ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
ตำรวจชี้ ภาพฝรั่งถูกทิ้งบนทางด่วน-ลงรถตู้เอง ไม่ใช่เหตุแท็กซี่ทิ้ง                                                                                                                   
                            ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/117895
                                                            ตำรวจเผยภาพฝรั่งถูกทิ้งบนทางด่วน ที่แท้นั่งรถตู้มาจากสระแก้ว ขอลงบนด่านอโศก 2 เอง ไม่ใช่ฝีมือแท็กซี่ไทยตามที่โลกออนไลน์แชร์กันให้วุ่น ชี้ทำภาพลักษณ์ประเทศชาติเสียหาย แท็กซี่ถูกด่าฟรี

             หลังจากที่มีกรณีการแชร์ภาพของฝรั่งพ่อแม่ลูก หอบสัมภาระพะรุงพะรังถูกแท็กซี่ทิ้งเอาไว้บนทางด่วน โดยผู้เผยภาพระบุว่า เป็นฝีมือของแท็กซี่ไล่นักท่องเที่ยวลงกลางทาง ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ตามมามากมาย และต่อมา การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ชี้แจงว่า อย่าเพิ่งตัดสินหรือตำหนิการกระทำของฝ่ายใด เพราะยังไม่ปรากฏภาพแน่ชัดว่าเป็นการกระทำของรถแท็กซี่จริงหรือไม่ ตามที่ข่าวรายงานมาแล้วนั้น

             ล่าสุด วันที่ 23 มีนาคม 2558 พ.ต.ท. สุรชัช สุวรรณศรี รองผู้กำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว เปิดเผยความคืบหน้าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ได้รับการยืนยันแล้วจาก สน.ทางด่วน 2 กองบังคับการตำรวจจราจร ว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่อยู่ในภาพนั้นได้เดินทางด้วยรถตู้โดยสารจาก จ.สระแก้ว ปลายทางคือถนนข้าวสาร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้วิ่งมาตามเส้นทางด่วนอย่างปกติ จนมาถึงด่านอโศก 2 คนขับรถตู้ได้จอดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแวะเข้าห้องน้ำ หลังจากนั้นนักท่องเที่ยวคนดังกล่าวได้เดินมาหาคนขับรถตู้ พร้อมแผนที่กรุงเทพฯ ก่อนจะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ประมาณว่า ต้องการจะเดินทางไปซอยสุขุมวิท 71 โดยคนขับรถตู้บอกว่าให้กลับขึ้นรถไปยังถนนข้าวสารก่อน แล้วค่อยเดินทางไปตามที่ต้องการ แต่ฝ่ายนักท่องเที่ยวเองที่ไม่ยอม ดึงดันที่จะขนสัมภาระลงมาจากรถตู้เอง

             หลังจากนั้น นักท่องเที่ยวพยายามหาทางไปต่อด้วยการเดินเท้า เพื่อหาช่องทางลงจากทางด่วน จนมีผู้พบเห็นและถ่ายรูปนำมาลงในโลกออนไลน์จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ว่าเป็นการถูกแท็กซี่ไล่ลง ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ส่วนครอบครัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติดังกล่าวได้ไปต่ออย่างไรนั้น ทราบเพียงว่าทางตำรวจทางด่วน 2 เป็นผู้ดูแลต่อ ซึ่งคาดว่าคงประสานโบกแท็กซี่ให้ หรือแนะนำให้นักท่องเที่ยวลงบันไดทางด่วนสู่พื้นด้านล่าง เพื่อขึ้นรถไปยังจุดหมายต่อไป

             ทั้งนี้ตั้งแต่ภาพและข้อความเหล่านั้นถูกเผยแพร่ออกไป ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดทุกจุดย้อนหลัง เพื่อตามหาตัวผู้กระทำผิด แต่ก็ไม่พบหลักฐานเชื่อมโยง ทำให้เริ่มมั่นใจว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ว่าต้นเหตุอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่างที่หลายฝ่ายกล่าวอ้าง เนื่องจากที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดชุดสายตรวจตลอด 24 ชั่วโมง ลงพื้นที่กำชับ ตรวจสอบ และให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยวและผู้ขับรถแท็กซี่ ให้ปฏิบัติตามกฎและกติกาที่วางไว้ ในส่วนของแท็กซี่สุวรรณภูมิก็ไม่เคยถูกร้องเรียนเรื่องทิ้งผู้โดยสารกลางทาง

             ดังนั้นจึงขอวิงวอนผู้ที่นิยมเสพภาพและข้อความผ่านโลกออนไลน์ให้ใช้วิจารณญาณ และสืบค้นหาเท็จจริงให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินถูกผิด หรือแชร์ภาพต่อ ๆ กัน ขอให้ระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะหลายครั้งที่การส่งต่อข้อความและภาพโดยไม่มีข้อเท็จจริง ได้สร้างความเสียหายต่อสังคมและประเทศชาติ รวมถึงภาพลักษณ์ของรถแท็กซี่สุวรรณภูมิ จนกลายเป็นจำเลยของสังคมไปโดยปริยาย                                                                        
                                                            

กรมอนามัย เตือนคนไทยติดจอ เพ่งนานเสี่ยงต้อกระจก                                                            

                                                                                       
                            ที่มา : http://club.sanook.com/75799/
                                                            ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ช่วยให้ทำงานต่าง ๆ ได้ ถ้าหากตามองไม่เห็นหรือสายตาเลือนราง จะก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการทำงาน ซึ่งทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค แท็ปเล็ต สมาร์ทโฟน ทำให้สายตาต้องเพ่งหน้าจออยู่เป็นเวลานาน เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาทางด้านสายตา เช่น ปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า สายตาสั้น รวมทั้งผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดเหมื่อยคอ บ่า ไหล่ โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ควรรู้จักถนอมดวงตา ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกัน อาทิ
1) กระพริบตาให้ถี่ขึ้น ลดอาการตาแห้ง หรือใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
2) จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้หน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
3) เลือกใช้ตัวอักษรใหญ่เวลาพิมพ์งาน และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น โดยเลือกตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสม
4) เลือกแว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ที่ผลิตมาเพื่อกรองแสงจากหน้าจอ โดยเฉพาะ และใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตา และลดแสงสะท้อนจากจอภาพ
5) พักสายตาทุกๆ ชั่วโมง โดยเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เพื่อพักสายตาและป้องกัน อาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นต้น

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ดวงตามีสุขภาพดีขึ้น เช่น กินอาหารที่มีโอเมก้า 3 กินผักใบเขียว เช่น ผักโขม ผักคะน้า แครอทอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน กินปลาแซลมอน ปลาทูน่า กินไข่ ถั่วประเภทนัท และอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ส้ม ผลไม้รสเปรี้ยวอื่น ๆ หรือน้ำผลไม้ ช่วยทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซี นอกจากนี้ควรสวมแว่นกันแดดที่สามารถปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต UVA และ UVB ป้องกันต้อกระจก และจอประสาทเสื่อม หลีกเลี่ยงการใส่คอนแทคเลนส์เกิน 19 ชั่วโมง อาจทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร

ทั้งนี้ ควรบริหารกล้ามเนื้อตา โดยการกลอกตาขึ้น ลงช้า ๆ 6 ครั้ง กลอกตาไปข้างขวา และซ้ายสลับกัน มองวัตถุใกล้ตัว และไกลตัวออกไป และกลอกตาเป็นวงกลมช้า ก็จะช่วยผ่อนคลายและส่งผลดีต่อดวงตา ซึ่งผู้มีอายุระหว่าง 20 – 39 ปี ควรพบจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ทุก 5 ปี และทุก 2-4 ปี สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 40 – 64 ปี ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด                                                                        
                                                            

ขอบคุณสำหรับข่าวสารดีๆครับ
ฉุน! “บิ๊กตู่” สั่ง “ประวิตร” ลงพื้นที่ตรวจระบายน้ำทั่ว กทม                                                            
                                                            

                           
                            ที่มา : http://www.springnews.co.th/global/197536

                                                            วันที่ 25 มีนาคม 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงเหตุน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หลังวันที่ 24 มีนาคม เกิดฝนตกหนักว่า ได้สั่งให้ตรวจสอบการระบายน้ำของกรุงเทพฯ และแก้ไขระบบการจัดการน้ำทั้งระบบ โดยมอบให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ไปดูแลพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยมี คสช.ช่วยเหลือในเรื่องของกำลังทหาร ส่วนตัวสงสัยว่าเหตุใดยังแก้ปัญหาไม่ได้

พล.อ.ประยุทธ์ ยังแสดงความไม่พอใจสื่อบางสำนักที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและสร้างความขัดแย้ง โดยกล่าวว่าสามารถวิจารณ์ได้ แต่อย่าสร้างความแตกแยก และขอให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนการนำเสนอ ไม่เช่นนั้นจะใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด สำหรับการช่วยเหลือชาวประมงที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น ได้ดำเนินการมาโดยตลอด และช่วยเหลือไปแล้ว 26 คน ดังนั้นขออย่านำไปขยายความ โดยเฉพาะสื่อมวลชนก่อนการนำเสนอต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประเทศด้วยว่าจะทำให้เกิดปัญหา ซึ่งจะเรียก น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวที่นำเสนอข่าวนี้มาพบกับเจ้าหน้าที่ด้วย

ทั้งนี้ ตลอดการสัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างดุดัน และตอบถามสื่อมวลชนอย่างอารมณ์เสีย โดยช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์มีการคว้าขาตั้งไมโครทำท่าแกล้งจะเอามาตี รวมถึงมีการปากระดาษโน้ตใส่สื่อมวลชนด้วย                                                                        
                                                            

คนไทยทำงามหน้า ละเลงพ่นสีสเปรย์รถไฟหรูสิงคโปร์                                                            
                                                                                       
                            ที่มา : sanook.com

                                                            เมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายสถานีรถไฟกาญจนบุรี เกี่ยวกับกรณีผู้ไม่หวังดีฉีดพ่นสีสเปรย์ใส่ขบวนรถไฟท่องเที่ยวหรูหรา "อีสเทิร์น โอเรียนเตล เอ็กซ์เพรส" จากประเทศสิงคโปร์ ได้รับความเสียหาย อีกทั้งยังสร้างความอับอายต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย

นายประสพ ภู่สามสาย นายสถานีรถไฟกาญจนบุรี เปิดเผยว่า กระแสข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ขบวนรถไฟท่องเที่ยวอีสเทิร์น โอเรียนเตล เอ็กซ์เพรส 22 ซึ่งวิ่งขบวนมาจากประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ได้รับความเสียหายบริเวณตู้โดยสาร มีสีสเปรย์พ่นเป็นตัวอักษรว่า T.G.B.M. และ TG.B.M.2015

ตามรายงานระบุว่า รถไฟท่องเที่ยวขบวนดังกล่าวได้เดินทางมาจาก จ.กาญจนบุรี เมื่อเวลา 23.00 น. ของวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนจะจอดค้างคืนที่สถานีรถไฟกาญจนบุรี กระทั่งเวลา 03.00 น. ของวันที่ 24 มีนาคม เจ้าหน้าที่ได้เดินทางตรวจตราความเรียบร้อย ก็พบว่าตู้โดยสารที่ 4 ด้านหน้า มีคนฉีดพ่นสีสเปรย์ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน คำว่า T.G.B.M. และ TG.B.M.2015 ซึ่งไม่มีใครทราบว่าหมายความว่าอะไร

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ปรากฏว่าไม่สามารถจับภาพผู้ก่อเหตุเอาไว้ได้ จึงได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ทั้งนี้เหตุดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินแล้ว ยังได้ส่งกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้ ขบวนรถไฟท่องเที่ยวอีสเทิร์น โอเรียนเตล เอ็กซ์เพรส ได้ออกเดินทางกลับประเทศสิงคโปร์แล้ว พร้อมกับนำเอาเทปกาวสีเขียวปิดทับข้อความดังกล่าวเอาไว้ชั่วคราว เนื่องจากไม่สามารถลบล้างออกได้ พร้อมกับหวังว่าจะดำเนินการหาตัวผู้ก่อเหตุมาให้ได้                                                                        
                                                            

kit007 ตอบกลับเมื่อ 2015-3-26 21:16
คนไทยทำงามหน้า ละเลงพ่นสีสเปรย์รถไฟหรูสิงคโปร์          ...

งามหน้าหล่ะครับ งานนี้
คุมเข้มทำแผน ‘หนุ่มใจเหี้ยม‘ กระทืบลูกเลี้ยงดับ หวั่นถูกประชาทัณฑ์                                                   
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/490005


                                                            ตำรวจ สน.นิมิตรใหม่ เจ้าของคดีหนุ่มใจเหี้ยม ทำร้ายลูกติดเมียวัย 2 ขวบจนเสียชีวิต เตรียมนำตัวผู้ต้องหาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ หลังแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย คาดมีคนมาดูเพียบแน่ จัดกำลังพร้อมรักษาความปลอดภัย...  

เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2558 พ.ต.ท.ชูชัย จับเทียน พนักงานสอบสวน สน.นิมิตรใหม่ เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีที่นายเอ (นามสมมติ) ทำร้ายร่างกายเด็กชายวัย 2 ขวบ ที่เป็นลูกเลี้ยงจนเสียชีวิต และเป็นข่าวในสังคมโซเชียล นำไปสู่การจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ จ.กำแพงเพชร ว่า ในเวลา 14.00 น. วันนี้ (30 มี.ค) ตำรวจจะนำตัวนายเอ ไปทำแผนประกอบคำสารภาพ ที่อาคาร 19 แฟลตเอื้ออาทรหทัยราษฎร์ ย่านคลองสามวา พร้อมเตรียมกำลังดูแลความเรียบร้อยอย่างเต็มที่ เพราะคาดว่าจะมีประชาชนจำนวนมากมาดูการทำแผนครั้งนี้

ขณะที่แนวทางการสอบสวน อยู่ระหว่างรอเพื่อนบ้านที่เป็นพยานสำคัญเข้าให้ปากคำเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายเอ เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย แต่ต้องรอสอบสวนเพิ่มเติมว่ามีเจตนาฆ่าหรือไม่ รวมถึงต้องรอผลชันสูตรพลิกศพของนิติเวช ซึ่งถ้ามี ตำรวจก็จะพิจารณาแจ้งโทษเพิ่มเติม พร้อมกับห้ามการประกันตัว เพราะเป็นคดีร้ายแรงมีโทษสูง และผู้ต้องหามีพฤติกรรมหลบหนี และเมื่อส่งศาลก็จะยื่นคัดค้านเช่นกัน แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของศาล

สำหรับคดีนี้ นายเอ ให้การรับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุนั่งดื่มสุรากับเพื่อนที่ชั้น 2 จนมีอาการมึนเมา ขณะนั้นเด็กชายผู้ตาย ได้วิ่งร้องไห้ลงมา จึงเกิดบันดาลโทสะจนขาดสติ และลงมือทำร้ายร่างกาย จากนั้นออกอุบายว่าเด็กตกบันไดจนนอนแน่นิ่ง กระทั่งมาเสียชีวิต

ด้านกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขณะนี้ กำลังตรวจสอบข้อมูลเพื่อสรุปแนวทางการให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียหาย เนื่องจากกรณีนี้เป็นเรื่องที่ตำรวจต้องเร่งรัดด้านคดี เพราะเด็กเป็นผู้ถูกกระทำ จนกระทั่งเสียชีวิต.                                                                        
                                                            

สาวป่วยทางจิต คว้าปืนยิงแม่-อาสาหัส ก่อนยิงตัวตายต่อหน้าพ่อ
                                                           
                            ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/490024


                                                            สาวป่วยเป็นโรคจิต อาการกำเริบ คว้าปืนยิงแม่ตัวเองขณะนอนอยู่มุ้งเดียวกัน อาการปางตาย ด้านอาสาวพูดจาเกลี้ยกล่อมให้วางปืน โดนยิงอีกคน หลังก่อเหตุเจ้าตัวใช้ปืนยิงกรอกปากตัวเองเสียชีวิต ต่อหน้าพ่อและญาติ

เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2558 พ.ต.ต.พิทักษ์ จตุพิพิธพร พงส.สภ.บ้านเบิก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี รับแจ้งเหตุมีคนยิงกัน ที่บ้านเลขที่ 54 หมู่ 15 ต.บ้านเบิก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.ท.กันตพัฒน์ ภาคธรรม สว.สภ.บ้านเบิก และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียว พบ น.ส.ณัฐธิดาพร สดงาม อายุ 34 ปี นั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ในมือขวาถือปืนอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งพ่อและญาติ ได้พยายามเกลี้ยกล่อมขอให้วางปืนลง แต่ น.ส.ณัฐธิดาพร ไม่มีท่าทียอมวางปืนแต่อย่างใด จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง น.ส.ณัฐธิดาพร ได้ใช้ปืนในมือยิงกรอกปากตัวเองเสียชีวิตทันที โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ท่ามกลางความตกใจของพ่อและญาติๆ ที่เห็นเหตุการณ์ ก่อนที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยจะช่วยกันนำร่าง น.ส.ณัฐธิดาพร ส่งโรงพยาบาล

จากการสอบถาม นายประสงค์ สดงาม พ่อของ น.ส.ณัฐธิดาพร เผยว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ณัฐธิดาพร ได้ก่อเหตุยิง นางละเอียด สดงาม อายุ 58 ปี ผู้เป็นแม่ ที่นอนอยู่มุ้งเดียวกัน เข้าที่บริเวณหน้าท้อง 1 นัด ตนที่นอนอยู่มุ้งใกล้กัน ได้นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลท่าวุ้ง จ.ลพบุรี และได้โทรตาม กาญจนา รักษา อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21 ม.15 ต.หัวสำโรง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นอาของ น.ส.ณัฐธิดาพร ให้มาช่วยพูดเกลี้ยกล่อม แต่กลับถูก น.ส.ณัฐธิดาพร ยิงจนได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายและบริเวณน่องขาขวา ต้องหามส่งโรงพยาบาลอีกคน หลังก่อเหตุ น.ส.ณัฐธิดาพร ได้ออกมานั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ก่อนจะใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงกรอกปากตัวเองเสียชีวิตดังกล่าว

นายประยงค์ พ่อของผู้ตาย บอกอีกว่า น.ส.ณัฐธิดาพร ผู้ตาย ป่วยเป็นโรคทางจิต ได้เข้ารักษาตัวที่ รพ.ศรีธัญญา มาหลายครั้ง โดยหมอได้จัดยาให้กิน และทุกครั้งที่เมื่อเกิดอาการ มักใช้ไม้ไล่ตีแม่และคนอื่นบ่อยครั้ง แต่มาครั้งนี้ไม่รู้ว่าลูกสาวไปขโมยปืนของตนที่เก็บไว้มาตั้งแต่เมื่อไร จนก่อเหตุดังกล่าว.                                                                        
                                                            

ศาลแพ่งเพิกถอนคำสั่งห้ามฉาย Fast7 แล้ว คนไทยได้ดู

ตามกำหนด 1 เมษานี้



เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 30 มีนาคม  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่ง  ยกเลิกคำขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีที่นายสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ หรือเสี่ยเจียง ผู้ก่อตั้งบริษัท  สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และประธานสหมงคลกรุ๊ป ผู้ประกอบธุรกิจภาพยนตร์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง  จา-พนม ยีรัมย์ พระเอก บริษัทยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทอำนวยการสร้างภาพยนตร์ Fast and  Furious 7 และบริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด หรือยูไอพี ประเทศไทย  เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิด ผิดสัญญา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1,600 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5  ต่อปี จากกรณีที่ได้ผิดสัญญาการแสดงกับบริษัทสหมงคลฟิล์มที่จะสิ้นสุดสัญญาในปี 2566  ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโจทก์  โดยมีคำสั่งให้ระงับการฉาย Fast 7 ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดี  หรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายเสี่ยเจียง  เปิดเผยว่า ในวันนี้จาพนม พร้อมพวกจำเลยทั้ง 3 คน ได้ส่งทนายความเดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง  เพื่อคัดค้านคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จนกระทั่งในช่วงเย็นศาลแพ่ง  จึงได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ที่สั่งให้ระงับการฉาย Fast 7 หมายความว่าศาลอนุญาตให้ฉาย  Fast 7 ได้ตามกำหนดการเดิม 1  เมษายนนี้

ศาลให้เหตุผลว่าเนื่องจากภาพยนต์เรื่อง Fast 7 ที่ จา  พนม ร่วมแสดงด้วยนั้น ยังมีนักแสดงรายอื่นร่วมแสดงในภาพยนต์ด้วยอีกเป็นจำนวนมาก  หากศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจะส่งผลกระทบต่อสิทธิของนักแสดงรายอื่นๆด้วย  จึงได้มีคำสั่งให้ยกเลิกการคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว ส่วนคดีเสี่ยเจียงยื่นฟ้องจาพนมกับพวกนั้น  ยังคงดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ซึ่งศาลก็ได้กำหนดวันนัดชี้ 2 สถาน  เพื่อกำหนดวันสืบพยานและประเด็นนำสืบในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00  น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องจากทางเพจ MAJOR CINEPLEX GROUP  ได้โพสต์ข้อความว่า ข่าวดีของทุกคน Fast 7 ฉายชัวร์ 1 เมษานี้ ครบทุกระบบ เกี่ยวกับเรื่องนี้  ผู้สื่อข่าวจึงได้สอบถามไปยังประชาสัมพันธ์ของบริษัท เมเจอร์ฯ ถึงเรื่องดังกล่าว ได้รับคำตอบว่า  ยูไอพีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลว่าการที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครอง  ระงับการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในไทยนั้นมีผลกระทบต่อผู้อื่น ซึ่งหมายถึงมีผลกระทบกับโรงหนัง, ประชาชน  ที่เฝ้ารอดูภาพยนตร์ ฯลฯ ศาลจึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่มีออกมาก่อนหน้านี้แล้ว  จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถเข้าฉายได้ตามปกติ

นายสุวิทย์  ทองร่มโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เพื่อถามความคืบหน้าหลังจากมีกระแสออกมาว่าภาพยนตร์ดังกล่าวได้ฉายตามปกติแล้ว โดยนายสุวิทย์ เผยว่า  “ใช่ครับ คือศาลมีคำสั่งยกเลิกห้ามฉาย คือผมทราบข่าวจากสองทาง ทั้งทางเจ้าหน้าที่รายงานมา  และอีกทางคือจากข่าว”
      
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU56Y3hOemszTlE9PQ==&subcatid=
                                                                                                  


จับโจ๋เมืองคอนฉกดาบขุนพันธฯ

วันที่ 30 มี.ค. ที่อนุสาวรีย์ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช  หรือมือปราบจอมขมังเวทหน้า บก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช มีนายตำรวจประจำบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช  ทำพิธีคืนดาบโลหะคู่ที่ประดับบนอนุสาวรีย์ซึ่งที่จำลองมาจากของจริง  ซึ่งขุนพันธรักษ์ราชเดชได้รับมอบมาจากตระกูลเจ้าพระยาพิชัยดาบหัก และเป็นอาวุธประจำกายในการปราบขุนโจร หลังถูกโจรกรรมไป  และตำรวจติดตามกลับคืนมาได้ในที่สุด

พ.ต.ท.สุทัศน์ สงสยม รอง ผกก.สส.สภ.เมือง เปิดเผยว่า  หลังเกิดเหตุนำกำลังตำรวจชุดสืบสวนออกติดตามไล่ล่าคนร้าย โดยตรวจสอบภาพวงจรปิดพบว่า  คนร้ายเป็นวัยรุ่นติดยาเสพติดอาศัยอยู่ในย่านชุมชนต้นหว้า ถ.เทวบุรี ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง  จึงนำกำลังไปตรวจสอบ และสามารถนำดาบเล่มดังกล่าวกลับมาได้ โดยนำไปคืนไว้ที่อนุสาวรีย์  ส่วนคนร้ายเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้สอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป  
                                         

                                                                                                  
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU56Y3lORGd3TXc9PQ==&subcatid=

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้