ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง ~

[คัดลอกลิงก์]
121#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มนุษย์โอนไปทางโลกีย์มากกว่าประพฤติศาสนา ที่จะเอาตัวรอดจากอบายภูมิทั้ง ๔ ได้ ฉะนั้นนักปราชญ์เลือกค้นเอา ประพฤติปฏิบัติเอา เอาความดีไปนิพพาน เอาความชั่วไปอเวจีนรก มนุษย์เป็นชาติที่สูงสุดปรารถนาสมบัติอะไรก็ได้ทั้งสิ้น ไม่ตกต่ำเหมือนชาติอื่น ๆ ภพอื่น ๆ ภพเหล่านั้น ธาตุไม่พอ เป็นชาติที่ขาดมรรคผลนิพพาน มนุษย์เป็นฐานะที่จะสร้างบารมีให้สำเร็จได้ ไม่มีความสงสัยด้วยประการใดประการหนึ่ง”

อุบาสก เรียกว่า เป็นพ่อพระ อุบาสิกา เรียกว่า เป็นแม่พระ พระ แปลว่า ประเสริฐ ดังนี้

ธรรมชาติโลกีย์เป็นสถานถิ่นที่แปรปรวน เพราะไม่เที่ยง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ยักย้ายแปรผันอยู่เป็นนิตย์ ธรรมชาติโลกุตระเป็นสถานที่เที่ยงธรรม เป็นโลกเหนือโลกทั้งหลาย เป็นโลกที่เกษม เป็นโลกที่ไม่ตายเหมือนโลกมนุษย์

บุคคลที่แลเห็นธรรม สิ่งที่แปรปรวนว่าเป็นของร้ายกาจ แล้วปฏิบัติศาสนา เดินมรรคให้ถึงมรรคผลนิพพาน แม้จะปริยาย ชาติมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด โลกียะเป็นโลกที่แปรปรวนไม่เที่ยงธรรม เพราะทำตามราคะ โทสะ โมหะ ตามมติกิเลสของตัว


“๓ ส.ค. ๒๕ ถ้ำผู้ข้า

ถ้ำผู้ข้าเยือกเย็นที่สุด วิเวกดีที่สุด พระโยคาวจรภาวนาได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นถิ่นที่รับรองพระโยคาวจรทั้งหลายที่โคจรมาจากจตุรทิศทั้ง ๔ พึ่งร่มพึ่งเย็นของคณะญาติโยมที่ก่อสร้างไว้แล้ว

ฉะนั้นต้องเดี๋ยว ๆ เวียนมาพักเจริญสมณธรรม ถ้ำผู้ข้าเสมอไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต สถานที่สัปปายะ เจริญสมณธรรมระย่อระยองสะท้อนถึงจิตเสมอไป จิตใคร่ใช้ตบะอย่างยิ่ง ห่วงทำความเพียรเสมอไป ธรรมะเกิดขึ้นในจิตแปลก ๆ ชอบเจริญวิปัสสนาโดยมาก ธาตุขันธ์ให้โอกาสทำความเพียร ไม่นั่ง ๆ นอน ๆ ยืน ๆ เดิน ๆ เสียเปล่า วันเวลาเป็นเงินเป็นทอง อย่าให้ล่วงไปเสียเปล่า

สมณะเป็นสมณะที่ดี รักษาความสงบ จิตไม่ส่งเดชฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ให้เสียความสงบทางใจให้เสียไป

สานุศิษย์คั้นเอ็น ปรากฏว่า เห็นอวัยวะภายในได้หมดทุกอย่างแต่อดเจ็บไม่ได้ เป็นโรคหายด้วยคั้นเอ็นโดยกว่ากินยา ร่างกายปกติ โรคชราพาธนั้นเป็นธรรมดาของสังขาร ภาวนาแนบเนียนดีกว่ายังเป็นหนุ่มเพราะคิดถึงความตายนั้นเสมอ มีความประมาทน้อย หนุ่มประมาทมาก จิตเดินทางวิปัสสนาโดยมาก รู้เอง เห็นเองของธรรมะทั้งปวง ความตายผ่านมาหลายครั้งเนื่องด้วยโรคหัวใจวายโดยมาก ลืมเผลอสติโดยมาก การเทศนามีโวหารขึ้นหน้า โดยปฏิภาณ เทศนามากทำให้แน่นหัวใจ นายแพทย์จึงบอกไม่ให้รับแขกและเทศนา


“๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕ ถ้ำผู้ข้า

เมื่อคราวเราอยู่กะท่านอาจารย์มั่น ห้วยหีบ จ. สกลนคร นั้น เราทรมานตนอย่างขนาดใหญ่ มีประการต่าง ๆ กำลังม้างกาย ประกอบจิตเด็ดเดี่ยว กล้าตาย ส่งเข้าภายใน มารตัวสำคัญ คล้ายมันปัดออก แต่เราสละตายเข้าไป เกิดระเบิดใหญ่ภายในนั้น

ข้อ ๑ ถือธรรมะนิสัยท่านอาจารย์มั่น จึงชนะได้

ข้อ ๒ เราเข้าป่า หัดม้างกายอย่างเต็มที่ จนร่างกายเกิดวิบัติจนกระดูกคล้าย ๆ ออกจากกัน แม้เราเดินเสียงกรอบกราบ แต่นานไปหาย มีกำลังทางจิต

คราวท่านอาจารย์มั่นไปจุดศพ (เผาศพ... ผู้เขียน)

122#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านอาจารย์เสาร์ ณ จังหวัดอุบลราชธานี นั้น เราเดินจงกรม ระลึกถึงท่านเป็นที่พึ่งพร้อมทั้งอิทธิบาท ๔ ไม่ละซึ่งความเพียร”

มีมารกระทบ นอนสะพาน มีผู้หญิงไปหาโดยไม่ตั้งใจ นั้น ครั้ง ๑

มีพระหนุ่มมาฟ้องท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์มั่นดุเอา ประกาศต่อสงฆ์ ทำสังคายนาใหม่ ดังอย่างร้ายกาจทุก ๆ คราว ตามที่พรรณนามานี้

คราวอยู่กะท่านอาจารย์เสาร์ เรามาทรมานภาวนาในถ้ำโพนงาม นั้นก็ร้ายกาจเต็มที่ ประกอบด้วย เสือ งู สัตว์ต่าง ๆ กับท่านอาจ เกิดวิบัติแทบเอาตัวไม่รอด อยู่ถ้ำนั้น ในระยะหลายเดือน เกิดวิบัติเกือบปลงสังขาร

มาเกิดวิบัติ มาจำพรรษากับท่านอาจารย์เสาร์ ณ วัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนครนั้น ก็เกิดวิบัติเกือบเอาตัวไม่รอด ร้ายแรงมากทีเดียว


ศาลาถ้ำผู้ข้าที่ท่านต่อเติม
ให้กว้างขวางขึ้น


พ.ศ. ๒๕๒๕ มาจำพรรษา ถ้ำผู้ข้า เกิดธรรมะอัศจรรย์เมื่ออายุ ๘๒ พรรษา ๕๗ เกิดความรู้แปลก ๆ อาศัยกำลังสมถวิธี และวิปัสสนาวิธี แก้เรื่องหัวใจโต แก้หัวใจวาย แก้โรคนานาประการ เกิดมีพร้อมชราพาธไปต่าง ๆ รู้สึกตัวเสมอว่าจะตายเร็ว ๆ อยู่ด้วยกำลังนวด และกินยา จิตวิเวก กำลังภาวนาธาตุขันธ์ปกติ การเจริญภาวนา สมถะ และวิปัสสนา เกิดธรรมรู้แยบคายมาก

อยู่ ณ กรุงเทพฯไม่ได้วิเวก รับแขก เทศนามาก หัวใจวาย เกือบตาย ที่บ้านจำพรรษาคุณประเสริฐ นั้นครั้งหนึ่ง เกิดจากโรงพยาบาลแพทย์ปัญญาอีกครั้งหนึ่ง มาจำพรรษาถ้ำผู้ข้า โรคจึงบรรเทามาดังนี้

มาอยู่ ณ ที่นั้นบุคคลดี อาหารดี อากาศพอทนอยู่ไปได้ เสนาสนะดี หมู่เพื่อนสหธรรมิกดี ญาติโยมดี แต่ทำร่มประจำเรื่อยๆ ไม่ท้อถอยและมีการปรับปรุงก่อสร้างใหญ่โต ดูแลพร้อม หนองผือ นาใน การก่อสร้างให้เสร็จไป เพื่อยุวชนในกาละภายหลัง มีความเพียรโดยไม่จืดจาง พระเถรานุเถระมีเมตตาถึงกัน น่าปลื้มใจในเขตจังหวัดสกลนคร

ไปเที่ยวอินเดีย เห็นปาฏิหาริย์หลายอย่างในสถานที่ตรัสรู้ ตลอดจนเห็นสถานที่ปรินิพพานของพุทธองค์ ภาวนาทำจิตได้ง่ายกว่าอยู่เมืองไทย เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายท่านเมตตา ภาวนาการทำจิตได้เร็วกว่าอยู่เมืองไทย เข้าจิตถึงอริยสัจเสมอไป กำหนด ๑๕ วัน กลับเมืองไทยด้วยเครื่องบิน ล้วนแต่เป็นสถานที่เป็นมงคลทั้งนั้น ค่าพาหนะเดินทางเสียเงินไปมาก ดุจประหนึ่งว่าเราเกิดอินเดียมาหลายชาติ สร้างบารมีครั้งสุดท้าย มาเกิดเมืองไทย ผู้คนพลเมืองหนาแน่น มีลัทธิร้อยแปด นักพรตในอินเดีย ประสบโจรลักถุงย่ามในที่พักรถไฟ”

เมืองไทยทำความเพียรจนหัวปอกหัวลอกจึงเห็นธรรม ไม่ง่ายเหมือนอยู่อินเดีย นอนโรงแรมราคาสูง

เกิดมาในโลกมนุษย์ ทุกข์มาก รู้สึกเป็นอย่างยิ่ง จึงพยายามเจริญสมณธรรม ให้สิ้นทุกข์ในชาตินี้ ทุกข์ปัญจขันธ์ก็พออยู่แล้ว ทุกข์ภายนอกกลัวอันตรายทุกอย่างที่มนุษย์เบียดเบียนกัน ฆ่ากัน แย่งชิงกัน อาชีพเพื่อลาภยศบ้าง สารพัดทุกอย่าง สุขแต่ผู้มีธรรมะเป็นเรือนของใจ ไม่มีธรรมะเป็นทุกข์อย่างยิ่ง.

ถ้ำผู้ข้า ๔ กันยา ๒๕๒๕

ดีใจได้สงเคราะห์ แม่ชี...บ้านหนองผือ นาใน ๒ คราว พันกว่าบาท ครั้งแรก ๖๐๐ บาท ครั้งที่ ๒ ๕๐๐ บาท จ้างฉีดยา แม่เป็นมะเร็งทวารเบา แม่เบ่งอาตมาออกมาเป็นมนุษย์ กล่อมเลี้ยงดูอาตมาสืบตระกูล นี่พูดตามพระไตรปิฎก พระองค์ตรัส มนุษย์เกิดมาในโลก ไม่เคยเป็นพ่อ เป็นแม่กันนั้นไม่มีดังนี้
123#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“๗ ต.ค. ๒๕

อยู่บ้านผือ ภาวนวดีมากกว่าอยู่แห่งอื่น เพราะสถานที่พระอริยเจ้า ท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์เนียม ประทับอยู่ ณ ที่นั้น เป็นสถานที่เป็นมงคล สถานที่เตือนสติบ่อย ๆ คล้ายอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ความรู้ธรรมะลึกลับสุขุมคัมภีร์ภาพ ฉะนั้นการบำรุงก่อสร้างจึงทำให้ถาวรมั่นคง รุ่งเรือง ให้สมฐานะกับสถานที่เป็นมงคล เทศนามีปฏิภาณดี บุคคลสอนง่าย อุบาสกอุบาสิกากลัวเรามาก เพราะเราทรมานเขามาแต่ก่อน ดุด่าเขาไม่โกรธ อยู่ได้แต่ออกพรรษา เข้าพรรษาอยู่ไม่ได้ อากาศทับ ถ้ำผู้ข้าอากาศดี มีถ้ำเป็นมงคล บ้านผือสงัดดีกว่า เกิดธรรมะ สถานที่วิเวกดีมาก พระเณรเราว่ากล่าวสั่งสอนได้”

“ถ้ำผู้ข้า ๒๔ ต.ค. ๒๕๒๕

มนุษย์เกิดมาในโลก มีบิดามารดา พี่ ๆ น้อง ๆ และวัตถุข้าวของในปัจจุบันที่เกิดนั้น ประกอบด้วยจิตมีราคะ โทสะ โมหะ เหล่านี้พากันรักใคร่ เพลิดเพลิน เห่อกัน ฉะนั้นมีราคะ โทสะ โมหะ เพราะติดภาพ ติดชาติ ติดโลกธรรม ๘ ประการ ไม่เพียงพอ อยากได้โน้น อยากได้นี้ ความพอความอิ่มในดวงจิตไม่เพียงพอ แม้แม่น้ำทะเลยังรู้จักบกพร่องหรือเต็มดังนี้ นั่นแหละเป็นเรื่องตัณหาของโลก จึงพากันประพฤติทุจริตต่าง ๆ พากันทำบาปนานาประการ เมื่อบุคคลฟังโอวาทคำสั่งสอนพุทธเจ้า รู้สึกตัว ปฏิบัติมรรคผลให้เกิดขึ้นก็พ้นโลกไป ข้อนี้เป็นข้อลี้ลับสุขุม จะต้องอบรมในศาสนาให้มาก ๆ เพื่อแก้สันดานที่หยาบ ๆ ของตนให้ถึงมรรคผล ให้เชื่ออริยสัจความจริงของศาสนา นรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ๆ ให้เกิดความเลื่อมใสในศาสนา”

ผู้ที่จะเห็นมรรคผลนิพพานจริง ๆ ต้องเพียรตปะความเพียรอย่างยิ่ง ทรมานตัว นอนใจไม่ได้ เกียจคร้านไม่ได้ เพราะมรรคผลนิพพานมีจริง ๆ ประมาทนั้นไม่ได้ ต้องเดินสายมรรค ๘ ประการ เป็นหนทางของพระอริยเจ้า และพุทธเจ้า พระปัจเจก อรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย

ภาวนาถึงหลักอริยสัจ นิมิตแสดงออกมาให้ปรากฏรูปร่างเหมือนมนุษย์ที่บริสุทธิ์ ต่อนั้นน้อมนิมิตให้เป็นไตรลักษณ์ เพราะนิมิตนั้นจะแปรปรวนเป็นอาการต่าง ๆ จะติดดี แก้ความดีให้เป็นอริยสัจ กลั่นกรองให้เป็นชาตินิพพาน ข้อนี้สำคัญนัก


“๒๕ ตุลาคม ๒๕๒๕ พักภูทอก ๓ คืน

ฝันลุยน้ำ ปั้นผ้าอาบน้ำ และลืมผ้า ต่อไปจะได้รับทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง ประกอบการก่อสร้าง ฝันตามที่ผ่านมาแล้ว ลุยน้ำลึกแต่ไม่ได้ลอยน้ำนั้น น้ำแปลว่า โอฆะ เป็นกรรมมาจรให้ระวังตัว

พิจารณาภาวนาเดี๋ยวนี้ไม่มีความฝัน เพราะก่อนนอนได้นอนหลบนิมิตทั้งหลาย เพราะเห็นว่านิมิตนั้นเป็นมาร เป็นตัวสังขาร จึงเอาไตรลักษณ์ล้างเช็ดให้บริสุทธิ์ก่อนนอน

ภาวนาไตรลักษณ์ทุกขณะจิต ให้เห็นภายในสว่างเสมอไป เป็นตัววิปัสสนา ล้างเช็ดให้จิตสะอาด ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน อย่าประมาทด้วยประการใดประการหนึ่ง


“๕ พ.ย. ๒๕๒๕ ถ้ำผู้ข้า

สมถะรับระงับนิวรณ์ได้ชั่วคราว เสียความสุขด้วยความสงบแต่กิเลสเกิดขึ้นอีก ส่วนวิปัสสนารู้แจ้งแทงตลอด ทำให้สิ้นกิเลสได้หัวใจไม่มีพิษมีภัยด้วยนานาประการ จิตเกษม จิตอมตธรรม จิตอกุปธรรม จิตไม่กำเริบ จิตคงที่เพราะจิตรู้แจ้งแทงตลอด

ไตรลักษณ์ม้างไปได้ทั้งไตรภพ มีอำนาจเหนือโลกีย์ โลกุตระเป็นโลกหนึ่งต่างหาก

แก่ชราพาธ ร่างกายเหี่ยวแห้ง หมดยาง กำลังไม่ติดต่อ กำลังน้อย อ่อนเพลีย อิริยาบถผิดอนามัยแล้วไม่ได้ ธาตุแปรปรวน ชักชวนให้ล้ม เดินไปมาคล้ายกับเด็กหัดเดิน ซวนหน้าซวนหลัง ไปไม่ตรง มีคนอื่น

พยุงเรื่อย ๆ เว้นจากพระพิลาอุปัฏฐากนั้นไม่ได้ ต้องบำรุงยาฉันเสมอ พอพยุงตัวไปได้ แต่จิตแน่นหนาในทางธรรมะ เพราะระลึกการตายเสมอ ความประมาทน้อย แต่กำลังจิต กำลังโคจรสะดวก แต่ร่างกายเดินไม่ไหวเหมือนยังหนุ่ม ชอบสันโดษ มักน้อยด้วยปัจจัย ๔ เพราะระลึกถึงความตายจะสะสมไว้ทำไม รีบบริจาคยังมีชีวิตอยู่

การทำบุญต่ออายุ เห็นอานิสงส์ปัจจุบันเป็นอัศจรรย์อย่างใดอย่างหนึ่งฉะนั้น พระยาพิมพิสารบำเพ็ญอุทิศถึงเปรต เปรตได้รับอนุโมทนาไปเกิดบนสวรรค์ การทานมีแรงกล้าถึงขนาดนั้น

124#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ภาวนาจิตเดินถูกมรรคสะดวกมาก ไม่ขัดข้องด้วยประการใด ๆ เพราะเป็นหนทางของพระอริยเจ้า เดินผิดมรรค ถูกนิวรณ์ครอบงำ จิตลำบาก มาก

อยู่ประเทศอินเดีย ภาวนาง่ายที่สุด ไม่ต้องชำระนิวรณ์ ภาวนาจิตถึงอริยสัจเลยทีเดียว เพราะวิญญาณพระอรหันต์อุ้ม อินเดียเป็นต้นศาสนา พระอรหันต์นิพพานในที่นั้นมาก ช่วยพระ คนทุกข์ คนจน ท่านอุ้มชู

พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายถือธุดงค์บริสุทธิ์ดีแล้ว เทพต้องไปเยี่ยม พระจะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม เทพไปเยี่ยม...ท่านอาจารย์มั่นพูด

ถ้ำผาบิ้งเป็นมงคล ๒ อย่าง พระอรหันต์อุบาลีนิพพานในที่นั้น ๑ มีนาครักษาอยู่ ณ ที่นั้น ๑ พระโยคาวจรเจ้าภาวนาจึงสะดวกมากเป็นสถานที่เป็นมงคล อาจารย์มั่นจำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น รู้อภิธรรมไปอื่นลืม ? ท่านอาจารย์สิงห์สำคัญตนสำเร็จดุจ...พระโมคคัลลาน์

ท่านอาจารย์บุญสำเร็จถ้ำ...อ. ผือ จ. อุดร

ภาวนาธาตุนาเวิง คิดถึงพระอริยเจ้า ภาวนาบ้านหนองผือ คิดถึงท่านอาจารย์มั่น ท่านเนียม ท่านทั้งสองเป็นพระอริยเจ้า

ความสันโดษนั้นเบากาย เบาใจ เพราะไม่มีการสะสมปัจจัย ๔ จะสะสมไว้ทำไม ญาติโยมเขาเลี้ยงอยู่แล้ว ลาภเหลือแล มีโอกาสภาวนา ให้ยิ่ง

ถ้ำผู้ข้า ๑ ก.ย. ๒๕

เจริญกายานุปัสสนา ตั้งแต่เท้าขึ้นถึงบนศีรษะ ตั้งแต่บนศีรษะถึงเท้า เป็น ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ทำให้มากแล้ว ทำให้ชำนาญแล้วทำให้คล่องแคล่วแล้ว จะเกิดนิพพิทาญาณ คือ ความเบื่อหน่ายในอวัยวะทุกส่วน แล้วเจริญความเบื่อหน่ายให้มาก แล้วจะเกิด วิราโค แปลว่าสำรอก ออก ไม่ยินดีในกามคุณ มรคุณ จิตจะถึงความเกษม ไม่มัวเมาใน กาม คุณ

ที่จะเปลี่ยนใจไปสู่ภพใหม่นั้น มัจจุราชมายาทุกอย่างมันพอจึงเข้าถึงความตาย ตายดีไปสวรรค์ ตายทั่วไปสู่ทุคติภพ มี ๒ อย่างเท่านั้น ถ้าสิ้นกิเลสแล้วก็ไปนิพพาน ไม่ปรารภเกิดในภพน้อยใหญ่

ถ้าเดินมรรคไม่พอ ยังคานิมิตดีและชั่วอยู่ เพราะอ่อนทางวิปัสสนา ล้างเช็ดกิเลสไม่หมด

ภาวนา ณ ถ้ำผู้ข้า เดินทางวิปัสสนา จิตสว่างไสวดี ปรุโปร่งดี รู้แต่เท้าถึงศีรษะ ทวีขึ้นทวนลง อนุโลม ปฏิโลม เพ่งไตรลักษณ์ลบเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสทั้งหลายให้เห็นอมตธรรม เห็นปกติของจิต ให้จิตเป็นอกุปธรรม ไม่ให้จิตกำเริบ ให้รู้แจ้งแทงตลอดอยู่เป็นนิตย์ ด้วยกำลังวิปัสสนา ไม่ใช่กำลังวิปัสสนู

พิจารณาการตายไปสู่ภพใหม่ จะเป็นกิริยาอย่างไร ในขณะที่ธาตุขันธ์จะตีลังกานั้นแหละ ใจหาย ขวัญเสีย เอาสติได้เป็นการดี ถ้าเอาไม่ได้ก็เสียท่าใหญ่โต ความรู้แจ้งแทงตลอดของอวัยวะ เป็นสมบัติอย่างยิ่ง แลเห็นอริยสัจด้วยความจริง

125#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“๑ พ.ย. ๒๕ ถ้ำผู้ข้า

กายานุปัสสนา กรรมฐาน ๕ เป็นมรรคที่จิตเดินถูกต้อง เร่งความเพียร เดินมรรค เป็นหนทางของพระอริยเจ้า

ร่างกายอวัยวะเป็นธรรมะที่แปรผันอยู่ในไตรลักษณ์ เมื่อเห็นความไม่จริงแล้ว ย่อมเห็นความจริงของอริยสัจ จิตไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น แก้ไขเดินมรรคให้ถูกเป็นอันที่แล้วกัน เดินมรรคผิดแล้วยุ่งวุ่นวายใหญ่โต


“๘ พ.ย. ๒๕ ถ้ำผู้ข้า

อยู่ ณ ถ้ำผู้ข้า ภาวนาสงัดดี ศิษย์เอาใจใส่อุปัฏฐากดี อาหารดี อากาศ อยากเจ็บเวลาฝนตก สนใจในการภาวนามาก เกิดความรู้แปลก ๆ ละเอียดสุขุม สถานที่เป็นมงคล ญาติโยมว่าง่ายสอนง่าย ภาวนาถึงหลักของจิต เพ่งนิมิตให้ละลายเป็น ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา แต่ไม่ฝัน เพราะภาวนาล้างอนุสัย เพ่งร่างกายปรุโปร่งตลอดทั่วไปของร่างกายและลึกซึ้ง

จิตหายสงสัยทางนิวรณ์ ไม่รับนิมิตพิจารณา เพราะนิมิตเป็นตัวสังขาร

อาพาธค่อยหายไปเรื่อย ๆ เพราะคั้นเอ็น (นวดเส้น...ผู้เขียน) แต่เดินทางไกลไม่ได้เจ็บขาข้างขวา แน่นหัวใจ มักมีบ่อย ๆ ไม่อยากอาหาร กินไปก็พอกิน มักเวียน เป็นลมเป็นบางวัน ลุกนั่ง เดินลำบาก เดินคล้ายเด็กหัดเดิน เพราะชรา อวัยวะบกพร่อง กำลังน้อย อ่อนเพลีย ต้องเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ นั่งนานเส้นตึง อายุแก่เท่าไรยิ่งเห็นความลำบากของร่างกาย

พิจารณาตามเรื่องของสังขาร แต่อย่าทิ้งไตรลักษณ์ ลบล้างให้หายไป อย่าปรุงมันขึ้นมา เห็นความไม่เที่ยง แล้วเห็นเที่ยงของอริยสัจ


http://www.dharma-gateway.com/mo ... ouis-hist-04-13.htm
126#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พรรษาที่ ๕๙-๖๕ พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๓๒

แสงตะวันลำสุดท้าย

พ.ศ. ๒๕๒๖ และ ๒๕๒๘ จำพรรษา วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) กิ่ง อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย

พ.ศ. ๒๕๒๗ และ ๒๕๓๒ จำพรรษา ที่พักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร

พ.ศ. ๒๕๒๙-๒๕๓๑ จำพรรษา ทีพักสงฆ์เย็นสุดใจ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

จากพรรษา ๕๙ ถึงพรรษา ๖๕ จัดได้ว่าเป็นช่วงปัจฉิมกาลของหลวงปู่จริง ๆ ท่านมีอายุยืนยาวมาถึงกว่า ๘๐ ปี อายุ ๘๒ - ๘๘ พรรษา เมื่อสมเด็จพระบรมครู...สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงปลงพระชนมายุสังขาร เสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพานนั้นก็มีพระชนม์เพียง ๘๐ พรรษาเท่านั้น หรือแม้แต่ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตบูรพาจารย์ของท่านก็ละสังขารไปเมื่ออายุ ๘๐ ปีพอดี องค์ท่านมีอายุเกินกว่าแปดสิบมาหลายปีแล้ว แต่หลวงปู่ก็ยังเมตตา นำพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา สวดมนต์ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น ตลอดจนเทศนาอบรมสั่งสอนและนำภาวนามิได้ขาด โดยการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น หลวงปู่ได้มีแบบฉบับของหลวงปู่เอง ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว โดยหลวงปู่จะน้อมนำให้ระลึกถึง คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างน่าซาบซึ้งก่อนแล้วจึงให้สวดบาลีต่อไป

ถึงแม้ว่าหลวงปู่จะเจริญด้วยวัยอันสูงยิ่ง และมีสภาพสังขารดังที่หลวงปู่บันทึกไว้ว่า

“...คำนวณชีวิตเห็นจะไม่ยั่งยืน ร่างกายบอกมาเช่นนั้น ทำให้เวียนศีรษะเรื่อย ๆ แต่มีสติระวังอย่าให้ล้ม มีคนอื่นพยุงเมื่อ.... ”

และ

“....ธาตุขันธ์ทำให้วิงเวียนอยู่เรื่อย ๆ คอยแต่จะล้ม ต้องระวังหน้า ระวังหลัง..... ”

ท่านก็ยังมีเมตตาไปโปรดเยี่ยมลูกศิษย์ตามที่ต่าง ๆ บ่อยครั้ง โดยทุกครั้งจะไปวันละหลาย ๆ บ้าน และทุก ๆ บ้านท่านมักจะอบรมเทศน์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

นึกถึงวัย นึกถึงสังขาร ผู้ที่มีอายุปานนั้นแล้ว ควรจะพักผ่อนได้แล้วแต่กลับมาเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ท่านไม่น่าจะปฏิบัติภารกิจเช่นนี้ได้ไหว แต่หลวงปู่ก็ยังคงมีเมตตาอยู่เช่นนั้นเสมอมา บำเพ็ญตนดุจเหล็กไหล ไปมาคล่องแคล่วว่องไวแทนที่ลูกศิษย์จะเป็นฝ่ายมากราบนมัสการเยี่ยมท่าน ท่านกลับไปเยี่ยมลูกศิษย์เสียเอง.....

เมื่อดูจากภายนอก ท่านเป็นเสมือนบุรุษเหล็ก แต่จากบันทึกที่ค้นพบปรากฏว่า องค์ท่านเองกลับเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ดังที่ว่า

“....เราสละชีวิตให้ญาติโยมมาดูดกินเนื้อเลือดของเรา....”

มีอยู่หลายครั้งที่ท่านสารภาพว่า การเทศน์ก็ดี การอบรมก็ดี ดูดกินกำลังของท่านไปหมด จนแน่นหน้าอกแทบหายใจไม่ออก แต่ท่านก็อดทนทำ ด้วยว่าเป็นกิจของศาสนา....ตามที่ท่านว่า


ปี ๒๘ ท่านรับผ้ากฐินของวัดด้วย

ในปีพรรษา ๕๙ (พ.ศ. ๒๕๒๖) และพรรษา ๖๑ (พ.ศ. ๒๕๒๘) หลวงปู่เมตตาไปโปรดญาติโยมทางจังหวัดหนองคาย โดยไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) และโดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ นั้น ท่านได้กรุณารับผ้ากฐินของวัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) ด้วย

ความจริงที่ภูทอกนี้ ท่านได้เคยไปวิเวกพักผ่อนแล้วหลายครั้ง แต่ปี ๒๕๒๑ เป็นต้นมา เช่น มาร่วมในงานกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง ปี ๒๕๒๕ ท่านมาในงานกฐินรับผ้าป่า แล้วท่านบันทึกไว้ว่า
127#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ภูทอก” ซึ่งมาอยู่ใหม่ ๆ วันที่ ๒๒ ต.ค. ๒๕

ภาวนามีชีวิตต่อดี เป็นสถานที่เป็นมงคล ภาวนาอวัยวะปรุโปร่งดี สงัดวิเวกดี...มีเทพศักดิ์สิทธิ์ประทับอยู่ บุคคลยังภาวนา ยังไม่เป็นไป ยุ่งอยู่กับการงานค่าครองชีพ ยังไม่เห็นอานิสงส์ของศาสนาเต็มที่ ขาดครึ่ง ๆ กลาง ๆ การก่อสร้างถาวรมาก เทียบกับวัดเอราวัณ ถ้ำผาปู่ ถ้ำขาม ถ้ำผาบิ้ง

“สร้างถาวรมั่นคง รุ่งเรืองดี ทันสมัยนิยม แม้...สิ้นเงินเป็นล้าน ๆ ทีเดียว เราเทศน์ไปดูเหมือนไม่เข้าใจเท่าไร”

“ต่ออนาคตจะเป็นเจดีย์ที่สำคัญของประเทศไทย เป็นที่อัศจรรย์แห่งหนึ่งของประเทศไทย ทัศนาจรของคนต่างจังหวัด จะหาสมภารเหมือนท่านอาจารย์จวนยากนัก เพราะพุทธศาสนิกชนเลื่อมใสท่านมาก หาเงินก่อสร้างและปกครองพระภิกษุ เณร ได้ดียิ่งกว่าเรา”

“ภาวนาข้างบน
(บนภูเขา....ผู้เขียน) ดี ข่าวล่างภาวนาไม่ค่อยดี ที่เราได้ผ่านมาแล้ว ปรากฏเป็นอัศจรรย์”

“ถ้ำผาปู่ ๑ ถ้ำขาม ๑ ภูทอก ๑ ถ้ำเอราวัณ ๑ ถ้ำผาบิ้ง ๑ ถ้ำมโหฬาร ๑ ทุ่มเทเงินการก่อสร้างมากมาย ของประเทศไทยน่าอัศจรรย์เป็นหลักวัดป่าที่วิเวกของประเทศไทย เป็นขวัญตาขวัญใจของประเทศไทย ชาวพุทธศาสนิกชนทัศนาการ ต้องคัดเลือกอาจารย์ที่สำคัญอยู่ จึงสมกับฐานะของถ้ำที่เป็นมงคล”

“ภูทอก เป็นสถานทัศนาจรหลายแห่ง มีสถานที่ใกล้ ๆ กัน สะดวกแก่พระโยคาวจรเจ้าเจริญภาวนา ล้วนแต่บุคคลเป็นเศรษฐีการก่อสร้างทั้งนั้น”


เป็นที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่มาพบบันทึกของท่าน ที่บันทึกไว้แต่ปี ๒๕๒๕ ว่า

“ต่ออนาคตจะเป็นเจดีย์ที่สำคัญของประเทศไทย เป็นที่อัศจรรย์แห่งหนึ่งของประเทศไทย“

ขณะนั้น เดือนตุลาคม ๒๕๒๕ ความคิดที่จะสร้างเจดีย์โดยเสด็จพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังเพิ่งเริ่มต้น ยังมิได้มีการหาทุนมาเพื่อสร้างเลย เพราะบรรดาศิษย์กำลังกังวลเรื่องจะช่วยจัดสร้างเจดีย์ถวายหลวงปู่ฝั้นให้เสร็จสิ้นก่อนและเราก็มีความคิดสั้น ๆ เพียงว่า จะทำเจดีย์เพียงแค่ ๓-๔ ล้านบาท และความจริงเงิน ๓-๔ ล้านบาท สำหรับเราในปี ๒๕๒๕ นั้น ก็ยังฟังเป็นเรื่องเกินฝันอยู่เหลือเกิน

ไม่มีใครคิดว่า สุดท้ายเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ จะใช้ทุนในการก่อสร้างไปถึง ๑๗ ล้านบาท มีความสูงจากพื้นดินเดิมถึงยอดเจดีย์ถึง ๓๗ เมตร... !

และหลวงปู่ท่านเขียนไว้แต่ครั้งนั้น ..!

คงต้องขอยืมคำของท่านที่ท่านกล่าวบ่อย ๆ นั่นเอง มารำพึงในวันนี้....

น่าอัศจรรย์นัก..... .!
128#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่จำพรรษาที่ภูทอก

ที่ภูทอกเป็นสถานที่ซึ่งสงบสงัด เส้นทางที่เข้าไปสู่ภูทอกค่อนข้างลำบาก อีกทั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๘๐๐ กว่ากิโลเมตร ในขณะนั้นหลวงปู่มีอายุ๘๔ ปีแล้ว ท่านก็ยังแสดงพระธรรมเทศนาเกือบทุกวัน อบรมพระเณร ตลอดจนผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้าที่ได้ติดตามท่านไปด้วย ท่านได้นำพระเณรขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาอยู่บนวิหารยอดเขาภูทอก ชั้นที่ ๕ เป็นเวลากว่าเดือน ในระยะนั้นธรรมะของหลวงปู่มีมาก ซึ่งท่านก็ได้บันทึกไว้ แต่เป็นการยากยิ่งที่จะนำธรรมะของหลวงปู่มารวมพิมพ์ไว้ได้ทั้งหมด คงจะสามารถคัดลอกและนำมาพอเป็นตัวอย่างบ้าง ดังนี้

“เร่งความเพียรเข้าไป เส้นเอ็น กระตุก ปีติไล่กิเลสออกจากดวงจิต อำนาจวิปัสสนาฟอกหัวใจให้สะอาด”

“อุบายกิเลสมีนานาประการ มรรคทำให้มาก ให้รู้เท่าทันกับกิเลส ไตรลักษณ์ตัดกระแสกิเลสทั้งหลายให้ขาดจากดวงจิต หัวใจเปลี่ยนแปลงอวิชชาให้เป็นวิชชา เรื่องนี้ควรสนใจ เพราะมันเดินถูกมรรค”

“ชอบสวยงาม พิจารณาให้เป็น อสุภะ- ไม่งาม ของอวัยวะทุกส่วน ดำเนินเข้าไปดู จักเห็นความเป็นจริงของอริยสัจ”

“รู้แจ้งอวัยวะของร่างกายยิ่งกว่าเก่า ละเอียดกว่าเก่า ด้วยไตรลักษณ์ ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ขยายธรรมะรู้ทั่วไป ระงับนิวรณ์ได้ รู้เองเห็นเอง เป็นปัจจัตตัง ปฏิภาคและวิปัสสนาผสมกัน แต่วิปัสสนามากกว่าสมถะ”

“พิจารณาการตาย เกิดสะกิดใจว่าจะต้องตายง่าย อายุไม่ยืนนาน บอกมาเรื่อย ๆ เริ่มความเพียรมากก่อนตาย เพื่อให้ชำนิชำนาญ เพื่อเข้าจิตสู้การตาย ข้อนี้สำคัญมากกว่าอย่างอื่น”

“ทำวิปัสสนามากกว่าทำปฏิภาคนิมิต ให้จิตรู้เองเห็นเอง ไม่มีความอาลัยในชีวิต พิจารณาความตายอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ชำนาญเข้าสู่อารมณ์แห่งความตาย”


เทศน์ของหลวงปู่ บ่อยครั้งจะกล่าวถึงการให้ “ทาน” ซึ่งไม่เฉพาะแต่คำเทศน์เท่านั้น ท่านยังปฏิบัติเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่พระ เณร อุบาสก อุบาสิกาอีกด้วย ท่านกล่าวว่า อานิสงส์ของการให้ทานนั้น จะมีผลให้ผู้บริจาคทานมีฐานะร่ำรวย คือ พระเวสสันดรในพระไตรปิฎก และจะอุดหนุนให้ตัวเราสบาย ซึ่งย่อมเห็นอานิสงส์นี้ได้ในชาติปัจจุบัน ดังที่ท่านได้รับอยู่...ตามบันทึกของท่านที่ว่า....

129#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ท่านแสดงพระธรรมเทศนาเกือบทุกวัน
ระหว่างจำพรรษาที่ภูทอก


“....เงินฝากธนาคาร ช่วยอาหารพระเณรวัดป่าที่กันดารนั้น ยิ่งปลื้มใจ หาที่สุดมิได้ มีตบะความเพียรอย่างยิ่ง และมีศาลาเกิดขึ้นทุกวันนี้ก็เพราะอนุเคราะห์หมู่เพื่อนสหธรรมิกนั่นเอง ก็ด้วยอานิสงส์อันนี้แหละอดหนุน จึงมีชีวิตประทังตัวอยู่ทุกวันนี้.... ”

เงินในที่นี้ได้มาจากไหน....ก็ได้มาจากปัจจัยที่เหล่าญาติโยม ลูกศิษย์ถวายท่านนั่นแหละ โดยอัธยาศัยของหลวงปู่แล้ว เป็นผู้มัธยัสถ์ ประหยัดมาก ด้วยท่านชอบธุดงควัตร จึงฝึกหัดให้มีชีวิตอยู่อย่างประหยัด อย่างไม่กังวลต่อความอัตคัดขัดสนดังมีเรื่องเล่าที่ว่า น้ำปลาขวดเดียว เป็นอาหารที่ท่านฉันได้ทั้งพรรษา ดังนั้น ปัจจัยที่เหล่าญาติโยมและลูกศิษย์ถวายท่านนั้น จึงเกิดอานิสงส์ผลบุญถึง ๒ ชั้น คือ บุญที่เกิดจากการถวายปัจจัยหลวงปู่ชั้นหนึ่ง และบุญที่เกิดจากหลวงปู่นำปัจจัยนั้นไปเพื่อการสงเคราะห์พระเณรในป่ากันดารอีกชั้นหนึ่ง ท่านได้จัดตั้งมูลนิธิจันทะสาโรขึ้นให้นำดอกผลส่งไปช่วยเป็นค่าอาหารสำหรับวัดป่าที่อยู่ในที่ทุรกันดารและขาดแคลน

นอกจากจะช่วยเพื่อนสหธรรมิกในด้านปัจจัยแล้ว การช่วยเหลือในลักษณะอื่น ๆ ก็ถือว่าเป็น “ทาน” อีกชนิดหนึ่ง ดังบันทึกของท่านที่ว่า.....

“เราได้แลกโวหารเทศนาหาเงินช่วยการก่อสร้าง ช่วยเพื่อนสหธรรมิก นี้ก็เห็นอานิสงส์เหมือนกัน การให้ทานร่ำรวยเหมือนพระเวสสันดร มีอานิสงส์ตามที่ท่านกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก”

หลวงปู่มักจะมีเรื่องต่าง ๆ เล่าให้ญาติโยมและลูกศิษย์ฟังเสมอ ๆ ประกอบกับคำสั่งสอนอบรมของท่าน และเรื่องหนึ่งที่ท่านมักจะกล่าวถึงก็คือ คำสรรเสริญเพื่อนสหธรรมิกของท่าน.....หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ผู้ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีธรรมคมในฝัก สันโดษ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของพระโยคาวจรเจ้าในสมัยปัจจุบัน ดังเรื่องเล่าที่ท่านยกขึ้นมาว่า ในสมัยหนึ่ง หลวงปู่ชอบธุดงค์เข้าไปในป่าทึบ ทางเดินนั้นเป็นทางเปลี่ยว หนทางนั้นมีเสือกินคนหลายรายแล้ว กลางคืนนั้นท่านเดินเข้าไปคนเดียว แม้ญาติโยมจะห้ามปรามหรือทัดทานอย่างไร ท่านก็ดื้อไป แล้วท่านก็พบเสือใหญ่ลายพาดกลอน ร้องขึ้นขนทางข้างหน้าท่าน ๑ ตัว ข้างหลังอีก ๑ ตัว หลวงปู่ชอบจึงเข้าสมาธิอยู่ ณ ที่นั้นราว ๑ ชั่วโมง รู้สึกตัวแล้วก็เดินทางต่อไป ตอนเช้าท่านออกบิณฑบาต ญาติโยมทั้งหลายเห็นเป็นอัศจรรย์ ที่ท่านเดินทางกลางคืนในป่า โดยที่เสือไม่กินท่าน

ความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ของหลวงปู่ชอบ เป็นเรื่องที่หลวงปู่มักนำมากล่าวสรรเสริญให้ญาติโยม ลูกศิษย์ได้ยิน ได้ฟังดำเนินรอยตาม เหล่านี้เป็นการยืนยันถึงอุปนิสัยการถ่อมองค์ของหลวงปู่ ที่มักจะเล่าและยกย่องผู้อื่นมากกว่ากล่าวถึงตนเอง

พรรษา ๖๐ (พ.ศ. ๒๕๒๗) หลวงปู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ ดอนเมือง กรุงเทพฯ ถึงแม้ว่าจะมีเสียงเครื่องบินรบกวนบ้าง หลวงปู่ก็หาได้ทิ้งเรื่องการภาวนาไม่ กลับมุ่งหน้าเข้าหาการภาวนาย่างจริงจัง ดังความตามบันทึกส่วนหนึ่งว่า

“การภาวนา เมื่อว่างเครื่องบินแล้ว สงัดดี วิเวกดี พิจารณาร่างกาย แจ่มแจ้งดี ของอวัยวะร่างกายตั้งแต่ขาต่อไปถึงหน้า สละชีวิตโดยเฉพาะเอกเทศอย่างหนึ่ง พยายามให้สละซากความเป็นความตาย ณ ที่นั้นให้ชำนิชำนาญ ทำให้มากจะเกิดปาฏิหาริย์ใหญ่ เห็นธรรมเป็นอัศจรรย์อย่างใดอย่างหนึ่ง สละกิเลสทั้งหยาบ ทั้งอย่างกลาง อย่างละเอียด มีในนั้นเสร็จ กลั่นเอาความไม่ตายจากที่นั้นเป็นตัวนิพพาน เมื่อก่อนไม่เที่ยงเช่นนั้น จะเห็นตอนที่ไม่ตาย อมตธรรมอย่างสุขุมลุ่มลึกไปเป็นลำดับ”

“เร่งความเพียร นอนไม่หลับ เพราะมีปีติล่อใจ รักใคร่ภาวนาเรื่อย ๆ ลืมมืดลืมค่ำ แต่มีการอ่อนเพลีย การนอนไม่หลับ แต่ความรู้ความฉลาดก้าวหน้า ใคร่ในวิปัสสนาวิธี นิสัยย่อมเป็นไปเข่นนั้น นอนดึก ๆ ทุกคืน ทำให้เพลินทางธรรมมาก”

“เจริญภาวนาสะดวก ม้างกายให้เห็นทั่วด้วยวิปัสสนาอย่างเดียว สมถะมีการทำน้อยไป เพราะที่อยู่ไม่วิเวก”


130#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในระหว่างระยะเวลาเหล่านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น หลวงปู่ก็พักอยู่ที่สำนักสงฆ์หัวหิน เช่นกัน ท่านบันทึกไว้ว่า

อยู่หัวหิน อยู่ใกล้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแล้ว มักจะเกิดธรรมแปลก ๆ เป็นอัศจรรย์เป็นเพราะ ทั้งสองพระองค์ทรงมีพรหมวิหารอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์และพระราชินีที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่ทรงทิ้งธรรม เป็นคนมีบุญเสด็จอวตารมาจากสวรรค์มาเกิด มาบริหารชาติ มาทำนุบำรุงศาสนาให้เจริญ ประเทศไทยไม่สิ้นจากคนดี นี้เป็นอัศจรรย์ประการหนึ่งของประเทศไทย

ท่านมักจะอบรมบรรดาลูกศิษย์ ทั้งพระ เณร อุบาสก อุบาสิกาเสมอให้รู้สึกระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอยู่เสมอ โดยองค์ท่านเองก็เขียนไว้ในบันทึกว่า

“สมเด็จในหลวงรัชกาลที่ ๙ ขอให้พระองค์มีพระปรีชาญาณปราดเปรียว ปกครองชาวประเทศไทย ให้เป็นสุขทั่วกัน พร้อมทั้ง ๗๔ จังหวัด ประชาชนนับถือพระองค์ดุจบิดามารดาของชาวไทย ทั้งหญิงทั้งชาย เหตุนั้นชาวไทย อุบาสก อุบาสิกา ท่านทั้งหลาย บำเพ็ญทานก็ดี รักษาศีลก็ดี ภาวนาก็ดี ขอกุศลอันใหญ่มหาศาล อุทิศบุญกุศลอันนี้ จงดลบันดาลให้ความสนับสนุนถวายสมเด็จในหลวงและองค์ราชดินี * พึงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ สิ้นกาลนานเทอญ (ตรงตามโบราณาจารย์ท่านทั้งหลายกล่าวไว้ ปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้เป็นสุขทั่วหน้ากัน)”

*ราชดินี เป็นคำเฉพาะที่หลวงปู่ชอบใช้เมื่อจะกล่าวถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

พ.ศ.๒๕๒๙ - ๒๕๓๑ หลวงปู่จำพรรษาอยู่ ณ ที่พักสงฆ์เย็นสุดใจ อำเภอหัวหิน และ พ.ศ. ๒๕๓๒ อยู่ ณ ที่พักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ ดอนเมือง ถึงแม้วัยของท่านจะสูงยิ่ง แต่หน้าที่อย่างหนึ่งซึ่งท่านไม่ยอมทิ้ง แต่จะปฏิบัติเป็นประจำก็คือ อบรมสั่งสอนพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านว่า นี้เป็นหน้าที่ของพระเถระที่จะต้องดำเนินงานของศาสนา ไม่ว่าคืนนั้นท่านจะเพลิดเพลินทางธรรมภาวนาจนตลอดถึงรุ่งเช้าก็ตาม สังขารเหนื่อย หายใจหอบอย่างไรก็ตาม แต่เช้าของวันถัดมาท่านก็จะถือเอาหน้าที่การอบรมสั่งสอนมาปฏิบัติอยู่เสมอมิได้ขาด ท่านเขียนไว้ว่า

“เรามีหน้าที่แผ่เมตตาจิตอย่างเต็มที่ อย่างสุขุม เพื่อให้เขาเห็นอานิสงส์ และเราได้สละชีวิตแผ่เมตตาสะท้อนให้เขาภาวนาดียิ่งขึ้นไป พ้นจากอบายภูมิทั้งสี่..... ”

ณ ที่สำนักสงฆ์หัวหิน ท่านปรารภว่า “มาอยู่หัวหินในข่วงสุดท้ายของชีวิตนี้มีความสุขบริบูรณ์ทุกอย่าง พรั่งพร้อมทั้งพระ เณรที่ดูแลอุปัฏฐาก ตลอดจนญาติโยมทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต จากทั้งทางใกล้และทางไกล ก็ได้มาเยี่ยมนมัสการเสมอ ๆ ไม่ขาดระยะ” แม้กระทั่งพระเถระผู้ใหญ่ อย่างหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ก็ได้มาเยี่ยมท่านด้วย แต่การมาเยี่ยมของท่านพระอาจารย์ทั้งสององค์นั้น เป็นการมาอย่าง “พิเศษ” ซึ่งหลวงปู่ได้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ว่า

“...ฝันเห็นท่านอาจารย์เทสก์กับท่านมหาบัวมาเยี่ยมเรา ท่านทั้งสองถามธรรมกันอย่างไพเราะ คล้ายๆ สอบเรา เราดีใจอยู่ในท่ามกลางท่านทั้งสอง ปรากฏท่านทั้งสองชมเชยเราดังนี้ นี้เป็นมงคลอย่างยิ่ง.....”

“พิจารณาการตาย เกิดสะกิดใจว่าจะต้องตายง่าย อายุไม่ยืนนาน บอกมาเรื่อยๆ เร่งความเพียรมากก่อนตาย เพื่อให้ชำนิชำนาญ เพื่อเข้าจิตสู้การตาย ข้อนี้สำคัญกว่าอย่างอื่น”

ในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๓๒ ท่านรำพึงไว้ระหว่างพักอยู่ ณ ที่พักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ ดอนเมือง ความว่า

“แก่ ชรา มานานเท่าไร พึงภาวนาให้คุ้นเคยกับความตาย เพราะจะต้องตายอยู่แล้ว เตรียมตัวไว้ก่อนตาย รอรถ รอเรือ ที่จะต้องขึ้นไปสวรรค์พระนิพพาน หูยิ่งหนวกหนักเข้าทุกวัน ตายิ่งไม่เห็นหน ตีนเท้าอ่อนเพลีย หันไปหาความตายเสมอไป ถือภาวนาในไตรลักษณ์ ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา มีเกิดแล้วย่อมมีตาย เพราะโลกไม่เที่ยงอยู่แล้ว แปรปรวนไปต่างๆ สังขารเราบอกเช่นนั้น เที่ยงแต่พระนิพพานอย่างเดียว”
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้