ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี(วัดภูจ้อก้อ) ~

[คัดลอกลิงก์]
101#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 18:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บาตรหลวงปู่มั่น




บริขารและเครื่องใช้ต่างของหลวงปู่มั่นภายในพิพิธภัณฑ์
ภาพจาก www.luangpumun.org


ไฉนท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์จึงถามข้าพเจ้าก่อนพระองค์อื่นในการจะแจกให้ ก็น่าจะถามเป็นลำดับพรรษาลงมา แล้วจึงคิดเดาด้นว่า ชะรอยองค์ท่านจะคิดว่า เอาให้ถูกกับกิเลสของผู้เจ้าน้ำตานี้ก่อนเถิด ก็อาจเป็นได้ เพราะองค์อื่นภาวนาผ่านน้ำตาไปไกลแล้ว องค์นี้ยังเป็นบ๋อยของน้ำตาอยู่ ตกนรกทั้งเป็นอยู่

สุดท้ายองค์พระอาจารย์มหา ครูบาวัน ครูบาทองคำ คุณสีหาก็ไม่เอาอะไรเหมือนกัน ส่วนบาตรนั้นก็ถวายท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์และองค์ท่านก็ต้องการอยู่ ไม้เท้านั้นพระอาจารย์กงมาเอาไปและตกไปกับพระเถระองค์อื่น ๆ บ้างและเก็บไว้เป็นอนุสาวรีย์เป็นส่วนมาก

เมื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ที่เก็บบริขารเสร็จแล้ว บาตรก็ดีหรือไม้เท้าเป็นต้นก็ดี หลวงปู่มหาบัวกับด๊อกเตอร์เชาว์ไปเที่ยวขอคืนมาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ต่อไปให้เป็นปูชนียสมบัติของกลาง

แต่บาตรนั้นข้าพเจ้าจำได้ รูปลักษณะ (ที่) เห็นอยู่ในตู้พิพิธภัณฑ์ไม่เหมือนลูกที่องค์หลวงปู่ใช้อยู่สมัยองค์หลวงปู่สิ้นลมปราณ บาตรลูกจริงคงจะเอาไว้บนเพดานสูง เพราะบาตรลูกนั้นเป็นบาตรกลมสันทัด ระบมด้วยไฟ ขาวเป็นระยับ ไม่ได้สูงเรียวปากออม ๆ แบบนี้

แต่ก็น่าพิจารณาอีก หลวงปู่สิ้นลมปราณไปหลายปี ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ใช้ไปใช้ไป (จน) ทะลุแล้ว ก็ไม่ทราบ และท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก็สิ้นลมปราณก่อนริเริ่มทำพิพิธภัณฑ์เก็บบริขารหลายปี คงจะมีท่านผู้อื่นเอาไปใช้แล้วไม่เห็นต้นเห็นปลายก็อาจเป็นได้ แต่เมื่อเวลาถูกไปขอคืน ล้า ๆ หลัง ๆ ก็เอาบาตรลูกอื่น ๆ ที่เก็บไว้ในตู้มาให้ แก้ปัญหาซึ่งหน้า ก็อาจเป็นได้

ส่วนบริขารอื่น ๆ นั้นไม่สงสัย สงสัยแต่บาตรเท่านั้น

จะอย่างไรก็ตาม ปรารภบ้า ๆ บอ ๆ ไปเฉย ๆ ดอก สิ่งไหนที่เราสมมุติเป็นบริขารหลวงปู่มั่นแล้วเคารพนับถือกราบไหว้ก็เป็นบุญทั้งนั้น พระพุทธรูปไม้ อิฐ ปูน เหล็ก ทอง แก้ว เราทำขึ้นแทน เป็นฉายาของพระบรมศาสดา เป็นที่ระลึกพระคุณ ก็เป็นบุญที่ได้กราบได้ไหว้ ได้ระลึกถึง เป็นอาหารของจิต วิมานของจิตก็เป็นบุญทั้งนั้น เห็นเมฆไหลผ่านอากาศ สมมุติว่าพระบรมศาสดาเหาะมาก็ดีกราบไหว้ได้บุญทั้งนั้น

ไม่เห็นอะไรเป็นวัตถุภายนอก แต่เห็นจิตใจของตน ไม่ตรึกไปในกามารมณ์ ไม่ตรึกไปในทางพยาบาท ไม่ตรึกไปในทางเบียดเบียน ก็เป็นกุศลอันละเอียดลงไปที่ใจอีก เป็นภาวนา จิตตานุปัสสนาภาวนาไปในตัวด้วย ไม่เห็นอะไร เห็นแต่ดิน น้ำ ไฟ ลม เต็มไตรโลกธาตุทั้งภายนอก ทั้งภายใน ไกล ใกล้ หยาบ ละเอียด สุขุม ทั้งอดีตด้วย ทั้งอนาคตด้วย ทั้งปัจจุบันด้วย เห็นแบบราบคาบเสมอหน้ากลองชัย ก็จัดเข้าในภาวนานัยแห่งรูปขันธ์ด้วย จะเป็นการบรรเทาช่วยให้ลดความหลงดิน น้ำ ไฟ ลม ลงได้และการหลงหนังหุ้มก็จะผ่อนคลายลง เพราะหนังหุ้มเป็นธาตุดิน เมื่อไม่หลงดิน น้ำ ไฟ ลมแล้ว ความหลงสิ่งอื่น ๆ อันละเอียดไปกว่านี้ ก็อยู่ในกำมือกำใจจะชนะได้ เมื่อรู้ชัดอันหนึ่ง อันอื่น ๆ ก็ค่อยเป็นไปดอก ถ้าหลงอันใดอันหนึ่งในสกลกาย สกลใจก็พลอยหลงไปด้วย ความหลงมีอำนาจฝ่ายกิเลส
102#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 18:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หันมาเรื่องรอฌาปนกิจขององค์หลวงปู่ต่อไป เมื่อองค์หลวงปู่ยังไม่ได้ถวายพระเพลิง ก็เป็นการจนใจอยู่ในตัว จะไปวิเวกทางใดก็ไม่พอจะสะดวกหัวใจ การงานอะไร ๆ ที่ปรุงแต่งขึ้นก็หนักทวีขึ้น ศาลาก็ต้องปลูกหนึ่งหลังยาวประมาณ ๑๕ เมตร กว้างประมาณ ๑๐ เมตร หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ฝั้นสมมุติให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ตัดเครื่องบนคือขื่อ ตั้งจันทัน เอาเข้ากันเป็นตับ(ตั้ง)แต่(ข้าง)ล่าง(แล้ว)ยกขึ้นใส่เสาเป็นหวี เพราะคนมากพระมาก

อนิจจาเอ๋ย ทั้งอดนอน ทั้งฉันอาหารไม่มีรส ทั้งรับพระ ทั้งปฏิบัติท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์อันเป็นอุปัชฌาย์ของตน กลับหน้ากลับหลัง ด้านภาวนาพอสาบานไม่ได้ ด้านจงกรมไม่ได้เดินเสียเลย นึกถึงพระคุณขององค์หลวงปู่ไม่มีประมาณ เพราะองค์ท่านสั่งซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่ให้เอาไว้นานเพราะเกรงว่าลูก ๆ หลาน ๆ จะห่างเหินจากสมาธิภาวนา และก็เกรงว่าลูก ๆ หลาน ๆ จะเอาเป็นเยี่ยงอย่างเก็บศพไว้นานเป็นการคลุกคลี นับว่าเป็นอนาคตังสญาณ ญาณในส่วนอนาคต ขององค์ท่านทายไว้ไม่ผิดเพราะอลหม่านจุกจิกคลุกคลียุ่งเหยิงมาก แต่ก็ตรงกันข้ามผู้ชอบเพลิน ก็ว่าสนุกดี ผู้รักประเพณีของฝ่ายปฏิบัติก็ว่าไม่เหมาะสม

การอยู่ร่วมโลกเป็นของยากนักหนามาแต่คึกดำบรรพ์ เพราะว่าใจและความเห็นไม่ทรงอยู่ระดับเดียวกันได้ คล้ายกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ พระอาทิตย์เดินเร็ว พระจันทร์เดินช้า จำเป็นต้องมีปักษ์ขาดบ้าง ปักษ์ถ้วนบ้าง และมีอธิกมาสบ้าง จะได้มีอุบายห้ามล้อผู้เดินเร็วได้บ้าง จะได้ใช้ผู้ช้าให้เดินเร็วเข้ากว่านั้นบ้างมิฉะนั้นแล้วฤดูกาลก็จะผิดปกติไปมาก

พระวินัยบางแห่งก็มีอนุโลมภิกษุผู้บวชใหม่เช่น อาบัติทุกกฎบางประเภท อาทิ นุ่งห่มยังไม่เรียบร้อย ยังไม่เป็นปริมณฑล และฉันเมล็ดข้าวตกลงในบาตรและในที่นั้น แต่จะแอบกินกับอนุโลมไปหน้าเดียวก็ไม่ได้ เช่น ภิกษุเป็นบ้า ไม่ให้โจทท่านด้วยอาบัติที่ทำที่ล่วงในเวลาเป็นบ้า ที่เรียกว่าอมูฬหวินัย เหล่านี้เป็นต้น ถ้าจะใช้แต่อนุโลมถ่ายเดียวก็ไม่ได้

ฉันใดก็ดี ผู้ปฏิบัติตึงย่อมไม่พอใจในผู้ปฏิบัติหย่อน ผู้ปฏิบัติหย่อนย่อมเป็นที่ไม่พอใจของผู้ปฏิบัติตึง แต่ตึงไปทางถูกก็น่าซม ตึงไปทางผิดนอกธรรมนอกวินัย ก็เป็นปัญหาไปอีก

แต่ตึงไปทางถูกในปัจจุบันเดี๋ยวนี้ คงจะเป็นการพอใช้ได้ในครั้งพุทธกาลกระมัง การปฏิบัติไปพอปานกลางในยุคปัจจุบันคงจะจวนจะพอใช้ในครั้งพุทธกาล ถ้าสำคัญว่าปฏิบัติหย่อนในสมัยปัจจุบันยุคเดี๋ยวนี้ก็คงจะเป็นชั้นเลวมากในครั้งพุทธกาลกระมัง

แม้จะยิ่งหรือหย่อน หรือปานกลาง หรือเลว ก็ต้องมีธรรมวินัยเป็นเครื่องวัดทดสอบ จะบัญญัติเอาตามอัตโนมติ เอาของใครของมันก็ไม่ได้อีกละ เพราะคนเราเป็นส่วนมากย่อมเข้าข้างตัว ถ้าเข้าข้างธรรมแล้วไม่ค่อยจะผิด ถึงจะผิดก็ไม่ผิดมาก มีประตูแก้ไขได้ คนมีกิเลสหนาเท่าใดก็ย่อมเข้าข้างตัวมากเท่านั้น พระอรหันต์เข้าข้างธรรมล้วน ๆ เพราะไม่มีอุปาทานใด ๆ ในขันธสันดานเลย จำพวกที่เข้าถึงโลกุตตระแล้วย่อมถือธรรมาธิปไตยเป็นแว่น เป็นกระจกเงา เป็นบรรทัด เป็นเครื่องวัดเครื่องตวง เป็นไม้เมตรไม้เซ็นต์ เหลือนอกนั้นเอาเป็นเกณฑ์ไม่ได้
103#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 18:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วันถวายพระเพลิง


พระเถรานุเถระถ่ายภาพร่วมกันหน้าเมรุถวายเพลิงพระอาจารย์มั่น
๓๑ มกราคม ๒๔๙๓


ปรารภเรื่องฌาปนกิจขององค์หลวงปู่ต่อไป เพราะยังไม่เสร็จ ครั้นเวลาล่วงไปใกล้เดือน ๓ เพ็ญ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์และพระเถรานุเถระก็จะเตรียมถวายพระเพลิงองค์หลวงปู่ กะไว้ว่าพอถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว บรรดาพุทธบริษัทผู้ต้องการจะไป(นมัสการพระ)ธาตุพนมประจำปีของงานธาตุพนม ก็จะได้เตลิดไปให้ทัน(จะ)ได้ไม่เสียเที่ยวของผู้ต้องการไป

จึงตกลงกันในวันข้างขึ้น ๑๓ ค่ำ แห่งเดือน ๓ เป็นวันถวายพระเพลิง กะกันว่า ๓ ทุ่มจึงถวายพระเพลิง แต่มีผู้ขี้ดื้อ ไปลอบถวายพระเพลิงก่อน ๓ ทุ่ม เวลาค่ำมืดแล้ว แต่ก็เป็นการแล้วไป ตื่นเช้าเก็บพระอิฐธาตุในยามฉันเช้าเสร็จ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ได้ประกาศว่า “ท่านผู้ใดไปลอบเอาพระธาตุไปเป็นส่วนตัว ฝ่ายพระเณรต้องปรับปาราชิก”

เตาไฟนั้นทำเป็นรูปโบสถ์ พูนดินสูง ๑ เมตร เตาอยู่ศูนย์กลาง มีเปลวทั้ง ๔ ทิศเป็นรูโตทะลุออกมาทุกด้าน ไฟลุกโพลงโดยรวดเร็ว เก็บพระธาตุแล้วมาติกา บังสุกุล ถวายสิ่งของตามประเพณีนิยมกัน ก่อนถวายเพลิงก็เล่นกันวันยังค่ำก็ว่าได้

เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก็เอาพระธาตุขึ้นไปบนระเบียงกุฏิ องค์ท่านถามข้าพเจ้าว่า

“หล้า เธอจะเอาไหมอัฐิธาตุ”

กราบเรียนว่า “เกล้าไม่เอาดอก เพราะองค์หลวงปู่ เทศน์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในเรื่องพระธาตุ อยู่บ้านหนองผือก่อนสิ้นลมปราณแล้ว”

พระอาจารย์มหา ครูบาวัน ครูบาทองคำ คุณสีหาก็ไม่เอา หมู่คณะในวัดหนองผือก็ไม่เอา เพราะต่างก็จ้องกันว่า ใครจะเคารพคำสั่งขององค์หลวงปู่เพียงไร (เพราะกัณฑ์เทศน์เรื่องแย่งกระดูกกันเป็นภาพพจน์ให้สำเหนียกเป็นเจ้าหัวใจอยู่)

แท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่อยากได้จริง เพราะนึกในใจว่า ฐานะพระธาตุขององค์หลวงปู่ไม่สมควรที่จะเอาไปใส่ย่ามตามไปในทิศทั้ง ๔ สับปนระคนกับสิ่งของอื่น ๆ เราไม่มีอิทธิพลจะสร้างเจดีย์บรรจุไว้ จะเอาไปให้เป็นบาปทำไม ครั้งพุทธกาลก็มิได้มีตำนานว่าท่านองค์ใดเอาไปเป็นส่วนตัวในทิศทั้ง ๔ นอกจากจะเอาไปเที่ยวอวดคนว่าตนได้พระธาตุขององค์หลวงปู่เท่านั้น คิดดังนี้ชัดในตัวแล้วจึงไม่ได้เอา ถ้าจะเอาก็ได้เป็นกำมือ เพราะอุปัชฌาย์ของตนเปิดโอกาสพิเศษให้อยู่ เพราะองค์ท่านเป็นประมุขในสังคมนั้น

ธรรมวินัยขององค์หลวงปู่ไม่ลี้ลับ ได้ทอดสะพานไว้ให้ลูก ๆ หลาน ๆ จนวันสิ้นลมปราณ มีปัญหาว่าพุทธ ธรรม สงฆ์มิใช่สะพานทอง สะพานเงิน ให้จิตใจปฏิบัติเคารพบูชาดอกหรือ ตอบว่าอันนั้นเป็นของจริง เป็นของทรงอยู่ทุก ๆ กาลแล้ว

ต่อไปกล่าวเรื่องท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ประชุมสงฆ์ว่า

“พวกฝ่ายปฏิบัติเอ๋ย วันสุดท้ายของฌาปนกิจพระอาจารย์ที่ไปจากพวกเรานี้ ต่อไปประจำปีพวกท่านจงมาประชุมกันทีนี้นะ” ดังนี้ แต่ก็ ๒ ปีแรกการประชุมก็เป็นไปอยู่ มีขอบเขตบ้างก็มีพระไปมาก ครั้นนานมาก็เบาเข้าเป็นลำดับ ทั้งนี้คงจะเป็นด้วยเหตุที่ทำบุญมหาชาติบ้าง พุทธาภิเษกบ้าง ซึ่งปีนเกลียวปฏิปทาขององค์หลวงปู่ที่ปฏิบัติมา บรรดาผู้รู้นอกรู้ในก็เลยไม่ดูดดื่ม บรรดาท่านผู้อยู่ใกล้หลบไม่ได้ก็มาแบบฝืน ๆ บรรดาญาติโยมชุดเก่าที่รู้จักปฏิปทาขององค์หลวงปู่แท้ ก็พลอยเกิดสงสัยไปด้วย และสถานที่เล่าก็ไม่วิเวกเหมือนแต่ก่อน กลายเป็นวิเวกบ้านวิเวกเมืองไปหมด

ชะรอยจะเป็นด้วยเหตุนี้นี้เป็นเพียงคาดคะเนเดาด้น แต่จะอย่างไรก็ตามศาลยุติธรรมคืออนิจจังนั่งอยู่บนบัลลังก็ไม่ลงธรรมาสน์ เต็มอยู่สรรพไตรโลกายัดเยียดอยู่ ตัดสินตามมาตราอนิจจังแห่งมาตราที่ ๑ ของไตรลักษณ์ แต่เมื่อเห็นสบงแล้ว ก็ต้องเห็นจีวร ต้องเห็นสังฆาฏิ ก็ครบไตร ฉันใดก็ดี เมื่อเห็นอนิจจังแล้วก็ครบไตรลักษณ์กันดี ๆ อยู่ในตัว เมื่อเห็นหนัง ก็ต้องเห็นกระดูกและเนื้อเป็นต้นด้วย ถ้าเห็นหน้าก็ต้องเห็นตา เห็นแก้มเป็นต้น
104#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 18:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้เห็นนั้นคือใคร ใครเป็นเจ้าของผู้เห็น หรือเป็นแต่สักว่าเห็น ใครเป็นผู้รู้ว่าเป็นแต่สักว่าเห็น ใครเป็นผู้รู้ว่าเป็นแต่สักว่ารู้ ตามไปตามมาก็หยอกเงาตนเองเป็นสังขารละเอียดนัก

ครั้นท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์สั่งคณะสงฆ์ ให้มาสังสรรค์กันวัดป่าสุทธาวาสปีละครั้ง เฉพาะฝ่ายพระธุดงค์แล้ว พระภิกษุสามเณรทั้งหลาย ผู้อยู่ไกลต่างทิศ ก็ทยอยกันลากลับสำนักของตน ๆ และเตลิดไปวิเวกตามความประสงค์บ้างก็มีมาก

ส่วนท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่กงมา หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่มหาบัวออกจากสุทธาวาสเป็นหมวดหลัง

ขณะที่รอทำฌาปนกิจอยู่นั้นหลวงปู่เทสก์ได้ถามว่า

“แล้วงานศพแล้ว เธอจะไปไหน”

กราบเรียนองค์ท่านว่า

“องค์หลวงปู่มั่นสั่งเสียไว้ว่า ถ้าเราตายไปแล้วขอให้ท่านมหาบัวปกครองหมู่ อยู่บ้านหนองผือนี้เสียก่อน อย่าพากันแตกสานะโมไปทางอื่น เพราะชาวหนองผือจะว้าเหว่มาก แต่เกล้าก็นึกคิดอยู่สองแง่ ถ้าไม่ไปกับท่านอาจารย์มหาบัว ก็จะไปกับพระอาจารย์” ดังนี้

องค์ท่านผู้ลึกซึ้งแล้ว ตอบว่า “ไปกับท่านมหาบัวก็ดี ไปกับผมก็ดี” ดังนี้

ทีนี้องค์พระอาจารย์มหาบัวยังรักษาคำเดิม ที่หลวงปู่ใหญ่สั่งไว้แล้ว องค์ท่านพูดว่า “แล้วงานแล้ว ผมจะไปเที่ยวบ้านหนองบัว ตะวันตกบ้านหนองผือนั้นเอง แล้วจะเข้าจำพรรษาวัดป่าบ้านหนองผือตามคำสั่งขององค์หลวงปู่ใหญ่”

และหลวงปู่เทสก์ก็เปิดประตูแบบเป็นกลาง องค์พระอาจารย์มหาก็เปิดประตูตามคำเดิมขององค์หลวงปู่ใหญ่สั่งเสียไว้ ข้าพเจ้าก็น้ำตาไหลต่อพระอาจารย์มหาซึ่งหน้าองค์ท่าน

องค์ท่านตอบด้วยความจริงใจว่า

“ถ้าท่านไปกับพระอาจารย์เทสก์แล้ว ผมก็ยินดี”

แล้วข้าพเจ้าก็ไปกราบลาท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ องค์ท่านก็กล่าวว่า

“เจ้าก็รู้ดีในใจว่า เรานี้จะอยู่กับพระอาจารย์มหาบัวองค์ท่านก็ไม่ขัดข้อง จะอยู่กับองค์ท่านพระอาจารย์เทสก์ องค์ท่านก็ไม่ขัดข้อง เจ้ารู้ดีในภาพพจน์ของเจ้าแล้ว แต่เจ้ากำลังว้าเหว่ไม่รู้ว่าจะอยู่กับท่านผู้ใด ไปกับท่านผู้ใดแท้เวลานี้ เมื่อเหตุผลเป็นอย่างนี้ แต่ศรัทธานั้นมิได้ถอยหลังออกจากพุทธศาสนาดอก ถ้าเจ้าไปจันทบุรีกับท่านเทสก์จริง เจ้าจงไปเอามูลค่าโดยสารกับพระมหาสุพัฒน์ก่อน เป็นค่าโดยสาร เพราะไปไกล มูลค่าของข้า พระมหาสุพัฒน์เธอเป็นผู้รู้จักดี ให้เธอเบิกให้ไม่ยากดอก”

ตกลงก็ได้ไปกับองค์หลวงปู่เทสก์ แท้จริงข้าพเจ้าก็ไม่งามอยู่ในตอนนี้ เพราะองค์หลวงปู่ใหญ่ให้อยู่ในหนองผือต่อไปสักปีก่อน ให้พระอาจารย์มหาเป็นหัวหน้า แต่มีหลวงตาทองอยู่เป็นผู้มีพรรษาเกินกว่าพระอาจารย์มหาอยู่หลายปี องค์พระอาจารย์มหาก็คงไม่สะดวกอยู่ จึงคืนไปอยู่พรรษาเดียวเท่านั้น ถ้าหากว่าข้าพเจ้าคืนไปอยู่นั้น ในปีนั้นก็จะว้าเหว่มากนัก เคยเห็นองค์หลวงปู่ประจำวันไม่เห็น เห็นแต่ที่นอน ที่นั่ง ที่จงกรมภาวนา ที่ฉัน ที่ถ่าย ที่ดื่ม ที่แสดงธรรม อดีตารมณ์สังเวชว้าเหว่เงียบเหงาจืดจางในสำนัก หนักเข้าก็จะเจ้าน้ำตาอีก

ในสมัยนั้นยุคนั้น เมื่อหลวงปู่ใหญ่สิ้นลมปราณแล้วคล้ายกับบ้าใบ้เสียจริตพิศวงงงงวย เพราะคราวโศกก็โศกเกินงาม คราววิจารณ์ก็วิจารณ์เกินพอดี ความเกินพอดีเป็นยาเสพติด กลายเป็นนิสัยติดแก้ยากนัก สำคัญว่าตัวพอดี แต่เมื่อท่านผู้อื่นเห็นเข้า ก็ว่าเกินพอดีไป ความพอดีพองามแห่งนิสัยวาสนานี้ไม่รู้ว่าอยู่ระดับใดแท้ เป็นของไม่มีระดับจะวัดกันได้ แต่ด้านจิตใจต่ำลงคงที่หรือสูงขึ้นนั้น เป็นปัจจัตตัง จะรู้ตนเองแต่ละหัวใจแต่ละรายแล้ว
105#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 18:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มูลค่าบังสุกุลที่ข้าพเจ้าได้รับ

สมัยนั้น มูลค่าของข้าพเจ้าที่แทะกระดูกองค์หลวงปู่บังสุกุลมี ๔๐ บาทเท่านั้น แล้วไม่เบิกสักสตางค์เลย ถวายสมทบกับโบสถ์ในวัดสุทธาวาสนั้น และหลวงปู่ใหญ่สิ้นหายใจแห่งชีวามรณกาเลในวัดก็มีมูลค่าหมดวัดนั้น ๔๐๐ บาทเท่านั้น คือสมบัติวัดป่าบ้านหนองผือ ส่วนจีวรนั้นยังเหลือผ้าประมาณ ๔ ไม้ ส่วนน้ำมันก๊าดนั้นยังอยู่ ๑๔ ปี๊บ ส่วนนมนั้นยังอยู่ ๓๐๐ กระป๋อง ผ้าและนมได้เอามาใช้ในงานฌาปนกิจ เว้นไว้แต่น้ำมันเท่านั้น ของก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ที่เอาไปใช้ในงานฌาปนกิจเป็นต้นว่าจอกแก้วและตะเกียงเป็นต้น เสร็จงานแล้ว องค์หลวงปู่อ่อนได้จัดส่งวัดป่าบ้านหนองผือหมดเรียบร้อย

มีปัญหาว่าไฉนจึงได้เอาของก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ในวัดป่าบ้านหนองผือไปใช้ในงานศพบ้าง

ตอบว่าสมัยนั้น ยุคนั้น วัตถุนิยมฝ่ายอามิสไม่ค่อยสมบูรณ์เพราะเงินมีราคา คณะสงฆ์จึงได้สมมุติให้เอาไปใช้ชั่วคราว สงฆ์จึงได้สมมติให้ข้าพเจ้าและครูบาทองคำคืนไปเอา ชาวบ้านหนองผือกำลังว้าเหว่คงจะเข้าใจไปทางอื่น แต่พระอาจารย์มหาบัวได้ตามไปอธิบายให้ฟังว่า ของที่เอาไปไม่ใช่ว่าจะเอาไปเป็นมรดกของวัดป่าสุทธาวาสดอกและไม่ใช่พระทองคำและพระหล้าจะเอาไปเป็นส่วนตัวและการริเริ่มจะเอาของใช้ในงานก็มิใช่พระหล้าพระทองคำริเริ่ม คณะสงฆ์ฝ่ายพระเถรานุเถระริเริ่มต่างหาก ถ้าจะใช้ให้พระองค์อื่นมาเอาก็เอาไม่ถูกเพราะไม่ใช่พระที่อยู่ในวัดป่าบ้านหนองผือมานาน ขอให้ญาติโยมอย่าพากันวิจารณ์ไปทางอื่นเลย แล้วก็หมดปัญหาไป

บ้านแตกสาแหรกขาดพระก็ว้าเหว่ โยมก็ว้าเหว่ มองไปในทิศทั้ง ๔ ภายนอกของตาเนื้อก็ดูว่าจืดชืดหมด มองไปในทิศภายในด้านสติปัญญาก็เห็นแต่ทิศแก่ ทิศเจ็บ ทิศตาย ทิศวิโยคพลัดพราก ทิศปรารถนาไม่ได้สมหวัง ทิศอนิจจังทุกขังอนัตตา ทิศนิพพิทา ทิศวิราคะ ทิศวิมุตติ ทิศวิสุทธิ ทิศนิพพาน เป็นเข็มทิศของพระอริยเจ้าผู้ประเสริฐชี้ตัดผ่าศูนย์กลางโลกออก มิได้เป็นเข็มทิศชี้วนเวียนเหมือนเข็มทิศชาวโลกียวิสัย โลกียวิสัยเป็นเข็มทิศชี้วนเวียน โลกุตรเป็นเข็มทิศที่ชี้เดินตรงไม่เหลียวซ้ายแลขวาก็ได้ เพราะเป็นทางเตียนไม่มีสะดุดชุดตอ
106#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 18:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ไปวิเวกกับหลวงปู่เทสก์

ปรารภเรื่ององค์หลวงปู่เทสก์ต่อไป ครั้นเสร็จงานถวายพระเพลิงแล้ว องค์หลวงปู่ก็พากันไปพักวิเวกวัดป่าบ้านจอมศรี เป็นเขตอำเภอเมือง จ.สกลนครนั้นเอง ตั้งอยู่ใกล้สี่แยก แยกหนึ่งไปวัดป่าภูธรพิทักษ์ วัดป่าธาตุนาเวงก็ว่า แยกหนึ่งไป จ.นครพนม แยกหนึ่ง จ.อุดรฯ แยกหนึ่งไปในเมืองสกล มีพระ ๕ รูปด้วยกันนับทั้งองค์หลวงปู่ ตั้งหน้าทำความเพียรไม่มีกลางวันกลางคืนเพราะเห็นว่าเป็นยุคที่ธุระว่างบ้างแล้ว ได้ความภาวนาประการใด กราบเรียนองค์หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่เทสก์ก็เป็นผู้มีปัญญามาก เมื่อท่านผู้ใดติดอยู่ในสมาธิล้วน ๆ ก็ยุใส่สมาธิล้วน ๆ เมื่อท่านผู้ใดติดอยู่ในอุปจารสมาธิสัมปยุตด้วยนิมิตต่าง ๆ ก็ยุใส่ เมื่อท่านผู้ใดติดอยู่ในวิปัสสนาปัญญาล้วน ๆ ก็ยุใส่วิปัสสนาปัญญาล้วน ๆ แต่เมื่อมันเลยเถิดก็ดีองค์ท่านก็มีอุบายแก้ให้เยือกเย็นทรงเหตุผลมาก องค์ท่านกล่าวว่า

พวกเราทำเพื่อเป็นเครื่องชำนาญด้วย ทำเป็นเครื่องหลุดเป็นเครื่องพ้นด้วย ไม่เหมือนพระอรหันต์ พระอรหันต์นั้นทำเป็นเครื่องทรงอยู่ของขันธวิบากชั่วคราว แต่ไม่มีความยึดมั่นถือมันติดอยู่โดยถ่ายเดียว เพราะได้รู้เท่าทันเทียมถึงเหนือกว่านี้ไปแล้ว จึงเป็นเรื่องของขันธวิบากและจริยวัตรสืบประเพณีโต้ง ๆ โดยมิได้มีกิเลสคือผู้หลง ๆ มาสิงเจือปนอยู่ เรียกหยาบ ๆ ว่าใช้ดอกเบี้ยของทรัพย์ประจำวันคืนแบบไม่เดือดร้อนว่าต้นทุนจะหายไปไหน และไม่กลัวว่าโจรจะมาจี้ปล้นไปไหน อำนาจเหนือแล้ว

ครั้นพักอยู่วัดป่าบ้านจอมศรีอยู่ประมาณเกือบเดือน หลวงปู่เทสก์เตรียมตัวจะพาไปวัดป่าเขาน้อย ท่าแฉลบ ริมทะเล จ.จันทบุรี เพราะเป็นที่ขององค์ท่านจำพรรษาผ่านมาในปีที่แล้วนี้ แล้วต้องไปต่อรถไฟที่ จ.อุดรฯ เข้ากรุงเทพฯ ก่อน โยมบัวแถว นายเขียน ก็จัดส่งขึ้นรถ ขึ้นรถยนต์ สกลนคร-อุดรฯ พอถึงอุดรฯ ก็ไปพักค้างอยู่วัดทิพยรัตน์ วัดนั้นเป็นวัดที่โยมทิพยรัตน์สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ หลังวัดโพธิสมภรณ์นิดหน่อย

ความจริงองค์หลวงปู่เทสก์จะเสียค่าโดยสารรถไฟให้พระที่ไปด้วยหมด เพราะโยมทางจ.สกลนครเขาทราบว่าพระจะไปจันทบุรีกับองค์หลวงปู่หลายองค์ เขาก็ถวายมูลค่าไว้จนพอ ข้าพเจ้านึกไปมาอยู่หลายรอบก็ได้ความว่า เราควรจะแบ่งเบาค่าโดยสารขององค์หลวงปู่เทสก์บ้าง เพราะมีทางจะแบ่งเบาได้อยู่คือ สมัยนั้นยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม รถไฟสายใดก็ตามขบวนใดก็ตาม ต้องมีตู้พิเศษหนึ่งตู้เป็นตู้ชั้นสองสำหรับให้พระไปฟรีมาฟรี แต่พระผู้จะขึ้นต้องมีใบรับรองจากเจ้าคณะจังหวัด ฝ่ายพระต้นทางของจังหวัดนั้น ๆ ก่อน ประทับตราพร้อม

ข้าพเจ้าจึงไปกราบเรียนขอใบสุทธิขององค์หลวงปู่เทสก์พร้อมทั้ง๕ องค์โดยรวดเร็ว ไปวัดโพธิสมภรณ์ให้มหาสุพัฒน์ทำใบเดินทางให้คนละใบ ปลายทางลงกรุงเทพฯ เพราะมหาสุพัฒน์ก็เป็นหลานข้าพเจ้า เป็นเลขาท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ฝ่ายท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ยังค้างอยู่สกลนครยังไม่กลับ พอได้ใบเดินทางแล้วก็รีบกลับวัดทิพยรัตน์ ไปกลับด้วยรถสามล้อ สมัยนั้นเขาเรียกรถสามล้อว่าแท็กซี่ ทักซี่ก็ว่า มาสมัยนี้เรียกสามล้อคำเดียว เพราะสมัยเรียกว่าเวลาชั่วคราวของกาลนั้น ๆ และในวันนั้นเอง หกโมงเย็นได้ขึ้นรถไฟด่วนจากอุดรฯ ถึงกรุงเทพฯ
107#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 18:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่เทสก์รับนิมนต์ไปปักษ์ใต้

เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้วก็ไปพักวัดบรมนิวาส มีพระเปรียญอีสานอยู่ทั้งหมด พักกุฏิสระเต่ากับคุณบุญเหลือ รู้จักกันดี เพราะแกเคยเป็นเณรปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่เทสก์ แกพาไปเที่ยวเต็มวันอยู่ ๒ วัน ขึ้นรถราง ต้องยอมตามหลังแก แกพาขึ้นก็ขึ้น แกพาลงก็ลง เพราะเราไม่รู้จักที่ขึ้นลง แกไม่พาไปแต่สวนสัตว์ แกว่ามันไม่เหมาะสมกับเพศพวกเรา แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมตัว คิดในใจว่ามนุษย์ที่เที่ยวอยู่ในสงสารนี้ยัดเยียดกันในประเทศหนึ่ง ๆ ก็พระนครหลวงหนอ เสมอภาคกันในด้านแก่ เจ็บ ตาย วิโยคพลัดพราก ส่วนทำดีทำชั่วนั้นมีระดับต่างกันตามกรรมและผลของกรรมจำแนก แต่ที่สุดทุกข์โดยชอบก็พระนิพพานแห่งเดียวกัน ผิดแต่ผู้ถึงก่อนและหลังเท่านั้นหนอ ได้ปลงธรรมไว้อย่างนี้เสมอ ๆ

ครั้นพักอยู่วัดบรมนิวาสนั้นประมาณ ๖-๗ วันแล้วก็มีพระอาจารย์มหาปิ่น ชลิโต ได้มาพบหลวงปู่เทสก์ แล้วนิมนต์วิงวอนให้องค์หลวงปู่เทสก์ไปเที่ยวทางปักษ์ใต้ ลองดูพร้อมทั้งลูกศิษย์ องค์หลวงปู่ตอบว่า

“จะไปหมดไม่ได้ พวกเราต้องไปสืบทวนดู แล้วถ้าหากว่าสะดวกในการปฏิบัติ จึงจัดให้ทูตมาตามเอาพวกนี้ภายหลัง แต่ให้พวกนี้ไปพักรอคอยอยู่วัดป่าที่ท่าแฉลบที่ผมเคยจำพรรษาติด ๆ กันมาได้ ๒ ปีแล้ว ที่จังหวัดจันทบุรี ให้คุณจันทร์โสมพาพระเหล่านี้ไป เพราะเคยอยู่กับผมในที่นั้นแล้ว เดี๋ยวนี้วัดไม่มีพระแล้ว เมื่อตกลงกันดีแล้วก็แยกออกเป็น ๒ พวก พวกจะไปจันทบุรีก็ต้องเตรียมตัวในวันนี้ บ่าย ๔ โมงเย็นไปลงเรือปากพนังที่ท่าสวัสดี ส่วนผม กับท่านมหาปิ่น กับคุณเกษม จะไปขึ้นรถไฟสถานีบางกอกน้อย”

พอได้เวลาก็กราบลาไป ใจว้าเหว่ไม่ดูดดื่มไม่เพลิน เพราะองค์หลวงปู่เทสก์ไปทางหนึ่งแล้วขาดความอบอุ่น ทั้งคิดถึงพระอาจารย์มหาบัวทางสกลนคร อีกใจหนึ่งก็นึกถึงหลวงปู่ใหญ่ที่สิ้นลมไปอยู่ ยังไม่นานวัน สามกระทงสามด้าน เจอเข้ามาละ

ทางวัดเอารถยนต์ไปส่งถึงท่าสวัสดี เรือปากพนังจอดอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ค่าโดยสารองค์ละ ๒๕ บาท ห้าองค์ด้วยกัน ขี่เรือเล็กไปจอดเรือใหญ่อีกต่อหนึ่ง มีคนที่อยู่ในเรือนั้นประมาณ ๑๐๐ คน เป็นเรือบรรทุกข้าวสาร พอหกโมงเย็นหรือก็เปิดหวูดออกตรงไปปากอ่าวทะเล

ไม่ไว้ใจในชีวิตหนักเข้าเพราะเกรงเรือจะเป็นอันตราย มีปัญหาในใจถามตนว่า ถ้าเรือจมลง เราถึงแก่ความตาย เราจะไปเกิดที่ไหนเล่า ตอบตนว่าจะไปเกิดที่ไหนก็ตาม หรือไม่ไปเกิดที่ไหนก็ตามขอให้ภาวนาตายคากันก็แล้วกัน ตายไม่ภาวนาเรียกตายไม่เป็น ตายเป็นเรียกว่าตายพร้อมภาวนา ต้องภาวนาไตรลักษณ์ตาย แล้วพลิกใจว่าไม่มีผู้ตาย สังขารธรรมแปรดับต่างหาก ธรรมฝ่ายไม่เกิดไม่ตายมีอยู่ทรงอยู่
108#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 18:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่าแฉลบ จันทบุรี

ครั้นถึงวันใหม่บ่ายประมาณ ๔ โมงเย็น เรือก็ถึงท่าแฉลบ จ.จันทบุรี ก็ลงเรือไปวัดป่าท่าแฉลบ พักที่นั้น เป็นเดือนเมษายน ๒๔๙๓ อากาศริมทะเลโปร่งมาก แต่ก็ยุงมาก

พักทำความเพียรอยู่ ไม่มีกลางวันกลางคืน วันหนึ่งตั้งใจเดินจงกรม ๕ โมงเย็นจนตลอดรุ่งเช้า ถึงยามไปบิณฑบาตจึงหยุด ไปบิณฑบาตตั้งสติไว้กับขาก้าวไปมา พร้อมทั้งพิจารณาธรรม รู้พร้อมกัน ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลังกับกายที่เคลื่อนไหว ก้าวสั้นยาวหรือซ้ายขวา ขาขวาหรือซ้ายกำลังเหยียบหิน หรือกำลังก้าวอยู่ รู้ทันกันไม่ถือเป็นของยาก

และได้ไปวิเวกที่อ่าวหมู อ่าวยาง อันเป็นอำเภอแหลมสิงห์ เดินไปด้วยฝีเท้าบ้าง ลงเรือแจวบ้าง ไป ๓ องค์ด้วยกัน และได้เดินด้วยฝีเท้าไปวิเวกอำเภอขลุงกับท่านพูล ๒ องค์ ได้ไปพักอยู่วัดขลุงอันเป็นวัดป่าที่ท่านอาจารย์วิริยังค์สร้างขึ้น องค์ท่านก็อยู่ที่นั้นด้วย วัดกงสีไร่ก็ไปพัก แต่มิได้นอนแรม เพราะเห็นว่าทึบมาก แล้วกลับด้วยฝีเท้าถึงวัดป่าทรายงาม อ.เมืองจันทบุรี พักอยู่กับท่านอาจารย์แบนและอาจารย์สัน ท่านอาจารย์แบนก็ดี ท่านอาจารย์สันก็ดีเป็นพระที่โอบอ้อมอารีกว้างขวางมาก

วัดเหล่านี้ สมัยนั้นวิเวกวังเวงทั้งนั้น ท่านถวิลได้พาไปเที่ยวบ้านโป่งแรด บ้านคมบาง วัดคลองกุ้ง วัดป่าเนินเขาแก้ว วนไปวนมากันอยู่ตามแถบนั้น แล้วเข้าจอดวัดป่าท่าแฉลบตามเดิม

พักอยู่จันทบุรีประมาณ ๓ เดือน เวลาก็ล่วงไปเป็นเดือนมิถุนายน เวลา ๕ โมงเย็นวันหนึ่ง ได้กำลังเดินจงกรมอยู่ ทิดอโณทัย เจ้าของบริษัทเดินรถจันทบุรีพาณิชย์สายกรุงเทพฯ ได้ยื่นจดหมายด่วนให้ ได้ฉีกอ่านในขณะนั้น เนื้อความในจดหมายว่า

คุณจันทร์โสม คุณหล้า คุณอรุณ คุณพูล ที่คิดถึง

เดี๋ยวนี้ผมพักอยู่ที่วัดป่า อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ขอให้พวกท่านรีบเดินทางมากรุงเทพฯ มาพักวัดบรมนิวาส ขอให้มาพร้อมขบวนรถทิดอโณทัย บริษัทจันทบุรีพาณิชย์ เจ้าของรถเขารู้จักความหมายแล้ว และเมื่อพักรออยู่วัดบรมนิวาสนั้น ท่านมหาปิ่นจะไปรับเอาพวกคุณที่นั้นด้วยความคิดถึง

เทสก์ เทสรังสี, ปิ่น ชลิโต ป.


แล้วก็รีบแต่งของในขณะนั้น เพื่อจะไปนอนค้างที่วัดป่าคลองกุ้งใกล้เมือง ได้รีบไปสั่งเสียโยมกลุ้ยและโยมออ ท่าแฉลบ เพราะเขาเป็นผู้ใกล้ชิดวัดป่าท่าแฉลบ แล้วจัดรถคันหนึ่งส่งถึงวัดป่าคลองกุ้ง ทิดอโณทัยก็กลับมาพร้อมกัน

ทิดอโณทัยนัดหมายว่าตี ๔ ในคืนนี้ ให้ครูบาอาจารย์ไปรอรถที่หน้าวัดครับ แล้วแกก็กลับบ้านแกในเมือง

แล้วพากันไปกราบพระครูมงคลที่เป็นเจ้าอาวาส ลาล่วงหน้าไว้ในตอนตี ๔ องค์ท่านจัดให้พักรวมกุฏิเดียวกัน

อนิจจาเอ๋ย ในคืนนั้นเองข้าพเจ้านอนไม่หลับเลย เพราะนิสัยแก้ยาก ถ้าจะไปไหนด่วน ๆ แล้วนอนไม่หลับเลย

พอถึงตี ๔ ก็พอดีรีบไปขึ้นรถที่หน้าวัด รถคันนั้นก็ออกตี ๔ กว่าประมาณ ๓๐ นาที พอถึง จ.ระยองรถก็จอดฉันเช้า แต่เกือบเที่ยงแล้ว ฉันอาหารด่วน ๆ ตามถ้วยชามประมาณ ๑๐ คำเท่านั้น รถคันนั้นบรรจุคนโดยสารได้ประมาณ ๖๐ คน

พอจะใกล้อำเภอสัตหีบ หม้อน้ำก็รั่ววิ่งไปไม่นานก็ได้เติมน้ำ เจ้าของรถเขาบ่นว่า “เออ รถคันนี้เขายอว่าวิ่งเร็ว กูก็ได้หน้าเพราะมึง เวลานี้กูก็เสียหน้าเพราะมึง”

พอถึงกรุงเทพฯ ก็มืด เข้าทางศาลาแดง เขาเข็นรถไปจากศาลาแดง จนกว่าจะถึงบริษัทจันทบุรีพาณิชย์ก็กินเวลานาน เขาถือเป็นของสนุกทั้งเข็นไปทั้งกล่าวว่า จันทบุรีเข็นส่ง มิใช่ขนส่ง พอถึงแล้ว ตำรวจตามส่งเพราะเกรงไม่ปลอดภัย เขาเอารถเก๋งตามส่งวัดบรมนิวาส

ถึงวัดบรมนิวาสประมาณ ๒ ทุ่ม แล้วก็พักกุฏิหลังสระเต่าตามเคย

โอ้อนิจจาเอ๋ย เขียนประวัติทุกข์ของตนก็ยืดยาวนักแท้ ๆ ไม่มีจบสิ้นได้ เพียงในชาติหนึ่ง ๆ ก็อเนกปริยายแล้วหนอ ขอเข็ดหลาบในเรื่องชาติ ๆ ภพ ๆ เพียงนี้เทอญ อย่าได้มีภพอย่าได้มีชาติต่อไปในข้างหน้าเทอญ ปฏิบัติน้อยขอให้กลาย ปฏิบัติหลายขอให้พ้น อย่าได้มาท่องเที่ยวในสงสารอีกเถิด พืชกิเลสมีเท่าใด ขอให้พระปัญญาเผาผลาญไหม้หมดไป วิมุตติญาณทัสนะจงปรากฏอยู่ทุกขณะลมปราณ และทุกขณะใจ ถวายชีวันกตัญญูต่อพระนิพพานอยู่ทุกขณะใจ ไม่มีเจตนาอื่นจะมาเป็นเจ้าของหัวใจผูกขาดได้ ไล่หนีทันทีทีเดียว เจตนาย่อมเป็นยาโอสถสำคัญมาก
109#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 18:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พบหลวงปู่เทสก์อีก

ครั้นพักอยู่วัดบรมนิวาสคืนแรก ตื่นเช้าไหว้พระภาวนาแล้วได้เวลาไปบิณฑบาต ฉันเสร็จแล้วประมาณ ๕ โมงเช้า พระอาจารย์มหาปิ่นก็มาเจอในที่นั้นก็เตรียมเดินทางไปวัดป่า อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช แต่การไปคราวนี้ได้ยืมมูลค่าจากวัดบรมนิวาส ๙๐๐ บาท เพราะการโดยสารรถไฟฟรีได้ยกเลิกกันทั่วประเทศแล้ว

พอถึงวันใหม่ได้เวลาก็ไปขึ้นรถไฟด่วนสถานีบางกอกน้อย ออกจากสถานีบางกอกน้อยเป็นเวลา ๕ โมงเช้า ถึงจังหวัดสุราษฎร์ฯ ก็๖ โมงเช้า ก็ลงรถไปบิณฑบาตฉัน รถไฟก็ไปจอดที่นั้นเพราะข้ามแม่น้ำตาปีไม่ได้ สะพานถูกทำลายสมัยสงครามญี่ปุ่นกับอังกฤษ

ฉันเช้าเสร็จแล้วก็ข้ามเรือไปต่อรถไฟฟากฝั่งโน้น ไปถึงวัดป่าร่อนพิบูลย์ประมาณบ่าย ๒ กว่า ๆ แล้วพักอยู่ที่วัดป่าร่อนพิบูลย์นั้นหลายคืน เห็นอักษรที่หน้ากุฏิว่า สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา รัชกาลที่ ๕ มีกุฏิอยู่หลาย ๆ หลังพอควร มีพระอยู่นั้นองค์เดียว อากาศเย็น มีน้ำตกจากเขา ข้างทางรถไฟ

ทิศตะวันออกไม่ไกลพอ ๓ เส้น มีรอยพระบาทสร้างจำลองแต่รัชกาลที่ ๕ พร้อมวัด เห็นแล้วก็รู้สึกสลดสังเวช รักเคารพในใจว่า พระวงศ์พระตระกูลของสมเด็จพระบรมราชาและสมเด็จพระบรมราชินีนาถนี้ ไม่ว่าจะยุคใด ๆ ก็ดี ย่อมทรงเคารพรักพระพุทธศาสนาอยู่ เป็นเยี่ยงอย่างอันเลิศของประชาชนชาวพุทธ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแต่ครั้งพุทธกาล เป็นพระหัตถ์ข้างขวาของพระพุทธศาสนาอย่างประเสริฐแท้ ๆ แลหนอ

เล่าเรื่ององค์หลวงปู่เทสก์ต่อไป ขณะที่ไปถึงร่อนพิบูลย์แล้วหลวงปู่เทสก์มิได้อยู่นั้น องค์ท่านไปพักอยู่วัดพิศาล จากร่อนพิบูลย์ไปทางทิศใต้ประมาณหนึ่งกิโลเมตรโดยคาดคะเนประมาณดู

ตื่นเช้าบิณฑบาตฉันเสร็จก็พากันจัดแจงบริขาร แล้วเดินไปถึงวัดที่องค์ท่านพักอยู่ แล้วพบพระอาจารย์คำผายและพระอาจารย์พรหมาอยู่ที่นั้น กำลังจับเส้นถวายอยู่ พระอาจารย์คำผายและพระอาจารย์พรหมานี้ได้ลงไปทางปักษ์ใต้แต่หลายปีแล้ว เป็นพระภาคอีสานทั้งนั้น

พอข้าพเจ้ากราบหลวงปู่เทสก์ครั้งที่หนึ่งแล้วเกิดสลดสังเวชในใจว่า เราพลัดพรากจากพระเถระผู้ใหญ่ภาคอีสานแล้วลงมาทางนี้อีก ก็ได้พลัดพรากอีก เป็นเวลาเกือบ ๓ เดือนหนอ เพิ่งได้มาพบขณะนี้แลหนอ เต็มตื้นเข้าแล้ว น้ำตาก็ไหลอาบแก้มเลย องค์หลวงปู่เทสก์หัวเราะแล้วทายใจออกมาว่า

“คนเคยได้อยู่กับพระผู้ใหญ่ฝ่ายปฏิบัติ เมื่อพรากไปไม่เห็นนาน พอเห็นเข้าก็สลดใจ”

องค์ท่านทายถูกไม่มีผิดเลยแม้แต่น้อย แล้วก็พักอยู่นั้นคืนหนึ่ง ตื่นเช้าบิณฑบาตฉันเสร็จ องค์ท่านก็พาหมู่กลับมาพักวัดป่าร่อนพิบูลย์ต่อไป

ครั้นพักอยู่ ๒-๓ วัน องค์ท่านกับท่านอาจารย์มหาปิ่นและคุณเกษมก็ข้ามทะเลไปภูเก็ต เพื่อไปสืบดูที่จำพรรษา เพราะเป็นเดือนมิถุนายนแล้ว แล้วปล่อยให้ ๕ องค์นี้พักอยู่ร่อนพิบูลย์ไปพลางก่อน มีท่านอาจารย์จันทร์โสมเป็นหัวหน้า อนิจจา สังขารา ทุกขา

อีก ๔-๕ วันก็ได้รับโทรเลขด่วนว่า “ให้โดยสารรถไฟไปลงที่อำเภอกันตัง จ.ตรัง ไปพักที่สถานบำเพ็ญบุญ รอขึ้นเรือที่ท่าเรือ”

พอถึงวันหลัง เวลาบ่ายประมาณ ๒ โมงกว่า โยม อ.ร่อนพิบูลย์ก็ส่งขึ้นรถไฟกลับอำเภอทุ่งสง แล้วจากทุ่งสงตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะรถไฟขบวนนี้ขึ้นมาจากทางสงขลา ถึงทุ่งสงแล้วเลี้ยวซ้ายหักคืนไปทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วไปจอดที่ปลายทางท่าเรืออำเภอกันตังฝั่งมหาสมุทรอินเดีย พอไปถึงแล้วก็ไปพักนอนแรมอยู่ที่ป่าจากสถานที่ทำบุญ ตื่นเช้าบิณฑบาตฉันเสร็จ ก็ได้รับจดหมายอีก ๒ ฉบับเป็นจดหมายที่ไม่ปิดซอง เนื้อความในจดหมายว่า

ขอให้คุณหล้าเอาจดหมายฉบับนี้ ส่งที่อำเภอกันตังด้วยตนเอง แล้วตอนเย็นรอลงเรือไปภูเก็ต แล้วให้พากันไปพักวัดจีน แล้วรออยู่นั้น ตอนบ่ายจะมีรถมารับไปโคกกลอย จ.พังงา (ส่วนการฉันนั้น โยมเขาจะมาเลี้ยงที่วัดจีนนั้น)

แล้วก็รีบไปส่งจดหมายที่อำเภอเพราะไม่ไกลจากที่พัก ไปองค์เดียว พอขึ้นไปถึงที่ว่าการอำเภอ เจ้าขุนมูลนายอำเภอนี้แปลกมาก พากันลุกยืนขึ้นยกมือประนมพร้อมกันหมด เราก็บอกว่า “เป็นสุข ๆ” แล้วยื่น จ.ม.ให้ เขารีบอ่านในที่ประชุมนั้นว่า
110#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ที่พักโคกกลอย จ.พังงา

วันที่... เดือน.... พ. ศ.....

เจริญพร คณะกรรมการอำเภอนี้ทุกท่านที่นับถือไว้ในพุทธศาสนาตลอดกาลนาน ขอรบกวนวิงวอนว่าให้นายโพธิ์ เดชผล ศุลกากร ส่งพระธุดงค์ที่พักรออยู่สถานที่ทำบุญลงเรือถึงภูเก็ตให้โดยด่วนด้วย หวังว่าคงไม่ขัดข้อง และก็คงเป็นบุญอยู่มิน้อยเลยด้วยความนับถือ

พระมหาปิ่น ชลิโต


แล้วก็ลาเขากลับที่พัก พอบ่าย ๔ โมงก็มีผู้มาบอกว่า ขอนิมนต์เตรียมตัวไปท่าเรือเพื่อลงเรือ แต่เรือนั้นจะออก ๖ โมงเย็นก็จำได้ไปคอยก่อนเพราะจะสะดวกที่นั่ง

ภูเก็ต-พังงา

ครั้นได้เวลา ๖ โมงเย็นแล้วเรือก็ออก คนที่อยู่ในเรือนั้นประมาณ ๒๐๐ คน เรือตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นฤดูที่มีคลื่นจัด เป็นเดือนมิถุนายนข้างแรม ตั้งใจภาวนาไม่หยุดไม่หย่อน เพราะเสี่ยงชีวิตหนักเข้า เราอยู่สำนักธรรมดาก็เสี่ยงชีวิตประจำวันอยู่ทุกลมปราณแล้ว ไฉนจะไว้ใจในชีวิตได้ คลื่นมาแต่ละลูกละลูก ก็เกือบเท่าภูเขาเสียแล้ว เรือกระโดดคลื่นเป็นระยะ ๆ เรือผินหน้าสู้คลื่น เพราะลมพัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ คลื่นก็ต้องมาตามลม จะผินข้างเรือให้สู้คลื่น เรือก็ต้องจม

ถ้าพิจารณาน้อมเข้าหาธรรมแล้ว นั้นยังเป็นคลื่นภายนอกอยู่ คลื่นภายในคือ โลภ โกรธ หลงเป็นคลื่นที่กระทบกระเทือนอยู่ในขันธสันดานจนเคยชิน ผู้มีกิเลสมากก็คลื่นมาก ผู้มีกิเลสเบาก็คลื่นเบา ผู้ไม่มีกิเลสเลยคลื่นก็ไม่มีเลย เรือคือใจก็มิได้โอนเอียงไปทางใด แต่เป็นของพูดง่ายทำได้ยาก เพราะช่างลงมือทำเป็นของยาก ช่างปากทำ เป็นของทำได้ง่าย ยากกับง่ายก็ขึ้นอยู่กับผู้ชอบและผู้ไม่ชอบ

ครั้นเรือจอดที่ท่าภูเก็ตแล้วก็เดินไปวัดจีน ไกลจากท่าเรือประมาณ ๑๕ เส้น ญาติโยมมาใส่บาตรที่นั้นเป็นเวลาประมาณ ๕ โมงเช้า พระจีนอยู่ที่นี้องค์เดียว ๕ พรรษา นุ่งกางเกงขากว้างยาว แกทักทายปราศรัยดี แกฉันเจ

ครั้นฉันเสร็จแล้วพระจีนก็พาเข้าไปชมที่กุฏิวิหาร มีรูปพระกัจจายนะเหมือนกัน

แกถามว่า “พูดภาษาจีงเป็งไหม”

ตอบว่า “ไม่เป็ง”

พอเวลาบ่าย ๒ กว่า ๆ รถพังงาก็มารับ รถวิ่งไปประมาณ ๔๐ กิโลเมตรก็ข้ามน้ำอีก ข้ามเรือ เขาเรียกว่าท่าฉัตรไชย ไปถึงฝั่งนั้นเขาเรียกว่าท่านุ่น เป็นเขต จ.พังงา อ.ตะกั่วทุ่ง ขึ้นรถยนต์ต่อไปอีกประมาณ ๓๐ กิโลเมตรก็ถึงสี่แยกโคกกลอย คือแยกหนึ่งไปภูเก็ต แยกหนึ่งไปตะกั่วป่า แยกหนึ่งไป จ.พังงา แยกเล็ก ๆ ไปทะเล แล้วทำวัดป่าขึ้นที่นากลางใกล้โคกกลอยนั้น เป็นดินราบ ไปบิณฑบาตได้สองทางคือไปทางโคกกลอยทางหนึ่งไปทางนากลางทางหนึ่ง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้