่านออกมาแต่เวลา ๗.๐๐ น. แล้วเรียกพระเณรที่อุปัฏฐากท่านให้เอายามาฉัน ฉันยาเสร็จแล้ว ท่านเรียกพระ ๒ รูป ที่เพิ่งกลับจากจังหวัดเลย คือ หลวงพ่ออมรและพระสมนึก มาขอนิสัยใหม่ อีกสักพักหนึ่งประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา ท่านก็เรียกพระเณรที่อยู่และบวชใหม่ด้วย มาขอนิสัยอีกครั้ง ต่อจากนั้นท่านก็อบรมธรรมะโดยให้พระเณรนั่งภาวนาไปด้วย
เทศน์สั้น ๆ ในเช้าวันนั้น ท่านเน้นหนักในเรื่องของจิต คือให้ดูจิตของตัวเอง ภาวนาให้จิตสงบ มัธยัสถ์ปัจจุบัน ม้างกายให้มาก เพราะกรุงเทพฯ มีสีสันมาก ม้างกายจะช่วยให้หมดความกำหนัด ระหว่างที่ท่านให้พระเณรนั่งภาวนาต่อ ท่านก็ลุกไปเดินจงกรม จนกระทั่งถึงเวลาฉันเช้า เวลาประมาณ ๗.๕๐ น. ท่านจึงลงมาที่ฉันข้างล่าง
เช้าวันอาทิตย์นี้ หลวงปู่มีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใส ซึ่งเป็นปกติของท่าน ท่านทักทายญาติโยมที่มารอถวายจังหันอย่างอารมณ์ดี แต่คำพูดของท่านในวันนี้ปรารภถึงความตายบ่อยครั้ง จนคนฟังรู้สึกสะดุดใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ด้วยคิดว่าท่านคงจะเตือนให้ทุกคนระลึกถึงมรณานุสติให้มากเข้าเท่านั้น บังเอิญอาทิตย์นี้มีศรัทธาญาติโยมมาทำบุญมากพอสมควร และมีบางคน บางท่าน ได้กราบเรียนท่านว่า ระหว่างไปตลาดพบเขาขายปลา เต่า และกบ ให้คนซื้อไปทำอาหาร จึงได้ซื้อมาถวายให้หลวงปู่ปล่อยในวัด เป็นการช่วยชีวิตสัตว์เหล่านั้นให้ยืนยาวไป
หลวงปู่รับฟังแล้วก็ยิ้ม ชมว่า ดี ท่านรับประทานอาหารตามปกติ ฉันอาหารได้มากพอสมควร ไม่เป็นที่สังหรณ์ใจต่อพระเณรที่อุปัฏฐากนัก พอพระเณรฉันจังหันเสร็จเรียบร้อย ท่านก็ให้โยมที่ซื้อเต่า ปลา และกบมาปล่อยนั้น นำสัตว์เหล่านั้นไปปล่อยในวัด แล้วให้พระเณรสวดชยันโตด้วย เสร็จแล้วท่านก็อธิบายกับโยมถึงอานิสงส์ของการช่วยชีวิตสัตว์ โดยเฉพาะเป็นสัตว์ที่เขาจะนำไปฆ่า ว่ามีอานิสงส์มาก
กล่าวคือ....ทำให้อายุยืนหนึ่ง....ไม่ติดคุกติดตะรางหนึ่ง....ถึงแม้จะตกทุกข์ได้ยากก็มีคนช่วยเหลือ
หลังจากนั้น ท่านก็คุยกับญาติโยมต่อไปตามปกติ แต่มีพิเศษอีก คือท่านบอกลาด้วยว่า ท่านคงจะอยู่กับลูกศิษย์ไม่ได้นาน
“จึงขอลาล่วงหน้าไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่า หลวงปู่หลุยไม่ลาลูกศิษย์ลูกหาเลยนะ”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
132
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-27 15:50
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บรรดาลูกศิษย์ก็ยังไม่เฉลียวใจ ว่านั่นเป็นการบอกลาของท่าน แต่ก็ตามปกตินิสัยที่จะต้องรีบนิมนต์ท่านไว้เป็นการปลอดภัยไว้ก่อน จึงรีบเรียนท่านกันอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ว่า
ขอให้หลวงปู่อยู่นาน ๆ
ท่านตอบว่า
“ไม่ได้ สังขารมัน ไม่เที่ยง เอาแน่ ไม่ได้”
บางคนมีโอกาสเรียนถามท่านเรื่องการปฏิบัติภาวนา ท่านก็เมตตาตอบแนะนำให้ ได้เวลาที่หมอขอให้พัก ท่านก็ขึ้นห้อง พระเณรอุปัฏฐากขึ้นไปทำกิจวัตรประจำวันที่ห้องหลวงปู่ เตรียมเครื่องใช้ต่าง ๆ ถวายท่าน ของใดควรตั้งที่ใด ให้ท่านหยิบง่ายฉวยง่าย ของใดควรประเคนยังไม่ได้ประเคน ก็ต่างจัดทำถวาย เพราะเวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของท่าน ท่านจะอยู่ตามลำพังองค์เดียว ในช่วงเวลาระยะหลังท่านมักจะจำวัดในเวลากลางวัน แต่ตื่นทำความเพียรกลางคืนตลอดคืน ด้วยเป็นเวลาสงัดเงียบดี อย่างไรก็ดี สำหรับเวลากลางวัน ที่กำหนดในระยะช่วงเวลาหลังว่าจะเป็นเวลาจำวัดนั้น บางทีก็กลายเป็นเวลาภาวนาของท่าน หรือเป็นเวลาอ่านหนังสือ บันทึกหัวข้อธรรมะต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาหลังจากที่ท่านเข้าที่พิจารณา....ไปก็ได้
ทำกิจวัตรประจำวันถวายท่านเสร็จแล้ว พระเณรปฏิบัติท่านก็ออกจากห้องหลวงปู่มา ต่อมาอีกประมาณ ๑๐ นาที ท่านก็จากห้องมาเดินจงกรม จนถึงเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. ท่านก็เข้าห้องอีก
เวลา ๑๒.๐๐ น. ท่านออกจากห้องมานั่งตากอากาศ โดยมีหนังสือธรรมะติดองค์มาด้วย ท่านอ่านหนังสือธรรมะพักหนึ่ง แล้วก็เดินจงกรม เวลาประมาณ ๑๒.๓๐ น. ท่านก็กลับเข้าห้องพัก
เวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. ท่านออกมาเรียกพระอุปัฏฐากขึ้นไปพบปรารภให้ฟังว่า ท่านไม่ได้พักเลย รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก รู้สึกว่าลมมันตีขึ้นเบื้องบน ท่านบ่นว่า หรือเป็นเพราะว่า อาหารไม่ย่อย
แล้วท่านก็บอกให้ช่วยนวดขา เผื่อว่าลมมันจะได้วิ่งลงข้างล่าง อาการอาจจะดีขึ้น
นวดขาได้สักพักหนึ่ง ท่านก็บอกให้พอ เพราะ อาการดีขึ้นแล้ว หายแล้ว พอดีมีลูกศิษย์จากกรุงเทพฯคณะหนึ่งเพิ่งมาถึง ท่านเห็นก็เรียกให้ขึ้นไปกราบท่าน โดยท่านทักทายเป็นอันดี
“อ้อ...มาน้อ ใครบอกให้มา... ดูหน้าหลวงปู่ไว้นะ และก็จำไว้ เดี๋ยวจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว.....”
ลูกศิษย์เรียนท่านว่า
“หลวงปู่ไม่เป็นไรหรอก ขอนิมนต์หลวงปู่อยู่นาน ๆ”
พระอุปัฏฐากท่านก็เสริมว่า
“หลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นไรหรอก หลวงปู่ยังอยู่อีกนาน ขอนิมนต์หลวงปู่อยู่ถึง ๑๐๐ ปี”
ท่านตอบว่า
“...ไม่ได้หรอก ฝืนสังขารไม่ได้หรอก ข้างนอกมันดี แต่ข้างในมันเสียหมด เหมือนกับเกวียนไม้ไผ่ที่ใช้มานานแล้ว ย่อมขำรุดเป็นธรรมดา”
คุยธรรมะต่อไปอีกพักหนึ่ง พระปฏิบัติก็ขอให้โยมทำน้ำปานะถวายหลวงปู่เพราะกลัวท่านจะท้องผูก
เวลา ๑๔.๐๐ น. พระปฏิบัติตรวจน้ำตาลเป็นปกติแล้ว ถวายน้ำปานะท่านฉันแล้ว ก็นิมนต์ให้ท่านกลับเข้าห้องพักผ่อน
เวลา ๑๕.๐๐ น. ท่านเรียกพระอุปัฏฐากขึ้นไปพบ แล้วปรารภให้ฟังว่า วันนี้เป็นอย่างไรไม่ทราบ นอนไม่ได้เลย พอเอนกายลงจะไม่สบาย เวลานั่งพิงหรือเดินจงกรมค่อยยังชั่วหน่อย
พระอุปัฏฐากเสนอขอนวดเส้นถวาย ท่านตกลงยินยอม แต่สุดท้ายท่านกลับบอกให้ขึ้นเหยียบ เหยียบแต่ปลายเท้าขึ้นไปจนถึงเอว กลับไปกลับมาหลายเที่ยว แล้วก็นวดเส้นต่อ บีบตรงต้นคอ หลัง ประมาณ ๑๐ นาที ท่านก็ให้หยุด บอกว่า
ดีขึ้นมาก หายแล้ว !
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
133
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-27 15:50
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เพื่อให้ท่านหายแน่น และหายใจคล่องขึ้น จึงถวายยาหอมให้ท่านฉัน ท่านอนุญาตให้พระอุปัฏฐากออกมาได้ เพื่อท่านจะเข้าที่
บนระเบียง ณ สำนักสงฆ์เย็นสุดใจ หัวหิน ท่านจะนั่งพัก เดินจงกรม บนระเบียงนี้มาก
ภาพนี้เกือบจะเป็นภาพชุดสุดท้ายที่ถ่ายเก็บไว้ได้ ถ่ายเมื่อ ๓ ธ.ค. ๒๕๓๒
เวลา ๑๖.๐๐ น. ท่านออกจากห้องมายืนตรงราวลูกกรง ระหว่างนั้นพระเณรกำลังมารวมกันอยู่ที่ลานข้างล่าง ด้วยเป็นเวลาฉันน้ำร้อน น้ำปานะ พอดีพระอุปัฏฐากเดินผ่านไป ท่านก็กวักมือเรียกให้ไปพบ บอกว่า
“เร็วๆ มัน...มันหายใจไม่ออก มาช่วยนวดหน่อย”
พระเณรทั้งหมดก็เลยรีบขึ้นไปข้างบนกันหมดทุกองค์ บังเอิญท่านพระอาจารย์อุทัย สิริธโร จากวัดป่าถ้ำพระ อ. เซกา จ. หนองคาย พาญาติโยมจะมากราบหลวงปู่ มาถึงพอดี จึงได้ขึ้นไปด้วย
หลวงปู่ไปนั่งที่เก้าอี้ มีพระเณรช่วยกันกุลีกุจอนวดกันสักพักหนึ่ง ท่านก็ลืมตาขึ้น บอกว่า
“ดีขึ้น หายแล้ว...หายแล้ว”
เลยช่วยกันจัดที่นอนถวายท่าน ให้ท่านนอนพักก่อน
ระหว่างนั้นขอนิมนต์ท่านไปโรงพยาบาล ท่านไม่รับ บอกว่า
“หมอก็ช่วยไม่ได้ ขอตายที่หัวหิน ไม่เข้ากรุงเทพฯ ดอก สถานที่ไม่สงบเลย เราจะเข้าจิตไม่ทัน”
เมื่อท่านไม่ยอมไปโรงพยาบาล ท่านอาจารย์อุทัยซึ่งเป็นประธานสงฆ์ในขณะนั้น เห็นด้วยที่จะให้ไปตามแพทย์มาดูอาการของท่าน เพราะขณะนี้แม้ท่านจะบอกว่า ดีขึ้น หายแล้ว...หายแล้ว แต่ก็ไม่น่าไว้วางใจ ด้วยอาการมีกำเริบเป็นระยะ ๆ ท่านอาจารย์อุทัยถามว่า หลวงปู่เคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม พระปฏิบัติเรียนท่านว่า เคยมี... บางครั้งโรคของท่านกำเริบขึ้นจนถึงกับเหงื่อแตกก็ยังเคยมี
เวลาประมาณเกือบ ๑๘.๐๐ น. นายแพทย์จึงมาถึง เพราะเป็นวันหยุดวันอาทิตย์ จึงตามนายแพทย์ได้ยากกว่าปกติ หมอตรวจท่านพลางถามอาการ หลวงปู่บอกหมอว่า ท่านนอนไม่หลับมา ๒ วันแล้ว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกเลย หมอตรวจอาการแล้วบอกว่า อาการโรคหัวใจกำเริบ ทั้งอาหารไม่ย่อยด้วย ท่านตอบว่า แม่นแล้ว... หมอฉีดยาบำรุงหัวใจถวาย ๑ เข็ม พร้อมทั้งให้ยาระบายด้วย เพราะท่านบอกว่าท้องผูก
ประมาณ ๑๘.๒๐ น. หมอรอดูอาการอยู่ระยะหนึ่ง เห็นอาการดีขึ้นจึงให้สวนท้อง แล้วหมอก็กลับไป หลวงปู่เข้าที่พักเงียบ บอกไม่ให้ทุกคนกวน ท่านจะอยู่คนเดียวในห้อง พระเณรทุกองค์จึงออกมาจากห้องด้วยความเคารพในคำสั่งของท่าน แต่ก็เฝ้ารอกันอยู่ที่หน้าห้องทุกองค์ด้วยความเป็นห่วง
ราวสองทุ่มครึ่ง อาการกำเริบขึ้นอีก พระอุปัฏฐากจึงให้ใยมออกไปตามแพทย์อีกครั้งหนึ่ง นายแพทย์มาถึง ปรากฏว่าหลวงปู่กำลังพัก หมอจึงสั่งว่าถ้าอาการของท่านไม่ดีขึ้น ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
เวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. ท่านออกมาจากห้องพัก เรียกพระเข้าไปปรารภอาการให้ฟังว่า
“แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกเลย เอ...ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ แปลกจัง แต่....แม้....”
ท่านพูดเสียงดัง ใบหน้ายังยิ้มแย้ม
“ถ้าตายตอนนี้ก็ดีนะ.....”
พระเณรรุมกันเข้าไปในห้องทั้งหมด ท่านบอกธาตุขันธ์จะไม่ไหวแล้ว ขอแสดงอาบัติ พระปฏิบัติช่วยท่านครองผ้า เฉวียงบ่า แล้วประคองท่าน ท่านบอกว่า ขอแสดงอาบัติ และบอกบริสุทธิ์ต่อท่ามกลางสงฆ์
เสียงที่ท่านแสดงอาบัติและบอกบริสุทธิ์นั้นแจ่มใสยิ่งนัก แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เวลาต่อไปอีกไม่ถึง ๓ ชั่วโมง ท่านก็จะจากทุกคนไป ครั้นแล้วพระเณรก็ช่วยกันประคองท่านนั่งบนเก้าอี้
หลวงปู่กำหนดจิตต่อสักพักหนึ่ง...ใบหน้าของท่านก้มนิด ๆ เอียงในท่าอันสงบเย็นอย่างที่ท่านปฏิบัติเป็นอาจิณเมื่อเข้าที่ภาวนา.....
.....อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำเทศนาของหลวงปู่เอง ที่เคยสอนศิษย์....แลดูท่านผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลก็ดี ด้วยสมาธิก็ดี บริสุทธิ์ด้วยปัญญาก็ดี ผู้แลดูนั้น เรียกว่า
ทัศนานุตริยะ
เห็นอย่างเยี่ยม ดูไม่เบื่อ ยิ่งดูยิ่งปลื้มใจ.....
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
134
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-27 15:51
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ถูกแล้ว แม้แต่ในเวลาที่ท่านกำลังจะละขันธ์ มีพระยามัจจุราชผู้มีเสนามารเป็นใหญ่ กำลังมารออยู่แล้ว เมื่อเราทอดตา....แลดูท่าน
ก็เป็น ทัศนานุตริยะ ....เห็นอย่างเยี่ยม เห็นอย่างยอด ดูไม่เบื่อ ดูไม่จืดจาง ยิ่งดูยิ่งปลื้มใจ ....จริงแท้ !
ท่านลืมตาขึ้น นัยน์ตาใสกระจ่าง บอกพระเณรที่นั่งใจหายใจคว่ำอยู่โดยรอบ ว่า
“หายแล้ว...หายแล้ว หายเหมือนปลิดทิ้ง ! ความจริง ถ้าตายตอนนี้ก็ดี ได้ตายในท่ามกลางสงฆ์ ภูมิใจมาก...”
ท่านกล่าวเสียงดัง
“แม้....ได้ตายตอนนี้ดีทีเดียว”
พระเณรขอให้ท่านหยุดพูด ด้วยเกรงท่านจะเหนื่อย ขอให้พักผ่อนก่อนเพราะดึกแล้ว และกลางวันท่านก็ไม่ได้พักเลย
ท่านเอ็ดเสียงดัง
“ไม่ได้ ๆ ไม่พูดได้ยังไง เผื่อมีลูกศิษย์ลูกหาเขาถามท่านอาจารย์หลุยเป็นอะไร พวกท่านจะตอบญาติโยมไม่ได้ ก่อนท่านอาจารย์หลุยจะตาย ท่านพูดว่ายังไง มีอาการอย่างไรบ้าง นั่งเป็นอย่างไรบ้าง นอนเป็นอย่างไรบ้าง เอียงไปทางไหน ก็จะได้ตอบเขาได้ถูก แม้....ไม่พูด แล้วพวกท่านจะตอบเขายังไง-”
ท่านพระอาจารย์อุทัย รีบกราบเรียนท่าน
“หลวงปู่ไม่ตายหรอก!”
ท่านหันมาหาท่านพระอาจารย์อุทัย
“ไม่ตายได้ยังไง เมื่อกี้ผมเกือบตายแล้ว หายใจไม่ออก เหมือนใจจะขาด เหมือนมีอะไรมาปกคลุมอยู่ทั่ว ดูมืดไปหมด มองอะไรไม่เห็นเลย กำหนดจิตตามมันทัน มันก็เลยคืนมา...”
ท่านนิ่งไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก็เล่าต่อ
“กำหนดดูธาตุขันธ์ เนื้อหนังมันทำงาน...มันดิ้น...มันเต้น หัวใจมันทำงาน เห็นมันเต้น ตุ๊บ...ตุ๊บ ธาตุขันธ์จะเอาไม่ไหวแล้ว ต้องกำหนดจิตอย่างเดียว ตอนเมื่อกี้ กำหนดจิต ถึงคืนมา ม้างกาย จนมันสว่างโร่ขึ้น หายเหมือนปลิดทิ้งเลย”
ท่านพระอาจารย์อุทัยกราบเรียนอีก
“จิตหลวงปู่ไม่ตายหรอกครับ...ที่มันจะตายน่ะ ธาตุขันธ์ดอก”
หลวงปู่พยักหน้านิด ๆ ยิ้มรับ กล่าวว่า
“อย่างที่ท่านอาจารย์อุทัยพูดก็จริงอยู่หรอก ที่ว่าจะตายแต่ธาตุขันธ์ ....จิตไม่ตาย แต่ทุกวันนี้มันก็เหมือนเกวียนไม้ไผ่ที่ใช้กันมานานแล้ว..... ”
พระเณรช่วยกันนวดท่าน....ด้วยท่านเคยปรารภให้ฟังหลายครั้งว่าการนวดเส้นนั้นมีประโยชน์มาก นวดไล่ลมให้ค่อยยังชั่วขึ้น แต่ประการสำคัญที่สุดนั้นระหว่าง
“การคั้นเอ็น”
....สำนวนของท่าน หมายถึง การนวดเส้น ....เมื่อท่านกำหนดจิตตามจะมองเห็นเส้นเอ็น กระจก อวัยวะภายในของท่านอย่างทะลุปรุโปร่ง เป็นการ
“ม้างกาย”
ทำปฏิภาคนิมิต และทำเป็นธรรมโอสถให้โรคภัยหายได้
นวดได้ระยะหนึ่ง ท่านก็บอกให้พระเณรหยุด แล้วปรารภธรรมให้ฟังอีก ดูเหมือนจะเป็นปัจฉิมโอวาทในเรื่อง
“ม้างกาย”
ของท่านจริง ๆ โดยครั้งนี้ท่านได้นำกายของท่านออก
“ม้าง”
ให้ฟังเป็นตัวอย่าง...รวมถึงภาพการที่เวลา
“ธาตุมันจะตีลังกาเปลี่ยนภพ”
ดังที่ท่านเทศน์เสมอ ๆ.....
“สังขารของเรา ตอนนี้มันเหมือนเนื้อที่ถูกเขาฆ่าแล้ว นำไปแขวนบนตะขอ แต่เนื้อมันยังไม่ตาย มันยังดิ้นทรมานอยู่ ก้อนเนื้อที่มันดิ้นมันเต้นนั้น เหมือนเนื้อวัวที่เขาปาดออกมาใหม่ ๆ มันเต้น...ตุ๊บ ตุ๊บ ยังไงยังงั้น”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
135
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-27 15:51
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านเปรียบให้ฟังในเรื่อง
“ภาคปฏิบัติ”
ของการ
“ม้างกาย”
ไม่ใช่เพียงแค่
“ภาคทฤษฎี”
ที่เรียนมา
“ตอนที่เนื้อแยกออกจากเอ็น ออกจากกระดูก”
ท่านแจกให้ฟังเป็นส่วน ๆ แล้วก็บ่นอีก
“ถ้าตายตอนนี้ก็ดีที่ตายท่ามกลางสงฆ์ เสียดายมันหายเสียแล้ว เอ...ทำไมมันจึงหาย หายเหมือนปลิดทิ้งเลย”
ท่านกล่าวต่อไปโดยไม่ทิ้งช่วงให้พระเณรองค์ใดขัดจังหวะ ขอโอกาสให้ท่านพักเลย
"สังขารเราขณะนี้เหมือนพระจักขุบาลบำเพ็ญความเพียรมาตลอดสามเดือน... เราเหมือนกับเกวียนทำด้วยไม้ไผ่ที่ใช้มานานแล้วจะต้องผุพังลง.....”
แม้ท่านจะปฏิญาณปลงอายุสังขารแล้ว แต่หน้าท่านก็กลับแช่มชื่นผ่องใสอย่างประหลาด ท่านทอดสายตามองกวาดไปตามประดาหน้าของศิษย์ทุกองค์ แล้วปรารภปัจฉิมเทศนาในเรื่องการทำจิตให้ฟังโดยทั่วกัน
"การภาวนาหรือทำจิต ให้ดูอาการของจิต ก่อนตาย อย่าไปตามดูอาการของเวทนา ให้ดูจิตอย่างเดียว เอาจิตอย่างเดียว เวลาธาตุจะตีลังกาเปลี่ยนภพจิตจะออกจากร่าง พิจารณาตามจิต จะเห็นว่าจิตจะออกจากร่างอย่างไร ไปอย่างไรจิตจะเข้า ๆ ออก ๆ อย่างไร มืด ๆ สว่าง ๆ อย่างไร จิตจะเข้า ๆ ออก ๆ มืด ๆ สว่าง ๆอย่างนั้น เหนื่อยหอบมาก กำหนดตามจิตคืน เห็นอาการของจิตชัด ถ้าเอาไม่ทันก็ไปเลย”
ท่านย้ำว่า
“อย่าไปตามดูอาการของเวทนา ให้ดูจิตอย่างเดียว.....”
พระเณรนิ่งฟังด้วยความอัศจรรย์ใจ ที่เห็นท่านยังแสดงความองอาจแกล้วกล้า ต่อมรณภัยที่กำลังคุกคาม ท่านเทศน์เสียงดัง มีใบหน้าอิ่มเอิบด้วยรอยเมตตาไม่มีใครกล้าซักถามประการใด และไม่มีใครกล้าทัดทานไม่ให้ท่านเทศน์ด้วย แม้จะเกรงสักเพียงใดว่า ท่านจะเหนื่อยหอบ ทำให้อาการทรุดลง
เมตตาของหลวงปู่ ไม่มีประมาณจริง ๆ ....เป็น อกาลิโก ไม่อ้างกาล ไม่อ้างเวลา
เวลาสบายจึงจะเทศน์ เวลาไม่สบาย...ก็ยังไม่เทศน์...กระนั้นหรือ ?
หามิได้...ไม่ใช่เช่นนั้น !
ธรรมะของท่านหลั่งไหลออกมา แม้แต่เวลาที่ท่านกำลังอาพาธอย่างหนัก...อาพาธครั้งสุดท้ายที่จะละขันธ์ !
โอ้... เมตตาธิคุณของทาน...กรุณาธิคุณของท่าน
พระเณรเริ่มน้ำตาซึม ปลงธรรมสังเวช นิมนต์ให้ท่านพักก่อน และขอโอกาสนิมนต์ท่านไปโรงพยาบาล
ท่านยอมเข้าห้องพัก แต่เรื่องโรงพยาบาลท่านไม่ยอม
“ไม่ไปหรอก หากอาหารหนักจริง ๆ หมอก็รักษาไม่ได้ นอกจากเราจะพึ่งตัวเองเท่านั้น”
พระเณรกราบเรียนชี้แจงว่า ทุกคนเป็นห่วงหลวงปู่ อยากจะขอให้หลวงปู่ ไปเช็คร่างกายเท่านั้น ที่โรงพยาบาลหัวหินนี้ก็ได้ ท่านก็ปฏิเสธอีก
เวลาประมาณ ๒๓.๓๐ น. อาการของท่านกลับหนักขึ้นอีก ท่านออกมาบอกว่า กลับแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออกอีกแล้ว เห็นจะประคองธาตุขันธ์ต่อไปไม่ไหว คงจะต้องปล่อยวางแล้ว...เอาจิตอย่างเดียว
พระเณรอันมีท่านพระอาจารย์อุทัย สิริธโร และท่านพระอาจารย์เลิศ เขมิโยเป็นหัวหน้า จึงปรึกษากันว่า หลวงปู่เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ เป็นที่เคารพสักการะของคนทั้งประเทศ แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ก็ทรงมีพระราชศรัทธาปสาทาธิการในท่าน ทรงสดับธรรมโอวาทของหลวงปู่ ถวายพระบรมราชานุเคราะห์ตามพระราชวโรกาสอันควรเนือง ๆ แม้การสร้างขยายที่พักสงฆ์ที่หัวหินนี้ ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ถวายหลวงปู่เพื่อการนี้ด้วย หากหลวงปู่เป็นอะไรไป โดยคณะสงฆ์ผู้เป็นศิษย์มิได้พยายามติดต่อโรงพยาบาลเพื่อการรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ ก็จะเป็นที่ติเตียนได้ จึงกราบขอโอกาสเรียนชี้แจงเหตุผลเหล่านี้ อย่างน้อยไปที่โรงพยาบาลหัวหินก็ได้ เครื่องมือแพทย์ก็มีครบครัน และแพทย์จะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
136
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-27 15:51
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่เอาแต่จิตนั้นดีแล้ว แต่ธาตุขันธ์ขอให้ปล่อยวางให้หมอเขาดูแลเถิดและ
“ถ้าหลวงปู่เป็นอะไรไป จะลำบากพวกกระผม..... ”
“จะลำบากพวกกระผม !”
เหตุผลข้อหลังนี้เอง ทำให้หลวงปู่นิ่งไป ท่านคงเห็นใจพระเณรผู้ปฏิบัติอย่างยิ่ง
สุดท้ายท่านจึงยอมออกปากว่า
“สุดแล้วแต่พวกท่านจะจัดการ”
เมื่อพยุงท่านมานั่งรถเข็นนั้น ท่านยังมีสติกล่าวอย่างเมตตาต่อไปว่า
“ท่านทราบดีว่า พระเณรทุก ๆ องค์เป็นห่วงท่าน ช่วยอุปัฏฐากท่านมาอย่างดีตลอดมาท่านขอขอบใจอย่างยิ่ง การอยู่ด้วยกันอาจจะมีการกระทบกระทั่ง พลาดพลั้งไปด้วยกาย วาจา หรือใจ ตามวิสัยของครูบาอาจารย์และศิษย์ แต่ก็เป็นไปด้วยความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน หากองค์ท่านเองได้ล่วงเกินท่านทั้งหลายองค์ใดไป ก็ขออโหสิกรรมด้วย และหากท่านทั้งหลายองค์ใดได้ล่วงเกินองค์ท่าน จะด้วยตั้งใจก็ตาม หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หลวงปู่ก็ขออโหสิกรรมให้ทุกประการ”
เป็นมธุรสวาจาที่ไพเราะนัก...ที่อ่อนโยนนัก และเปี่ยมด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง วาระนั้นผู้ได้ฟังอดมิได้ที่จะระลึกถึงคำเทศนาของท่าน ซึ่งยามใดที่ท่านพรรณนาถึงความที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงเมตตา ท่านจะกล่าวว่า
“...เป็นความที่ แย้มออกมาจากน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นพระมหากรุณายิ่ง.....”
ฉะนั้น ในวาระนี้คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า ความเมตตา....แย้มมาจาก
“น้ำใจอันเต็มไปด้วยมหากรุณายิ่ง”
ของท่านโดยแท้ ด้วยท่านทราบฐานะอันแท้จริงของท่านดีว่า ท่านเป็นผู้ซึ่งไม่มีบุญไม่มีบาปจะต้องคำนึงถึงแล้ว กรรมใดไม่มีโอกาสจะแผ้วพานดวงจิตท่านได้แล้ว อโหสิกรรมสำหรับท่านจึงไม่จำเป็น แต่สำหรับพระหนุ่มเณรน้อยผู้ใกล้ชิดปฏิบัติท่าน อาจจะมีการพลั้งพลาดทางกาย หรือวาจา หรือใจได้ หากมิได้มีการขออโหสิกรรม ก็จะเป็นบาปอันมหันต์ ที่ล่วงเกินท่านผู้ทรงศีลและครองจิตอันวิสุทธิ์ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ท่านจึงได้กล่าวการอโหสิกรรมทั้ง ๒ ฝ่าย ซึ่งดูเผิน ๆ อาจจะคิดว่าท่านกล่าวตามธรรมเนียมนิยม แต่แท้ที่จริง เป็นความกรุณาอย่างลึกซึ้งยิ่งของท่าน
และยิ่งคำนึงถึงว่า ขณะที่ท่านทุกองค์....ผู้ซึ่งธาตุขันธ์ปกติ ร่างกายไม่ป่วยเจ็บ สมบูรณ์ทุกประการ มีภาระการคิดอยู่เพียงอย่างเดียว จะรักษาพยาบาลครูบาอาจารย์...ก็ยังไม่ทันนึกได้ถึงการทำวัตร ขอขมา ขออโหสิกรรมต่อท่าน จนองค์ท่านต้องเมตตาให้อธิบายกล่าวนำขึ้น ทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็กำลังแบกภาระอันเป็นทุกข์ยิ่งของขันธ์ ๕ ไว้อย่างหนักหน่วง
แต่ท่านก็มีเมตตา มีความคิดอันกว้างไกล นึกถึงศิษย์...กรุณาศิษย์อย่างเมตตายิ่ง รำลึกได้เช่นนั้น พระเณรทุกองค์จึงอดน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจมิได้...ทั้งเคารพรักท่าน ทั้งเทิดทูนบูชาท่าน ทั้งสงสารท่าน หลายองค์ถึงกับสะอื้นออกมา มีเฉพาะพระเถระเท่านั้นที่ท่านจะแสดงธรรมสังเวช เข้าใจว่าทุกองค์ท่านคงจะซึ้งใจในบัดนั้นเอง เมื่อระลึกขึ้นได้ว่า ในวาระที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานนั้น พระอานนท์ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากได้หนีไปสู่วิหารเหนี่ยวสลักเพชร (หัวลิ่มประตูทำรูปเป็นศีรษะวานร) ยืนร้องไห้อยู่
โอ้...พระองค์ผู้ทรงเป็นร่มฉัตร แผ่บารมีไปทั่วไตรภพ ที่ท่านพระอานนท์เคยถวายการปรนนิบัติรับใช้อุปัฏฐากมาช้านาน จะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้วกระนั้นหรือ.... . !
สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบ ก็ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้าตรัสปลอบใจ เป็นธรรมดาที่จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจไป จะปรารถนาให้สิ่งที่มีความทรุดโทรมเป็นธรรมดา มิให้ทรุดโทรม ย่อมเป็นไปไม่ได้ แล้วตรัสสรรเสริญการอุปัฏฐากของพระอานนท์ ที่เมตตาทั้งกาย วาจา และใจต่อพระองค์ตลอดมา โดยมิได้คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า จัดเป็นบุญกุศลอันเลิศ ต่อนี้ไปขอให้พระอานนท์เร่งตั้งความเพียรเถิด จะเป็นผู้สิ้นอาสวะโดยพลัน.....ตามรอยบาทสมเด็จพระบรมศาสดา....!
ต่อนี้ไป ขอให้ท่านทุกองค์เร่งตั้งความเพียร จะได้เป็นผู้ประจักษ์ในธรรม ตามรอยที่ครูบาอาจารย์พาดำเนินมา..... ความในประโยคหลังนี้ แม้หลวงปู่จะมิได้เอ่ยออกมาเป็นวาจา แต่สายตาของท่านก็ดูประหนึ่งจะกล่าวเช่นนั้น
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
137
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-27 15:52
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอให้เร่งทำความเพียร ทุก ๆ คนที่อยู่ร่วมกัน สามัคคีกัน กลมเกลียวกัน
เป็นปัจฉิมโอวาท....โอวาทครั้งสุดท้ายที่ท่านมอบให้คณะสงฆ์ผู้เป็นสานุศิษย์ แล้วพระปฏิบัติก็ประคองท่านขึ้นรถ ออกเดินทางไปโรงพยาบาล
ถนนขรุขระ รถจึงค่อย ๆ คลานไปอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนองค์ท่าน กระนั้นท่านยังบอกให้รถจอดพักหลายระยะ ด้วยมีอาการกำเริบ เจ็บหน้าอก
“หยุดก่อน ขอทำจิตก่อน”
“รถกระเทือน ไม่สะดวก ไม่สงบต่อการกำหนดจิต..... ”
เป็นคำพูดที่ท่านกล่าวระหว่างนั้น
ทางโรงพยาบาลเตรียมการไว้พร้อมแล้ว เมื่อท่านไปถึง ทางนายแพทย์ก็รีบให้การรักษาทันที โดยให้ออกซิเจน ให้น้ำเกลือ และฉีดยา ทำให้รู้สึกว่าอาการของท่านดีขึ้น
พระอุปัฏฐากจึงปรึกษากับแพทย์ว่าสมควรจะนำท่านมารับการรักษาต่อที่กรุงเทพฯหรือไม่ เนื่องด้วยระยะทางไกลมาก แพทย์กล่าวว่า อาจจะกระทำได้โดยทางโรงพยาบาลจะจัดแพทย์ดูแลไปด้วยในรถพยาบาล แต่ควรต้องแวะพักตามโรงพยาบาลรายทางเป็นระยะ ๆ ไปก่อน เพราะยังไม่เหมาะที่จะเดินทางรวดเดียว
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อม รวมทั้งเครื่องมือแพทย์ฉุกเฉินในรถพยาบาลการเดินทางออกจากโรงพยาบาลก็เริ่มต้น ซึ่งเป็นเวลาล่วงเข้ามาสู่วันใหม่แล้วประมาณครึ่งชั่วโมง ตอนขึ้นรถ ท่านบ่นปวดสันหลัง นั่งไม่ได้ นอนก็เจ็บอยู่ เลยจัดให้ท่านนั่งพิงไป ท่านบอกอยากให้เอาออกซิเจนออก แต่แพทย์เกรงจะเป็นอันตรายจึงไม่ยอม
รถพยาบาลออกเดินทางมาถึงเพียงประตูโรงพยาบาล ท่านก็ขยับตัวไปมาบ่นทั้งแน่นหน้าอกและปวดสันหลัง เอาขันธ์ไว้ไม่ไหวแล้ว สิ้นคำท่านก็มีอาการตัวอ่อนแน่นิ่งไป แพทย์ที่มาในรถพยาบาลดูสายออกซิเจนและน้ำเกลือ แล้วสั่งให้ย้อนรถกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ทำการปั๊มหัวใจ ดูดเสมหะ อาการไม่ดีขึ้น หมอพยายามปั๊มหัวใจจนสุดความสามารถแต่ไม่เป็นผล ในที่สุดแพทย์ก็บอกว่า หลวงปู่จากไปแล้ว
เวลานั้นเป็นเวลา ๐๐.๔๓ น. ของคืนวันที่ ๒๔ ธันวาคม หรือล่วงเข้าสู่วันจันทร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ มาแล้ว ๔๓ นาที
พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทะสาโร ได้มรณภาพแล้ว
ผ่าน......ปัจฉิมวาร.......วันสุดท้าย
สู่..........ปัจฉิมกาล......เวลาสุดท้าย
โดยให้..ปัจฉิมโอวาท...โอวาทคำรบสุดท้าย
และ เปล่ง.....ปัจฉิมวาจา.....วาจาครั้งสุดท้าย.......
ท่านผู้เป็นประดุจดวงประทีป ซึ่งโปรยปรายสายธรรมให้แก่มหาชนทั้งประเทศมาช้านานกว่าหกสิบห้าวัสสา
.....ไม่แต่ภาคอีสาน ไม่แต่ภาคกลาง
.....ไม่แต่ภาคเหนือ ไม่แต่ภาคใต้
.....ไม่แต่ภาคตะวันออก ไม่แต่ภาคตะวันตก
ท่านธุดงค์โปรดไปเรื่อย ๆ
บัดนี้ ท่านได้ลาลับดับขันธ์ไปแล้ว
ตะวันลา...ลับไปแล้ว
น้ำตาของหลายท่านหลายองค์พรั่งพรูออกมา เสียงสะอื้นดังขึ้นอย่างไม่อาจจะหักห้ามได้.....
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
138
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-27 16:25
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา
ขันธ์ ๕ เป็นภาระแล
ภารหาโร จ ปุคฺคโล
แต่บุคคลก็ยังยึดถือภาระไว้
ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก
การถือเอาภาระเป็นทุกข์ในโลก
ภารนิกฺเขปนํ สุขํ
การปล่อยวางภาระเสียเป็นสุข
นิกฺขิปิตฺวา ครุภารํ
ครั้นปล่อยวางภาระอย่างหนักได้แล้ว
อญฺญํ ภารํ อนาทิย
ไม่ยึดถือสิ่งอื่นเป็นภาระอีก
สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห
ถอนตัณหาพร้อมทั้งรากได้แล้ว
นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโตติ
หมดความปรารถนาแล้ว ปรินิพพานดังนี้แล
http://www.dharma-gateway.com/mo ... ouis-hist-04-14.htm
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
139
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-9-12 17:24
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54675
140
#
โพสต์ 2013-12-11 00:43
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบคุณครับ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
1 ...
6
7
8
9
10
11
12
13
14
/ 14 หน้า
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...