ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี(วัดภูจ้อก้อ) ~

[คัดลอกลิงก์]
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“เออ จิตเป็นไปในพุทธ ธรรม สงฆ์แล้ว โสเป็นโสตายอาจหาญ คนอายุสามสิบกว่าอาจหาญพอได้ แต่ก็คงเป็นเฉพาะบุคคล”

ว่าแล้วองค์ท่านกล่าวขึ้นอีกว่า “ถ้าไม่ไปลงเรือ ก็มีอีกทางหนึ่งคือตรงทิศตะวันออก แต่อันตรายก็มากเหมือนกัน เพราะบ้านอยู่ห่างไกล มีแต่ป่าแต่ดงทั้งนั้น หนทางคนแคบ ๆ เท่าทางหนูเดิน ตั้งแต่ฉันจังหันแล้วก็ไม่พบคนจนค่ำละ”

องค์ท่านพูดย้ำอีกว่า “เอาให้ดีนะ อย่าห่างเหินจากภาวนา นะ”

รับคำองค์ท่านยกมือใส่หัว เณรก็เหมือนกัน สำเร็จเสร็จสิ้นแล้วโยมก็ตามส่งสองคน อายุราวสามสิบปี ไปไกลประมาณครึ่งกิโลก็หยุดพัก ถามโยม บอกให้โยมกลับ โยมก็ทำท่าอยากจะไม่กลับเพราะเป็นกังวลด้วย จึงว่ากะโยมว่า

“ใคร ๆ ในโลกนี้ โยมเอ๋ย ถ้ากรรมตายมาถึงแล้วจริง ๆ ก็ไม่มีศาลอุทธรณ์ใด ๆ ในโลก จงเตือนว่า แวะซ้ายหรือขวาแห่งใดบ้าง”

เขาตอบว่า “จะเก่าหรือใหม่ก็ขอให้เดินเส้นนี้ต่อ อย่าได้แวะหนีทางใดเลย”

“เออ ถ้าอย่างนั้นพวกญาติโยมจงกลับบ้านโดยสวัสดีเถิด บุญอันใดที่พวกอาตมาได้สร้าง พวกโยมจงได้รับส่วนด้วยโดยทุกเมื่อ”

เขายกมือสาธุแล้วก็ลากลับ พอเขากลับไปแล้วสักครู่หนึ่งก็ลับสายตาริบหรี่ไป ได้พูดกับเณรว่า

“เณรเอ๋ย บัดนี้ป่าเปลี่ยวอันตรายมากแล้ว พวกเราเดินตีนต่อตีนมาจากอุดรๆ จนถึงนี้ก็ปลอดภัยทุก ๆ ประการ แต่ไม่น่าหวาดเสียวเหมือนวันนี้ จงตั้งใจเดินภาวนายิ่ง ๆ ขึ้นนะ เราไกลจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์มา ต่างก็พึ่งตนเองคือภาวนาทุก ๆ ก้าวขาเดิน คือ พุทโธ ถ้าไม่จำเป็นอย่าพูดอย่าถามนะและอย่าถือว่ารังเกียจกัน ถ้าเณรกลัวจงออกเดินหน้า”

เณรตอบว่า “ไม่กลัวดอก ถึงจะกลัวมาสลับบ้างก็จะทนเอา ถ้าเดินก่อนเทวดาเห็นก็จะหัวเราะและก็เป็นเรื่องฝืน ๆ กับภาวนา” ว่าแล้วก็ตั้งหน้าเดินทางภาวนา

บ่ายประมาณหนึ่งโมงก็ข้ามดง ถึงบ้านนาประทราย ค่ำมืดก็ถึงบ้านอ้วนบ้านเสียว ไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น ไปพักวัดร้างไม่มีพระ เช้าบิณฑบาตฉันเสร็จลาโยมเดินทางต่อ ที่นี้เป็นทางเกวียนแต่ข้ามดง บ่ายประมาณสามโมงเย็นก็ถึงชัยบุรี ริมแม่น้ำโขง ปากแม่น้ำสงครามไหลออกแม่น้ำโขง มีวัดเก่า ๆ เรียงรายเป็นระยะ ๆ ตามริมแม่น้ำโขงมีอยู่สี่วัด มีพระอยู่สองวัดเท่านั้น

พักอยู่วัดร้างหนึ่งคืน เช้าบิณฑบาตฉันเสร็จ เขาเอาเรือมารับข้ามปากแม่น้ำสงครามไหลตกข้ามบ้านโนนตาล ข้ามบ้านท่าดอกแก้ว ประมาณสามโมงเย็นถึงอำเภอท่าอุเทน ได้แวะไปพักวัดธาตุอุเทนประมาณห้านาที ลาจากนั้นก็ข้ามทุ่งอำเภอท่าอุเทนไปทางทิศใต้
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พบพระอาจารย์อุ่น

ตั้งใจว่าจะไปพักวัดป่าพระอาจารย์อุ่นอันตั้งอยู่ริมห้วย ไกลจากอำเภอท่าอุเทนประมาณหนึ่งกิโลเมตร พระอาจารย์อุ่นมีปฏิสันถารเคร่งครัดมากนัก องค์ท่านให้เณรสององค์มารับแต่ไกล เพราะผ่านทุ่งและเป็นทุ่งมองเห็นไกล พระผู้ใหญ่ไม่มีมานะถือตัวก็พระอาจารย์องค์หนึ่งเน้อโลกเอ๋ย พอไปถึงห่มผ้าเฉวียงบ่า ถอดรองเท้า เก็บร่มไว้เรียบร้อย วางบริขารไว้ที่ควร แล้วก็เข้าไปกราบองค์ท่าน องค์ท่านก็ชื่นบานหรรษา ถามข่าวคราวสุขทุกข์ทุกประการตลอดถึงการปฏิบัติเปิดโอกาส

องค์ท่านกล่าวว่า “หมู่ติเตียนผมว่าผมฉันเจ ใครก็ไม่อยากอยู่กับผม ผมอยู่กับเณรสององค์เท่านั้น เดี๋ยวนี้ การทำความเพียร คุณจะชอบอย่างไร ผมพาทำได้ มักสวดมนต์ของใครของมันเงียบ ๆ ก็เอา มักสวดมนต์แปลก็เอา ด้านจงกรมภาวนาจะเอาตลอดวันตลอดคืนก็เอา ด้านฉันจะฉันเนื้อปลา ก็แล้วแต่ผู้เขาให้มาเป็นธรรมที่ไม่นอกเหนือวินัย ส่วนผมก็ฉันได้ทุกชนิดตามเกิดตามมีแล้ว ลองมาพักปฏิบัติอยู่กับผมสักหว่าง (ระยะหนึ่ง) ก่อนนะ อย่าเพิ่งจาริกไป”

กราบเรียนองค์ท่านว่า “พระอาจารย์เมตตากรุณาเปิดโอกาสให้กระผมทุกแง่ทุกมุมโดยธรรมะอันจริงใจเช่นนี้ ชั่วชีวิตหนึ่งของกระผมก็จะเป็นของหาได้ยากนัก แต่คำสัตย์ของกระผมที่ตั้งไว้นั้น ก็มีอยู่ว่า ตั้งใจจะไปให้ถึงธาตุพนม แล้วจะโค้งกลับไปทางอำเภอนาแก แล้วจะไปพักภาวนาถ้ำพระเวสพอสมควรแล้วจะเดินล่องภูเขาภูพานลงไปทางอำเภอพรรณา จังหวัดสกลนคร ไปวัดป่าบ้านหนองผือ ไปหวังเป็นหวังตายอยู่กับพระอาจารย์ใหญ่มั่นขอรับ”

องค์ท่านตอบว่า “วัดป่าพระอาจารย์มั่นก็ไกลจากบ้านเพียงสิบแปดเส้นเท่านั้นแหละ ผมได้ไปแล้ว ไม่เป็นวัดป่าให้เต็มภูมิดอกท่าน ส่วนวัดผมนี้อยู่สิบห้าเส้นพอดี เป็นวัดป่าได้เต็มภูมินะ”

ว่าแล้วองค์ท่านก็เทศน์แบบถึงใจว่า “นกที่ถูกลูกศรของนายพรานไม่ถึงกับตายคาที่ พอกระเสือกกระสนบินไปได้ ก็บินไป เร่ร่อนไปในทิศทั้งสี่ฉันใด มนุษย์ เทวดา มาร พรหม และสัตว์ที่มีวิญญาณครองสิงอยู่ทั่วทั้งไตรภพ เมื่อไม่พ้นจากลูกศรคือกิเลสก็บินไปในทิศทั้งสี่ คือทิศเกิด ทิศแก่ ทิศเจ็บ ทิศตาย อยู่อย่างนั้น มีทิศโลภ ทิศโกรธ ทิศหลง เป็นตัวเหตุตัวพืชตัวกรรม ผลฝ่ายรับก็สัมพันธ์กันอยู่ทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบันด้วย วนอยู่ไม่มีเงื่อนต้น เงื่อนปลาย”

เมื่อฟังองค์ท่านเทศน์แล้วก็จับใจมาก เพราะเสียงก็เย็นไพเราะนิ่มนวลมาก ครั้นพักอยู่กับองค์ท่านคืนหนึ่ง เช้าได้เวลาองค์ท่านพาไปบิณฑบาตในเมือง กลับถึงวัดฉันเสร็จก็กราบลาองค์ท่าน องค์ท่านกล่าวว่า

“ถ้าจะไปจริง ๆ ก็ให้ผมแสดงอาบัติก่อน ผมอยู่กับเณรไม่ได้แสดงอาบัตินานแล้ว ว่า กาเย ต่อพุทธ ธรรม สงฆ์เป็นส่วนมากแทนเอา”

ว่าแล้วก็แสดงอาบัติ ส่วนข้าพเจ้าก็แสดงเพราะเคารพท่าน ถ้าจะไม่แสดงก็คล้ายกับว่าคนลืมตัว ทำท่าเป็นผู้ประเสริฐ พอเสร็จแล้วก็กราบลาเดินทาง องค์ท่านให้เณรไปส่งทั้งสององค์ องค์ท่านสั่งเสียซ้ำซากว่าขณะนี้ญวน ลาว กำลังสู้รบกับฝรั่งเศส กู้อิสระคืนอย่างรุนแรง โจรผู้ร้ายก็มาก พระมันก็ปล้น แม้ผ้าดำ ๆ มันก็เอา สองสามวันล่วงมา มันปล้นสายอำเภอท่าอุเทนต่อนครพนมในระหว่างกลางดงอันกึ่งกลางนั้นเอง โจรนั้นโก้เก๋ขี่รถจักรยาน สะพายปืนพร้อม นุ่งกางเกงผ้าลินินฝรั่งเศสเพราะสมัยนั้น เพียงเท่านั้นก็ว่าโก้เก๋แล้ว

แล้วเณรก็ตามส่ง ไปไกลประมาณสองกิโลก็ถึงปากดง สามเณรสององค์ที่ไปส่งก็ลากลับวัด จึงเตือนเณรว่า

“เณรเอ๋ยบัดนี้ก็ผ่านอุปสรรคอีก เพราะป่าดงพงไกลเงียบไงเย็นปิ้ง พวกเราตั้งใจภาวนาติดต่อทุกก้าวเดินนะเณร”
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แต่พอไปถึงกลางดงก็เที่ยงวัน ชายหนุ่มขนาดอายุราวสามสิบปี ขี่รถจักรยานสะพายปืนยาวคนละกระบอกตามก้นกันมาทางหน้าอย่างผึ่งผาย พอเห็นรถมาใกล้ประมาณสิบวาก็ใช้อุบายพาเณรวางบริขารไว้ที่ริมทาง แล้วไปไกลจากบริขารประมาณสามวา แล้วใช้อุบายพูดขึ้นว่า “เหนื่อยนัก ปูผ้าพักก่อนเถิด”

ส่วนเขาเหล่านั้นพอมาถึงก็หยุดรถพร้อมกันอย่างผึ่งผายจึงหาอุบายพูดกับเขาว่า “พวกอาตมาเหนื่อยมาพักเสียก่อน”

พูดกับเขาอีกว่า “พวกคุณจะไปไหนหนอ”

เขาตอบแบบขี้โกงว่า “ไปเล่น”

ไม่มีมรรยาทเคารพเลยแม้แต่นิดเดียว และเขาถามว่า “มีผึ้งไหมล่ะ”

ตอบเขาว่า “มีอยู่เท่าแม่มือ อยู่ในบาตรเอามาจากสามผง คุณจะเอาไปทำอะไร”

ตอบขี้โกงว่า “เอาไปติดรถ”

ตอบเขาว่า “ขอให้พวกคุณตรวจเอาเองเถิด เพราะอาตมาเหนื่อยจะเอนกายสักหน่อย”

เขาก็ค้นบริขารทุกอันอย่างพอใจเขา เขาหยิบเอาผึ้งนิดเดียวเท่าเม็ดข้าวโพด พอเขาค้นสิ่งของแล้ว เวลาที่เขาจะผ่านไปตามทางที่เราผ่านมาแล้ว เขาก็กราบลาแบบอ่อนโยน พร้อมทั้งขออภัยที่ได้ใช้มรรยาทอันไม่งาม

ตอบเขาว่า “ไม่เป็นไรดอกจงพากันเป็นสุขอยู่ทุกเมื่อเทอญ”

แล้วเขาก็ขึ้นรถสะพายปืนอย่างผึ่งผายจากไป

เขาไปไกลพอควรแล้วก็พูดกับเณรว่า “คงจะเป็นพวกนี้เองที่จี้ปล้นกลางดงในทางเส้นนี้ อันเป็นกึ่งกลางแห่งอำเภอท่าอุเทนและจังหวัดนครพนมที่พระอาจารย์อุ่นสั่งเสียพวกเราก่อนออกเดินทางวันนี้ แต่พวกเราคงไม่ได้สร้างกรรมสร้างเวรในส่วนนี้ไว้ แต่พวกเราคงได้ตรวจบริขารพระเณรกลางดงอย่างนี้มีแต่ชาติก่อน ๆ ก็อาจเป็นได้ จะอย่างไรพวกเราก็เชื่อกรรมและผลของกรรมอยู่อย่างสนิทแล้ว กรรมเก่าแต่ภพก่อน ๆ มองไม่เห็น ส่วนกรรมใหม่สิ่งไหนไม่ดี เราพยายามเว้นไปตะพึด จนกว่าจะถึงที่สุดทุกข์โดยชอบ”



ว่าแล้วก็พาสามเณรพลิกใจเข้าหาภาวนาเดินตามเคย ถึงวัดป่าอรัญญิกาวาสค่ำมืดพอดี

สมัยนั้นพระอาจารย์โง่นเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั้น พักที่นั้นหนึ่งคืน ตื่นเช้าบิณฑบาตฉันเสร็จ กราบลาเจ้าอาวาส ออกเดินทาง ค่ำพอดีพักวัดร้างบ้านดงสะพัง ตื่นเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จ ลาญาติโยม เดินทาง ค่ำบ้านแสนพันหมันหย่อน นอนวัดร้างหนึ่งคืน รุ่งเช้าบิณฑบาต ฉันแล้ว เดินทางถึงธาตุพนมเวลาเที่ยงวัน ไปพักวัดป่าเกาะแก้ว คราวนี้พักอยู่นานบ้างเพราะเป็นฝีที่น่อง ครั้นฝีหายแล้ว ก็ส่งเณร ฝากเณรคืนอุดรฯ พร้อมกับพวกพระที่มาไหว้ธาตุพนม ส่วนข้าพเจ้าก็เดินด้วยฝีเท้าถึงบ้านนาโสก พักวัดป่าพระอาจารย์สน พักอยู่กับพระอาจารย์สนสามคืน แล้วก็ลาท่านไปถ้ำพระเวส

องค์ท่านกล่าวว่า “เออ เรานี้อยู่ใกล้ถ้ำพระเวสเฉย ๆ ไม่ได้ขึ้นไปวิเวก มัวแต่บริหารพระเณรโชกโชนอยู่ บ๊ะ เราก็จะไปค้นหาถ้ำก่อนนา”

และก็ตกลงไปในวันนั้น ส่วนข้าพเจ้าก็ไปถ้ำพระเวสในวันนั้น
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ถึงถ้ำพระเวส


ถ้ำพระเวสในปัจจุบัน

พอไปถึงถ้ำแล้วจิตใจก็ดูดดื่มทวี เกิดปีติน้ำตาไหล จิตใจอ่อนโยนศรัทธาสังเวชในพุทธ ธรรม สงฆ์ยิ่งขึ้น ไม่มีที่จะเปรียบเทียบได้ นึกในใจว่าครั้งพุทธกาล บรรดาท่านผู้มีนิสัยชอบภูชอบเขาก็จะพักอยู่อย่างนี้แลหนอ ว่าแล้วในใจน้ำตาไหลอีกตะพึดตะพือ ศรัทธาอิงปีติสังเวช แต่ในขณะนั้นก็มิได้สำคัญตัวว่าวิเศษวิโสอันใดเลย เพียงรู้ตัวว่าศรัทธาเราดึงดูดไม่ถอยหลัง รู้อยู่เฉพาะตนเอง ไม่สงสัยในตอนนี้ และรสชาติที่อยู่คนเดียวในภูเขาป่าเปลี่ยวไกลบ้านเงียบสงัดมีแต่เสียงสัตว์ป่าเช่น นกยูงและไก่เถื่อนเป็นต้น รสจิตรสใจรสธรรมก็ดี หากวิเวกเองมิได้ทำท่าทำทางบังคับบัญชา มโนสติ วจีสติ แม้ปัญญาก็เกิดกายสติเป็นกองทัพธรรมรวมกันเอง ก้าวไป ถอยกลับ เหยียดคู้แขนขา ก้าวไปและหยุดอยู่ก็ดี ก็รู้เอง ไม่ได้บังคับ จิตใจเบาไม่หนักเฉื่อยชา น้อมไปโอนไปเอนไปในทางพ้นทุกข์ในสงสาร

สมัยนั้น ป่ารกชัฏในบริเวณแถบนั้นมากนักหนา มีสัตว์ป่านานาอเนกมากมายนัก ข้าพเจ้าก็ประหยัดในข้อวัตรต่าง ๆ ผ้าอาบน้ำยังเหลือผืนเดียว บ่ายสามโมงเย็น ก็ปัดกวาดรอบบริเวณพอได้ข้อวัตรแล้วก็สรงน้ำเพราะน้ำนั้นสะดวก อยู่ใกล้ไหลรินอยู่ไม่ขาดที่หน้าผา ตากผ้าไว้แล้วเดินจงกรมจนถึงมืด พอผ้าอาบน้ำแห้งแล้วก็เอาปูไว้นอน ผ้าคลุมหมอนก็อยู่ในตัว หมอนก็คือห่อผ้าสังฆาฏินั่นเอง ผ้าอาบน้ำที่ปูนั้นแหละเป็นสาดนอน ครุตักน้ำก็คือกา ไฟฉายและโคมไฟและเทียนผึ้งไม่ต้องถามหา ต้องถามเอาเดือนกับดาวเห็นหรือมืดเป็นเรื่องของตา เดือนดาวไม่ได้รับผิดชอบด้วย มุ้งกลดก็ไม่กางอีกเพราะหัวชนก๊อก ๆ แก๊ก ๆ มันพอใจเองมันเป็นเอง ไม่มีใครไปยุไปยึดมั่น และมันไม่ได้อยู่เอาวันเอาคืนไปอวดคน มันรู้จักเจตนาของมันพร้อมด้วย มันดูดเอง เหมือนแม่เหล็กดูดเข็มหรือเข็มดูดแม่เหล็ก สู้ไม่ขาดระยะอยู่กับตัว เกิดความอิ่มใจ น้ำตาไหลไม่ค่อยขาด

ความยอมเป็นยอมตายกับพุทธ ธรรม สงฆ์แบบแยบคายนี้เป็นรสชาติอ่อนโยนเย็นสงบ ไม่เหมือนความยอมเป็นยอมตายด้วยความโมโหโทโสแบบมุทะลุ รสชาติจิตใจไกลกันราวฟ้ากับดิน แม้รสของภายนอกหยาบ ๆ เช่น รสเปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน ขม เป็นต้น เมื่อชิวหาประสาทไม่พิการ ท่านผู้ใดแตะเข้าในลิ้นของตน น้อยหรือมากจึงจะรู้รสได้เป็นส่วน ๆ ไป จึงจะหมดปัญหาของส่วนตัวเป็นตอน ๆ ไป เป็นปัจจัตตัง จึงจะหายกล่าวตู่ผู้อื่นว่าขี้เท็จด้วยเป็นบางตอน แต่บาปท่านก็ขี้เท็จจริง ๆ ท่านผู้ใดขี้เท็จท่านผู้นั้นก็หนักในอามิสเป็นเจ้าหัวใจ อามิสเป็นสรณัง คัจฉามิ ท่านผู้นั้นจะไม่ลวงโลกเพื่ออามิสเป็นไม่มีเลย จะไม่สะสมความชั่วก็เป็นไม่มีเลยและไกลจากพรหมจรรย์เบื้องต้นของพระพุทธศาสนาด้วย (ภาชนะน้ำเปล่าราหุลสูตร ๑)
25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปรากฏการณ์ที่ถ้ำพระเวส

ครั้นพักอยู่ถ้ำพระเวสคืนที่หกนั้น ลมเข้าออกแห่งอานาปานสติเวลาประมาณห้าทุ่ม ลมละเอียดเข้า ละเอียดเข้า แห่งหายใจออกเข้าอันตั้งสติจ้องอยู่ จนไม่ปรากฏหลอดลมที่คอหอย เพราะตั้งสติไว้ที่นั้น เสียงระเบิดตูมลงใกล้ใต้ที่พัก ปรากฏว่าภูพานทั้งลูกกระเด็นกระเทือน แต่ไม่ขนพองสยองเกล้าเลย ใจก็เป็นสมมติว่าใจอยู่ตามเคย เย็น ๆ แล้วหวนทวนถอยหลัง พิจารณาว่า วันนี้ก็ดี วันอื่น ๆ ล่วงมาแล้วก็ดี ข้อวัตรของเราไม่วิบัติอันใดดอก น้ำก็ตักใส่กาไว้แล้ว ตราดก็กวาดแล้ว จงกรมก็เดินภาวนาแล้ว ทำวัตรก็ทำแล้ว การฉันก็ฉันในบาตรรวมภาชนะเดียวทั้งหวานทั้งคาว ช้อนก็ไม่ได้ซดให้ถูกกับพญารสพญาลิ้น น้ำแกงผักหวานก็ไม่ได้ขโมยซดดอกเออ ที่นี้จะสมมติคนเป็นสองธรรมาสน์นะ

“มาอยู่นี้เพื่อประสงค์อะไร”

“เพื่อพ้นทุกข์ในสงสาร”

“จริงหรือ”

“จริงซี”

“ไม่มาอยู่พอได้ไปอวดคนหรือ”

“ไม่ ไม่ ไม่”

“เมื่อเทวดาเนรมิตพระพุทธรูปทองคำขึ้นตรงหน้าก็ดี หรือมีอยู่ในถ้านี้แต่เดิมก็คงจะไม่แอบคิด ว่าเอาไปให้คนบูชากราบไหว้ดีกว่าอยู่ในถ้ำเช่นนี้ จะไม่นึกอย่างนี้หรือ”

ตอบคนว่า “เป็นบ้ารึ เป็นบ้ารึ เป็นบ้ารึ จึงจะคิดอย่างนั้น”

เมื่อถามตนตอบตนอยู่อย่างนั้น ปีติใหญ่เกิดขึ้นคล้าย ๆ กับว่าจะชนภูเขาทะลุชั่วลัดนิ้วมือเดียว แต่ก็ไม่หลงตัวว่าจะชน เพราะมีสติปัญญาสมดุลกันอยู่ ว่าปีติ ๆ อยู่ ไม่หลงลืมตัวได้ง่าย ๆ รู้จักข่มปีติได้เพราะสุขก็ดี อุเบกขาก็ดี ปีติก็ดี อยู่ใต้อำนาจอนิจจัง เกิดขึ้นแล้ว แปรดับ

ที่นี้ก็พูดกับตนต่อไปว่า “ถ้าไม่นึกกลัวอะไรจริงก็นอนซะ”

แล้วก็นอนห่มผ้าจีวรเฉวียงบ่า แล้วก็นอนตะแคงข้างขวา กำหนดลมต่อไปในอานาปานสติแล้วก็หลับสนิทไป ไม่มีนิมิตและไม่ฝันเห็นอะไร ตื่นตีสามโดยคาดคะเนเพราะไม่มีนาฬิกาฬิแกเหมือนทุกวันนี้ และเมื่อคืนแล้วร่างกายและจิตใจก็กระปรี้กระเปร่า รู้สึกเบามาก บางเวลาก็เกิดปฏิภาณขึ้นว่า

อยู่องค์เดียวเปลี่ยวกายายิ่งยินดีพรากหมู่มาแสวงหาความสงบพบคูหาผาสูงจูงจิตคิดสังเวชเป็นเหตุให้ขยันหมั่นภาวนาแม้จะโศกาในเวทนาทุกข์ก็ภาวนาผ่อนถอนอารมณ์ไว้เพราะหวังจะพ้นภัยในโลกสงสารอุทิศต่อพระนิพพานเป็นแม่นมั่นหันหน้ารบกับมารต่อต้านชิงชัยให้กิเลสมารหนีไปไม่คืนมาขันธมารคือ ขันธ์ห้า นี้แลหรือมารศาสดาจารย์กล่าวไว้ไม่ยึดมั่นใครถือมั่นเป็นของหนักมักพาล้มเที่ยวจำจมอยู่ในโคลนวนสงสารเพราะเหตุว่าเดินตามมารคลานตามโจรมันปล้นสัตว์มัดไว้ให้โศกให้เศร้าร้อยเท่าพันทวีชาติภพนับไม่ครบเลย

นี้ก็จับเข้าแผนกปีติเหมือนจะเรียกว่าปีติฟุ้งซ่านก็ถูก จะว่าปีติให้ธรรมแตกฉานก็เชิงควร

พักอยู่ถ้ำพระเวสนั้นดูดดื่มไม่ถอย จิตใจโอนไปน้อมไปในทางพ้นทุกข์โดยด่วนในปัจจุบันชาติ กลายเป็นเรื่องนึกถึงคุณพระนิพพานว่าเป็นเครื่องระงับกิเลสและกองทุกข์ไปในตัว แม้อย่างต่ำไปอุจจารกรรม ไปปัสสาวกิจก็วิเวกไปในตัว แต่มิได้สำคัญตนว่าประเสริฐเลิศล้ำเกินภูมิของธรรมอันใดเลย ขออยู่ใต้อำนาจของพระพุทธ ธรรม สงฆ์เสมอไปผูกขาดแล้ว เป็นสัจจบารมีสัมปันโน เป็นอธิษฐานบารมีสัมปันโนขาดตัว จิตชั้นนี้ ธรรมชั้นนี้ เมื่ออยู่ในป่าในเขาองค์เดียววิเวกวังเวงคล้ายกับว่า ข้าวก็อันเก่า กับก็อันเก่า แต่เมื่อเอาไปฉันในป่าในเขาเพราะหมดหวังอาหารอื่น ๆ ก็ต้องสันโดษ อาหารที่มีอยู่ซึ่งหน้า รสชาติอาหารก็เพิ่มขึ้นทวี เหตุนั้นธรรมะคำสั่งคำสอนจึงหนักเน้นให้ยินดีในที่สงัด ป่าดงพงเขา ไม่ได้ไปส่งเสริมในที่คลุกคลีและที่อึกทึก แต่ผู้มิได้เคยดื่มกายวิเวกแล้ว จิตตวิเวกก็จะมาจากประตูใด ย่อมเป็นไปได้ยาก อุปธิวิเวกก็โดยนัยเดียวกันนั้นเอง
26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แต่ผู้ไม่เคยได้ดื่มรสวิเวกย่อมถือว่า ที่อึกทึกอากาศดีถูกกับข้า เพราะข้าเป็นคนไม่คับแคบ หมู่ของข้ามีมาก เพราะข้าเป็นคนทันสมัย ไม่ไร้ญาติมิตรเลย ไม่ใช่มะพร้าวตาเดียว ไม่ใช่คนอ่อนสังคมเลย ไม่เก้อไม่เดินในสังคมเลย มักได้ยินอย่างนี้เป็นส่วนมากนักหนา แต่ก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของโลกสันนิวาสไปเพราะกรรมและผลของกรรมแต่ละราย

ถ้าจะพิจารณาถึงสัตว์เดรัจฉานบางจำพวกแล้วเช่น อึ่งอ่างเป็นต้น จะออกมาวิวุ่นก็ปีละครั้ง และก็มีเวลาจำกัดอีกด้วย เหลือนั้นต้องวิเวกอยู่ของใครของมัน กบก็เช่นกัน เป็นเรื่องน่าพิจารณาทั้งนั้น ผู้ท่องเที่ยวในสงสาร กรรมและผลของกรรมมีอำนาจจำแนกให้ดีและเลวต่างกัน ตามเหตุและผลที่เจ้าตัวสร้างสรรค์ไว้ เมื่อสร้างไว้แล้ว(แม้)ไม่อยากรับก็ได้รับ จะรู้ตัวหรือไม่ไม่เป็นปัญหา ต้องให้ผลตามเหตุที่สร้างไว้ไม่ลำเอียง ทางดีก็โดยนัย ทางชั่วก็โดยนัย

เรื่องเหตุ ๆ ผล ๆ นี้ แยกออกได้เป็นสองทาง ทางหนึ่งเป็นทางโลกีย์ ทางหนึ่งเป็นทางโลกุตตระ

เหตุผลทางโลกีย์นั้นเหตุใจผลใจหนักไปในทางวัตถุนิยมเป็นเจ้าใหญ่นายโตของเจตนารมณ์

เหตุผลไปทางโลกุตตระนั้น เหตุใจผลใจหนักไปทางบรรเทา และพยายามแก้กิเลสและความหลงของเจ้าตัวไปเป็นตอน ๆ จนถึงที่สุดแห่งความหลง

สิ่งเหล่านี้ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าตัวจะรู้เจตนารมณ์ของตัวเอง มิฉะนั้น การปฏิบัติธรรมก็มั่วสุมไม่แจ่มแจ้งเฉพาะตนด้วย เพราะธรรมแท้ใจแท้อันประกอบด้วยสติปัญญาอันถูกต้องย่อมเป็นปัจจัตตัง

คราวที่พักอยู่ถ้ำพระเวสนั้น น่าพิจารณาอยู่ตอนหนึ่งว่า ไฉนญาติโยมจึงไม่รู้จักปวารณาไม้ขีดไฟ เทียนไขบ้าง ชะรอยจะเป็นด้วยวาสนาของตนเองก็อาจเป็นได้ หรือชะรอยพระที่ไปอยู่พักที่นั้นแต่ก่อนเคร่งครัดไม่เผดียงวจีวิญญัติ แต่ก็เป็นการถูกต้องดีแล้ว

แต่เขาไม่ปวารณาก็ไม่สงสัยว่าจะเอ่ยเลียบเคียงและโอภาส แท้จริงข้าพเจ้าก็ขาดไม้ขีดไฟและเทียนจุดได้มานานแล้ว เสื่อและหมอนก็ไม่ได้เจอมานานแล้ว แต่อำนาจความพอใจ อันยอมเป็นยอมตายกับพระพุทธศาสนาเพื่อพ้นทุกข์ ก็เลยกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปไม่ได้เป็นอารมณ์หนักใจ

ย้อนคืนมาปรารภที่ไปถึงถ้ำพระเวสในวันแรก ตอนกลางวันพักเอนกายลงครู่หนึ่งประมาณสองนาที ตาใสแจ๋วอยู่ มีคนผู้ชายคนหนึ่งสูงผิวคำร่างใหญ่โต อายุประมาณ ๔๐ ปีกว่า นุ่งผ้าหยักรั้งและเห็นไกลจากที่เอนกายประมาณสองวา เดินเข้ามาสองก้าวก็ถึงอย่างผึ่งผายนัก แล้วก็กำลูกอัณฑะทั้งสองมือดึง แล้วรู้สึกอ่อนเพลียลงมากโดยเร็วพลัน มีสติระลึกหวนขึ้นในใจว่า “นี้หรือเขาว่าผีอำ” กลั้นใจยกขาขวาขึ้นถีบไปอย่างแรง ยันไปอย่างแรงก็ว่า เวลายกขาคู้มาก็ว่าพุท ยันไปก็ว่าโธ ก็รู้สึกหายวาบไป มนุษย์ก็หายไปพร้อมด้วย คงจะเป็นผีปีศาจก็อาจเป็นได้ แต่จิตใจคำนึงแบบเย็น ๆ อยู่ไม่นึกกลัวก็เลย เป็นเหตุให้รู้ได้ชัดว่าผี ๆ นี้มีจริงแท้ แต่นั้นไปไม่ปรากฏเห็นอีก
27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สติตั้งอยู่กับกายใจ

การไปบิณฑบาตไปบ้านแก้ง ไกลร้อยเส้น ญาติโยมเขาเห็นว่าไกลเกินไป เขาจึงจัดกันมาแบ่งวาระกันเป็นพวก มาลัดหนทางใส่บาตรที่ถ้ำไทรและมีน้ำสะอาดอยู่นั้นด้วย จากบ้านเขามา ๖๐ เส้น พระไปจากถ้ำ ๔๐ เส้น และเขามาใส่บาตรแต่ละวันก็มีผู้ชายตามมาด้วยพร้อม ทั้งรู้เดียงสา ไม่ใช่ผู้ชายใบ้บอดหนวกฟาง คุ้มอาบัติพระได้ในยามปรารภธรรมะบ้าง

ฉันเสร็จในที่นั้น ก็ไม่มีเวลาสนทนาธรรมะนาน เพราะประหยัดเวลาแต่ละวัน กลับถึงถ้ำที่พักก็เกือบ ๙ นาฬิกา

การปฏิบัติภาวนาก็เป็นไปสม่ำเสมอติดต่อโดยมิได้บังคับ มันเป็นเอง มันดูดดื่มเอง สติมิได้เลือนลาง ตั้งอยู่กับกายใจเป็นหลัก เหยียดแขนคู้แขนขา เหลือบซ้ายแลขวาอยู่กับตัวอยู่กับใจในปัจจุบันทันกาล เบากายเบาใจวิเวกมาก รสชาติของใจของธรรมชนิดนี้จะพูดก็ไม่ออกจะบอกก็ไม่ถูกเพราะของใครของมันในรสปรมัตถ์ รสวิเวก รสชาติ วิเวกสาม กายวิเวก สงัดกาย จิตตวิเวกสงัดจิต อุปธิวิเวก สงัดกิเลส เมื่อสมดุลกันในปัจจุบันขณะเดียว ติดต่ออยู่แล้วจึงเป็นรสชาติของวิเวกที่ไม่ส่งส่ายบัญญัติและเรียงแบบกลมกลืนกันอยู่ในปัจจุบันทันกาล

ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนาแท้ จะแอบเอาแต่ความจำได้หมายรู้ที่ได้เคยท่องบ่นจำมาเป็นเครื่องบริสุทธิ์ของตนโดยฝ่ายเดียว แล้วเที่ยวกวาดต้อนให้คนเลื่อมใสเป็นนายกโฆษกเพื่อลาภและอามิส เป็นเจ้าหัวใจแล้วก็ใบลานเปล่าอยู่ดี ๆ กันนั้นเอง แต่ก็ยังดีอยู่ เพราะดีกว่าจำไม่ได้ ผู้เขียนน้อมมาเตือนตน เพราะตนยังไม่ดีพอ เพราะการอยากดียังมีอยู่ เพราะยังไม่อิ่ม มีความอยากดีออกหน้าอยู่ เพราะยังต้องการเดินทางไปหาเมืองอยู่คือเมืองพอ ถ้าจะเดินทางไปหาเมืองพอภายนอกด้วยฝีเท้าหรือยนต์ยานพาหนะแล้วกี่กัปกี่กัลป์ล้าน ๆ โกฏิ ๆ ไม่มีวันเดือนปีหรือขณะจะถึงได้ เพราะเมืองพอหรือเมืองไม่พอมันตั้งอยู่ที่เมืองใจแห่งเดียว เมืองนอกคือเมืองกิเลส เมืองในคือเมืองใจ แต่เมืองนอกคือเมืองกิเลสชอบไปเกย ไปพาด ไปตั้งเมืองอยู่รอบ ๆ เมืองใจ เมืองสนิมหรือไม่สนิมก็ตั้งอยู่ที่เมืองเหล็ก ถ้ามีเหล็กก็ต้องมีสนิม ถ้าไม่มีสนิมก็ไม่มีเหล็ก แต่เหล็กไม่ค่อยมีสนิม แต่เหล็กดีแท้ไม่มีสนิมเลย ใจก็โดยนัยเดียวกันนั้นแลนา

แต่ใจที่มีผู้ยึดถือเอาเป็นเจ้าของหวงแหนอยู่ จะเป็นของไม่มีโทษย่อมไม่มีในโลกอดีต โลกอนาคต และโลกปัจจุบัน เมื่อใจไม่มีผู้ยึดถือเอาเป็นเจ้าของแล้ว ใจก็ย่อมเป็นโสดโดดเดี่ยว ย่อมไม่มีโทษใด ๆ และจะบัญญัติอดีต อนาคต ปัจจุบันใด ๆ ก็ไม่มีโทษไม่มีพิษอันใดแลนิจจังยั่งยืน
28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาลัยถ้ำพระเวส

ครั้นพักอยู่ถ้ำพระเวสคนเดียวเปลี่ยวกายาเป็นเวลาล่วงมายี่สิบสองวันแล้ว ก็หวนระลึกด้วยธรรมสังเวชว่า

“เอ๊ะ เรานี้จวนแจเวลาแล้ว เราตั้งใจจะไปหาหลวงปู่มั่นเพื่อมอบกายถวายชีวิตผูกขาด เราค้างที่นั้นที่นี้มาเป็นเวลานาน ชีวิตสังขารเป็นของไม่เที่ยง บางทีเราสิ้นลมปราณก่อนท่าน บางทีองค์ท่านสิ้นลมปราณก่อนเรา”

เมื่อคิดดังนี้แล้ว มองดูถ้ำและบริเวณที่พัก ชำเลืองไปมาน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม คว้าเอาผ้าอาบน้ำเช็ดเพราะยังอาศัยในถ้ำอยู่แล้วก็บรรเทาได้ด้วยพลิกใจถึง นานาภาโว วินาภาโว จะได้พลัดพรากจากไปตามธรรมชาติแห่งสังขาร และนึกในใจต่อไปว่า

“เทวดาด้าวภูผารุกขมาส จะได้ยาตราลาจากพวกเจ้าไปหน้าด่วนหาย จะไปหาพระอาจารย์มั่นขันอาสาขออยู่ เพื่อจะได้รู้ธรรมพระพุทธเจ้า ปฏิบัติเข้าสู่นิพพาน ขอให้พากันอยู่สวัสดีพร้อมในพุทธ ธรรม สงฆ์อยู่ทุกเมื่อ ไผไปถึงเร็วหรือช้าก็มุ่งหน้าต่อนิพพานนั้นแล”

แล้วก็ไปบิณฑบาต ฉันเสร็จบอกญาติโยมว่า

“พรุ่งนี้ถ้าไม่มีอุปสรรคใด อาตมาจะได้ลงไปบิณฑบาตให้ถึงบ้านไม่ต้องมาลัดที่ถ้ำไทรดอก เพราะจะได้ลาล่องชายเขาภูพานไปหาพระอาจารย์มั่นที่วัดป่าบ้านหนองผือ อำเภอพรรณา จังหวัดสกลนคร เพราะเวลาจวนแจมากแล้วโยมเอ๋ย”


พระอาจารย์กู่
ธัมมทินโน


ครั้นตื่นเช้าวันใหม่ก็ลงไปถึงบ้านแก้ง เขามารวมใส่บาตรในวัดป่าบ้านแก้ง เป็นวัดร้างไม่มีพระ ฉันเสร็จก็ลาเดินทาง เขาไปส่งพอจะไม่หลงแล้วก็ให้เขากลับ เดินคนเดียวไม่เกี่ยวกับเพื่อน ล่องชายเขาตามทิศตะวันตก ค่ำบ้านค้อพอดี ตื่นเช้าบิณฑบาตฉันเสร็จเดินทางต่อ ค่ำวัดป่าสุทธาวาสพอดี พักอยู่ที่นั้น ๓ คืน สมัยนั้นพระอาจารย์กู่อยู่ที่นั้น ไปกราบองค์ท่าน องค์ท่านถามข่าวคราวรู้จักความหมายทุกประการแล้ว องค์ท่านให้อุบายว่า
29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ใครจะไปหาองค์ท่านพระอาจารย์มั่น ต้องยอมตัวเป็นคนโง่ให้องค์ท่านเข่นจึงจะอยู่ได้ แม้ผมบางครั้งองค์ท่านดุด่าเหมือนเณรน้อย”

แล้วองค์ท่านย้อนถามคืนมาว่า “คุณมาพักขณะนี้ได้อุบายอะไรบ้าง”

กราบเรียนว่า “ได้ คือ การไปมอบกายถวายตัวเพื่ออยู่กับพระอาจารย์มั่น อย่าสำคัญตัวว่าฉลาด ไม่เหมาะสมส่วนใดยอมให้องค์ท่านว่ากล่าวได้ทุกเมื่อ”

“เออ ดีหละ ฟังเทศน์ออกนะ ผมขออนุโมทนาด้วย จงไปโดยเป็นสุขเถิด แต่ขอให้พักถ้ำผาแด่นก่อนสักคืนสองคืน เพราะได้มาใกล้แล้วจะเสียเที่ยว จากนี้ไปถึงถ้ำประมาณสิบสี่กิโลเมตรกว่า ๆ”

ได้เวลาสามคืนแล้ว ฉันเสร็จก็กราบลาองค์ท่านไป ผ่านบ้านดงมะไฟถึงบ้านนากับแก้ แล้วขึ้นภู ถึงถ้ำผาแด่นประมาณบ่าย ๔ โมงเย็น แต่มีหลวงพ่อศรีกับเณรองค์หนึ่งประจำอยู่นั้น และที่พักถ้ำนั้นก็พอดีสององค์เท่านั้น แต่ก็ไม่ไปเบียดเสียดท่าน ไปหาที่พักเอง ไกลท่านต่างหาก รุกขมูลอยู่ร่มไม้ จิตใจก็สงบเยือกเย็น ไม่ได้ร้องเรียกหาความกลัวมาเป็นเจ้าหัวใจพอที่จะเป็นอุปสรรคของภาวนา นึกในใจว่า ถ้าเรามีโอกาสมาพักข้างหน้า เราจะมาพักองค์เดียว เพราะว่าใจเราดูดดื่มสถานที่ เพราะเป็นต้นไม้สูงร่มรื่น อากาศเยือกเย็นดี หลังพลาญหินที่ออกมารับอากาศเป็นบางครั้ง ก็โปร่งดี มีเนื้อที่ราบเรียบบ้าง

ถ้ำคำบงเป็นถ้ำมืด แต่มีน้ำไหลรินอยู่จากหินแตก สูงประมาณสองเมตร เป็นห้องหินสรงน้ำในตัว ก็ไม่ไกลจากที่พักประมาณ ๓ เส้น ก็รู้ได้ชัดว่า สถานที่นี้ต้องเป็นสถานที่พักวิเวกเพียรธรรมของผู้หวังพ้นทุกข์ในสงสารโดยแท้ ไม่เป็นสถานที่ของผู้มุ่งหวังปัจจัยสี่อามิสวัตถุนิยมใด ๆ ทั้งสิ้น

แต่สถานที่ภายใน คือสถานที่จิตใจอันเป็นมรดกตั้งเดิมนั้น รู้ดีอยู่ขาดตัวแล้ว จะไปไหนมาไหนก็ยกไปได้ เพราะเป็นมรดกเบาไม่ได้หาบไม่ได้หิ้ว ไม่ได้กลัวว่า โจรจะปล้นเอาลักเอา ไม่กลัวปลวกจะกัดไฟจะไหม้ แต่...แต่ตรงกันข้าม ถ้าทำให้หนักก็หนักได้ หนักจนถึงกายแตกคือผูกคอตนตายก็มี เพราะตนเป็นฝ่ายสัจจะจริงตามสมมติ จะคัดค้านเป็นมะพร้าวตาเดียว เป็นกระต่ายยืนขาเดียวก็ไม่ได้ เพราะจะเป็นผู้ไม่รู้จักสมมติไป

เมื่อไม่รู้จักสมมติจะรู้จักวิมุตติอย่างไรได้ เมื่อไม่รู้จักร้อนจะรู้จักเย็นได้อย่างไร เมื่อไม่รู้จักได้จะรู้จักเสียอย่างไรได้ เมื่อไม่รู้จักถูกจะรู้จักผิดได้อย่างไร เมื่อไม่รู้จักบาปจะรู้จักบุญอย่างไรได้ เมื่อไม่รู้จักข้อปฏิบัติจะปฏิบัติอย่างไรได้ เมื่อไม่รู้จักข้อเว้นจะเว้นอย่างไรได้ จะพรรณนาข้อนี้มากมายก็มีความหมายอันเดียวกัน

http://www.dharma-gateway.com/mo ... /lp-lah-hist-02.htm
30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความเห็นเป็นยาเสพติด

ธรรมดาปุถุชนคนหนาย่อมเห็นผิดเป็นชอบ เป็นนายหน้าของเจตนาขันธสันดานเป็นยาเสพติดตราบใด เห็นโทษด้วยตนเองเป็นตอน ๆ ไปจึงจะกลับได้ตราบนั้น

ตรงกันข้าม ธรรมดานักปราชญ์ย่อมเห็นชอบเป็นชอบไปเป็นตอน ๆ คูณทวี เพราะความเห็นชอบเป็นนายหน้าของเจตนา เป็นยาเสพติดไปในทางชอบ ไม่ลำบาก แต่ขอยกเว้นพระอรหันต์ไม่ควรเอาองค์ท่านมาปนเปกับยาเสพติดใด ๆ เลย จะกลายเป็นการกล่าวตู่ไม่รู้ตัว เดี๋ยวก็จะถูกกล่าวตู่ว่าเป็นยาเสพติด บิณฑบาต ฉัน ดื่ม พูด คิด เทศน์ นั่ง นอน ยืนเดิน สงบ รู้โต้ตอบอุเบกขาสารพัด ธรรมดาปุถุชนคนหนา (เว้นพระโสดาบันเสียเป็นต้นขึ้นไป) ยอมกล่าวตู่ พุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่ในทางตรง ๆ และทางอ้อม ติดขันธสันดานอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน แบบรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวทั้งหมดเลยก็ว่าได้ไม่ผิด เช่นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เขาก็ตอบพุทธศาสนาว่า

“ฆ่าตัวเล็ก ๆ มันบาปเพราะกินไม่อิ่ม ฆ่าตัวโต ๆ มันจึงเป็นบุญเพราะบุญท้อง สุราเมรยะระยะนี้ กินเป็นระยะ ๆ มันไม่บาปหรอก”

“อบายมุขทุกประเภทมันเป็นเหตุไม่ให้ฉิบหายอยู่ซึ่งหน้า ซึ่งตาดอก มันพอได้แก้แค้นอยู่น่ะ มึงว่ายังไง กูก็ว่าอย่างนั้นแหละ”

แล้วก็เที่ยวเตร่ไปยุ่งเหยิงกับพระ

พระบางกลุ่ม บางบุคคล บวชพ้นฆราวาสแล้ว เพื่อพ้นทุกข์ในสงสาร คำสั่งและคำสอนของท่านหนักไปในศีลธรรมแท้ เมื่อท่านเทศน์คำใด วรรคใด ตอนใด ก็ไปผูกเอาเลข ๆ ผา ๆ เสียเวลาทั้งท่านและผู้เข้าไปหา ทั้งสองฝ่ายไร้ประโยชน์ กับทั้งไม่มีสง่าราศีแก่ท่าน และสำนักของท่าน และผู้เข้าไปหาด้วย เหล่านี้แหละเรียกว่า กล่าวตู่พระพุทธศาสนา พร้อมทั้งเหยียบย่ำทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวและถือเป็นของสนุกอีก มันเป็นปฏิปทาทุกข์ล้วน ๆ แล้วไม่มีสุขมาเจือปนพอที่จะหลงเลย

แต่พระบางกลุ่มบางจำพวกที่บวชเพื่อปัจจัยสี่ วัตถุนิยมเป็นเจ้าหัวใจ ก็พลอยไปเป็นพรรคด้วย พูดน้อยไม่พอตาย พูดหลายตายโหง แผ่นดินทุกหย่อมหญ้า แทนที่จะเป็นสถานที่พักภายนอกเพื่อบำเพ็ญพัฒนาสร้างคุณงามความดี เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ด้านจิตใจ ให้สูงส่งจากระดับที่ลุ่มหลงอยู่มาเป็นเวลาช้านาน กลายเป็นหลุมถ่านเพลิง พร้อมทั้งทิ้งฟืนใส่ไม่หยุดยั้งได้ ฟืนก็เป็นฟืนทิพย์ จิตใจที่ห่างเหินออกจากศีลธรรม เรียกว่าพัฒนาฟืนทิพย์เผาโลกโดยไม่รู้ตัวแต่ละรายแล้ว
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้