ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 39081
ตอบกลับ: 162
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี(วัดภูจ้อก้อ) ~

[คัดลอกลิงก์]
ประวัติย่อหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต



    บิดา นายคูน เสวตร์วงศ์

    มารดา นางแพง เสวตร์วงศ์

    เกิด วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๔ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีกุน ณ บ้านกุดสระ หมู่ที่ ๒ ตำบลกุดสระ อำเภอหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง ๘ คน อาชีพของครอบครัว คือ ทำนา

    อุปสมบท อายุ ๑๘ บวชเป็นเณร เมื่ออายุครบเกณฑ์ก็ได้บวชเป็นพระตามประเพณี จากนั้นก็ลาสิกขา มาครองเรือนได้ประสพความเป็นอนิจจัง ทุกขัง แห่งสังขาร และการพลัดพราก ครั้นปี พ.ศ.๒๔๘๖ บวชเป็นพระมหานิกายที่วัดบ้านยางมีพระครูคูณเป็นอุปัชฌาย์ ได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุตที่วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๘ เวลา ๑๓.๑๕ น. โดยมีท่านเจ้าคุณเทพกวี (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ศึกษาอยู่กับหลวงปู่มั่น ในยุคบ้านหนองผือ ได้ติดตามหลวงตามหาบัวออกธุดงค์เป็นระยะ ๆ หลวงปู่หล้าเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นอีกรูปหนึ่งที่ก้าวผ่านห้วงโอฆะเข้าสู่แดนนิพพาน

    การจาริกเพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติ หลังออกพรรษา ปี พ.ศ.๒๔๘๙ ได้ติดตามท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ออกวิเวกไปตามป่าเขา ต่อมาได้มีโอกาสพบท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่ถ้ำบ้านไผ่ และท่านก็เมตตาช่วยเหลืออนุโมทนา ในกิจธุดงค์ด้วยดี เมื่อได้เวลาอันควรพระอาจารย์หล้า เขมปัตโต ก็เดินทางกลับมากราบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือนาใน และมีโอกาส ถวายการปฏิบัติรับใช้พ่อแม่ครูอาจารย์ ด้วยความเคารพศรัทธา
    ปลายปี พ.ศ.๒๕๐๐ ชาวบ้านบ้านแวงหนองสูงใต้ มากราบนิมนต์ ท่านไปพำนักที่ภูจ้อก้อ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต จึงได้มาพำนักที่ ภูจ้อก้อ หรือวัดบรรพตคีรี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) บ้านแวง ตำบลหนองสูงใต้ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ตั้งอยู่บนภูเขา ทิวทัศน์งดงามร่มรื่นมีก้อนหินน้อยใหญ่เรียงรายงดงาม
    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ท่านเป็นพระธุดงคกรรมฐานที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ธรรมเทศนาของท่าน เป็นธรรมะพระป่าที่เข้มข้นตรงไปตรงมา

    มรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ณ วัดภูจ้อก้อ สิริอายุได้ ๘๔ ปี ๑๑ เดือน



http://www24.brinkster.com/thaniyo/archan0145_2.html

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 15:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อัตตโนประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

มูลเหตุการเขียนประวัติ

ชีววิสัยที่นิยมใช้กันในโลก ๆ ว่าเรา ๆ ท่าน ๆ เขา ๆ เป็นต้น บัดนี้ได้ล่วงกาลผ่านเวลามาถึงเจ็ดสิบปีเข้าแล้ว ถอนตัวมาปฏิบัติฝ่ายธุดงควัตรตั้งแต่ ๒๔๘๘ จนถึงเวลาที่กำลังเขียนอยู่นี้ เป็นวันที่ลงมือเขียนวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ แล้ว พรรษา ๓๖ ย่าง ล่วงมาผ่านกองทุกข์มาน่าสังเวช เป็นเหตุให้นึกคำนึงถึงการเขียนชีวประวัติและก็มีพระภิกษุอินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก หาสมุดมาไว้ให้เขียนทั้งหลาย ๆ เล่ม พร้อมทั้งนิมนต์วิงวอนให้เขียนด้วย ที่เธอหาสมุดมาให้ ก็เป็นเวลาล่วงมาสองสามปีแล้ว และก็มีคุณเวินที่จำพรรษาอยู่ด้วยมาได้หลายปี ได้กล่าวว่า ท่านอาจารย์อินทรถวายมาเยี่ยมคราวใด ก็ได้ถามกระผมอยู่เสมอว่า องค์ท่านเขียนแล้วหรือยัง กระผมตอบว่ายังไม่ทันได้เอาใจใส่เขียน เมื่อเป็นดังนี้ เหตุผลในการเขียนก็จวนตัวผู้เขียนเข้ามา และคุณอินทรถวายเล่าก็ได้บวชอยู่กับเจ้าตัว ได้รับทุกข์ลำบากมาก ในยุคต้นของภูจ้อก้อมาติด ๆ กันเก้าพรรษา และโยมบิดาโยมมารดาของเธอพร้อมทั้งวงศ์ตระกูลของเธอด้วย ก็ปฏิบัติใกล้ชิดกับภิกษุสามเณรฝ่ายปฏิบัติมานมนานด้วย นับแต่ยุคห้วยทราย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมาจนถึงปัจจุบันยุคภูจ้อก้อนี้ ถ้าไม่บรรยายมาบ้าง ก็คล้าย ๆ กับว่าจะแอบได้แอบเสียในประวัติของตน ยกหางตนเองขึ้น เหมือนโคและกระบือถ่ายอุจจาระออก แต่ก็ต้องยอมเสียสละการติชมก่อน จึงจะลงมือเขียนได้ ถ้าหวังจะแบกการติชมไปพระนิพพานด้วย หลังก็จะหักตายเกิดคาโลกอยู่ ไปไม่ได้

การเขียนประวัติของตนเอง พร้อมทั้งเผ่าพงศ์วงศ์ตระกูลของตนที่ผ่านมาในสงสารเฉพาะปัจจุบันชาติ นับแต่รู้เดียงสามาคงไม่เหลือวิสัยอะไรนัก ทั้งจะได้เพิ่มธรรมสังเวชเข็ดหลาบในชาติ ๆภพ ๆ เพิ่มขึ้น พระบรมศาสดาระลึกชาติได้โดยไม่ยากตั้งล้านอสงไขย พระอรหันต์สาวกสาวิกาจำพวกบุพเพนิวาสก็ดี ก็ระลึกได้หลาย ๆ กัปหลาย ๆ กัลป์ เราเพียงแต่จะระลึกแต่รู้เดียงสามาจนถึงแก่ลัก ๆ ลั่น ๆ บ้างก็ถือว่าเหลือวิสัยเสียแล้ว

อนึ่ง ท่านผู้อื่นเขียนประวัติของเรายอมถูกบ้างผิดบ้าง แต่ต้องผิดนั่นแหละเป็นส่วนมาก เพราะไม่ได้ติดตามกันอยู่ทุกอิริยาบถของกาย วาจา จิต เพราะสมัยนั้น ๆ ยุคนั้น ๆ เจตนาของจิตเจตสิกตั้งไว้อย่างไรบ้าง เป็นต้น ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะไม่ใช่เจ้าของประวัติ เจ้าของประวัติเขียนเอง ก็รับผิดชอบได้สนิท มอบบาปบุญคุณโทษไว้กับเจ้าของประวัติชะ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 15:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วงศ์ตระกูลฝ่ายบิดา

หันมาปรารภวงศ์ตระกูลฝ่ายบิดา เป็นคนชาวนา ปู่ทวด ย่าทวด ได้มรณะเสียแล้ว ส่วนปู่นั้น ชื่อปู่นามฮุง นามสกุลเสวตร์วงศ์ อยู่บ้านงอย อำเภอหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี มณฑลอุดร เพราะสมัยนั้นเป็นมณฑล แต่คุณปู่คงเกิดก่อนตั้งเมืองอุดรมานมนานแล้ว พี่ชายของคุณปู่ชื่อธรรมวงษ์ น้องชายของคุณปู่อีกคนชื่อ อั้ง น้องชายของคุณปู่อีกคนชื่อ เฒ่าขี้คุย แต่ชื่อจริงของท่านแท้ไม่รู้ได้ คุณย่าชื่ออะไรไม่ทราบได้ คุณย่ามรณะไป ข้าพเจ้ายังเล็กอยู่ วงศ์ตระกูลคุณย่าก็ไม่ชัดได้ และก็น่าเสียดายที่ไม่ได้เรียนถามบิตามารดาไว้ และก็ต้องยอมรับว่า โง่ ๆ เง่า ๆ ที่ล่วงไปแล้ว

คุณปู่คุณย่ามีบุตรร่วมกันสิบคน ชายห้า หญิงห้า

คนที่หนึ่ง คือนางอ่อนศรี มีลูกสามคน คุณป้าอ่อนศรีมีอายุยืนแปดสิบปี

คนที่สอง ชื่อนางคำมี มีบุตรสี่คน

คนที่สาม ชื่อนางเป้ มีบุตรห้าคน

คนที่สี่เป็นโยมบิดาของข้าพเจ้า ชื่อว่า นายคูณ เสวตร์วงศ์ จารย์คูณก็ว่า ท่านมีบุตรแปดคน หญิงห้าคน ชายสามคน

คนที่หนึ่งชื่อว่า นายสิงห์ (ทิดสิงห์)

คนที่สองชื่อนางสีดา

คนที่สามชื่อนายทองดี (ทิดทองดี) ผู้ใหญ่บ้านทองดีก็ว่า

คนที่สี่ชื่อ นางบุญมี

คนที่ห้าชื่อ นางจันที

คนที่หกชื่อ นางแก้ว

คนที่เจ็ดชื่อ นางแหวน

คนที่แปดคือ ข้าพเจ้าผู้เขียนนี้เอง

แปลว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกคนสุดท้องของมารดา ให้เข้าใจว่าลูกทั้งแปดคนนี้สี่ปีเป็นระยะ ๆ จึงเกิดร่วมกันคราวหนึ่ง แต่ปัจจุบันที่เขียนนี้ ยังมีชีวิตอยู่เพียงพี่สาวสองคนเท่านั้น คือพี่แก้วกับพี่แหวน แต่ก็ต่างคนก็ต่างแก่ตามธรรมชาติของธรรมฝ่ายสังขาร อายุขัยเทียบได้กับเวลาสายัณห์ตะวันเย็นริบหรี่ ๆ ลงลับขอบภูเขาหรือขอบฟ้า ถ้าสติปัญญาไม่กล้าเหนือไปจากความที่ว่าหลง ๆ ไหล ๆ ต้องตายคาไตรเหตุแล

ลูกของคุณปู่ผู้อันดับห้าชื่อ นายบุญ กำนันบุญก็ว่า มีบุตรสี่คน

ลูกคุณปู่คนที่หกชื่อ นางลุน มีบุตรเจ็ดคน

ลูกของคุณปู่คนที่เจ็ดชื่อ นายปาน (กำนันปาน) มีลูกหนึ่งคน

ลูกของคุณปู่คนที่แปดชื่อ นายด้วง (ทิดด้วง) มีบุตรสามคน

ลูกของคุณปู่คนที่เก้าชื่อ นางแสง มีบุตรห้าคน

ลูกของคุณปู่คนที่สิบ คือ นายหล้า (ผู้ใหญ่บ้านหล้า) มีบุตรสี่คน

ที่ปรารภฝ่ายโยมของบิตามานี้ ถ้าจะบรรยายถึงลูก ๆ หลาน ๆ เหลน ๆ ของท่านให้ละเอียดแล้ว ก็จะไม่ได้จบสิ้นโดยง่าย แม้จะเป็นเชื้อสายวงศ์น้อย และวงศ์ใหญ่สักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่พ้นแตกสลายตายไป เมื่อไม่พ้นจากกรรม ก็ต้องอยู่ใต้กรรมและผลของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วทั้งนั้น เมื่อกิเลสยังไม่จบสิ้น ก็จะได้มาเที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นญาติกัน ในทางกิเลสทั่วทั้งสรรพไตรโลกาอยู่นี้แล
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ที่กล่าวมา ก็พอให้เป็นหลักสมดุลกับการเขียนประวัติบ้างเท่านั้น จะเอาอดีต อนาคต ปัจจุบันไปพระนิพพานด้วยย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่มักอ้าง มักอาศัยปัจจุบันเป็นมรรคภาวนาเอาเป็นตัวศีล สมาธิ ปัญญา กลมกลืนกันทันเวลา ก็เพื่อมิให้สงสัยภาวนาเรียงแบบอยู่หนังสือภายนอก จะกลายเป็นงมปลานอกแหนอกอวน ชวนให้ส่งส่ายไปทางนอก จะไม่รู้จักวิธีเดินทางแห่งมรรคจิตมรรคใจ มรรคสติมรรคปัญญา จึงได้เอาจิตเอาธรรมพร้อมทั้งสติปัญญาในปัจจุบัน เป็นเรือเป็นแพแจวข้ามฟากความหลง เมื่อข้ามได้แล้วย่อมไม่ติดผู้รู้อยู่ ทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบันด้วย เพราะไม่ได้ไปปล้นจี้เอาอดีต เอาอนาคต เอาปัจจุบันมาเป็นตัวตนให้เป็นกังวล เพราะทอดอาลัยด้วยญาณอันถ่องแท้สลัดคืนแล้ว พร้อมทั้งถอนอาลัยอยู่ในตัว การทะเยอทะยานในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ที่เรียกว่าตัณหา ก็ดับลงไป ขณะเดียวพร้อม ๆ กันในตัว ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลัง เหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงจ้า มืดนั้นแลนาก็หายไปพลันทันกาล

ถ้าจะปรารภแต่พงศาคณาญาติ ไม่มีธรรมเป็นบทบาทมาว่าบ้าง ก็ดูว่าไปหน้าเดียวเตลิดเปิดเปิง ใจไม่บันเทิงเพราะเป็นเรื่องโลก ๆ ท่านผู้มีปัญญามาอ่านพบเข้าก็จะหัวเราะเยาะ เรื่องการเขียนและการอ่านก็คงออกมาจากกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขารทั้งนั้น พระนิพพานมิได้มาอ่านด้วย มิได้มาเขียนด้วยเพราะมิได้รับใช้สังขารใด ๆ

ขออภัยท่านผู้อ่านมาก ๆ เรื่องวงศ์ตระกูลฝ่ายบิดา สำหรับโยมบิดาของข้าพเจ้า ท่านมรณะก่อนโยมมารดา ๓ ปีท่านเป็นโรคชราอายุย่างเข้า ๘๐ ปี ท่านไม่กระวนกระวายตอนหัวค่ำ ในวันนั้นลูกทั้งหลายล้อมท่านที่นอนป่วยอยู่ ท่านสั่งว่า อะไร ๆ พ่อก็ได้สั่งไว้แล้ว ลูก ๆ อย่าได้ทะเลาะกัน วันนี้เองคืนนี้เองอย่าพากันมารบกวนให้พ่อกินน้ำ พากันอยู่นิ่ง ๆ พ่อจะนอนภาวนา แล้วทายไว้แต่หัวค่ำว่า ส่องแสงเงินแสงทองในตอนเช้านี้พ่อจะตาย นี้หมายความว่า ทายแต่หัวค่ำคืนนั้น เพราะเหตุว่าพ่อรู้ในตัวของพ่อแล้ว ธรรมดาคนเราเมื่อเสลดขึ้นพันคอแล้วไม่มีกำลังขากออกก็ต้องตาย ลูกเอ๋ย ที่นี้ส่วนลูกทั้งหลายมีข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสมัยนั้น ข้าพเจ้ายังไม่ทันบวชมีครอบครัวอยู่ และในคืนวันนั้นเอง บิดานอนตะแคงข้างขวาไม่กระดิกตัวเลยตลอดรุ่ง พอถึงเวลาที่ท่านนั้นหมายท่านก็เงียบไปเลย ไม่กระดิกให้ปรากฏในส่วนกายอันใดเลยแม้แต่นิดเดียว ลูกทั้งหลายที่จ้องดูอยู่จนไม่เห็นพิรุธคล้ายคนหลับไปเลย ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ท่านได้ทราบข่าว ว่าน่าอัศจรรย์นัก

ข้อที่ควรเขียนพิเศษ ข้าพเจ้าเป็นลูกคนสุดท้อง ไม่เคยเห็นบิดาดื่มสุรา ไม่เคยเห็นเครื่องดักสัตว์น้ำสัตว์บกไว้ในตัวท่าน แต่เป็นคนไม่รวยและไม่ยอมเป็นหนี้ใคร ผู้ที่ท่านรวย ๆ สมัยนั้น ธรรมดาคนบ้านนอกมีเงินเหรียญบาทในสมัยนั้นหนึ่งหมื่นบาท ก็เล่าลือว่าเป็นคนรวยที่สุดสมัยนั้น แต่สำหรับบิดาของข้าพเจ้ามีเงินเพียงร้อยบาทเท่านั้น แต่ชอบให้ทานที่สุด ผู้มีเงินหมื่นบริจาคทานห้าบาท บิดาของข้าพเจ้าขี้ทุกข์ ๆ ก็ได้ทานห้าบาทด้วยเหมือนกัน ในครอบครัวของบิดาข้าพเจ้า ถ้าไม่ได้ใส่บาตรวันหนึ่งก็ทะเลาะกัน
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วงศ์ตระกูลฝ่ายมารดา

ย้อนมาปรารภเผ่าพงศ์วงศาของโยมมารดา ท่านเป็นคนอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เป็นคนชาวนาโต้ง ๆ แม้วงศ์ของโยมบิดาก็ดี มารดาก็ดี เป็นลาวละว้าอย่างเต็มภูมิ พูด (คำว่า) ยี่สิบ ไม่เป็น พูดเป็นแต่ ซาว (หมายความว่าในการนับ) แต่ตาทวดยายทวดนั้น ไม่รู้ประวัติเสียแล้ว เพราะมิได้เรียนถามท่านไว้ รู้จักแต่ชื่อคุณตาและคุณยายเท่านั้น โยมคุณตาชื่อวิเศษ โยมคุณยายชื่อตุ้ม แต่ไม่รู้จักนามสกุล โยมคุณตา โยมคุณยายมีบุตรด้วยกันหกคน

คนที่หนึ่งชื่อ นางหนู

คนที่สองชื่อ นางคำ

คนที่สามชื่อ นางแพง คือ โยมมารดาของข้าพเจ้า

คนที่สี่ชื่อ นางงวก

คนที่ห้าชื่อ นางข่า

คนที่หกคือ นางหล้า พอนางหล้าโตมาพอคลานเป็น คุณโยมยายก็มรณะไปเสียแล้ว ในขณะนั้นโยมป้าหนูผู้เป็นลูกหัวปี ก็มีอายุราวสิบเก้าปี เมื่อโยมคุณตาทำฌาปนกิจ พร้อมทั้งทำบุญอุทิศถึงโยมคุณยายที่มรณะไป เสร็จสิ้นแล้ว จึงคำนึงว่าเราจะอยู่บ้านดู่โรงนานี้ต่อไป ก็ดูว่าอนาคตแผ่นดินจะดับแคบ และเวลานี้โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม ในอนาคตเล่าก็จะชุกชุมหนักขึ้นอีก เราทราบอยู่แล้วว่าทางเหนือบ้านหมากแข้ง คือค่ายมีที่ดินกว้างขวางว่างเวิ้งมากมายนัก เราขายไร่นาเรือกสวนบ้านช่อง แล้วพาลูกโยกย้ายขึ้นไปอยู่เห็นจะเป็นการไม่ฝืดเคืองในอนาคตมากกระมัง

เมื่อโยมคุณตาตกลงใจดังนี้แล้ว ก็ขายของทอดเทแบบลดราคา พาลูกสาวทั้งหกคน หาบเอาของที่พอหาบได้ เดินด้วยฝีเท้า บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้มรณะไปก็ยังไม่ทันนาน อนิจจตาธรรมตามนำทำให้วิโยค จิตใจโศกติดคล้อยละห้อยหวน มีแต่ทุกข์ทั้งมวลในสรรพไตรโลกา ผู้กำลังเขียนอยู่นี้นาเป็นบุตรหลานของท่าน อารมณ์อันน่าสังเวชมาผ่าน ก็ยิ่งปรากฏคุณบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย มีพระคุณมากหลายอเนกอนันต์ เทียบกับพระคุณของพระอรหันต์ก็ได้ไม่ผิด พระบรมศาสดาเป็นพระมหาบัณฑิต ได้กล่าวไว้แล้ว ปลงใจเชื่อแล้ว พร้อมทั้งยกธงขาว ไม่มีวันจะกล่าวลบหลู่ดูแคลน ฝังใจลงแน่นเท่ากับภูเขาหลวง จนลุล่วงถึงซึ่งพระนิพพานไม่หวังเนิ่นนานในปัจจุบันชาติแล

หันมาต่อเรื่องโยมแม่กับโยมคุณตา พาครอบครัวโยกย้ายบ่ายหน้า ขึ้นมาทางเหนือด้วยฝีเท้า โยมป้าหนูผู้เกิดหัวปีหาบเอาของอันพอจะเอาได้ โยมป้าคำอุ้มเอาน้องผู้ชื่อว่าหล้าพอคลานเป็นนั้น ผลัดเปลี่ยนกันกับมารดาของข้าพเจ้าผู้ชื่อนางแพง ซึ่งขณะนั้นอายุราวสิบสองปีเท่านั้น สิบห้าคืนสิบห้าวันจึงถึงถิ่นอุดร ที่เรียกกันว่าค่ายหมากแข้ง (หมายเหตุ คำว่า ค่ายหมากแข้งนั้นเพราะสมัยนั้นยังไม่ทันใส่ชื่อจังหวัดอุดรธานี) ในสมัยนั้น อยู่ห่างจากอุดรปัจจุบันไปทางทิศเหนือประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ก็เลยตั้งบ้านอยู่ที่นั้น ได้ชื่อว่าบ้านกุดสระ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีจนบัดนี้
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โยมคุณตาได้สงวนที่ดินไว้หลายร้อยไร่ และสงวนเลี้ยงโคและกระบือไว้เป็นจำนวนร้อยกว่าตัว วัดบัวบาน บ้านกุดสระอันสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เป็นที่ดินของโยมคุณตาทั้งนั้น โยมคุณตาเข้าใกล้ชิดวัดอย่างโชกโชนตลอดเกี่ยวกับปัจจัยสี่ บ้านของวงศ์ตระกูลนี้ก็อยู่รอบวัดทางทิศใต้และทิศตะวันตกของวัดเป็นส่วนมาก พอบ้านกุดสระนั้นเจริญขึ้น เพราะทยอยกันมาจากโคราช อำเภอปักธงชัยอีกก็มาก มาจากที่อื่นก็มี กลายเป็นตำบลมีหลังคาเรือนประมาณสองร้อยหลัง เจ้าอาวาสได้เป็นอุปัชฌาย์มีผู้เคารพนับถือโด่งดังในสมัยนั้น เป็นมหานิกาย นิยมเรียนมูลเดิมและเทศน์ใบลาน

ปรารภเรื่องติดต่อไปอีกว่า ลูกสาวของโยมคุณตาทั้งหกนี้ สมควรแก่เวลาอายุแต่ละรายของลูกสาวแล้ว ก็แต่งงานมีครอบครัวขึ้นที่บ้านกุดสระทุก ๆ คน

เมื่อคิดดูแล้ววงศ์ตระกูลฝ่ายมารดาก็ดี ฝ่ายบิดาก็ดี ของข้าพเจ้าผู้เจ้าของประวัตินี้ ถ้านับทั้งลูก ๆ หลาน ๆ เหลน ๆ ของท่านทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันเข้า ทั้งผู้ตายและผู้เหลือที่สืบไปเป็นทอด ๆ แล้ว จะเป็นคนกี่ร้อยครอบครัว ถึงแม้ว่ามนุษย์ เทวดา มาร พรหม ตลอดถึงสิ่งที่เป็นรูปขันธ์ นามขันธ์ จะเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนและดับไป ในสรรพไตรโลกธาตุก็จริง ถึงกระนั้น ก็ยังยัดเยียดเบียดเสียดกันอยู่ พร้อมทั้งสรรพกองทุกข์ด้านกิเลสภายในด้วย และ (ในสมัย) รัชกาลที่หกก็มีพลเมืองในประเทศไทยเราสิบสี่ล้านเศษเท่านั้น แต่ปัจจุบันที่กำลังเขียนอยู่นี้ สี่สิบล้านแล้วหรือไฉน

สังขารทั้งปวงที่มีใจครองและไม่มีใจครองก็ดี เกิดขึ้นอยู่ทุกกาล แปรปรวนอยู่ทุกกาล ดับไปทุกกาล

นอกจากสังขารไม่มีอันใดจะเกิดขึ้น นอกจากสังขารไม่มีอันใดจะแปรปรวน นอกจากสังขารไม่มีอันใดจะดับไป นอกจากสังขารไม่มีอันใดจะเป็นทุกข์

นอกจากทุกข์ก็ไม่มีอันใดจะเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ก็ไม่มีอันใดจะแปรปรวน และดับไป นอกจากอนิจจังก็ไม่มีอันใดจะเกิดขึ้นตั้งอยู่แปรปรวน และดับไป นอกจากอนิจจังก็ไม่มีอันใดจะเป็นอนิจจัง และก็ไม่มีอันใดจะเป็นทุกขัง นอกจากทุกข์ไม่มีอันใดจะตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ก็ไม่มีอันใดจะแปรปรวน นอกจากทุกข์ก็ไม่มีอันใดจะดับไป ทุกข์เท่านั้นแหละเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นแหละแปรปรวน ทุกข์เท่านั้นแหละดับไป

ทุกข์ก็ดี อนิจจังก็ดี ก็มีความหมายอันเดียวกัน จะปรารภอนิจจังโยงมาหาทุกขัง จะโยงทุกขังมาหาอนิจจัง กลับไปกลับมาก็มีความหมายอันเดียวกัน ถ้าเข้าใจว่าเป็นความหมายคนละอันแล้ว เรียกว่า หลงบัญญัติและปัญญาก็ยังไม่ชัดแจ้ง ไม่พ้นความสงสัยในอนิจจังและทุกขัง

ส่วนอนัตตาเป็นธรรมอันลุ่มลึกในพระพุทธศาสนามากมายนัก ถ้าขาดปัญญาญาณอันถ่องแท้แล้ว ก็มักจะยืนยันว่าสูญจนเลยเขตเลยแดนเลยเถิดไป เมื่อไม่รู้แจ้งชัดในอนัตตาแล้ว ไฉนจะไม่ติดอยู่ในอัตตาด้วย ไฉนจะไม่ติดอยู่ในอนัตตาด้วย นักภาวนาเกิดทุ่มเถียงเกี่ยงงอนกันในเรื่องอนัตตาจนหน้าดำหน้าแดง จนกลายเป็นสงครามกิเลสอนัตตาเป็นส่วนมาก อัตตา อนัตตา ไม่ใช่ไฟกิเลส ไม่ใช่ไฟทุกข์ ไม่มีพิษสงอันใด จริงตามสมมติ จริงตามปรมัตถ์เท่านั้น เพราะปรมัตถ์เป็นธรรมฝ่ายลุ่มลึกของความเป็นจริงอันลึกซึ้ง มีทั้งเกิดทั้งดับ และมีทั้งไม่เกิดไม่ดับรวมกันอยู่ ถ้าเทียบกับอาหาร ก็มีทั้งก้างและเนื้อและกระดูก รวมอยู่ในถ้วยหรือในชามหรือในหม้ออันเดียวกัน นักวิจัยไม่พิสูจน์ให้ชัดในกรรมฐาน ปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมที่ตนตั้งไว้มั่นโดยเฉพาะ ย่อมถูกต้มโดยความหลงใหลของตนเองที่ดองอยู่ในขันธสันดานที่ล้อมรอบอยู่ในเมืองจิตใจ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มรดกที่อยากได้

พลิกจิตตสังขารมาปรารภประวัติต่อไป ข้าพเจ้าเกิดวันที่ ๑๙ ปีกุน เดือนกุมภาพันธ์ ขึ้น ๓ ค่ำ วันจันทร์ เวลาตอนเช้า พ.ศ. ๒๔๕๔ นี่เป็นโยมมารดาบอกอย่างชัดแจ้ง ธรรมชาติของโยมมารดาข้าพเจ้ามีนิสัยชอบจดจำ ลูกทั้งแปดคนเกิดออกจากอุทร ท่านจำวันเกิดข้างขึ้นหรือข้างแรม เดือนปีได้ทุก ๆ คน ไม่สุ่มเดาและไม่เก้อเขินเลย แปลกแต่ไม่รู้วันที่ คงจะเป็นเพราะท่านไม่รู้หนังสือ

ทีนี้บ้านที่ข้าพเจ้าเกิด บ้านกุดสระ หมู่ที่ ๒ ตำบลกุดสระ อำเภอหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี มณฑลอุดร (สมัยนั้นเป็นมณฑล) (แต่ไม่ตรงกับใบสุทธิเมื่ออุปสมบท เพราะเมื่ออุปสมบท เขียนหมู่ที่ตำบล อำเภอตามปัจจุบันที่อุปสมบท) แล้วก็วิทยฐานะ ป.๒ เท่านั้น อาชีพทำนาตลอดทั้งโคตร บิดานายคูณ นามสกุลเสวตร์วงศ์ มารดาชื่อนางแพง บ้าน อำเภอ จังหวัด มณฑล เขียนไว้แล้วในหน้านี้ เพราะเขียนลักลั่นสุ่มสี่สุ่มห้า นึกเห็นอันใดก็เขียนลงคดี ไม่เอาไปตรวจในสนามหลวง เอาคะแนนอันใดหรอก และคงไม่มีโทษ

ขณะที่มีอายุหกปี ได้ถามบิดาว่า “พ่อ บ้านของเรามีบุญหรือไม่”

พ่อตอบว่า “มี”

ถามต่อไปว่า “มันเป็นก้อนเหลือง ๆ หรือพ่อ”

พ่อตอบว่า “เออ มันเป็นก้อนเหลือง ๆ นั้นแหละลูก”

พ่อตอบลูกแล้วพ่อก็เลยยิ้มอยู่ และเวลาโอกาสได้ไปนา พี่สาวทั้งหลายก็ดำนาอยู่ ส่วนตนก็เล่นอยู่ตามนาที่คราดแล้วเตียน ๆ ใกล้ ๆ นั้น บิดาปรารภเย็น ๆ ขึ้นพร้อมทั้งชี้มือว่า “นาตอนนี้จะให้ลูกคนนั้น คนนี้ ส่วนบักหล้าจะให้แถวนี้ไป”

ตอบพี่สาวและบิดาว่า “ไม่เอาหรอก”

พี่สาวพูดต่อไปว่า “ไม่เอา มึงจะไปเอาที่ไหน”

ตอบพี่สาวว่า “นั่นวัดข้า นั่นนาข้า”

แล้วชี้มาทางวัด เพราะวัดก็อยู่ใกล้นาบ้าง เมื่อบิดาได้ยินแล้วก็ยิ้ม และก็ได้เคยไปเล่นในวัดเป็นนิจในฤดูแล้ง เพราะบ้านอยู่ใกล้วัด ภิกษุหนุ่มสามเณรหนุ่มท่านชอบพูด ชอบถามด้วย เมื่อได้ยินท่านท่องหนังสือก็ดี เทศน์ตามใบลานก็ดี เป็นสำเนียงอีสานฟังแล้วจับใจ เนื้อความในการเทศน์ดังนี้

“เม มะยา ตนผู้ข้าชื่อว่าอานนท์ สุตัง สุตตะวา อันว่าสูตรอันนี้ ได้ฟังแล้วจากพระพุทธเจ้าแห่งเรา แท้ดีหลีแลนา” ดังนี้ เป็นต้น
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความประทับใจในวัยเด็ก

พ.ศ. ๒๔๖๕ ก็ออกจากโรงเรียนได้เพียง ป.๒ เท่านั้น ในระหว่างอายุสิบสองปี ได้มีพระธุดงค์องค์หนึ่งได้มาพักอยู่ที่ตอนหัวนา บิดาก็ไปทำร้านถวายให้พัก ท่านจะพักที่นั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ พรรษาของท่านล่วงแล้ว ๗ พรรษา ชื่ออาจารย์คำภา อยู่บ้านโพนเลา อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี บิดาของท่านเคยเป็นสหายกับบิดาข้าพเจ้า และตัวของท่านก็เคยเป็นสหายกับพี่ชายของข้าพเจ้า ผู้ชื่อว่าทิดทองดี จึงเป็นที่คุ้นเคยเคารพนับถือกันมาแต่ยุคบิดาตลอดมาปัจจุบัน

เวลาที่พระธุดงค์พักอยู่ที่นั้น เมื่อเลิกจากโรงเรียนแล้ว บิดาข้าพเจ้าก็ให้ข้าพเจ้าไปรับต้มน้ำร้อนถวายท่าน ก่อนเก้านาฬิกาตอนเช้าก็เหมือนกัน ไปคอยรับให้ท่านเพื่อประเคนของ คนอายุ ๑๒ ปีรู้สึกสังเกตพระเป็นโดยไม่มีใครบอก เมื่อเห็นท่านมีอากัปกิริยาเรียบร้อย พร้อมทั้งฉันในบาตรรวมลงทั้งหมดทั้งหวานและคาว เอาข้าวและกับไว้ในบาตร พอดี เหลือไว้ในบาตรเพียงสองสามคำ แลไม่ฉันอืดอาดอยู่นานด้วย รีบล้างมือและปาก และล้างบาตรเช็ดเรียบเร็วพลันเรียบร้อยคล่องแคล่ว ไม่ปึงปังป๊กเป๊กอะไร ก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใส เคารพรักองค์ท่านมาก ผิวพรรณวรรณะของท่านก็ผ่องใสและเดี๋ยวนี้ก็ไม่จืดจางองค์ท่าน ระลึกเวลาใดก็ไม่จืดจาง คงไม่หนีจากรสเค็มคือเกลือ

บิดาของข้าพเจ้าย่อมไปนอนด้วยองค์ท่านทุกคืน ศึกษาธรรมะ ท่านเล่าให้บิดาฟังว่า เดินธุดงค์ไป ก้มหน้าทอดจักษุพอประมาณ ภาวนาพุทโธ ติดต่อไปพร้อมกับเดินไม่รู้ว่า ข้ามน้ำโขงแต่เมื่อไร เหลียวหลังคืนเห็นแม่น้ำโขงอยู่ข้างหลังข้ามมาแล้ว คำลับของท่านมิได้เล่าทั่วไป เล่าให้บิดาข้าพเจ้าฟังเท่านั้น

ท่านเล่าเรื่องถ้ำเอวมองที่ท่านไป ว่ามีสะพานหินข้ามเหวไปประมาณสองเส้น ส่วนเหวนั้นลึก มองลงไปใต้สะพาน เห็นซากพระและบาตรอยู่หลาย ๆ ซาก เพราะลื่นสะพานหินตกลง ส่วนท่านนั้นพลาดลงแบบเบา ๆ แต่ตะครุบทันบาตรบุบบ้าง ไปด้วยกันห้าองค์ ไปลงท้องมรณะกลางทางก็มี ไปพลาดสะพานหินตกลงมรณะก็มี เหลือแต่ท่านองค์เดียวได้เข้าถึงถ้ำนั้น ถ้ำนั้นมีประตูหินปิดเป็นห้อง ๆ ไปเป็นระยะ ๆ ไป ห้องทีแรกมืด ภาวนาติดต่อพุทโธอยู่ไม่ขาด ปรากฏได้ยินเสียงเปิดประตูดังอี๊ดอ๊าด ๆ ไม่ได้เดินเข้า นั่งขยับเข้าผ่านถ้ำ มืดแล้วก็สว่างตา มีเสือโคร่งอ้าปากใส่ เสือจริงไม่ใช่รูปหิน ทำท่าทางให้กลัวพิลึก พ้นห้องนั้นแล้ว ถึงห้องกองเงินกองทอง พ้นห้องนั้นไป ได้ยินแต่เสียงพูด ไม่เห็นตัว พูดเสียงเย็น ๆ ไพเราะว่า “ลาสิกขาเสียเน้อ ไปมีเมียเสียเน้อ” เสียงหนึ่งพูดขัดกันมาทันทีแบบไพเราะเย็น ๆ ว่า “ถ้าท่านลาสิกขา ก็เท่ากับว่าตายจากธรรมอันจะพึงได้พึงถึง ท่านอย่าลาเน้อ”

นี้แหละคนอายุสิบสองปีจำได้ เพราะบิดารับมาจากท่านแล้วเล่าให้ฟัง และท่านได้เล่าเรื่องท่านไปวิเวกดอยคิชฌกูฏอเนกปริยาย เพราะท่านไปถึง มูลค่าปัจจัยเงินเหรียญเขาถวายท่านหลายร้อยหลายพันระหว่างที่ท่านไปวิเวก แต่ท่านมิได้สะสม เกิดที่ใด สละไว้ที่นั้น
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บรรพชาและอุปสมบทครั้งแรก

ครั้นอายุล่วงเข้าสิบแปดปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรในวัดบัวบานบ้านกุดสระนั้น มีพระอุปัชฌาย์หนู ติสสเถโร เป็นเจ้าอาวาส มีอายุพรรษามาก เพราะอายุขัยของท่านก็แก่กว่าบิดามารดาของข้าพเจ้า เพราะท่านก็บวชแต่ยังหนุ่มแน่น และบิดามารดาเล่า ก็ดำริอยากให้ข้าพเจ้าบวช พร้อมทั้งเจ้าตัวก็ดี พระอุปัชฌาย์ก็ดี มีความเห็นตรงกันก่อนจะปรารภกันอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งกินแหนงแคลงใจอันใด และอุปัชฌาย์ก็เปิดประตูทางกาย ทางวาจา ทางใจ ให้ปฏิบัติใกล้ชิด

พรรษาแรกเรียนหนังสือธรรมใบลาน พร้อมทั้งเรียนหนังสือสูตรสวดมนต์ไหว้พระเช้าเย็น เรียนสิบสองตำนานแบบพิสดาร พร้อมทั้งขัดตำนาน ธรรมจักร มหาสมัย อนัตตลักขณะ อาทิตตะ อนุโมทนาวิธี สวดแจง การเรียนก็ดี การท่องบ่นสาธยายก็ดี สมัยนั้นต่างก็ถือเอาเป็นจริงเป็นจังกันในสำนัก

พรรษาที่สองท่องนวโกวาทจบแต่ฤดูแล้ง แต่ที่จริงพรรษาที่สองแต่ฤดูฝนท่องหนังสือธรรมจักร มหาสมัย อนัตตะ อาทิตตะ จบแล้ว ครั้นถึงพรรษาที่สาม ออกพรรษาแล้วเดือนพฤศจิกายน ก็ลาสิกขาจากสามเณร คัดเลือกทหารเดือนเมษายน มารดาวิตกวิจารณ์เกรงจะถูกทหาร ก็พอดีคัดเลือกทหารได้ดีหนึ่ง แต่จับสลากไม่ถูก แปลว่าลาสิกขาจากสามเณรอยู่หกเดือนจึงคัดเลือกทหาร

พอเดือนพฤษภาคมในปีนั้นก็เข้าอุปสมบทเป็นพระในวัดเดิม อุปัชฌาย์เดิม สมัยนั้นใครลาสิกขาไปวันหนึ่งสองวันก็ตาม เมื่อกลับมาบวชใหม่ต้องได้เรียนนักธรรมชั้นเก่าของตน แม้จะสอบได้แล้วก็ตามให้สอบอีก ข้าพเจ้าก็สอบอีกได้คะแนนเทียบโท คราวนี้ได้สิบเอ็ด ห คำว่า ห แปลว่า ให้ถูก แปลว่าสอบนักธรรมตรีในสนามหลวงได้สองครั้ง ได้ใบประกาศสองใบ พอสอบนักธรรมแล้วไม่นาน ก็ได้ลาสิกขาจากพระภิกษุ
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ห้วงทุกข์แห่งฆราวาส

การลาจากเพศพระภิกษุไม่อยากจะลาเท่าใด แต่หมู่เพื่อนพาคะนองก็ลาไปตามเพื่อน พอลาสิกขาจากพระภิกษุได้หกเดือน ก็แต่งงานอยู่ด้วยกัน ปีหนึ่งก็เลิกกัน ได้บุตรคนหนึ่งเป็นเพศหญิง ห่างจากนั้นหนึ่งปีก็แต่งงานอีก ที่เขตเทศบาลชานเมืองอุดร คือบ้านเดื่อ ต.หนองบัว สถานีรถไฟหนองบัว

ห่างจากแต่งงานเก้าปี มีบุตรสามคน ผู้หัวปีเป็นชาย ผู้ที่สองเป็นหญิง ผู้ที่สามเป็นชาย แต่ผู้ที่เป็นหญิงนั้นพอได้สามปีก็ถึงแก่กรรมไป

ในปีครบที่เก้านั้นเอง ภรรยาป่วยอยู่สิบห้าวันก็ถึงแก่กรรมไป เสร็จฌาปนกิจแล้วก็พักอยู่อีกปีหนึ่ง มารดาของข้าพเจ้าก็มรณะไป อายุของท่านล่วงไป ๘๐ ปี แล้วก็มอบหมายลูกให้ป้าแก่น สามีชื่อคำภา ฝ่ายชาวนา

ป้าแก่นนั้นเป็นพี่สาวภรรยาของข้าพเจ้า ท่านเป็นหมันไม่มีบุตร ได้ลูกข้าพเจ้าทั้งสองคน คือเด็กชายเสาร์อายุแปดปี เด็กชายหลุย อายุสามปี พร้อมทั้งเรือกสวนไร่นา เรือนชานบ้านช่อง กระบือสามตัว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นมรดกของผู้ตายคือภรรยา ได้แบ่งกรรมสิทธิ์กันก่อนตายแล้ว แปลว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขวนขวายทำอะไร ในด้านยุ้งข้าวและเรือนชาน ตลอดถึงที่ดิน โค กระบือ มีแต่ตั้งหน้าทำนากินเท่านั้น เพราะมรดกเป็นของภรรยา ส่วนป้าแก่นอันเป็นพี่สาวของภรรยาผู้เป็นหมันนั้น มรดกก็ปันไว้ส่วนหนึ่งต่างหากไว้ก่อนน้องสาวมรณะแล้ว ส่วนน้องชายป้าแก่นสามคน พี่ชายป้าแก่นคนหนึ่งนั้น เขาก็แบ่งคนละส่วน ๆ ไว้เรียบร้อยแต่ก่อนแล้ว ผู้ได้รับโชคก็ป้าแก่น คือได้หลานผู้ชายสองคน ทั้งมรดกของหลานก็ได้อยู่ในกำมือบริหารด้วย เพราะเป็นหมัน มีหน้าที่จะได้หาบุตรมาเลี้ยงอยู่ตรง ๆ

แต่ข้าพเจ้าก็มีโชคทางบวช ตั้งแต่ทิ้งภรรยาคนก่อนก็นึกจะบวชอยู่แล้ว แม้บิดาก็แนะนำให้บวชอยู่แล้ว แต่คนถือมานะว่า เขาจะเย้ยว่าหาเมียไม่ได้แล้วหนีไปบวช เสียเปรียบเมียเก่า บิดาได้ฟังแล้วหัวเราะ มิหนำซ้ำขณะที่เมียผู้ที่สองนี้ยังไม่มีท้อง บิดาก็พูดทางลับคุมให้หนีไปบวชอยู่ เพราะบิดารักบวชยิ่งกว่าจะแต่งงานให้ลูกชายอยู่แต่ไร ๆ มา และนิสัยของท่านไม่ยอมให้ท่านผู้อื่นบรรพชาหรืออุปสมบทให้ลูกของตนเลย คือฝ่ายบริขารจะบวช มิหนำซ้ำท่านคุยว่าลูกชายทั้งหมดจะพากันบวชจริง ปฏิบัติให้สมควรแก่พระจริงจะบวชจนวันตาย พ่อก็ยินดีส่งเสริมทุกเมื่อ ส่วนพวกเป็นเพศหญิงอันเป็นลูก ๆ พ่อรับอาสาเลี้ยงเขาจนกว่าจะมีครอบครัวได้ แม่ของสูจะตายก่อนหรือหลังกู ก็พอมีฟืนไว้ให้เผาได้ ฟืนคือสตางค์ พ่อแม่เผ่าพงศ์วงศ์ตระกูลเป็นผู้มีสรณัง คัจฉามิ แห่งพุทธ ธรรม สงฆ์ เท่าที่ควร
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้