ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี(วัดภูจ้อก้อ) ~

[คัดลอกลิงก์]
111#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พรรษา ๖ จำพรรษาโคกกลอย

ในปีนั้นญาติโยมทาง จ.พังงา จัดวัดขึ้นด่วน ๆ ได้ ๔ สำนัก เพราะก็จวนแจจะเข้าพรรษาแล้ว สำนักกระโสมให้ท่านอาจารย์มหาปิ่นเป็นหัวหน้า สำนัก อ.ท้ายเหมืองให้พระอาจารย์จันทร์โสมเป็นหัวหน้า สำนักกาไหลให้อาจารย์สามเป็นหัวหน้า สำนักโคกกลอยนากลาง องค์หลวงปู่เทสก์เป็นหัวหน้า

พระอาจารย์มหาปิ่นมาขอข้าพเจ้าไปอยู่ด้วย แต่องค์หลวงปู่เทสก์ไม่ยอมให้ เพราะมีเหตุผลว่า “คุณหล้าเคยได้อยู่กับพระผู้ใหญ่มานานปี กำลังว้าเหว่ จงให้อยู่กับผมไปก่อน คุณอรุณก็เช่นกัน” มีคุณเพชร พระ จ.ชุมพร อ.หลังสวนไปด้วยอีกองค์ คุณเกษมก็อยู่ด้วยกัน เหลือนอกนั้นก็แล้วแต่เห็นสมควร คืออาจารย์พรหมา อาจารย์คำผาย และยังมีหลวงพ่อคำพัน มีลูกศิษย์ไปอีก ๕ รูป ท่านเที่ยวอยู่ตามแถบนั้นก็เข้ามารวมกัน แยกกันอยู่

ความอลเวงของญาติโยมและฝ่ายมหานิกายกระทบกระเทือนกันทางวาจาขึ้นเป็นธรรมดา เพราะภูเก็ตพังงาไม่เคยมีธรรมยุต แต่ผลสุดท้ายก็ลงเอยอยู่กับกรรมและผลของกรรม ของใครของมันตามธรรมชาติของธรรม ไม่มีศาลใด ๆจะมาตัดสินให้ใครแพ้ใครชนะได้ในโลก ไม่ว่าโลกยุคไหน ๆ บุคคลผู้ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมแล้วมักจะถือแพ้ถือชนะภายนอกเสมอ ด้านจิตใจก็เข้าหาพระพุทธศาสนาไม่ถึงความจริงได้ มักจะสุกเอาเผากิน ทั้งคว่ำทั้งหงาย เพราะไม่กลัวเจอก้างและมักจะทำชั่วในที่ลับและที่แจ้ง

ผู้เชื่อกรรมและผลของกรรมลงได้สนิทผู้นั้นจะไม่ทำความชั่วในที่ลับและที่แจ้ง แม้จะทำความดีก็ไม่ทำเพื่อจะอวดจะอ้างใคร ๆ ทั้งนั้น ย่อมทำความดีได้สนิททั้งที่ลับและที่แจ้ง เรียกว่าสุปฏิปันโน คือปฏิบัติดีปฏิบัติตรง พอได้ข้ามปุถุชนคนหนาไปแล้วด้วยปัญญาอันรู้ทางเดินตรง ไม่แวะซ้ายไม่แวะขวาเลย ไม่สุ่มเดา

ครั้นจำพรรษาในโคกกลอย กลางพรรษานั้น ได้เคารพรักปฏิปทาที่หลวงปู่มั่นพาทำมา มีธุดงควัตรเป็นต้น ก็เกิดปัญหากับผู้ต้องการจะลดหย่อนบ้าง แต่องค์หลวงปู่เทสก์ องค์ท่านเทศน์บ่อย ๆ ว่า

“พากันตั้งใจปฏิบัติอย่าลืมตัว ธรรมวินัยเป็นของเก่า มิใช่ของใหม่เลย”

ข้าพเจ้าเห็นดีด้วย ถ้าเปลี่ยนตามยุค ตามสมัย ตามกาลเทศะไปหมดทุกอัน ไม่มีขอบเขต ก็จะไม่มีข้อวัตรปฏิบัติอันใดจะเหลืออยู่ พรรคทางกิเลส เป็นพรรคมีเสียงมาก พาดึงจิตใจให้ระอาและหย่อนลงได้ง่าย เราขึงสายระเดียงตากผ้าก็ว่าตึงจนหมดกำลัง แต่เมื่อถูกแดดมา พร้อมทั้งตากผ้าพาด ก็หย่อนลงจนลากดิน ฉันใดก็ดีเมื่อปัจจัย ๔ บริบูรณ์มาบ้าง ข้อวัตรปฏิบัติก็หย่อนลงไปทีละเล็กทีละน้อย เมื่อปัจจัยไม่บริบูรณ์บ้างก็คอยแต่จะระอาอีก เมื่อผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่มีเจตนาเพื่อพ้นทุกข์ในสงสารแล้ว นโยบายที่เป็นไปในมโนภาพ ย่อมปีนเกลียวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ย่อมเป็นเจ้าเล่ห์เจ้ากลมายาอยู่นั้นเองทีเดียว
112#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่มั่นในนิมิต

วันหนึ่งประมาณเวลา ๖ ทุ่ม สนใจในข้อวัตรของหลวงปู่มั่นในยุคบ้านหนองผือ สกลนคร ไม่อยากให้หลุดไปสักอันเลย แล้วก็พิจารณาสังขารสูญจากสัตว์จากบุคคลในเงื่อน ๒ พร้อมกับลมออกเข้าว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ติดต่ออยู่ไม่ขาดวรรคไม่ขาดตอนเงียบลงไป ได้ปรากฏ(นิมิต)เห็นองค์หลวงปู่มั่นมายืนบรรจง ห่มผ้าเฉวียงบ่า เอามือซ้ายหย่อนเหยียดลงใต้ท้อง เอามือขวาเหยียดลงประทับมือซ้าย ทอดจักษุลงพอชั่วแอก สะพายย่ามทางขวา เป็นย่ามใหม่ มีสิ่งของอยู่ในย่ามด้วย เพราะย่ามพอง ๆ อยู่ ท่าทางยืนจงกรมและท่าทางปลงธรรมสังเวชอีก ผินหน้ามาทางทิศใต้ ยืนอยู่ดินราบ ๆ ห่างจากกุฏิข้าพเจ้ามาทางทิศใต้ประมาณ ๕ วา ห่างจากกุฏิหลวงปู่เทสก์ไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๒ วา ผินหน้ามาทางกุฏิหลวงปู่เทสก์

ใน(นิมิต)เวลานั้นข้าพเจ้าอยู่ที่กุฏิหลวงปู่เทสก์ ทำกิจธุระอันใดอันหนึ่งอยู่ และหลวงปู่เทสก์ก็อยู่ในกุฏิของท่าน แต่กุฏินั้นมิได้กั้น โล่งโถงอยู่ พอข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นองค์หลวงปู่มั่นยืนในมรรยาทปลงธรรมสังเวช จิตใจก็เกิดปีติยินดีว่า อ้า องค์หลวงปู่ยืนผินหน้ามาใส่ เรียบมาก งดงามมาก นึกในใจได้โดยเร็วว่า เราต้องเหาะคุกเข่าพร้อมทั้งประนมมือไป ให้สูงประมาณบั้นเอว แล้วค่อยพยุงปลงลงต่อหน้า ใกล้ฝ่าเท้าองค์หลวงปู่ พร้อมทั้งประนมมืออยู่เป็นนิจ นึกอย่างนี้ได้รวดเร็ว แล้วก็เหาะ พร้อมทั้งคุกเข่า พร้อมทั้งประนมมือไปโดยรวดเร็ว แต่พอใกล้องค์หลวงปู่ประมาณ ๑ ศอกก็ค่อยพยุงเข่าลงจรดพื้นดินพร้อมทั้งแหงนคอขึ้นแลหน้าองค์หลวงปู่ แม้น้ำตาไหลออกด้วยซ้ำ

องค์หลวงปู่ถามว่า “ท่านจะเปลี่ยนย่ามไหม”

เรียนองค์ท่านว่า “ไม่เปลี่ยนดอก ข้าน้อย เพราะย่ามอันใช้อยู่เดี๋ยวนี้ก็เป็นของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ให้”

แล้วองค์ท่านถามอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า “เอาย่าม” พร้อมทั้งเอื้อมมือให้

เรียนว่า “ข้าน้อยไม่เอาดอก ย่ามเดิมที่ใช้อยู่นี้ก็ยังดี ๆ อยู่ไม่ทันขาดและก็เป็นย่ามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ให้”

แล้วองค์หลวงปู่ก็หายตัวไปในขณะนั้น ข้าพเจ้าก็นั่งคุกเข่าประนมมือ จิตพะวงอยู่ที่เก่า ยังมิได้เคลื่อนที่ไปไหน อีกสักครู่ท่านก็มายืนที่ใกล้ ๆ ที่เดิมนั้นอีก

“เอา เอาย่าม”

เรียนว่า “ข้าน้อยไม่เอาดอก” ยืนยันอย่างเดิมอยู่

องค์ท่านกล่าวว่า “โยมกำลังจะมาหาเรามาก เราจะไปดอก” ว่าแล้วก็หายตัวไปเลย

จิตก็ถอนออกมา เห็นลมหายใจออกเข้าอยู่พร้อมทั้งพิจารณาไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอยู่ แต่น้ำตาปรากฏเปียกแก้ม ส่วนตานั้นใสแจ๋วอยู่ไม่ใช่หลับ รสชาติอันนี้จำได้ชัดไม่มีเทวดามาร พรหม ใด ๆ จะมาทำให้ลืมได้จนวันสิ้นลมไป

ครั้นเป็นวันใหม่ ได้เวลาโอกาสอำนวยก็ไปกราบเท้าเรียนถวายองค์หลวงปู่เทสก์อย่างพิสดาร องค์ท่านตอบว่า

“ผมก็เหมือนกัน ถ้าเราเคารพหนักในครูบาอาจารย์องค์ใดย่อมปรากฏมาให้เห็น ยามเราสนใจธรรมในข้อวัตรต่าง ๆ แต่ไม่ใช่เราสงสัยปฏิปทา ข้อวัตรมาส่งเสริมเจตนาดีของเราด้วยอุบายต่าง ๆ เป็นเรื่องทดสอบเราอยู่ในตัว ว่าหนักแน่นในธรรมเพียงไร ตัวของเราเองก็ทดสอบเราเองได้ในตัว ชั่งน้ำหนักของตัวได้ไม่สงสัยเลย”

แล้วองค์หลวงปู่เทสก์ถามต่อไปว่า “ถ้าพิจารณานอก ๆ ออกมากว่านั้น คุณได้ความว่ายังไงในเรื่องนี้”
113#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กราบเรียนองค์ท่านว่า “ได้ความบ้างตามประสา แต่จะถูกหรือผิดก็ไม่ทราบได้ ถ้าไม่ถูกให้พระอาจารย์โปรดแก้เทอญ (พิจารณา)ได้ความว่า หล้าเอ๋ย ข้อวัตรปฏิบัติที่เราพาทำอยู่ยุคหนองผือนั้น อันเกี่ยวกับหมู่สังคมตามความนิยมของกาเทศะ จะเปลี่ยนตามหมู่เพื่อนบ้างก็ได้ ส่วนด้านจิตใจภายในของใครของมัน เป็นส่วนหนึ่งดอก เหตุนั้นจึงซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในการจะเปลี่ยนย่ามให้ แต่ด้วยอำนาจถือสัตย์ว่าจะไม่ยอมเปลี่ยน องค์หลวงปู่มั่นจึงไม่ใช้อุบายขู่เข็ญให้เปลี่ยน จึงหายตัวไปโดยสุภาพ กระผมพิจารณาใต้อย่างนี้จะถูกหรือผิดประการใดหนอครับ”

องค์หลวงปู่เทสก์ตอบว่า “เออ คุณแก้ปัญหาของตนเองมีเหตุผลพอ ถ้าให้ผมแก้ ผมก็แก้อย่างนั้นละ” แล้วก็จบไปในเรื่องนี้

ครั้นต่อมาพรรษาที่ ๒ ยุคภูเก็ต พังงา ทางภูเก็ตก็เพิ่มขึ้นอีก ๒ สำนักคือเขาโต๊ะแซะ หลังศาลจังหวัด ตำบลบางงั่ว อ. เมือง จ.ภูเก็ตและสนามบินภูเก็ต เพราะมีครูบาอาจารย์และหมู่เพื่อนทยอยกันลงไปเรื่อย ๆ ไม่ขาด องค์หลวงปู่เทสก์ได้จำพรรษาที่ภูเก็ต พระอาจารย์เหรียญ วัดป่าตะโหนดสวนพริก อำเภอตะกั่วทุ่ง พระอาจารย์มหาปิ่น วัดป่ากาไหล อ.ตะกั่วทุ่ง อาจารย์จันทร์โสม อ.ท้ายเหมือง ส่วนใหญ่ไปประชุมกันที่องค์หลวงปู่เทสก์อยู่ เพราะไปมาสะดวกเรื่องรถยนต์ ปีที่ ๒ ที่ ๓ ข้าพเจ้าจำพรรษากับพระอาจารย์เหรียญ มีหมู่ปีละ ๕-๖ องค์ กุฏิปูฟากมุงจากกั้นจากทั้งนั้น

ฤดูแล้งข้าพเจ้าชอบไปวิเวกองค์เดียวตามควนเขาดินบ้าง ควนเขาหินบ้าง เพราะภูเก็ตพังงามีแต่ภูเขาเป็นตับ ๆ แต่ก็มีเหมืองแร่ เหมืองดีบุกและสวนยางเป็นตับเหมือนกัน มีสัตว์ป่าเป็นตับ ๆ เหมือนกัน เพราะเขาไม่รังแกสัตว์ป่าเหมือนภาคอีสาน แต่เขารังแกปลาทะเล กุ้งทะเล หอยทะเล โจรผู้ร้ายมีน้อยนักหนาแท้ ๆ

กติกาของคณะสงฆ์

องค์หลวงปู่เทสก์มีปัญญามากมายนักหนา หลาย ๆ นัยที่เอาออกให้กับลูกศิษย์ องค์ท่านกล่าวกับลูกศิษย์ที่จำพรรษาปีอยู่โคกกลอยว่า

“พวกเรามาอยู่ภาคนี้จะเจริญและเสื่อมอย่างไร ขอให้ตอบได้ตามความเห็นอิสระของตนไม่ให้เกรงใจ”

องค์หนึ่งก็เรียนตอบอย่างหนึ่ง ไปคนละแง่ แต่ความหมายของเนื้อเรื่องก็ลงรอยเดียวกัน ผิดแต่ตรง ๆ หรืออ้อมเท่านั้น พอถึงวาระข้าพเจ้าก็เรียนตอบแบบเถรตรงว่า

“ส่วนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขอยกไว้บนกระหม่อมเพราะรู้เท่า รู้ทัน รู้มัน รู้ตน โดยส่วนเฉพาะองค์แล้ว ส่วนผู้น้อยที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั้นจะเจริญขึ้นยากครับผม”

องค์ท่านถามว่า “เพราะเหตุไร”

เรียนตอบว่า “เพราะเหตุว่าสถานที่ไม่อำนวย มีแต่น้ำมากและเป็นภูเขาสูงชันเป็นส่วนมาก ที่ไหนพอปีนป่ายได้ก็เป็นสวนยางเหมืองแร่ เหมืองดีบุก นา สวนเขาไปเสีย ส่วนบุคคล จีวร บิณฑบาต เภสัชพอเป็นไปได้ขอรับผม”

องค์หลวงปู่คำนึงแบบเย็น ๆ แล้วไม่พูดว่าถูกหรือผิด แล้วผ่านไปเรื่องอื่น พระอาจารย์มหาปิ่นกล่าวต่อไปว่า

“การตัดรับนิมนต์ออกคงจะดีเพราะยุ่งเหยิง”

คุณอรุณกล่าวว่า

“ถ้าไม่รับนิมนต์ ก็ไม่รับทั้งคนรวยและคนจน ให้เสมอภาค ถ้าคนรวยเขาเอารถมารับ เราก็ปร๋อไป ก็ถูกโจมตีจากคนจนอีก หรือประการใดขอรับ” แล้วก็หัวเราะกันแบบขัน ๆ

ก็ตกลงไม่ได้กันในเรื่องนี้ น้ำมนต์น้ำพรตัดออก เรื่องสำเร็จได้ ยินดีผ้าบังสุกุศลอันนี้ได้ ไม่ให้มีมูลค่าส่วนตัวอันนี้ได้ มูลค่ากลางสงฆ์ และค่าเดินทางหรืออะไร ๆ ให้ขึ้นกับญาติโยมจะทำกัน ไม่ให้พระรู้จำนวนด้วย

จะต้องการอะไรกับโยม ให้สงฆ์และพระเถระทราบก่อน มิฉะนั้นแล้วต่างคนจะต่างวุ่นตามอำเภอใจ ข้อนี้ได้กันแนบเนียนอยู่พอควร การก่อ ๆ สร้าง ๆ ที่ได้ลงทุนแต่ประมาณพันบาทขึ้นไป ไม่ให้พระไปริเริ่มเพื่อล้วงกระเป๋าเขา ข้อนี้ได้เป็นบางสำนักบางบุคคล แต่ ๓ ปีต้นได้เรียบร้อยอยู่ ต่อมาคงกระจุยกระจายบ้าง แต่ข้าพเจ้าได้ ๓ ปีก็กลับก่อนหมู่ทั้งสิ้น

http://www.dharma-gateway.com/mo ... /lp-lah-hist-09.htm
114#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อุบายกลับอีสาน

การที่ข้าพเจ้าไปเที่ยวต่างจังหวัดนับแต่อดีตที่ล่วงมา ได้นึกในใจเป็นพิเศษว่า ถ้าหากมีชีวายุมั่นขวัญยืน มีอายุพอ ๗๐, ๘๐ แล้ว ส่วนเสนาสนะภายนอกจะเก็บตัวตายในยามแก่ชราที่ไหนหนอ ได้สำเหนียกสถานที่ไว้อยู่เสมอ ๆ ไม่ได้ไปเที่ยวดูบ้านดูเมืองดูภูมิประเทศภายนอกเฉย ๆ แต่เพื่อพ้นทุกข์ในสงสารอันนั้นขาดตัวอยู่แล้ว เจตนาอันนี้มิได้ขบถคืน และมิได้บังคับ เพราะมีเจตนา(ตั้งแต่)ต้นมือ(เมื่อ)ก่อนออกอุปสมบทแล้ว มิได้หนักใจในเจตนา และเวลาที่อยู่ในปักษ์ใต้ ได้สำเหนียกว่า ถ้าเราอยู่ต่อไปอีกให้ถึง ๔ ปีก็คงไม่ไหว เพราะสถานที่ไม่อำนวยดังกล่าวแล้ว

แต่ถ้าเราจะไปซึ่งหน้าญาติโยมเล่า ก็เป็นเรื่องกระทบกระเทือนทั้งฝ่ายพระและฝ่ายโยม ทำให้พระมากับเราอีกไม่ต่ำกว่า ๑ องค์ และก็เกรงคุณอรุณจะกลับพร้อม ถ้าหากว่า เราจะทำกลอุบายลาเยี่ยมบ้าน (ปัจจัย)ทั้งค่าไปและค่ากลับในการโดยสารโยมเขาก็จัดให้พร้อม เมื่อโยมเขากำลังระแวงและหวงพระอยู่อย่างนี้ ก็เป็นเหตุให้พิจารณามากขึ้น

เมื่อออกพรรษาแล้วในปีที่ ๓ พอถึงเดือนมกราคมก็ลาออกวิเวกแต่ผู้เดียว ตั้งใจว่าจะกลับภาคอีสาน แต่มิได้เล่าให้ท่านผู้ใดฟังในเรื่องจะกลับ และจะค่อยวิเวกไปไม่ด่วน โยมและฝ่ายคณะสงฆ์ก็คงสงสัยมาก เพราะเห็นจัดบริขารออกเหลือน้อย

รองเท้าก็ไม่เอา ผ้าจีวรและสังฆาฏิตัดใหม่ ๆ ย้อมใหม่ ๆ ไม่เอา เพราะเห็นว่าผ้าใหม่ เวลาเราได้ถูกซักน้ำธรรมดาคราวจำเป็น ผ้าจะขาวออก ผ้าไตรเก่าพอจะคุ้มปีอยู่ดังนี้ ผ้าอาบน้ำเอา ๒ ผืนกับผืนเก่า ผ้าอังสะผืนเดียว ผ้าสบงผืนเดียว ผ้าปกหมอนตัดออก เอาผ้าปูนอนคือผ้าอาบปกเอาในตัว ย่ามตัดออก

หนังสือมีแต่ปาฏิโมกข์กับใบสุทธิเอาผ้าเช็ดหน้าห่อ ยาแก้พิษสัตว์กัดต่อย ยาตราพระตลับเดียว ไฟแช็กแก๊ส ไฟฉาย มุ้งบาง กลดไม่ใหญ่โตเท่าไร สะพายบ่าเดียว แบกกลดขึ้นรถยนต์ไปลง จ.พังงา ในตัวจังหวัด ไกลจากที่จำพรรษาอำเภอหนึ่ง ไปพักถ้ำกรรจ์ ทิศตะวันออก ไกลจากเมืองหนึ่งกิโลเมตร ได้ข้ามน้ำกว้างประมาณ ๒ เส้น ลึกเพียงเข่า ไหลอยู่ไม่ขาด ไหลลงสู่ทะเลใน

ให้เข้าใจว่าทางทิศเหนือของเกาะภูเก็ตเขาเรียกกันว่าทะเลในทางทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกของภูเก็ตและทิศเหนือของภูเก็ตก็คือมหาสมุทรอินเดียเราดี ๆ นี้เอง แปลว่า จ.พังงา เป็นแหลมของ จ.สุราษฎร์ฯ ยื่นออกไปแทงมหาสมุทรอินเดีย ภูเก็ตอยู่ในเกาะมหาสมุทรอินเดียและจังหวัดพังงานี้อยู่ในหุบเขาลึก

หลังเขา ตีนเขามีสัตว์ป่านานาชนิด เช่น เสือ งู ลิง ค่าง บ่าง ชะนี หมี อีเก้ง เลียงผา เป็นต้น ถ้าไล่นับไปมาก ก็จะเป็นเดรัจฉานกถาในพรหมชาลสูตร สีลขันธวรรค นักปราชญ์อ่านพบก็จะหัวเราะว่า พูดแต่เรื่องบ้านเรื่องเมือง พระธุดงค์อะไรอย่างนี้ แปลกมาก จะกลายเป็นธุดงค์แผนที่ภายนอก

ไปอยู่ถ้ำไหน ๆ ก็หนีไม่พ้นถ้ำกายถ้ำใจนี้เองจะได้พิจารณากัน สัตว์ป่าที่อยู่ในถ้ำนี้มานมนาน จนตั้งบ้านตั้งเมืองได้ มีอิสระ ก็คือสัตว์กิเลส ราชสีห์ตัวที่หนึ่ง - สอง - สาม ก็คือโลภ โกรธหลง ไฟก็ว่า อวิชชาก็เรียก ได้ยศได้นามหลายชื่อแท้ ๆ เพราะเป็นเจ้าใหญ่นายโตประจำกายประจำใจ เป็นเจ้าโลกเจ้าสังขารมานมนาน เขากลัวแต่กองทัพธรรมอริยมรรคอริยผลเท่านั้น ต่ำกว่านั้นลงมาเขาไม่กลัวหรอก คล้ายกับริ้นกับยุงไปกัดช้างเท่านั้นแหละ หรือมิฉะนั้นคล้ายกับเอาไม้จิ้มฟันไปงัดภูเขา กิเลสก็ไม่หวั่นไหวได้ง่าย ๆ
115#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิเวกถ้ำกรรจ์

ในขณะที่พักวิเวกอยู่ถ้ำกรรจ์นั้น ซึ่งเป็นถ้ำดินราบ ถ้ำคล้ายกับวงเล็บ มีแคร่สูงประมาณ ๔๐ เซ็นต์ ปูฟาก ไม่ได้กั้น นอนพอสุดหัวสุดเท้า กว้างประมาณ ๙๐ เซ็นต์ บาตรต้องตั้งไว้ใต้เตียง(ตรง)หัวนอน มีคลองน้ำไหลอยู่หน้าถ้ำ เพดานถ้ำหินสูงประมาณ ๓ เมตรก็มี ประมาณ ๒-๔-๕ เมตรก็มี ทางจงกรมก็อยู่กับนั้น ยาวประมาณ๗ วา มีน้ำไหลอยู่หน้าถ้ำ เป็นคลองลึกเพียงเข่า เขาทำร้านล้างบาตรให้ที่นั้น นั่งสรงที่นั้นก็ได้ น้ำจืดใสสะอาด ไม่มีบ้านคนอยู่เหนือน้ำที่ไหลมา ตีนเขาต่ำกว่านั้นลงมาประมาณ ๑ เส้นเป็นสวนยางเขา

ด้านภาวนาหนักไปทางเมตตา พิจารณาลงมาจนถึงอนัตตาธรรมอันไม่มีเวรอันไม่มีภัยอันไม่มีศัตรู พร้อมกับลมเข้าออก ไม่มีกลางวันกลางคืน เพราะถือว่าต้องพึ่งตนเองหนักเข้า ตลอดทั้งขาไปขากลับบิณฑบาต

ฉันในบาตรรวมทั้งหวานคาวตามเคย เพราะกลัววิบัติ ไปบิณฑบาตในเมืองไม่ใกล้นัก เต็มบาตรทุกวันทั้งกับพร้อม มีโยมชาวบ้านตามปฏิบัติตอนฉันเช้าวันละคนไม่ขาด เขามีนิสัยดี คำใดเราบอกอย่า ๆ แล้วไม่ฝืนเลย สัตย์ซื่อสุจริตมาก เขาว่าเขาไม่ค่อยเห็นพระมาอยู่องค์เดียวอย่างนี้ ถ้ามาก็ ๓-๔-๕ องค์เป็นกลุ่ม ๕ วัน ๗ วันก็ไป ก็มักเห็นอยู่แต่สนามกลางเมืองและริมถนนที่คนผ่านไปมา ปักกลดอยู่กับดินและมักจะมีของขลังมาพร้อมด้วยเป็นอันมาก โดยมากมักเป็นพระทางสงขลา พัทลุงและภาคกลางก็มีและก็มีผู้นิยมชมชอบ

เมื่อขณะเขียนอยู่เดี๋ยวนี้ ได้พิจารณาขึ้นว่า จะเป็นลัทธิใด ๆ ก็ตาม ที่อ้างอิงว่าถือพระพุทธศาสนา หลักพิสูจน์ของการปฏิบัติก็มีอยู่ว่า สิ่งใดที่เป็นการส่งเสริมให้กิเลสมากขึ้น สิ่งนั้นไม่ถูก ถ้าประพฤติถูก กิเลสก็ห้ามล้อหรือเบาลง หรือเหือดแห้งหายขาดไป ผลรายรับต้องปรากฏอย่างนี้แก่ผู้ปฏิบัติขณะที่ทวนดูตนดูใจ มิฉะนั้นแล้วการปฏิบัติก็เป็นเถรส่องบาตร เห็นท่านจ้องส่องดูบาตรก่อนลงมือฉันก็จ้องดู แต่ไม่รู้ว่ามีความหมายยังไง

การเดินทางใจไปมรรคผลนิพพาน จะติเตียนหนทางที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาธิคุณเปิดไว้แล้วอย่างโล่งโถงก็ไม่ได้ ต้องติเตียนใจ สติปัญญาของตนเข้าใส่หนทางเท่านั้น ไม่ได้ลงทุนถางและซ่อมแซมเหมือนทางภายนอก ทางภายนอกต้องซ่อมแซมกันอยู่เรื่อย ๆ จะเทียบใส่อาหารภายนอก มีผู้หามาให้ครบ มีแต่ล้างมือเปิบกินก็ดี อาหารนั้นถ้าไม่กินนานไปก็บูดก็เน่า เป็นหนทางที่พระองค์เจ้าถางไว้เตียนก็ดี อาหารที่พระองค์เจ้าปรุงแล้วสุกแล้วใส่สำรับไว้บริบูรณ์แล้วก็ดี หนทางก็ไม่กลับรกอีก อาหารก็ไม่บูด

ต่อไปในเรื่องผ่านเมืองพังงาไปบิณฑบาต บรรดาผู้ที่มาลัดใส่บาตรพระหลวงพ่อนี้ เขาร้องวิงวอนประจำว่า ขอให้เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม พระยม พระกาฬ จตุโลกบาลทั้ง ๔ จงรักษาพ่อท่านอย่าให้มีอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะหวาดเสียวเหลือเกิน เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังดังนี้ จะเป็นคำเท็จจริงอย่างไรก็มอบให้เป็นเรื่องของเขา ผู้เขียนก็ไม่รับได้ ไม่รับเสีย ด้วย แต่ก็คงเป็นคำจริง เพราะเราภาวนาหนักไปในอัปปมัญญา

ตามความจริงแล้วเสือนั้นเอาคนตัดยางไปกินบ่อย ๆ อยู่ตามแถบนั้น เพราะการตัดยางเขานิยมกันแต่เช้ามืด มัดตะเกียงไฟติดหน้าผาก แต่ตี ๓ ตี ๔ เป็นส่วนมาก สำหรับผู้กล้าหาญ เขานิยมกันว่ายางมันไม่แห้ง มันออกดีในเวลาตอนกลางคืน ได้ยินงูใหญ่ร้องอยู่ใกล้ประมาณ ๑๕-๑๖ วาแต่มิได้เห็นตัว ชะรอยมันจะร้องอยู่ในรูที่เป็นรูเป็นโพรงเข้าไปในเขา ส่วนเสือนั้นไม่ปรากฏเห็น หรือมันมามองดูก็ไม่ทราบได้ เพราะเป็นหุบเขาแหลม ๆ เข้าไป
116#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แต่คราวล่วงมา ไปวิเวกที่บางนุ ที่ควนเขาดิน คนเดียว อ.ตะกั่วทุ่ง มันมาร้องอยู่ใกล้ ๆ อย่างอาจหาญมากนักหนา คราวอยู่วัดป่ากระโสม ตะโหนดสวนพริก ตะกั่วทุ่งก็ ๖ โมงเย็นมันออกมาสูดกลิ่นเล่นอยู่ตามทางที่ลัดไปมาระหว่างกุฏิต่อกุฏิที่เป็นทางแคบ ๆ อันเป็นกุฏิบนควนเขาดินที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน พอมันเหลือบเห็นข้าพเจ้ามันก็กระโดดเข้าป่าหญ้าฝรั่ง (สาบเสือ) เสีย

ความกลัวตายของสัตว์ที่มีกิเลสอยู่นี้ต้องมีกลัวกันทั้งนั้น เว้นพระอรหันต์เสีย เหลือนั้นต้องกลัวกันไม่มากก็น้อย ท่านผู้ดับตัณหาได้สิ้นเชิงแล้ว ความขลาดกลัวขนพองสยองเกล้าย่อมไม่มี แต่คนโดยมากชอบมอบให้โรคเส้นประสาทเป็นส่วนมาก และก็ขอฝากท่านผู้รู้ไว้ด้วย การเขียนเกี่ยวกับธรรมชั้นสูง มิได้ยืนยันเข้าข้างตัวฝ่ายเดียว เพราะจะกลายเป็นมานะความถือดิ่งลงไปหน้าเดียว ถอนได้ยากอุปาทาน

อาจารย์ภูเขาทอยพาให้เข็ดหลาบ

ครั้นพักทำความเพียรอยู่ถ้ำกรรจ์ประมาณ ๒ เดือนแล้ว จิตสังขารก็คิดอยากจะข้ามเขาทอย ไปทางอำเภออ่าวลึกซึ่งเป็นเขตจังหวัดกระบี่ จึงถามโยมว่า

“โยมเอ๋ย อาตมามาพักอยู่ที่นี่ ก็สะดวกสบายพอควร วันเวลาชีวาก็วิ่งไป นึกอยากจะไปเที่ยวต่อไปทางอำเภออ่าวลึก ภูเขาขวางหน้าอยู่นี้ มีที่ข้ามไปได้หรือไม่”

เขาตอบว่า “ไม่อยากให้ท่านไปง่ายเพราะประชาชนเขาจะขนดินทรายมาปูพื้นถ้ำให้พ่อท่านอยู่”

ตอบเขาว่า “อาตมาด่วนไปข้างหน้าเพราะเกรงจะไม่ได้เที่ยวหลายแห่ง โยมเอ๋ย แม้จะไม่มีพระอยู่นี้ การขนทรายมายิ่งสะดวกดี เพราะ(ถ้า)พระมาพัก จึงจะขน (จะ)เป็นการไม่สะดวกเท่าไรในฝ่ายพระ เพราะลำบากหลบกับญาติโยมที่ผ่านไปมาอันเป็นเพศหญิง เรารีบทำไว้ก่อนพระมาพักดีกว่านะ”

ขาดอบว่า “ถ้าพ่อท่านไปแล้ว ใครหนอจะพอใจขน เพราะไม่มีกำลังใจ เพราะไม่เห็นพระ”

ตอบเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รอไว้ก่อน ต่อเมื่อมีพระมาในอนาคตจงพากันขนเน้อ จะอย่างไรอาตมาก็จะได้ลาไปตามแผนที่วางไว้ พวกเราจะอยู่ไกลกันขอบฟ้าแดนดินใด ๆ ก็ตาม ต่างก็ถึงพุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นสรณะอยู่ ได้ชื่อว่าอยู่ใกล้กันโดยธรรมแลนา แล้วก็หมดปัญหากัน”

แล้วเขาพูดว่า “ถ้าจะไปจริง ๆ จะได้นิมนต์กลับไปทางตลาด จะส่งพ่อท่านไปทางเรือจะสะดวกและถึงเร็ว”

ถามโยมว่า “ภูเขาทอยนี้ ได้ยินเขาเล่าว่า มีคนข้ามมาข้ามไปได้อยู่ด้วยฝีเท้า”

เขาตอบว่า” ได้อยู่ก็จริง แต่ชันมาก สูงมาก บ่าย ๔ โมงเย็นจึงจะถึงตีนเขาทางทิศตะวันออก”

ตอบเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็อยากจะทดสอบดูว่า อาตมาจะกล้าเป็นกล้าตายเพียงขนาดไหน ขอโยมจงไปส่งให้ถูกทางช่องข้ามเถิด” ว่าแล้วเขาก็พาไปแบบฝืน ๆ

เขาพาไปตามตีนเขาประมาณ ๘ เส้น ก็เห็นหนทางข้ามลัดเขาแคบ ๆ พอสังเกตได้

เขาบอกว่า “ไม่มีเส้นปลีกดอก อย่าได้แวะซ้ายและขวาเลย”

ตอบเขา” ถ้าอย่างนั้นขอให้โยมกลับโดยสวัสดิภาพเทอญ”

เขายกมือใส่หัวแล้วก็กลับ
117#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แล้ว (ข้าพเจ้า) ก็ตั้งใจภาวนาพร้อมกับขาก้าวปีนภูเขา บางแห่งก้าวได้ทีละคืบ บางแห่งก้าวได้ทีละกว่าคืบ บางแห่งก้าวได้ทีละศอกกำ ไปยังไม่ถึงหลังเขาก็พักเหนื่อย ผินหน้าลงทางที่ปีนขึ้นมา เอาส้นสองส้นยันที่เป็นหลุม หนีบกลดไว้กับรักแร้ สะพายบาตรเฉวียงบ่าให้แน่น เอาฝ่ามือสองฝ่าแบออกกดพื้น ตัวยั้งน้ำหนักอยู่ที่ส้นสองส้น อยู่ที่ก้น อยู่ที่ฝ่ามือทั้งสองที่กดลงสนิทพื้น พักบรรเทาทุกข์กายอยู่กับหนทางที่นั้นประมาณ ๑๐ นาทีแล้วก็ค่อยพยุงตัวยืนขึ้น ปีนขึ้นต่อไป

ประมาณเที่ยงวันก็ถึงหลังเขา เหงื่อออกโชกโชนเดินไปไม่พอ ๑๕ วาก็ชันริบหรี่ลงอีก ลงยากกว่าปีนขึ้นอีกเสียด้วย เพราะได้ห้ามล้อยั้งลง ๆ แบบเบาที่สุด พอถึงตีนเขาก็ ๔ โมงเย็นกว่า ๆ แล้วเหลียวคืนหลังที่ข้ามมา เข็ดหลาบมาก ไม่เสียดายไม่อาลัยว่าจะข้ามอีก ระอามาก น้ำก็ไม่ได้ดื่มเลย

อาจารย์ภูเขาทอย จังหวัดพังงาพาให้เพิ่มความเข็ดหลาบในสงสารสาครยิ่งขึ้น อาจารย์เกิด อาจารย์แก่ อาจารย์เจ็บ อาจารย์ตาย อาจารย์วิโยคพลัดพราก อาจารย์ปรารถนามิได้สมหวัง อาจารย์อนิจจัง อาจารย์ทุกขัง อาจารย์อนัตตา เป็นอาจารย์สอนให้เข็ดหลาบในวัฏสงสารอยู่ ไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา แต่ขออย่าให้เป็นผู้หูหนวกตาบอด รับฟังรับพิจารณาอยู่ไม่เลือกกาล จึงจะคุ้มค่าแห่งความหลงและความไม่หลง มิฉะนั้นแล้วก็ไปไม่รอดจากความหลง ๆ ใหล ๆ หลำ ๆ ได้

ครั้นตกถึงตีนเขาแล้ว เป็นทุ่งนา กว้างประมาณ ๓ ไร่ ยาวประมาณ ๒๐ ไร่ มีน้ำไหลลงจากภูเขา เป็นคลองเล็ก ๆ ใสสะอาด จืดสนิท มีกระต๊อบกระหนำอยู่กว้างประมาณ ๓ เมตร ยาวประมาณ ๔ เมตรกว่า โล่งเตียนไม่มีคนอยู่นั้น และไม่มีสิ่งของอะไร นึกในใจว่า ถ้าพบเจ้าของมาที่นั้น ก็จะขออนุญาตพัก แต่ก็ไม่พบเลย พักหายเหนื่อยแล้วก็สรงน้ำ ด้วยความสังเวชตนว่าเกิดมาทุกข์ ทุกข์อยู่องค์เดียว ไปอยู่องค์เดียว ไม่มีใครเป็นพยานได้ มีแต่หัวใจตนเป็นพยานตนเอง

สรงน้ำแล้วก็พอดีค่ำ กราบพระแล้วก็ภาวนานอนและไม่หลับสนิทได้ ไม่นึกกลัวและไม่นึกหาญ เป็นเสมอ ๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะคุณธรรมอันวิเวกไม่มีเพื่อนสอง ไม่เป็นอารมณ์อันจะพูดกับเพื่อนเนาะ ๆ แนะ ๆ อะไร เพื่อต้อนรับกันเป็นคำ ๆ เป็นเรื่อง ๆ เป็นวรรค ๆ ตนเป็นที่พึ่งของตนโดยแท้ ใจเป็นที่พึ่งของใจโดยแท้ ธรรมเป็นที่พึ่งของธรรมโดยแท้ กรรมเป็นที่พึ่งของกรรมโดยแท้จริง

ครั้นเช้าได้เวลาก็เข้าไปบิณฑบาต มีบ้านอยู่ทางทิศตะวันออกไกลประมาณ ๒๐ เส้น มีหลังคาเรือนประมาณ ๕-๖ หลัง ฉันเสร็จแล้วพักอยู่ที่นั้น บ่ายประมาณ ๓ โมง มีโยมแวะไปคุยด้วย ๒ คน

ได้ถามเขาว่า “มีถ้ำอยู่ตามแถบนี้หรือไม่”

เขาตอบว่า “มี”

ถามเขา “ไกลขนาดไหน”

เขาตอบ “ไม่ไกลเท่าไรนัก”

ถามเขา “ไปเดี๋ยวนี้จะทันหรือไม่”

เขาตอบ “ทันครับ”

แล้วเขาก็พาไป พอไปถึงเป็นที่ขรุขระมาก เป็นซอกเขาเข้าไปลึก แล้วมีน้ำซึมอยู่ด้านหนึ่ง มีทาก มีเงื้อมหินขลุกขลัก ทางจงกรมก็ไม่มีที่จะราบเรียบยาวพอ ๕ วาเลย

เวลาก็ค่ำเข้า มีป่าไม้ทึบไม่สว่าง มีรอยสัตว์ป่าลงไปกินน้ำละลากละลายมาก ทีนี้หามศพตกป่าช้า ถ้าจะ(กลับ)คืนพักที่เก่าก็ไม่เหมาะ คล้ายกับว่าเราขลาดกลัวเกินไป

ว่ากับเขาว่า “เออ ค่ำแล้ว จะทำร้านก็ไม่ทันดอก จงพากันเอาใบไม้ปูดิน แล้วทำที่ให้แขวนกลด แล้วก็พากันกลับบ้านจวนค่ำแล้ว” เขาทำเสร็จก็กลับ พอเขากลับแล้วก็กางกลดมุ้ง ปูผ้าอาบลงที่เขาปูไม้ให้ ที่ดินราบเพราะเป็นถ้ำราบ เงื้อมหินนิดหน่อย

พอถึงเวลา ๑ ทุ่มก็กราบพระและจะสวดพาหุง ความง่วงเหงาหาวนอนไม่รู้ว่ามาจากไหน ทำอุบายแก้ยังไปก็ไม่หายได้ จึงทวนดูว่าเรามาอยู่ที่อัตคัดอันตรายมาก ทำไมเราง่วงเหงาหาวนอนมากผิดธรรมดาแท้ ๆ จะอย่างไรก็ตาม เราจะอธิษฐานธรรมแล้วจะนอน
118#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ยกมือประนม นึกในใจว่า ด้วยเดชพุทธ ธรรม สงฆ์ ขอเป็นมิตรเป็นสหายปราศจากสรรพเวรภัยทั่วทั้งไตรโลกาอยู่ทุกเมื่อ และระลึกได้ ไม่ระลึกได้ก็ดี ขอผูกขาดจองขาด ตราบเท่าเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล แล้วก็นอนกำหนดพุทโธ พร้อมลมออกเข้า คงไม่พอ ๕ นาทีเลยหลับไป

รู้สึกตัวตื่นขึ้นประมาณตี ๒ กว่า ๆ มดง่ามกัดเพราะเป็นดินชุ่ม แล้วคิดว่า เรามิใช่คนขี้เซาหาวนอนอะไรนัก มานอนเหมือนหมู่ถึงเพียงนี้ เป็นด้วยอากาศทึบ ธาตุขันธ์สู้ไม่ไหว ที่นี่เอาผ้าปัดมดออกจากกาย ทั้งพลิกใจภาวนา ถึงอย่างนั้นก็ยังจะเคลิ้มหลับอยู่ แต่ก็นึกเผลอไป มิได้เพ่งแสงสว่างเป็นอารมณ์ เพื่อบรรเทาง่วง ลองดูและนิสัยเจ้าตัวเล่า ก็ไม่ค่อยได้หัดเพ่งแสงสว่างเป็นอารมณ์อีกด้วย จึงเป็นเหตุให้ไม่ได้ระลึกถึง เพราะเคยเพ่งแต่อานาปานสติเป็นหลักส่วนมากแห่งสมถะ แม้จะพิจารณาไตรลักษณ์ก็อาศัยอานาปานะเป็นนายหน้า แม้พระองค์จะทรงพระกรุณาสอนพระมหาโมคคัลลานะ ผู้ไปทำความเพียรอยู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ แล้วนั่งโงกง่วง ทรงสอนอุบายให้ระงับโงกง่วงด้วยวิธีต่าง ๆ ก็เลยลืมไปเสีย เลยกลายเป็นวางยาไม่ถูกกับโรคที่กำเริบกะทันหันก็เลยถูกแพ้การโงกง่วงไปเสีย ถ้าเสือหรืองูหรือมีสิ่งบันดาลให้ตายในคืนนั้นสด ๆ ด่วน ๆ ถ้าพลิกใจไม่เหมาะสม ก็คงจะเป็นปัญญาอยู่

พักเขาเฒ่าพบงูใหญ่

ครั้นตอนเช้าก็จัดแจงบริขารเตรียมเดินทางไป ผ่านข้างบ้านเขา เขาวิ่งมารับ แล้วได้พูดกับเขาว่า

“อากาศทึบมาก ที่คับแคบอีก ถ้าจะบิณฑบาตที่บ้านเรานี้ก็ยังเช้าเกินไป ถ้าอาตมาไปข้างหน้าจะมีบ้านหรือไม่ และจะมีที่พักสะดวกหรือไม่”

เขาตอบว่า “ต้องไปพักเขาเฒ่า เพราะมีเงื้อมหิน และมีเตียงอยู่นั้นด้วย ไปบิณฑบาตบ้านเขาเฒ่า แต่พอไปถึงจะสายมากครับ” “เออ ถึงสายบ้างก็ไม่เป็นไรดอก ขอจงส่งอาตมาให้ถูกทางโยมเอ๋ย”


เขาเฒ่า จ.พังงา

เขาไปส่งประมาณ ๒๐ เส้น ข้ามน้ำไหลเชี่ยว ลึกเพียงเข่า ไหลลงมาจากเขาทอย กว้างประมาณ ๖ เมตร แล้วก็บอก (ให้) เขากลับ พอไปถึงเขาเฒ่าก็ ๔ โมงเช้าโดยคาดคะเน มีคนหนึ่งตามพาไปถ้ำ แล้วก็เลยไม่ไปบิณฑบาตเลย เพราะหมดเวลาแล้ว และเขาก็รู้ว่ายังไม่ฉันอาหาร

บอกเขาลัดไว้ว่า “อาตมาไม่ฉันก็ได้ดอก วันนี้ โยมไม่ต้องลำบากดอก เพราะมาหลอนกันผิดเวลาแล้ว”

เขาไม่ยอม เขาเอาปิ่นโตมาเถาหนึ่ง แล้วแก้บาตรออก เอาใส่บาตร ฉันให้เขาประมาณ ๙ หรือ ๑๐ คำนี้แหละ เขาเล่าว่า

“พระพัทลุงและสงขลานาน ๆ ก็ผ่านมาพักอยู่ แต่อยู่ไม่นาน เพราะมาหลายองค์ที่พักไม่พอ”

ปรารภกันประมาณ ๒๐ นาทีแล้วเขาก็กลับ บ้านเขาเป็นบ้านห่าง ๆ กัน เพราะเขาอยู่ตามนาตามสวน ของใครของมัน สมัยนั้นโจรผู้ร้ายไม่ค่อยมี แต่ทุกวันนี้ก็คงจะบอกไม่ถูก เพราะวุ่นวายขัดข้อง

ที่พักอยู่เขาเฒ่านั้นเป็นเงื้อมหิน พื้นเสมอดินราบ แต่เงื้อมหินข้างบนสูงมาก เป็นที่มุงยื่นออกไป พื้นใต้ที่ราบที่อาศัยพัก มีเตียงสูงประมาณ ๔๐ เซ็นต์ เขาทำที่บวงสรวงไสยศาสตร์เป็นกระท่อมหนึ่ง ที่เรียกว่ากระต๊อบหรือกระหนำ ไกลจากเตียงใกล้หน้าผาเป็นโพรงเป็นรูเข้าไปในหน้าผานั้นประมาณหลวมครุ

ภูเขาลูกนั้นเขาเรียกว่าภูเขาถ้ำเขาเฒ่า ตำบลเขาเก่า จังหวัดพังงา

วันไปถึงทีแรกก็พักอยู่ที่เตียง นอนเอนกายพักอยู่เป็นเวลาประมาณบ่าย ๑ โมง มีงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยตรงมาทางทิศเหนือ ล่องตามหน้าผามาที่ก้อนหินใต้หน้าผา หัวของมันเกือบจดกับเตียงด้านทางที่ผินศีรษะไป คอของมันยกขึ้นพร้อมทั้งที่เลื้อยมา ยกคอสูงประมาณ ๕๐ เซ็นต์ มาแบบเรียบ ๆ ช้า ๆ ตาของมันเท่าหัวแม่มือ ข้าพเจ้าก็ลุกนั่งพับเพียบ หัวของมันอยู่ห่างเตียงประมาณ ๑ ศอก ตัวของมันยาวประมาณ ๔ เมตร โตประมาณวัดผ่าศูนย์กลาง ๑๐ เซนต์กว่า มันก็ยกคอทำตาปริบ ๆ อยู่แบบสุภาพ นึกขึ้นได้สด ๆ แล้วพร้อมทั้งโบกมือกล่าวว่า

“ไป ๆ ๆ ๆ เลี้ยวไปทางนั้น จะมาสงสัยเราทำไม เราแผ่เมตตาถึงเธอทุกวัน ไม่ว่าแต่เธอเลย สิ่งที่มีวิญญาณครองสิงทุกถ้วนหน้าทั่วทั้งสรรพไตรโลกา เรารอเป็นมิตรเป็นสหายปราศจากเวรภัยอยู่ทุกเมื่อ พร้อมทั้งอุทิศกุศลผลบุญให้ทุกถ้วนหน้า อยู่โดยทุกเมื่อ จงได้รับแต่สรรพสุขทั้งปวง ผูกขาดจองขาด ระลึกได้ไม่ระลึกได้ก็ดี ตราบเท่าเข้าสอนุปาทิเสสนิพพานทุกถ้วนหน้านั้นเทอญ ไป ๆ ๆ ๆ”
119#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มันเลยเลี้ยวขวาตรงไปใต้ถุนกระต๊อบที่เขาบวงสรวง ยกคอเรียบ ๆ อยู่อย่างนั้น เลื้อยไปช้า ๆ แบบมีสติ หัวมันห่างออกไปจากเตียงประมาณ ๒ วา แต่หางสุดของมันยังอยู่ใกล้เตียง แล้วมันร้องขึ้นว่า “หู หู หู หู” ท้องของมันยุบพองยุบพองในเวลามันร้อง แล้วมันก็เข้าไปในโพรงหินหน้าผาเงียบ แล้วพะวงนึกในใจว่า มันมาหากินต่างหาก แต่มาเจอเรา

ห่างจากกันไปประมาณ ๑๐ นาทีก็ออกมาอีก จะลัดไปทางตีนเตียง ยกคอมาเหมือนเดิม มาเรียบ ๆ ออกจากโพรงหินมาประมาณวากว่า ๆ แล้วทีนี้ตั้งใจได้กว่าคราวก่อน จึงพูดขึ้นทั้งกวักมือให้กลับ พูดว่า

“ไป ๆ ๆ ๆ กลับ ๆ เราบอกแล้วไม่ฟัง เราไม่มาหา เอาทรัพย์ในดินสินในน้ำดังกล่าวแล้วนั้น กลับ ๆ ๆ ๆ”

ทั้งโบกมือพร้อม เวลามันกลับ มันก็ถอยตัวกลับ ประมาณ ๑ คืบแล้วขว้างหางคืนมา แล้วเข้าไปในรูนั้นต่อไป

ไฉนมันเข้าไปในรูแล้วจึงออกมาอีกโดยด่วนนัก ชะรอยมันจะออกไปหากินทางชายทุ่ง แล้วด้วยอำนาจของพุทธ ธรรม.สงฆ์และจิตใจมิได้มีควรมีภัยกับมัน มันก็ไม่กัดไม่กินไม่ทำอันตรายใด ๆ มิใช่ภูตผีเทวบุตรเทวดาจำแลงแปลงกายอะไรเลย หรือจะเรียกว่า คงสร้างบารมีมาทดสอบว่าจะขลาดกลัวขนาดไหน และจะนึกหาค้อนหาไม้มาฆ่ามาดีหรือไม่ เหล่านี้เป็นต้น ก็อาจเป็นได้

เรื่องงูภายนอกก็ไม่สำคัญเท่างูภายใน งูภายในคืองูกิเลสที่พันจิตพันใจอยู่ เป็นงูสำคัญมาก แผ่พังพานโลภ โกรธ หลงอยู่ไม่ลดละได้ โสดาบันเป็นต้นไป งูจะไม่รัดจิตรัดใจให้แน่น พอหายใจสะดวกบ้าง เห็นหนทางและมีทางจะชนะงูในอนาคต ต่ำกว่านั้นลงมาอยู่ในเกณฑ์ตายคาปากงู

ตื่นเช้าไปบิณฑบาต ๒ เรือนเท่านั้น เพราะบ้านเขาอยู่ห่างกันตามสวนตามนา แต่ก็พอได้ฉันอยู่ เขาตามมาส่งอาหารคนหนึ่ง

ได้ถามเขาว่า “คุณโยม ที่นี่มีงูหรือไม่”

เขาย้อนถามว่า “พ่อท่านเห็นหรือ”

ตอบเขาว่า “เห็น”

เขาถามว่า “ตัวใหญ่ขนาดไหน”

ตอบว่า “ตัวขนาดแข้งโตนี่แหละ”

เขาตอบว่า “ตัวใหญ่กว่านั้นก็มี เท่าโคนขา”

ถามเขาว่า “มันกัดเป็นไหม มีพิษไหม”

เขาตอบว่า “มันกัดเป็น และมีพิษมากเป็นที่ ๒ ของงูเห่า แต่มันไม่ค่อยกัด มันชอบกิน”

ถามเขาว่า “ชื่องูอะไร”

เขาตอบว่า “ชื่องูบ้องหลาครับ มันเคยอาศัยไปมาอยู่ตามแถวนี้มานานแล้ว มันเป็นงูกายสิทธิ์ แต่ก็ไม่ค่อยทำใครดอก”

แท้จริง แต่ยังมิได้พบงู ก็นึกในใจว่า จะพักอยู่ที่นั้นประมาณ ๓ วันเท่านั้น แต่เมื่อพบงูแล้ว และเล่าให้เขาฟังแล้ว ก็จำเป็นต้องอยู่ไปอีก ต่างดัดสันดานตนเองบ้าง และเกรงเขาจะว่าพระธุดงค์ขี้ขลาดเกินไป

อยู่ไปอีกได้สัปดาห์หนึ่งและไม่เห็นงูมาอีก มีแต่เสือโคร่งผ่านมาได้ใกล้ประมาณ ๑๕ วา โยมเขาบอกเล่าให้ฟัง เขาเห็นรอยมัน แต่เจ้าตัวมิได้ไปดูกับเขา แล้วนึกในใจว่า ถ้ากรรมตายไม่มาถึงแท้ กรรมเป็นอันมีชีวิตก็ต้องรอดไปเป็นคราว ๆ แต่ก็ไม่พ้นตายไปได้

เมื่อนึกให้ละเอียดแล้ว เสือกิเลสก็ตั้งบ้านตั้งเมืองอยู่รอบเมืองใจอีก คำว่าเสือแปลว่า ผู้ยังมีโกรธโหดร้ายอยู่ เห็นแต่กระเป๋าไส้กระเป๋าท้องของตน พระอนาคามีเท่านั้นจะพ้นจากปากเสือโกรธไป ต่ำกว่านั้นลงมา ไม่พ้นจากปากเสือโกรธเลยแลหนอ เมื่อน้อมเข้ามาภายในเป็นอัชฌัตตาธัมมาแล้ว เรื่องเสือภายนอกก็แบ่งเบาผ่อนปรนลงมาได้

มหันตโทษของเสือภายใน สามารถใช้กาย วาจาไปทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕ ได้ ฉะนั้นศีล ๕ ศีล ๘ (มีศีล)ข้อต้นเป็นรากเหง้าของศีลอย่างสมบูรณ์ ถ้าล่วงศีลข้อต้นแล้ว ศีลข้ออื่น ๆ ก็จะพลอยล่วงไปด้วย ตรงกันข้ามถ้ารักษาศีลข้อต้นได้ ข้ออื่น ๆ ก็พลอยจะสมบูรณ์ไปด้วย เพราะได้รากแก้วของศีลที่มีเมตตา เมตใจ เมตธรรมเพราะตัดสินลงในใจในธรรมแล้วว่า จะไม่ฆ่าตายหงายไว้แก่ใคร ๆ ทั้งปวงโดยมิได้เลือกหน้า เป็นเมตตาธรรมาธิปไตย เห็นธรรมเป็นใหญ่แล้ว ไม่ได้เห็นตนเห็นโลกเป็นใหญ่กว่าธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้มีศีล ๕ บริบูรณ์ ก็คือผู้มีทรัพย์ภายใน บริบูรณ์อริยทรัพย์นั้นเอง ฉะนั้นศีล ๕ ของผู้มีศีลบริบูรณ์จึงเป็นโลกุตตรศีล เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้นของพุทธศาสนา
120#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อ่าวลึก-แหลมสัก

พักอยู่นั้นตามสมควร ๗ วันแล้วก็ลาเขาไปพักบ่อแสน ลงเรือแจวไป ๒ ชั่วโมง สุดเขตจังหวัดพังงาเพียงนั้น เป็นพรมแดนต่อ จ.กระบี่ พักอยู่หาดทราย มีกระหนำเล็ก ๆ

ถามเขาว่า “บ่อแสนนี้หมายความว่าอย่างไร”

เขาตอบมาจัง ๆ ว่า “คือแสนทุกข์แสนยากนะพ่อท่าน”

ให้คะแนนเขาว่า “ดีแล้ว ตอบไม่หนีจากหลักธรรมะ”

พักอยู่นั้น ๓ คืนแล้วลาเขาไป อ.อ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ตี ๑ ตอนกลางคืนเขามารับเอาบริการไปลงเรือแจว ขณะนั้นน้ำทะเลกำลังขึ้น เขาแจวเรือโต้น้ำขึ้น เสียงปลากระโดดตูมตาม ๆ ตามป่าไม้ริมทะเลใน เรือไปจอดท่าอำเภออ่าวลึกแล้ว พวกชาวเรือประมาณ ๗ คนนั้น เขาหาบแตงโมงเข้าไปขาย อ.อ่าวลึก ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๔ โดยคาดคะเน พอเขาหาบแตงโมไปแล้วสักครู่ฝนตกลงมาอย่างหนักแต่ลมไม่จัด ก็ยืนสะพายบาตรอยู่ที่ท่าน้ำ กั้นกลดอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมง มืดแปดด้านไม่แลเห็นอะไร นึกในใจแล้วก็คล้ายกับว่าอาจารย์ฝนลองดี ให้ยืนกั้นกลดภาวนาเป็นเรื่องขัน ๆ อยู่บ้าง

สว่างเป็นวันใหม่ก็เตรียมเข้าไปบิณฑบาตใน อ.อ่าวลึก จากท่าเรือไปในตัวอำเภอประมาณ ๓๐ กว่าเส้น ใกล้จะเข้าบ้าน มีโยมคนหนึ่งมาช่วยถือกาน้ำและกลด

เขาเล่าว่า “พระธุดงคภูเก็ต โคกกลอย พังงา มาพักวิเวกอยู่ชานอำเภอ ที่ป่ามะพร้าวนี้ได้หลายวันแล้ว กระผมจะตามพ่อท่านบิณฑบาตไป แล้วจะพาพ่อท่านไปฉันกับพระธุดงค์พวกนั้น”

แล้วบิณฑบาตพอได้ข้าวพออิ่มแล้วก็ไปหาท่านเหล่านั้น กำลังแต่งบาตรจะเตรียมฉัน ต่างก็มองดูกันแล้วหัวเราะ เพราะเป็นพวกเดียวกัน แต่จำพรรษาคนละสำนักเฉย ๆ เมื่อฉันเสร็จแล้วล้างบาตรเก็บบริขารแล้วก็ทักทายปราศรัยกันจนจบเรื่อง

แต่พอเที่ยงวัน มีชาวตำบลแหลมสัก อำเภออ่าวลึก เขาเอาเรือบรรจุคนมาประมาณ ๒๐๐ คน เขาได้ทราบว่าพระธุดงค์มาพักอยู่ สวนมะพร้าว อ.อ่าวลึกหลายวันแล้ว และเขาจะมาซื้อของในอำเภออ่าวลึกด้วย และจะมาขอพระไปไว้พักวิเวกบ้านเขาด้วย ขณะนั้นมีพระอยู่ด้วยกันนับทั้งเจ้าตัวผู้ไปใหม่ในวันนั้น ๕ รูป คือ ท่านอาจารย์อาจ ท่านอาจารย์พรหมา คุณสุบิน คุณเจริญ แล้วเขานิมนต์ต่อหน้าสงฆ์ว่า

“ขอให้ท่านอาจารย์ทั้งหลายแบ่งพระให้พวกกระผมบ้าง จะให้กี่องค์ก็เอา จะให้องค์ไหนก็เอา”

ตกลงก็เลยได้ข้าพเจ้า เขาก็เลยรับเอาบริขาร กราบลาครูบาอาจารย์และหมู่เพื่อนแล้วก็ไปและเจ้าตัวก็พอใจด้วย

เดินไปประมาณ ๒ กิโลก็ถึงที่ท่าตำบลแหลมสัก แล้วลงเรือตอนเย็นไปประมาณ ๑ ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงบ้านแหลมสัก มืดประมาณ ๑ ทุ่ม ตอนหัวค่ำ น้ำทะเลกำลังขึ้น เขาเอาไปพักไว้กระต๊อบฟากโรงเรียน มีเหี้ย มีงูเห่างูกะปะมาก

พักอยู่ที่นั้นเกือบจะเข้าเดือน วิเวกพอควร ญาติโยมก็เป็นที่สบายพอควร มีนายมนูญ แม่นุ้ย แม่โฉมาให้ความสะดวก ไปบิณฑบาตก็สะดวก ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก สงัดวิเวก โยมพังงาที่สำนักจำพรรษา เขาทราบว่าอยู่ที่นั้น เขาก็นิมนต์ให้กลับด้วยการเขียนจดหมายมาหา ก็เลยเขียนจดหมายตอบไปหาคณะสงฆ์หนึ่งฉบับ เนื้อความในจดหมายว่า

ที่พักชั่วคราวริมทะเล บ้านแหลมสัก ตำบลแหลมสัก อ.อ่าวลึก จ.กระบี่

วันที่...เดือน....พ.ศ.๒๔๙๖

กราบเรียน พระเถรานุเถระและคณะสงฆ์ทุกถ้วนหน้าที่เคารพอย่างสูง

กระผมเที่ยววิเวกไป ก็ไกลไปไกลไป คงจะไม่ได้กลับเสียแล้ว โทษของเกล้าอันใดมี ขอได้กรุณาโปรดเกล้าอยู่ทุกเมื่อเทอญกราบเรียนมาด้วยความเคารพอย่างสูง

หล้า เขมปตฺโต

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้