ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ปู่ฤาษี 108 ตน

[คัดลอกลิงก์]
121#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


106.พระฤษีทหระ...
   นี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีคุรงามความดี ที่อยู่ในเพศสมณะและผู้ทรงศีล ไม่ยินดียินร้ายในทรัพย์ภายนอก ต้องการเพียงทรัพย์ภายในเท่านั้นจึงได้มุงมั่นบำเพ็ญตบะสร้างบารมีมิได้หยุดหย่อนจึงได้สำเร็จฌานบารมีบรรลุในธรรมอันสูงค่า มีทั้งความศักดิ์สิทธิ์ และอิทธิฤทธิ์นานาประการ....

122#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


107.พระฤษียาคมุนี...
    นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง เช่นเดียวกัน ท่านมีทั้งด้านความเก่งกล้า ด้วยคาถาอาคม และเมตตามหานิยมไม่ยิ่งหย่อน เป็นผู้สำเร็จในธรรมธีรคุณที่ท่านได้เทิดทูนและปฏิบัติบูชา ด้วยความมานะพยายามอันแสนจะยากลำบาก ผลสุดท้ายก็ได้สำเร็จผล
   พระฤษีทั้ง 4 พระองค์นี้มีอาศรมใกล้ๆกัน ในป่าเดียวกันและเขตเดียวกันมิหนำซ้ำยังเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมต่อกันอีกด้วย ท่านมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอๆเพื่อที่จะได้ปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ในด้านของภูมิธรรม เมื่อท่านได้ผนึกกำลังร่วมใจกันเป็นหมู่คณะแล้ว จึงไม่มีใครกล้ามารุกรานราวีให้ได้รับความเดือดร้อนด้วยอิทธิฤทธิ์ของทั้ง 4 พระฤษีนี้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาสำหรับผู้ที่เคยพบเห็นมาแล้ว และในด้านกิติศัพย์ก็เป็นที่เล่าลือกันทั่วๆไป จึงมีแต่ความสงบสุขตลอดมา
   สำหรับเหตุการณ์และประวัติของท่านที่ยังจารึกเอาไว้ ตราบจนทุกวันนี้ ส่วนมากปวงชนก็มักจะเรียกกันจนติดปาก และเรียกกันอยู่บ่อยๆเสียด้วย
   ครั้งหนึ่งซึ่งนานมาแล้ว ก่อนหน้าที่พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระราม ได้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมาเกี่ยวกับพระฤษีทั้ง 4 พระองค์นี้ พระนารายณ์ได้บรรทมสินธุ์อยู่บนบัลลังก์อนันตนาคราชในทะเลกเษียรสมุทรท่านได้กระทำเทวฤทธิ์ ซึ่งเป็นกิจวัตรของท่าน ด้วยการท่องบ่นมนต์สำคัญจึงได้บังเกิดมีดอกปทุมชาติ(ดอกบัว)ดอกใหญ่มหึมาขึ้นมาจากพระนาภี(สะดือ)ขององค์พระนารายณ์ ดอกบัวนั้นค่อยๆคลี่ขยายกลีบบานออก จึงปรากฏเป็นพระพรหมองค์หนึ่งยืนอยู่ในดอกบัว พร้อมทั้งยังชูพระกุมารองค์หนึ่งแล้วจึงส่งให้พระนารายณ์ ฝ่ายองค์พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าก็อุ้มเอาเทวกุมารนั้นมาขึ้นเฝ้าพระอิศวรผู้เป็นเจ้าสวรรค์ แล้วก็ทูลถวายพระราชกุมารต่อพระอิศวรพร้อมทั้งเล่าสาเหตุ ในการบังเกิดเป็นพระกุมารโดยตลอด ฝ่ายพระอิศวรท่านได้รับฟังจากคำที่พระนารายณ์เล่ามา ก็ให้มีความสงสัยเป็นอย่างมากจึงทรงส่องทิพย์ฌานดูก้รู้ถึงเหตุผลด้วยกุมารนี้ต่อไปในภายหน้าก็จะได้สืบวงค์ขององค์พระนารายณ์ พระอิศาวก็ทรงดีพระทัยเป็นที่สุด จึงสั่งให้พระอินทร์และพระวิศณุกรรมและเทวดาผู้ติดตามกระทำหน้าที่เป็นโยธาธิการอีกเป็นจำนวนมากให้ลงไปยังโลกมนุษย์แล้วหาสถานที่เหมาะๆทำการก่อสร้างเมืองให้ใหญ่โตและสวยงามอันวิจิตรพิศดารเพื่อจะมอบให้กับกุมารนี้ ให้เป็นกษัตริย์ผู้ครอบครองเมืองต่อไปในภายหน้า
    ฝ่ายพระอินทร์และพระวิศณุกรรมและเทวดาผู้เป็นบริวารก็ยกขบวนเหาะทยานลงมาที่ป่าประชุมศรีทวาราวดีซึ่งสถานที่แห่งนั้นมีต้นชุมเห็ดชุกชุม แล้วพระอินทร์และบริวารก็ได้พบกับพระฤษีทั้ง 4 องค์ คือ พระฤษีอจนคาวี พระฤษียุทธอัคร พระฤษีทหระ พระฤษียาคมุนี ด้วยพระฤษีทั้ง 4 นี้ยังได้บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าแห่งนั้นพระอินทร์จึงได้ปรึกษาหารือกับพระฤษีในเรื่องการจัดสร้างพระนครให้กับพระกุมาร พระฤษีทั้ง 4 ก็ดีใจและเห็นด้วยกับคำบอกเล่าของพระอินทร์ จึงได้ช่วยอำนวยความสะดวกและรับเป็นธุระช่วยสร้างเมืองในครั้งนี้เพื่อจะให้ได้มาตรฐานสวยงามราวกับเมืองสวรรค์ จึงจัดแจงหาฤกษ์ยามและกำหนดนัดหมายวันและเวลามงคล
    ครั้งถึงข้างขึ้น เดือน 6 ปีขาล วันจันทร์เป็นธงชัยจึงเนรมิตขึ้นมาเป็นเมืองหลวงที่ใหญ่โตและสวยงาม ล้วนไปด้วยแก้ว 7 ประการแล้วทรงขนานนามพระนครนี้โดยการเอาชื่อพระฤษีทั้ง 4 องค์มารวมกัน คือ อจนควี ใช้คำว่า อ...ยุทธอัคร ใช้คำว่า ยุ...ทหะระ ใช้คำว่า ท...ยาคะ ใช้คำว่า ยา...เมื่อนำอักษรเข้ามารวมกันก็จะเป็น อ-ยุ-ท-ยา อ่านได้ใจความว่า อยุทยา แล้วเปลี่ยนมาเป็น อยุธยา จึงลงมติกันเป็นเอกฉันท์ให้นำเอาชื่อป่าชุมเห็ดนั้นเข้ามารวมด้วย จึงได้กลายเป็น พระนครหลวงที่มีชื่อว่า กรุงทวาราวดีศรีอยุธยา
เพื่อที่จะได้สืบสันติวงค์ขององค์พระนารายณ์ และยังได้ประทานนามให้กับพระกุมารองค์นั้นว่า ท้าวอโนมาตัน เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของกรุง กรุงทวาราวดีศรีอยุธยา และอภิเษกกับนางวิกา แห่งกาโรนครในทวีปอุดรเป็นพระชายา แล้วต่อจากนั้น ท้าวอโนมาตันก็ปกครองนครมาโดยสันติสุขสืบต่อมาจนถึงยุคพระราม....

123#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระฤษีสินธู...พระฤษีสุทน...พระฤษีสนธิ...พระฤษีมิลินทร์..
    ด้านเชิงเขาพระสุเมรุราชซึ่งเป็นดินแดนติดด่อในระหว่างเขาไกรลาสและป่าหิมพานต์ยังมีพระฤษที่กำลังจะกล่าวถึงอีก 4 องค์ ที่ท่านมีความเก่งกล้าสูงด้วยบารมีธรรมอยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะและมีความสามารถเท่าเทียมกัน
   108.พระฤษีสินธู ผู้มีความเก่งกล้าสามารถเป็นผู้นำหมู่คณะ
   109.พระฤษีสุทน เป็นพระฤษีที่มีตบะธรรมอันลึกล้ำ
   110.พระฤษีสนธิ เป็นอีกองค์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากด้วยบารมี
   111.พระฤษีมิลินทร์ เป็นผู้สร้่างสรรค์คุณงามความดีในทุกอย่าง
   พระฤษีทั้ง 4 องค์นี้ท่านรักใคร่สามัคคีมีความปรองดองกันอย่างดี ไม่ว่าจะมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นกับองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านก็จะต้องหันหน้ามาปรึกษาหารือกัน เพื่อที่จะหาทางแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆและช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ทันต่อเวลา ถึงแม้จะถือเพศเป็นพระฤษี แต่ก็ยังมีพวกมีพ้องยังจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ในฉันท์พี่น้องที่ซื่อสัตย์ต่อกัน   ที่บริเวรอาศรมของพระฤษีทั้ง 4 องค์นี้ ก็ยังมีอ่างแก้วใบใหญ่ที่เทวดาลงมาเนรมิตให้พระฤษีทั้ง 4 ออกจากฌานในยามเช้าก็จะต้องมานั่งคุยปรึกษาหารือสนทนาธรรมกันโดยวงรอบอ่างแก้วใบนั้นทุกเช้าและทุกวันเป็นประจำ    ภายในป่าหิมพานต์ย่านนั้นก็ยังมีฝูงแม่โคนม 500 ตัว อาศัยอยู่และเที่ยวหากินอยู่ในบริเวรนั้น ทุกเช้าฝูงแม่โคเหล่านั้นก็จะพากันมาที่อาศรมแล้วก็หยดน้ำนมลงในอ่างแก้วใบนั้น เพื่อถวายให้พระฤษีฉัน ทั้ง 4 พระฤษีก็มานั่งสนทนาธรรมแล้วก็ดื่มน้ำนมโคนั้นทุกวันพร้อมกัน เป็นกิจวัตรประจำวัน
    ในบริเวรนั้นยังมีนางกบตัวหนึ่ง ซึ่งหมอบนิ่งอยู่ข้างอ่างแก้วน้ำนมโค เมื่อพระฤษีออกมาฉันครั้งใด ก็จะต้องตักเอาน้ำนมนั้นให้นางกบได้กินด้วย จนอิ่มหนำสำราญไม่ต้องออกไปหากินที่ไหน
    วันหนึ่งพระฤษีทั้ง 4 เมื่อออกจากฌานแล้วก็ชวนกันออกไปหาผลไม้ในป่าเอามาเก็บไว้ฉันและหาเก็บดอกไม้มาใส่ที่บูชา พระฤษีทั้ง 4 ก็พากันเดินออกไปเรื่อยๆ    ยังมีธิดาพญานาคนางหนึ่งชื่อ อนงค์ เป็นธิดาของ พญากาลนาค ผู้ครอบครองเมืองบาดาลในวันนั้นนางนาคอนงค์ก็หนีบิดาขึ้นมายังป่าหิมพานต์ เพื่อที่จะหาคู่ครองที่ถูกใจในป่านั้นนางก็เที่ยวไปทุกหนทุกแห่งแต่ก็หาไม่พบ แล้วก็ถึงคราวที่จะต้องเกิดเหตุ นางนาคอนงค์ก็เที่ยวมาใกล้อาศรมพระฤษีทั้ง 4 พบกับงูดินตัวหนึ่ง นางนาคอนงค์ก็สิ้นคิดเพราะหาคู่ไม่ได้ นางจึงร่วมรักกับงูดินตัวนั้น โดยไม่คิดคำนึงว่าศักดิ์ศรีของนางนั้นสูงกว่างูดินตั้งมากมาย เมื่อนางต้องการอยากจะได้ ความอายก็จึงไม่เกิด จึงมั่วกับงูดินพันกลมอยู่ที่ดงหญ้าข้างทางระหว่างป่าหิมพานต์ ก็นับว่านางนาคอนงค์ผู้นี้ก็มีความสุขไปได้ชั่วขณะหนึ่ง   และพอดีขณะนั้นพระฤษีทั้ง 4 เดินมาพบเข้าก็ปลงอนิจจัง ว่านางนาคอนงค์ ทำไมจึงทำตัวเช่นนั้นมันไม่สมควรเลย ด้วยความจำเป็นพระฤษีทั้ง 4 จึงใช้ไม่เท้าที่ติดมือมานั้นเขี่ยที่ขนดหาง เพื่อหวังว่าจะให้นางนาคอนงค์ได้รู้สึกสำนึกในศักดิ์ศรีของตนเอง ว่ามันห่างกันราวฟ้ากับดิน   พอนางนาคอนงค์รู้สึกตัวก็ให้มีความอายต่อพระฤษีทั้ง 4 เป็นที่สุดไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี นางนาคอนงค์จึงรีบแทรกแผ่นดินหนีไปเมืองบาดาลโดยเร็ว พระฤษีทั้ง 4 เห็นเหตุการณ์ก็หัวเราะกัน หึ..หึ..แล้วพากันกลับอาศรม
    ฝ่ายนางนาคอนงค์เมื่อหนีไปแล้วก็ให้มีความเจ็บแค้นพระฤษีทั้ง 4เนื่องจากความอายนางจึงคิดจะแก้แค้นพระฤษีให้จงได้ จึงต้องขึ้นมาจากบาดาลอีกครั้ง แล้วจึงคอยดูทีท่าเพื่อหาช่องทางเล่นงานพระฤษีทั้ง 4ด้วยความโกรธแค้นใหเจงได้    พอได้โอกาสในยามดึกสงัด นางนาคเห็นว่าไม่มีผู้ใดรู้ผู้ใดเห็น จึงตรงไปที่อ่างแก้วที่ใส่น้ำนมโคใบนั้น แล้วจึงคายพิษอันแรงกล้าลงไป เพราะนางรู้ว่าตอนเช้าพระฤษีทั้ง 4 จะต้องมาฉันน้ำนมแล้วจะต้องดื่มเอาพิษของนางเข้าไปด้วย พระฤษีทั้ง 4 องค์จะต้องตายไม่เหลือแม้แต่องค์เดียว เมื่อนางนาคอนงค์คายพิษใส่อ่างแก้วเรียบร้อยแล้วก็กลับเมืองบาดาลด้วยความมั่นใจ    แต่เดชะบุญบารมีที่พระฤษีทั้ง 4 ยังมิถึงฆาต การกระทำของนางนาคอนงค์ ไม่รอดพ้นสายตาของกบที่หมอบนิ่งอยู่ข้างอ่างแก้วไปได้ นางกบก็คำนึงคิดทบทวนด้วยความกตัญญูรู้คุณพระฤษีทั้ง 4 ที่มีความเมตตาแบ่งน้ำนมให้กินทุกวัน นางมีความซาบซึ้งในบุญคุณเป็นล้นพ้น ในการครั้งนี้ไมาสามารถที่จะทนดูพระฤษีผู้มีพระคุณต้องดื่มพิษร้ายของนางนาคอนงค์แล้วต้องตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้เป็นอันขาด จะต้องตอบแทนพระคุณของท่าน นางกบน้อยจึงตัดสินใจกระโดดลงบไปในอ่างแก้วที่มีน้ำนมผสมพิษร้ายของนางนาคและสิ้นชีวิตลอยอยู่ในอ่างนั่นเอง

124#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ครั้นได้เวลาในตอนเช้า พระฤษีทั้ง 4 องค์เมื่อออกจากฌานแล้วก็พากันมานั่งที่รอบอ่างนมเพื่อที่จะได้ดื่มน้ำนมเช่นเคยแต่แล้วพระฤษีทั้ง 4 ก็ต้องตกตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นนางกบน้อยนอนตายลอยอยู่ในอ่างน้ำนมนั้น
....' ตะกละสิ้นดี ' พระฤษีสุทนรำพึงขึ้นมาเบาๆ...
....' ก็เพราะความตะกละแท้ๆเลยต้องตกลงไปตาย ' พระฤษีมิลินทร์พูดด้วยการปลงอนิจจัง...
....' เราก็ได้เลี้ยงดู แบ่งให้กินจนอิ่มทุกวัน ไม่น่าจะตะกละอย่างนี้เลย ' พระฤษีสนธิพูดขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก
    แต่แล้วพระฤษีสินธูผู้ซึ่งเป็นผู้ได้สติและมีปัญญากว่าใครๆ ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัยเป็นเชิงปรึกษาหารือกันว่า ' อาจจะต้องมีเหตุร้ายอะไรบางอย่างเชื่อว่านางกบนี่คงจะมิได้ตายเพราะความตะกละหรอก มันคงจะต้องมีเหตุอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ '...   คำพูดของพระฤษีสินธูทั้งเชื่องช้าและราบเรียบ แต่ทว่าเมื่อฟังดูแล้วก็ดูจะมีเหตุผลไม่น้อย ทำให้พระฤษีทั้ง 3 ถึงกับอึ้งอย่างใช้ความคิดพระฤษีสินธูจึงกล่าวต่ออีกว่า 'เราควรจะต้องพิสูจน์กันให้รู้แน่ว่าอะไรคืออะไรกันแน่ '...พระฤษีสุทนเห็นด้วย จึงก้มลงไปหยิบเอานางกบน้อยขึ้นมาแล้ววางลงตรงหน้า จากนั้นพระฤษีทั้ง 4 ก็นั่งล้อมกันเป็นวง
ช่วยกันเป่ามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ชุบให้นางกบฟื้นขึ้มาทันที    นางกบน้อยค่อยๆกระดิกกายแล้วก็ฟื้นขึ้มาในที่สุด พระฤษีทั้ง 4 ก็สอบถาม นางกบน้อยก็เล่าให้ฟังตามความเป็นจริง ตั้งแต่นางนาคอนงค์ลอบเข้ามาคายพิษเอาไว้ในอ่างน้ำนมเพื่อที่จะฆ่าพระฤษีทั้ง 4 ให้ตายแต่ด้วยใจของนางกบมีความกตัญญูรู้คุณที่พระฤษีได้เลี้ยงตนมานาน  จึงได้ตัดสินใจกระโดดลงไปตายเสียเองดีกว่าที่จะทนเห็นพระฤษีทั้ง4 องค์ต้องมาตาย

125#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อพระฤษีไดฟังนางกบเล่าก็นึกรู้ได้ทันทีว่านางนาคผู้ที่ได้เที่ยวสมพาสกับงูดินนั่นเองที่มันมีความอายแล้วแทรกแผ่นดินหนีไป มันจึงคิดย้อนกลับมาแก้แค้น และนางกบตัวนี้มันก็แสนที่จะมีน้ำใจอันประเสริฐเลิศล้นและงดงามนักจึงได้ปรึกษาหารือกันและเตรียมของขวัญมอบให้แก่นางกบ โดยช่วยกันหาฟืนในป่าใบไม้กิ่งไม้แห้งนำมาสุมให้เป็นกองโตและช่วยกันติดไฟสุม พระฤษีทั้ง 4 องค์ ก็นั่งหลับตาบรอกรรมพระคาถาอาคม ทำพิธีกันอยู่พักใหญ่ๆก็เห็นว่าพอจะเข้าขั้นและใช้ได้แล้วจึงลืมตาแล้วหันมาจับตัวเอานางกบน้อยนั้นโยนเข้าไปในกองไฟเพื่อที่จพชุบนางให้กลายเป็นคน แล้วพระฤษีทั้ง 4 ก็หลับตาภาวนาต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและมานะพยายามที่จะต้องทำพิธีนี้ให้สำเร็จ
   เวลาล่วงเลยไปไม่นานนักดินฟ้าอากาศที่แจ่มใสในยามเช้า ก็กลับกลายเป็นมืดมิดเหมือนประหนึ่งว่าจะมีเหตุอาเภทอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง พระพายก็พัดกระพือมาอย่างแรงหมุนคว้างเป็นวงกลมคล้ายกับเป็นลมบ้าหมูไม่มีผิด หมุนติ้วอยู่บริเวณกลางกองไฟแห่งเดียว อีกไม่นานนักก็มีกลุ่มควันสีขาวปนด้วยสีเทาจางๆหมุนคว้างขึ้นมาตามแรงของลมที่กำลังพัดกระพือและยิ่งหมุนเร็วขึ้นไปในทุกขณะ เมื่อกลุ่มควันจางลง ภาพที่เห็นก็คือหญิงรูปงามนางหนึ่งยืนพนมมือสงบนิ่งอยู่กลางกองไฟ ซึ่งบัดนี้ไม่มีฟืนไฟเหลือให้เห็นอีกเพราะลมได้พัดพาไปจนหมดสิ้นแล้ว พระฤษีทั้ง 4 ค่อยๆลืมตาขึ้นมองนางกบน้อยที่บัดนี้ได้กลายเป็นหญิงรูปงาม นางเยื้องกรายเข้ามาก้มกราบพระฤษีด้วยความเคารพ พระฤษีทั้ง 4 ก็ให้พร พร้อมกับช่วยอบรมสั่งสอนต่างๆนาๆแล้วพร้อมใจกันตั้งชื่อให้ว่า นางมณฑก( เพราะอดีตชาติของนางเป็นกบจึงมีนมโตข้างเดียว ) ชื่อนางมณฑกนี้ต่อมาก็เรียกกันผิดๆ เลยเป็น นางมณโฑ ไปเลย
    หลังจากที่ปรนนิบัติพระฤษีไม่นานนัก พระฤษีทั้ง 4 ก็พานางมณฑกขึ้นไปถวายพระอิศวร เพื่อที่จะได้มีอนาคตที่ดีต่อไป พระอิศวรท่านก็ทรงรับเอาไว้ แล้วมอบให้เป็นนางกำนัลของพระอุมา    ด้วยว่านางมณฑกเป็นผู้ที่มีจิตใจซื่อสัตย์บริสุทธิ์ มีความกตัญญูรู้คุณ ไม่มีนิสัยเจ้าแง่แสนงอนเหมือนหญิงอื่น นางมณฑกมีความขยันขันแข็ง และยังเอาอกเอาใจประจบเก่งพระอุมาจึงรักและถ่ายทอดวิชาให้ สั่งสอนอบรมในด้านเวทมนต์คาถา จนกระทั่งนางมณฑก มีวิชาติดตัวกลายเป็นนางฟ้าผู้ใกล้ชิดกับพระอุมาและพระอิศวรมากที่สุด มีความสุขอยู่บนสวรรค์เพราะความดีที่ทำเอาไว้นั่นเอง....

126#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


112.พระฤษีอินทสมานโคตร.

    พระฤษีองค์นี้เป็นศิษย์แสบของพระฤษีสมมิตร ในจำนวนศิษย์ทั้งหมดก็เห็นว่า มีผู้นี้แหละที่มีนิสัยดื้อรั้น ไม่ค่อยจะเชื่อฟังคำสั่งสอน มีนิสัยที่ชอบเอาแต่ใจเป็นใหญ่ พระอาจารย์จะห้ามหรือตักเตือนอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง เมื่อลองได้คิดว่าจะทำอะไรแล้วละก็จะต้องทำให้ได้ไม่สนใจคำต้กเตือนสั่งสอนเป็นคนดื้อรั้นที่จะต้องให้สำเร็จดังที่ตนคิดไว้  วันหนึ่งพระฤษีอินทสมานโคตรได้ออกไปทำธุระในป่าก็ได้พบกับลูกช้างตัวเล็กๆหลงแม่ จึงนำเอาลูกช้างนั้นมาเลื้ยงไว้ที่บริเวรอาศรมของท่าน เมื่อพระฤษีทั้งหลายทราบ ก็ไปบอกพระอาจารย์ว่า การที่จะเอาลูกช้างมาเลี้ยงนั้นไม่สมควร เพราะว่าวิสัยของช้างนั้นมันเป็นสัตว์ที่ดุร้าย บางตัวก็ดีบางตัวก็ร้ายดื้อรั้นเช่นเดียวกับพระฤษีบางองค์หรือคนบางคน ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่ดุร้ายแล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งมันจะต้องทำอันตรายต่อเราผู้เป็นเจ้าของได้เสมอ ดังคำโบราณที่กล่าวเอาไว้ว่า ...ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก...    ยามดีก็จะอยู่ เมื่อยามโกรธก็จะต้องเป็นศัตรูกับเราวันยังค่ำ แล้วในที่สุดมันอาจจะฆ่าเจ้าของเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ยากเลย พระฤษีอินทสมานโคตร เมื่อถูกพระอาจารย์ว่าก็ตอบเลี่ยงๆไปว่า การที่เอาลูกช้างมาเลี้ยงไว้ก็เพราะมีใจเมตตาสงสาร ให้มันกินอย่างอุดมสมบูรณ์ดีเสียกว่าที่มันจะหากินอยู่ในป่าเสียอีก เพราะมันอาจจะหาอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของมันก็ได้
   

127#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระฤษีสมมิตรก็ชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้มาชี้แจงอีกว่า พวกเราเป็นแต่เพียงผู้ปฏิบัติ ไม่น่าที่จะต้องเอาบ่วงมาแขวนคอไม่สมควรจะเอาสิ่งผูกพันอันทำให้เป็นกังวล เราจะต้องบำเพ็ญเพียรในตบะมากกว่าจะทำกิจอย่างอื่น ไม่เหมือนกับนักเลี้ยงช้างอาชีพหรือที่เรียกกันว่าควานช้างเขามีเวลาปฏิบัติเอาใจใส่ในตัวช้างเฝ้าอบรมสั่งสอนฝึกหัดให้ช้างรู้ภาษาแล้วก็จะมีกิริยา
เชื่องและอ่อนโยนได้ตามความต้องการ อีกประการช้างนั้นเป็นสัตว์ที่เกิดในป่าตามธรรมชาติในป่านั้นเต็มไปด้วยอาหารของพวกมัน พวกมันจะไม่อดตายแน่นอนปล่อยให้มันเข้าไปอยู่ในป่าไปอยู่ตามประสาของพวกมันเถิดแล้วจะได้หมดภาระ มีเวลาบำเพ็ญเพียรได้เต็มที่
    แต่พระฤษีผู้เป็นศิษย์ก็มิยอมเชื่อฟังคงยังจะเอาชนะกับพระอาจารย์ให้ได้ จึงทำให้พระฤษีสมมิตรหมดอาลัยตายอยากไม่พูดอะไรอีก เดินเลี่ยงไปเสียทางอื่นพระฤษีอินสมานโคตรก็ยังคงเลี้ยงช้างอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งช้างมันเติบโตอย่างเต็มที่ ทำให้มีความต้องการอาหารมากขึ้น จนกระทั่งพระฤษีหาให้มันไม่ทัน    และแล้วก็ถึงคราวที่จะต้องเกิดเหตุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้วันหนึ่งพระฤษีอินทสมานโคตรเข้าไปในป่าเพื่อจะได้หาผลไม้นำเอามาเก็บไว้ฉันเองบ้างให้ช้างกินบ้าง จึงต้องเพิ่มจำนวนผลไม้ให้มากขึ้น ทั้งภายในป่าบริเวณใกล้ๆอาศรมก็ชักร่อยหรอลงไป จึงต้องเดินทางเข้าไปในป่าลึก ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมากแต่ก็ยังหาไม่ได้ตามต้องการจึงใช้ความพยายาม
เที่ยวหาไปเรื่อยๆยังไม่กลับมาอาศรมเป็นเวลาถึง 3 วัน ทางฝ่ายช้างที่พระฤษีเลี้ยงเอาไว้เมื่อถึงเวลาก็มีอาการกระสับกระส่ายเพราะความหิวที่ไม่มีอาหารและผลไม้กิน ด้วยความหิวบวกกับอารมณ์โกรธ เลยเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ตรงเข้าทำลายล้างเครื่องใช้ภายในอาศรม ของพระฤษีพังพินาศหมดสิ้น มิหนำใจยังรื้ออาศรมเอาลงมาเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดีแล้วยืนซึมคอยทีอยู่
   ฝ่ายพระฤษีอินทสมานโคตร เมื่อหาผลไม้ได้กับความต้องการแล้ว ก็หอบเอาผลไม้กลับมายังอาศรม ยังไม่ทันจะถึงดีเจ้าช้างตัวนั้นกำลังมีความโกรธ พอเห็นพระฤษี มันก็วิ่งรี่เข้ามาเอางวงจับร่างพระฤษีอินทสมานโคตรฟาดกับต้นไม้ร่างแหลกเหลวตายอย่างน่าอนาถแล้วช้างก็วิ่งหนีเข้าป่าไป
    ในบรรดาพระฤษีทั้งหลายเมื่อรู้เรื่องจึงรีบพากันมาแจ้งข่าวร้ายให้พระฤษีสมมิตรผู้เป็นพระอาจารย์ให้ทราบข่าวทันที แล้ทั้งหมดก็พากันไปที่เกิดเหตุ พระฤษีสมมิตรก็สั่งให้บรรดาพระฤษีผู้เป็นศิษย์หาฟืนเอามาสุมไฟแล้วทำการเผาศพของพระฤษีอินทสมานโคตร แล้วก็ร่วมกันสวดส่งวิญญาณกันทั้งหมด เมื่อไฟที่เผาศพสงบลงแล้วพระฤษีสมมิตรจึงสั่งสอนสานุศิษย์ต่อไปว่า...คนโง่เท่านั้นที่ชอบคบกับคนพาล หากคนที่ฉลาดก็ย่อมที่จะหลีกเลี่ยง
ไม่คบกับคนพาล ขึ้นชื่อว่าคนพาลแล้วต่อให้คยกันอย่างสนิทสนมมานานเพียงใด สักวันเขาผู้นั้นก็ย่อมจะให้ร้าย( ใส่ร้ายป้ายสี ) ให้ทุกข์ให้โทษ หาความเดือดร้อนมาให้ และมักจะทำอันตรายแก่เราได้เสมอไม่วันใดก็วันหนึ่ง สมกับคำที่ว่า คบคนพาล ก็จะพาไปหาผิด คบบัณฑิต ก็จะพาไปหาผล... และเมื่อเราเป็นศิษย์ที่ดีก็ควรจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์มิใช่จะดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเอง อาจารย์นั้นย่อมจะรู้เหตุการณ์ต่างๆมาก่อนศิษย์ ย่อมจะมีประสบการณ์มากกว่าศิษย์ อันคนโง่นั้นเปรียบได้กับพระฤษีอินทสมานโคตรและคนพาลนั้นก็เปรียบเช่นช้างนั่นเอง....



128#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


113.พระฤษีทิศาปาโมกข์...
     เป็นพระฤษีืั้มีชื่อเสียงโด่งดังอีกท่านหนึ่ง ในสำนักนี้มีศิษย์ที่เข้ามารับการศึกษาและบำเพ็ญตบะอยู่เป็นจำนวนถึง 500 คน ไม่ว่าจะเป็นพระราชา เศรษฐีและคนธรรมดา ก็มักจะส่งบุตรหลานมาเรียนวิชาอยู่ในสำนักนี้ทั้งนั้นในจำนวนนี้ก็ยังมีศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นบุตรของเศรษฐีที่มีแต่ความเฉลียวฉลาดได้เดินทางมาศึกษาเป็นคนสุดท้ายของสำนักทิสศาปาโมกข์นี้เขาผู้นี้มีชื่อว่า สัญชีวมานพ เป็นคนที่เอาใจใส่ต่อการศึกษา มีความขยันหมั่นเพียร ร่ำเรียนได้เก่งกว่าใครๆ ในที่สุดก็เป็นที่รักของอาจารย์และยังมีกิริยา มารยาทอ่อนน้อมนิ่มนวลเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ จนกระทั่งพระฤษีทิศาปาโมกข์ถ่ายทอดวิชาการให้หมดสิ้น เพื่อหวังว่าเมื่อท่านละสังขารไปแล้วก้จะได้ สัญชีวมานพ ผู้นี้เป็นต้วแทนสืบต่อไปในภายหน้าอาจารย์จึงสอนเวทมนต์คาถาต่างๆให้เช่น การชุบคนที่ตายไปแล้วให้ฟิ้นขึ้นมาอีก และในจำนวนศิษย์ทั้ง 500 คนนั้นยังไม่มีใครที่จะได้วิชาแขนงนี้มาก่อนเลย ดังนั้นสัญชีวมานพจึงได้กลายเป็นหนึ่งของศิษท์ในจำนวนนั้น จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถึง พระฤษีสัญชีวมุนีมุ่งบำเพ็ญตบะสร้างบารมี อยู่กับพระอาจารย์เรื่อยมา

129#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่จะเกิดเหตู พระฤษีสัญชีวมุนีและเพื่อนๆจำนวน 400 องค์ที่อยู่สำนักเดียวกันได้พากันเข้าป่าหาผลไม้ และหาฟืนมาเก็บไว้ในยามจำเป็นในขณะที่พากันเดินเข้าไปในป่านั้น ก็พบเสือโคร่งตัวหนึ่งนอนตายในป่า ตัวมันใหญ่มาก พระฤษีสัญชืวมุนีคิดขึ้นมาว่าเราจำต้องทดลองวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ ว่าวิชานั้นจะนำเอามาใช้ได้ผลหรือไม่ จึงบอกความประสงค์กับเพื่อนที่มาด้วยกันว่าจะทดลองชุบชีวิตเสือโคร่งตัวนี้ดูซิว่าจะฟื้นมาได้จริงหรือไม่ เมือตกลงกันเช่นนั้นแล้ว เพื่อนที่มาด้วยกันจึงต้อง
หลบขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ก่อน เนื่องจากกลัวว่า ถ้าหากเสือโคร่งฟื้นขึ้นมาจริงๆจะเกิดอันตรายได้ พระฤษีสัญชีวมุนีมานั่งใกล้ๆเสือโคร่งตัวนั้นแล้วหลับตาบริกรรมคาถาตามที่ได้เรียนมาจากพระอาจารย์ สักพักเสือโคร่งก็ค่อยๆกระดิกฟื้นขึ้นมา ด้วยความหิวโหยของเสือโคร่ง พอฟื้นขึ้นมาก็เห็นเหยื่ออันโอชะอยู่ตรงหน้า มันไม่ปล่อยให้โอกาวดีผ่านไป ลุกขึ้นแล้วกระโจนเข้าตะครุบพระฤษีสัญชีวมุนีทันที ในขณะที่พระฤษีสัญชีวมุนียังคงนั่งนื่งหลับตาบรกรรมคาถามิได้มองเห็นเลยว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวแล้วไม่ทันได้ระวังตัว เสือโคร่งนั้นมันจึงกินพระฤษีอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าต่อตาเพื่อนพระฤษีเหล่านั้นสร้างความตกตะลึงให้กับเพื่อนพระฤษีเหล่านั้นสุดที่จะอธิบาย
    ในที่สุดเสือโคร่งมันกินอาหารจนอิ่มแล้วก็เดินเข้าป่าหายไป บรรดาพระฤษีเมื่อเห็นว่าปลอดภัย ก็รีบลงมาจากต้นไม้ แล้วก็วิ่งกระหืดกระหอบนำข่าวร้ายไปบอกพระอาจารย์พระอาจารย์เมื่อรู้ข่าวร้ายจากลูกศิษย์ ก็ถึงกับตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ...น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆยังไม่ทันอะไรเลยก็ตายเสียแล้ว เสียดายความเก่งกล้าของเขา เสียดายความขยันหมั่นเพียรของเขาเสียดายยังมิได้ให้วิชาป้องกันต้วจึงต้องมาตายโดยรู้เท่ามิถึงการณ์ท่านทั้งหลายก็จงจำกันเอาไว้าให้ดีเถิดว่า ในการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยวิชาที่เรียนมาก็ต้องใช้ให้ถูกกับสถานที่และให้ถูกจังหวะไม่เช่นนั้นแล้วมันก็จะต้องเกิดภัยร้ายแรงมาถึงตัวเราจนได้อย่างที่เห็นที่แหละ...
     พระฤษีผู้เป็นอาจารย์สั่งสอนบรรดาศิษย์นี่ก็เป็นอุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่งในการช่วยเหลือผู้อื่นและคบมิตรที่มีความดุร้าย ไม่วันใดก็วันหนึ่งสิ่งที่เรามีเจตนาดีก็จะได้รับผลตอบแทนด้วยภัยอันมหันต์ยากที่จะป้องกัน...

130#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


114.พระฤษีสิงคาน.
    สำหรับพระฤษีพระองค์นี้ก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่งมั่น ไม่ยอมโยกย้ายสำนักไปไหน คงประจำสำนักอยู่แต่ในป่าหิมพานต์เพียงแห่งเดียว
   ความเป็นมาของพระฤษีองค์นี้ ตามชีวประวัติเมื่อในสมัยอดีตกาล ในกรุงพาราณสีซึ่งเป็นสมัยของท้าวพรหมทัตเป็นราชา มีเศรษฐีผู้หนึ่งมั่งคั่งมากด้วยทรัพย์สิน ได้ส่งบุตรชายคนเดียวไปเรียนในสำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมือตักกศิลา บุตรชายของท่านเศรษฐีก็เอาใจใส่ขยันขันแข็งในการศึกษา จึงได้ปฏิบัตตนเป็นพราหมณ์รักษาศีลและเรียนทางปฏิบ้ติฌานอย่างมุ่งมั่นจนกระทั่งได้เป็นศิษย์ที่รักของอาจารย์ ทั้งว่านอนสอนง่ายและมีนิสัยเยือกเย็นอารมณ์ดีเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ทุกอย่าง ในไม่ช้าก็สำเร็จการศึกษา จึงเดินทางกลับมาอยู่บ้านเดิมกของบิดา และก็ได้แต่งงานอยู่กินกับสาวงามที่มีคุณสมบัติพร้อม คือ รูปสวยรวยทรัพย์นิสัยดี จนกระทั่งต่อมาบิดาถึงแก่กรรมพราหมณ์ผู้เป็นบุตรก็ได้ครอบครองสมบัติและบริวารต่อไป พอนานๆเข้าก็มีความเบื่อหน่ายในสมบัติ จึงได้สละสมบัติเดินทางมุ่งตรง
ไปป่าหิมพานต์ บวชตนเป็นพระฤษี ที่มีชื่อว่า พระฤษีสิงคาน

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้