ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ปู่ฤาษี 108 ตน

[คัดลอกลิงก์]
131#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บำเพ็ญตบะสร้างบารมี เสวยผลไม้ป่าเป็นเครื่องประทังชีวิต ได้ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นจนกระทั่งสำเร็จธรรมชั้นสูงอภิญญาสมาบัติถึงกับมีอิทธิฤทธิ์ และปาฏิหารย์มากมายล่องหนหายตัว เหาะได้ ดำดินได้ มีจิตเมตตาต่อมนุษย์และสัตว์เปี่ยมล้นด้วยบารมีแทบว่าจะหาพระฤษีองค์ใดมาเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้ววันหนึ่งท่านคิดที่จะไปโปรดสัตว์ในเมืองพาราณสีซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของท่านจึงเดินทางเข้าไปพักอยู่ในอุทยานหลวงของท่านท้าวพรหมทัต วันรุ่งขึ้นพระฤษีสิงคานท่านก็ออกไปบิณฑบาต โปรดสัตว์
ในเมืองหลวงด้วยการทำกริยาอภินิหารให้ชาวเมืองได้เห็นจนเป็นที่พอพระทัยและเลื่อมใสศรัทธาแห่งท้าวพรหมทัต จึงได้นิมนต์เข้ามาฉันภัตตาหารในพระราชวังเป็นประจำทุกๆ วันตลอดไปแล้วก็นิมนต์พระฤษีบำเพ็ญตบะอยู่ในอุทยานนั้นเป็นเวลา 12 ปี พระฤษีจึงเป็นที่โปรดปราณของพระราชาและเสนาอำมาตย์มุขมนตรีทั้งน้อยใหญ่ทั่วทั้งเมือง
    พระฤษ๊สิงคานก็แสดงธรรมถวายพระราชาทุกวัน ในขณะที่ฉันภัตตาหารเสร็จแล้วเป็นกิจวัตรประจำ พระราชาก็เลื่อมใสและมีจิตใจที่ซาบซึ้งในรสพระธรรมอันสูงค่านั้น หลังจากอีกไม่นาน พาราณสีก็เกิดศึกขึ้นมา พระราชาจึงลาพระฤษียกกองทัพไปออกศึก คงปล่อยให้พระฤษีอยู่ในอุทยานอย่าง
เดิมและก็ให้นิมนต์ไปฉันภัตตาหารและแสดงธรรมเหมือนเช่นเคย แต่พระฤษีก็มีความคิดขึ้นมาว่าพระราชาไม่อยู่เราก็ไม่ควรที่จะเข้าไปฉันในพระราชวังและก็ไม่ต้องไปแสดงธรรมอีกด้วย หากยังปฏิบัติตามภารกิจหน้าที่ก็จะเป็นการยุ่งยากต่อพระชายาของพระราชา เอาเพียงแต่ว่าจะเข้าไปบิณฑบาตในพระราชฐานเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว แล้วก็นำเอาอาหารกลับมาฉันที่อาศรม ในอุทยานจะดีกว่า
    เมื่อพระฤษีคิดได้ดังนั้นแล้วท่านก็จัดแจงมุ่งเข้าไปบิณฑบาตในพระราชวัง ในขณะนั้นพระชายาของพระราชาก็จัดเตรียมสำรับกับข้าวเอาไว้เรียบร้อยแล้วแต่พระฤษีก็ไม่มาสักที พระนางจึงวางสำรับกับข้าวทิ้งเอาไว้ก่อนแล้วจึงเข้าไปในห้องสรงน้ำชำระล้างร่างกาย ในขณะที่พระนางกำลังเปลือยกายอยู่ในห้องน้ำพระฤษีก็เหาะลอยละลิ่วมากลางอากาศ เมื่อนางได้ยินเสียงก็ตกใจครั้นจะหาอะไรมาปกปิดร่างกายก็ไม่ทันเสียแล้ว พระฤษีเหาะมาถึงบริเวณนั้นพลันสายตาก็ลอดเข้าไปช่องพระแกล(หน้าต่าง) โดยที่ไม่ได้ตั้งใจแต่ประการใด ก็บังเกิดตัณหาราคะขึ้นมาภายในใจเลยทำให้บารมีเสื่อมพระฤษีหล่นตุ๊บ...ลงมาจากกลางอากาศลงมานอนจุกอยู่กับพื้น ในวันนั้นก็มิอาจอยู่รับบิณฑบาตได้ เพราะไฟราคะได้ลุกกระพือโหมไหม้พระฤษีอย่างรุนแรง เกิดอาการกระวนกระวาย กระสับกระส่าย จึงต้องกระเสือกกระสนหนีกลับมายังอาศรม ในอุทยานหลวงด้วยดวงจิตที่มีความพะวงหลง
ใหลในรูปร่างของพระนาง พระฤษีจึงมีความหม่นหมองนอนรำพึงรำพันถึงแต่ความหมดจดงดงามของพระนาง ด้วยมิอาจห้ามจิตใจของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ยอมฉันอาหารเป็นเวลาถึง 7 วัน ครุ่นคิดถึงแต่นางเทวีเช่นนั้นตลอดมา จนกระทั่งพระฤษีล้มป่วยและผ่ายผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยสา
เหตุของการอดอาหารอย่างหนึ่งและตรอมใจอีกอย่างหนึ่งอยู่ในสภาพเช่นนั้นมาจนกระทั่งพระราชาทำศึกเสร็จแล้วก็เสด็จกลับ ด้วยพระทัยที่ยังมีความเป็นห่วงพระฤษีจึงเสด็จเข้าไปในอุทยานก่อน เพื่อจะเยี่ยมเยียนพระฤษี แต่แล้วพระราชาก็ถึงกับตกตะลึงด้วยเห็นว่าภายในรอบๆพระอาศรม บัดนี้มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นมารกรุงรังอย่างผิดปกติ ไม่มีความสะอาดเหมือนอย่างแต่ก่อน จึงทรงใช้ให้ทหารทำความสะอาดแผ้วถางทาง และดายหญ้าให้เรียบร้อยรอบๆอาศรม แล้วพระราชาจึงเสด็จเข้าไปเยี่ยมพระฤษี แต่พอทอดพระเนตรเห็นพระฤษีเท่านั้น พระราชาก็ยิ่งงุนงงแปลกพระทัยมากขึ้นไปอีก ก็ด้วยบัดนี้พระฤษีท่านผ่ายผอมผิดรูปผิดร่าง ไม่มีสง่าราศรีเอาเสียเลยพระราชาจึงรีบตรัสถามด้ายความเป็นห่วงว่า...'พระคุณเจ้าเป็นอะไรไปหรือ คงจะไม่สบายจึงได้ผ่ายผอมลงไปเช่นนี้'...
   พระฤษีได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ ไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น พระราชาจึงเสด็จเข้าไปใกล้ๆตรัสถามขึ้นอีกว่า...'ท่านจะต้องเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว ต้องให้หมอหลวงมาตรวจอาการ'...ยังไม่ทันที่พระฤษีจะพูดว่าอะไรพระราชาก็ตรัสสั่งให้ทหารไปตามหมอหลวงมาตรวจอาการโดยด่วน ทหารก็รีบไปแต่พระฤษีก็ร้องห้ามเอาไว้มิให้ไป' ไม่ต้องหรอกมหาบพิตรอาตมามิได้เป็นอะไรหรอกเพียงแต่ถูกแทงที่หัวใจเท่านั้น' พระฤษีสิงคานกล่าวเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไป มิได้พูดว่าอะไรอีกเลย ยิ่งทำให้พระราชาพรหมทัตสงสัยขึ้นไปอีก ด้วยว่าไม่ทราบสาเหตุและลีลาของพระฤษี ไม่เข้าใจในเหตุผลจึงตีปัญหาไม่ออก พระราชจึงเข้าไปจับต้องสำรวจร่างกายของพระฤษี แต่ก็ไม่ปรากฎว่าจะมีบาดแผลอันใดเลย พระราชาจึงสงสัยมากขึ้น 'ไม่เห็นมีบาดแผลที่ไหนเลยนี่ ที่พระคุณเจ้าบอกว่าถูกแทงตรงหัวใจ' พระฤษีส่ายหน้าช้าๆแล้วจึงค่อยๆเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ 'อาตมาถูกแทงตรงหัวใจ ด้วยคมมีดที่อาบด้วยยาพิษอันร้ายแรง คือกามตัณหาทำให้ไฟราคะหรือว่าไฟโลกีย์ที่ยากต่อการดับมันได้เผาไหม้อวัยวะทุกส่วนของอาตมาให้เร่าร้อนจนแทบจะทนไม่ไหว แต่การถูกมีดอันคมกริบและอาบด้วยยาพิษทิ่มแทงหัวใจของอาตมามันหาได้มีบาดแผลไม่เลือดก็ไม่ไหลออกมาให้เห็นเพียงแต่ตกอยู่ภายในจนหัวใจอักเสบ ไม่มีผู้ใดจะรักษาให้หายได้ คำว่ายาพิษนี้ก็คือ 'กิเลส'อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่มีผู้ใดจะรู้เท่ากับตัวของตัวเองรู้ ไม่มีใครจะช่วยหรือจะรักษาให้อาตมาหายจากอาการของโรคนี้ได้ อาตมาต้องรักษาตัวเองไปตลอด ขอมหาบพิตรจงอย่าไรทุกข์หรือว่าเป็นห่วงอาตมาเลย....

132#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 13:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในไม่ช้าบาดแผลของอาตมาก็จะต้องหายเป็นปกติเอง โดยไม่ต้องได้รับการรักษาให้เสียเวลาพระองค์กำลังทรงเหน็ดเหนื่อยจงเสด็จกลับไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด อาการของอาตทามิได้มากมายอะไรนัก นอกจากกิเลสตัณหาไฟราคะมันมาสุมอยู่ในหัวใจเท่านั้นเอง' พระราชายังทรงตีปัญหาของพระฤษีไม่แตก จึงต้องเสด็จกลับทั้งที่ยังเป็นห่วงฝ่ายพระฤษีหลังจากที่พระราชาเสด็จกลับไปแล้วก็รีบสำรวมกริยาให้เข้มแข็งบำเพ็ญตบะเข้าสมาธิญาณเพื่อขับไล่กิเลสให้หมดสิ้นไป แต่จะให้หลุดพ้นไปในทันทีนั้นก็ไม่สามารถจะทำได้จึงต้องบำเพ็ญภาวนาขัดเกลาออกไปทีละน้อยๆ แล้วในที่สุดก็ค่อยๆหลุดจางหายไปจนหมดสิ้นตามความต้องการพยายามทำกสิณฌาณสมาบัติให้มาบังเกิดขึ้นแล้วขับไล่กิเลสตัณหาออกไปจนกระทั่ง เข้ารูปเข้ารอยเป็นปกติอย่างเดิมเมื่อพระฤษีท่านได้สำเร็จฌาณด้วยบารมีอีกครั้งหนึ่ง ท่านจึงจินตนาการดูว่าไม่สมควรที่จะอยู่ในสถานที่นี้อีกต่อไป ควรจะต้องจากที่นี่ไปเพื่อหามุมสงบทำการบำเพ็ญให้เป็นเรื่องเป็นราวต่อไปจะ
ได้ ไม่ติด ไม่หลง ไม่พะวงในกามคุณอันที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งการทำลายล้างในความสงบสุขให้เกิดเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ถ้าหากพลาดหรือเผลอเพียงชั่ววูบเดียวนั่นก็หมายถึงว่าจะต้องเสื่อมรอยถอยหลังอย่างแน่นอน และก็ยากต่อการที่จะคิดแก้ไขและป้องกันอีก ด้วยจะต้องเสื่อมเสียในทางสมาธิฌาณที่เรียกว่า...(พระฤษีตบะแตก)
    คิดได้ดังนั้นแล้วพระฤษีสิงคานท่าจึงได้สำรวมจิต แสดงอิทธิฤทธิ์อภินิหารเหาะขึ้นไปในอากาศตรงไปยังตำหนักของพระราชาแล้วกล่าวดังๆกลางอากาศว่า 'ข้าแต่พระราชอันเป็นที่รักของอาตมาบัดนี้อาตมาจะต้องลาไปก่อน จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว หากขืนอยู่จะต้องตบะแตกฌาณบารมีก็จะพินาศ และบ้านเมืองก็จะถึงการวิบัติ ด้วยอำนาจของสภาวะกิเลส ดังนั้นเพื่อจะให้พระองค์ทรงได้รับสันติสุข อาตมาจึงต้องลาและหนีท่านไป เพื่อบำเพ็ญผลให้สมบูรณ์ในภายหน้า '
    สุดที่พีะราชาจะทัดทานได้ เพราะพอพระฤษีพูดจบก็เหาะหนีไปทันทีพระราชาจึงทุกข์ระทมตรอมพระทัย เพราะเสียดายพระฤษี ฝ่ายพระฤษีสิงคานก็เหาะตรงไปยังป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่อดีตบำเพ็ญเพียรสร้างตบะจนกระทั่งละสังขารจึงได้ไปบังเกิดเป็น...พระพรหม...
    เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจเป็นอย่างดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่คิดผิด เดินทางผิด ทำอะไรที่ผิดๆลงไปแล้ว เมื่อรู้ตัวว่าผิด ก็จงคิดหาทางแก้ไขและกลับตัวกลับใจเสียใหม่ จึงจะเรียกว่าเป็น 'คนดี 'อย่างเช่นกับ...พระฤษีสิงคาน....
ที่มา หนังสือดวงมหาลาภ ฉบับพิเศษ (ตำนานพระฤษี)

133#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 14:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


115.พระฤษีวิมุติและ
116.พระฤษีสุรินทระ
    พระฤษีทั้งสององค์เป็นเพื่อนกันร่ำเรียนวิชามาด้วยกันและอาจารย์องค์เดียวกันซึ่งก็เป็นพระฤษีที่เก่งกล้าสามารถในภูมิธรรม ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาในอดีตกาลอีกท่านหนึ่งในอดีตกาล นั่นคือ พระนารทฤษี
    เมื่อพระฤษีทั้งสองมีความสามารถกับความต้องการเพียงพอแล้ว จึงได้ชวนกันร่ำลาพระอาจารย์เพื่อเดินทางไปสู่ที่สงบ อันเป็นที่สมควรแก่การบำเพ็ญตบะแสวงหาโมกธรรมโดยอิสระส่วนตัวในโอกาสต่อไปทั้งสองจึงพากันเดินทางไปถึงแดนป่าแห่งเมืองกาสีจึงพบสถานที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง และ
จัดการสร้างอาศรมเอาไว้สำหรับพักผ่อน อยู่อาศัยในการบำเพ็ญตบะสร้างบารมี ต่อมาอีกไม่นานพระฤษีทั้งสองก็ได้สำเร็จในบารมรธรรมขั้นสูง จึงยิ่งเพิ่มความรู้และความสามารถในความเก่งกล้าขึ้นมาอีก เก่งในทุกๆทาง มีอิทธิฤทธิ์มากมายยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้ แต่ถึงแม้จะเก่งเพียงใดพระฤษีวิมุติก็ยังได้รับความเดือดร้อนจำจะต้องหาทางแก้ไขให้จงได้
    นั่นก็เนื่องมาจากมีหนูชอบเข้ามาในอาศรมแล้วกัดทำลายข้าวของอยู่เป็นนิจ เช่น สบงและเครื่องทรงองค์พระฤษีตลอดจนเครื่องใช้ต่างๆอีกมากมาย เพราะปากบอนของหนูนั้น พระฤษีวิมุติก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ครั้นจะทำร้ายให้ถึงตายก็เกรงจะเป็นบาปเป็นกรรมติดตัวได้แต่คิดหาช่องทางอยู่เงียบๆ
แล้วในที่สุดก็คิดออก ตนเองมีวิชาความรู้จะต้องไปวิตกอะไรกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะต้องเอาวิชาความรู้มาทำประโยชน์จึงจะควร เมื่อคิดได้ดังนั้นพระฤษีวิมุติก็เข้าที่ท่องบ่นมนต์คาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นเพียงเวลาไม่นานนักความศักดิ์สิทธิ์ของคาถาอาคมก็สำแดงฤทธิ์ บังเกิดเป็นแมวแสนรู้นอนหมอบนิ่งอยู่ตรงหน้า มันทั้งน่ารักและสวยงามมากพระฤษีก็ดีใจจึงเลี้ยงแมวอาคมตัวนั้นไว้ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้หนูมารบกวนและเจ้าแมวตัวนี้พระฤษียังใช้งานมันได้อีกสารพัด เช่นใช้ให้เดินทางไปมาหาสู่ยัง สำนักพระฤษีสุรินทะระโดยการเขียนจดหมายผูกคอแมวหรือบางทีให้มันคาบเอาไปให้ แล้วทางโน้นก็เขียนตอบมา นับว่าแมวตัวนี้มีประโยชน์มากทีเดียว

134#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 14:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การไปมาหาสู่ของแมวตัวนี้ ระหว่างอาศรมพระฤษีทั้งสองก็เป็นไปด้วยความเคยชิน จนกระทั่งวันหนึ่ง พระฤษีวิมุติท่านเข้าฌาณแล้ว วึ่งก็เป็นเวลากลางคืน แมวอาคมก็ออกไปเที่ยวในป่า จนกระทั่งมาถึงอาศรมพระฤษีสุรินทะระ เจ้าแมวมีความหวังดีแวะเข้าไปหมายที่จะจับหนูในอาศรมให้กับพระฤษีก็พอดีกับพระฤษีสุรินทะระกำลังเข้าฌาณด้วยการบำเพ็ญหลับตานิ่งอยู่ภายในอาศรม เจ้าหนูตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในอาศรมเจ้าแมวอาคมก็วิ่งไล่กวดเจ้าหนูเข้าไป เจ้าหนูมันจนมุมไม่มีทางออก ก็เลยวิ่งเข้าไปซุกอยู่ในร่างพระฤษี ทันทีทันใดเจ้าแมวอาคมต้องการจะพิชิตหนูเพื่อสร้างความดีให้พระฤษีสุรินทะระประจักษ์ก็กระโดดเข้าไปตะครุบหนูโดยเร็วและแรง จึงชนกับร่างพระฤษีเต็มแรงจนถึงกับหงายหลังลงไปกับพื้น....พระฤษีสุรินทะระตกใจมากลืมตาขึ้นมาเห็นเจ้าแมวตัวนั้น ก็คิดว่าแมวมันแกล้ง ไม่คิดหน้าคิดหลัง
คว้าได้ไม้เท้าก็หวังจะตีแมวให้เต็มที่ด้วยความโกรธ แต่แมวมันไวกว่าวิ่งหลบพระฤษีตีพลาดเลยเสียหลักหัวคะมำไปชนประตูดังโครมใหญ่ ผลคือหังโนปูดเป็นลูกมะกรูดขึ้นมาทันทียิ่งทำให้พระฤษีมีความโกรธมากขึ้น จึงมีความโกรธและเกลียดเจ้าแมวตัวนั้นมาก คิดหาทางที่จะแก้แค้นที่มันทำให้เจ็บตัวแถมยังหัวโนไม่หาย และแล้วก็คิดออกรีบเข้าไปในอาศรมนั่งลงแล้วเอาไม้เท้าวางตรงหน้านั่งหลับตาบริกรรมคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ นั่งบริกรรมอยู่หลายชั่วโมงด้วยความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว แล้วความมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นไม้เท้าที่ีวางอยู่ตรงหน้าเริ่มมีอาการเคลื่อนไหวและกระดุกกระดิกขึ้นมาได้ อีกไม่นาน ไม้เท้าของพระฤษีก็กลับกลายร่างเป็นสุนัขตัวใหญ่ขนปุย น่ารักและเป็นสุนัขแสนรู้อีกด้วย
    พระฤษีลืมตาขึ้นมาช้าๆเมื่อเห็นผลงานของตนสำเร็จก็ค่อยมีอารมณ์ดีขึ้น ทีนี้แหละเจ้าแมวมันจะต้องได้รับบทเรียนที่สาสมบ้างล่ะ แล้วคืนวันหนึ่งเจ้าแมวอาคมก็ออกมาเที่ยวจับหนูมาเป็นอาหารจนกระทั่งมาถึงอาศรมของพระฤษีสุรินทะระมันก็เข้าไปโดยไม่คิดว่าจะมีอันตรายใหญ่หลวงรออยู่มันเที่ยวค้นหาหนูเพื่อจะได้จัดการเสียให้เรียบร้อย สุนัขอาคมรอจังหวะอยู่แล้ว เจ้าแมวไม่ทันระวังตัวจึงโดนสุนัขกระโจนเข้าฟัดอย่างไม่มีทางต่อสู้ สุนัขอาคมขย้ำกัดแมวอาคมอย่างดุเดือด มันกัดไม่เลือกที่จนเจ้าแมวแทบจะขาดใจตายมันจึงแกล้งนอนนิ่งๆเสมือนหนึ่งตายแล้ว สนัขยืนมองด้วยความสะใจจึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่เจ้าแมวมันรวบรวมกำลังแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าสุนัขก็วิ่งไล่กวดไม่ลดละ ไปทันกันตรงหน้าอาศรมของพระฤษีวิมุติ ก็เกิดฟัดกันใหญ่ เสียงร้องของแมวและเสียงไล่ล่าของสุนัขดังอึกทึกครึกโครม จนพระฤษีที่กำลังนั่งหลับตาภาวนาต้องออกจากฌาณมาดูเห็นแมวของท่านกำลังถูกสุนัขฟัดอยู่ก็โกรธ จึงเอาไม้หวดไปสุดแรงเกิด....
เจ้าสุนัขอาคมโดนไม้เท้าเข้าอย่างจังมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมันส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วกระโจนหายเข้าไปในความมืด พระฤษีเดินมาดูแมวที่กำลังนอนรอความตายก็มีความสงสาร จึงเข้าที่แล้วบริกรรมคาถา เอาแมวไว้ตรงหน้าโอมอ่านพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ ในไม่ช้าเจ้าแมวตัวนั้นก็กลับกลายร่างเป็นคน...เป็นพระฤษี แต่กลับมีใบหน้าเป็นแมวเหมือนเดิม ก็เลยกลายเป็นว่าได้บังเกิดมีพระฤษีขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง เป็นพระฤษี..หน้าแมว

135#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 14:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระฤษีวิมุติจึงตั้งชื่อว่า พระฤษี...วิลาคธา แล้วพระฤษีวิมุติก็ให้พระฤษีวิลาคธานั้นเฝ้าอาศรมเอาไว้ แล้วท่านเองก็คว้าไม้เท้าวิเศษมุ่งหน้าไปหาเพื่อนด้วยความโกรธ พอมาถึงอาศรมของเพื่อนก็เข้าไปต่อว่าต่อขานกันขึ้นจนกลายเป็นทะเลาะวิวาท ลืมตัวไปว่าตนเองอยู่ในเพศของผู้ทรงศีล ความ
โกรธเมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้วไซร้ก็ย่อมจะไร้สติ ขาดความยั้งคิดแม้ทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่ในยามนี้กลับหมายมั่นที่จะสังหารกันให้แหลกไปข้างหนึ่ง เมื่อไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใครต่างฝ่ายก็คิดว่าตนเองถูก คิดว่าตนเก่ง ในที่สุดก็ต้องสู้กันอยู่เป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครแพ้ชนะเพราะฝีมือสูสีกันจนเหนื่อยหอบด้วยกันทั้งคู่ ฝ่ายสุนัขที่เกิดจากไม้เท้า ก็ไม่สามารถจะช่วยเจ้านายคงได้แต่หมอบดูการต่อสู้อยู่อย่างนั้นพระฤษีวิมุติคิดขึ้นมาได้ว่าไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของพระฤษีสุรินทะระไม่มีเพราะเอาไปเสกเป็นสุนัขเสียแล้วแต่ของตนยังอยู่น่าจะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเอาไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์หวดไปที่ร่างของผู้ต่อสู้อย่างเต็มแรง ยังผลให้พระฤษีสุรินทะระเซถลาเหมือนนกปีกหัก ล้มคว่ำหน้าลงไปสลบเหมือดคาที่ พระฤษีวิมุติหัวเราะ หึๆ ในลำคอแล้วเดินจากไปอย่างผู้ชนะ.....
ฝ่ายสุนัขที่เฝ้าหมอบดูการต่อสู้ตั้งแต่ต้นแต่ไม่สมารถช่วยเจ้านายของมันได้ เมื่อเห็นพระฤษีวิมุติกลับไปแล้ว มันก็ตรงเข้าไปหาพระฤษีที่นอนสลบอยู่ เจ้าสุนัขผู้พักดีก็ใช้ลิ้นเลียตามตัวของพระฤษีอยู่พักใหญ่ พระฤษีจึงรู้สึกตัวได้สติฟื้นขึ้นมา ได้เห็นความจงรักภักดีของสุนัขก็เกิดความสงสารจึงจัดตั้งพิธีกรรมเอาสุนัขวางไว้ตรงหน้าหลับตาภาวนาเรื่อยไปตลอดทั้งคืนด้วยความตั้งใจว่าจะสร้างกำลังและบริวารให้มากเพื่อต่อไปวันข้างหน้าจะได้ปิดบัญชีแค้นกับพระฤษีวิมุติที่ได้หยามน้ำหน้าและทำให้ได้รับความอับอายในครั้งนี้้   รุ่งอรุณของวันใหม่ เจ้าสุนัขตัวนั้นก็กลับกลายร่างเป็นมนุษย์เป็นพระฤษีขึ้นมา แต่ทว่าส่วนใบหน้านั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงยังคงเป็นสุนัขเหมือนเดิม พระฤษีสุรินทะระจึงตั้งชื่อให้กับพระฤษีผู้ที่ท่านได้สร้างขึ้นมานั้นว่า...พระฤษีสุนาขยาติ ก็ได้บังเกิดเป็น พระฤษีหน้าสุนัขอีกองค์จนได้ครั้นแล้วพระฤษีสุรินทะระก็ไม่อยู่นิ่งเฉยเพราะความแค้นมันฝังแน่นอยู่ในใจ จะต้องหาทางแก้แค้นให้จงได้จึงหยิบโน่นฉวยนี่ขึ้นมาเสกกันทั้งวันทั้งคืนจนกระทั่งมีบริวารมากมายเกือบจะพอกับความต้องการ แต่เพื่อความไม่ประมาทจึงเสกต่อไป
    ทางฝ่ายพระฤษีวิมุติก็มิได้ประมาทเพราะรู้นิสัยของเพื่อนว่าไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆไม่วันหนึ่งก็วันใดก็จะต้องมาแก้แค้นจะช้าหรือเร็วเท่านั้น จึงเสกบริวารขึ้นมาเช่นกันจะได้เตรียมเอาไว้รับมือกับพวกพ้องของพระฤษีสุรินทะระได้เต็มที่ พระฤษีวิมุติท่านเฉลียวฉลาดมาก ขุดเอาดินขึ้นมาปั้นเป็น
หุ่นบ้าง เอากิ่งไม้ถากเป็นรูปคนบ้าง เอาใบไม้มาเสกบ้าง เอาหญ้ามาผูกหุ่นบ้าง รวมแล้วมีบริวารเรือนหมือนทีเดียวแล้วท่านก็ออกคำสั่งให้บริวารที่สร้างขึ้นมาเหล่านั้นไปหลบซ่อนตนอยู่ในป่าใกล้ๆกับบริเวณอาศรมมิให้ผู้ใดเข้ามาใกล้อาศรมได้ โดยมีพระฤษีหน้าแมวเป็นหัวหน้าคอยดูแลรักษาบริวารเหล่านั้น....เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว พระฤษีวิมุติก็เข้าที่บำเพ็ญตนอยู่ภายในอาศรมไม่ยอมออกไปไหนวางตัวเฉยอยู่ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  เหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย

136#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 14:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทางด้านพระฤษีสุรินทะระ หมกมุ่นอยู่กับการสร้างบริวารจำนวนนับหมื่นเช่นเดียวกันและคิดว่าพระฤษีวิมุติคงไม่รู้เท่าทันตน มอบหมายหน้าที่ให้พระฤษีหน้าหมาเป็นผู้ควบคุมดูแลเตรียมพร้อมที่จะออกศึกทันทีที่ได้รับคำสั่ง
    น่าเสียดายพระฤษีทั้งสองเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่มาบัดนี้ได้กลายมาเป็นศัตรูกันเสียแล้วช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กันแท้ๆ กลับต้องมาห้ำหั่นกัน นี่มันกรรมอะไรกันหนอจึงบันดาลให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ ครั้นได้ฤกษ์งามยามดี พระฤษีสุรินทะระก็ยกกองทัพที่สร้าง
ขึ้นมาจากเวทมนต์คาถาเคลื่นไปเสียงอึกทึกครึกโครมเลื่อนลั่นไปทั้งราวป่า ก็เนื่องมาจากพวกไพร่พลส่งเสีบงไชโยโห่ร้องเป็นการข่มผู้ต่อสู้และเป็นเพราะพระฤษีบรรจุอาคมวิเศษที่ทำให้พวกมันมีจิตในฮึกเหิมและอำมหิต พอมาใกล้อาศรมพระฤษีวิมุติ พระฤษีสุรินทะระก็สั่งให้ไพร่พลกระจายกำลังโอบเอาไว้ทุกด้านมั่นใจว่าจะต้องเอาชัยชนะมาเป็นของตนให้ได้
    ฝ่ายพระฤษีวิมุติก็มิได้ประมาทคงเตรียมเอาไว้เงียบๆโดยไม่มีใครล่วงรู้หรือว่ามองเห็น พระฤษีสุรินทะระเห็นทางฝ่ายศัตรูยังเงียบอยู่ก็สงสัยจึงให้พระฤษีหน้าหมาเข้าไปดูเชิง และดูลาดเลาก่อนพระฤษีหน้าหมาจึงเข้าไปในอาศรม เห็นพระฤษีวิมุติยังนั่งหลับตานิ่งอยู่อย่างปกติไม่มีวี่แววที่จะคิดป้องกันตัวแต่อย่างใด จึงกลับออกมาบอกกับพระอาจารย์ให้ทราบ....
พระฤษีสุรินทะระรู้แน่ชัดแล้วว่าศัตรูมิได้เตรียมการป้องกันเอาไว้แต่อย่างใด ก็มองเห็นชัยชนะอยู่แค่มือเอื้อม จึงสั่งไพร่พลที่นำมาบุกตะลุยเข้าไปทันที สิ้นเสียงสั่งก็มีเสียงโห่ร้องอึงมี่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น พลพรรคที่เกิดจากอำนาจมนต์คาถาก็ตีขนาบเป็นวงแคบเข้าไปเพื่อปิดทางออกโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นเองสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น นั่นคือกองทัพเวทมนต์ของพระฤษีวิมุติที่ซุ่มอยู่ก็ลุกพรึบขึ้นมาปะนั้นก็แตกกระเจิงไม่เป็นขบวน พระฤษีสุรินทะระเห็นเช่นนั้นก็เหงื่อแตกพลั่กขืนยืนอยู่ก็มีหวังเจ็บตัวแน่จึงเผ่นหนีตามพลพรรคไปด้วย

137#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 14:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระฤษีสุรินทะระต้องพ่ายแพ้ยับเยินอีกครั้ง เมื่อหนีมาได้พักผ่อนเรียกขวัญให้กลับมาสู่ตัวได้แล้วตั้งสติปฏิบัติบูชาภาวนาพระคาถาเพื่อเรียกพลพรรคที่แตกกระเจิงให้กลับมาประชุมกันอีกครั้งหนึ่งแล้วพระฤษีสุรินทะระก็ปลุกเสกให้พลพรรคเหล่านั้นอยู่ยงคงกระพันและแข็งแกร่งขึ้นมาอีก พร้อม
ทั้งยังปลุกกำลังใจให้เพิ่มพลังสู้ไม่รู้จักถอย จนกระทั่งแน่ใจและเพียงพอแก่ความต้องการแล้วพระฤษีสุรินทะระก็เกณฑ์พลเหล่านั้นให้เคลื่อนขบวนออกไปหมายที่จะเผด็จศึกให้ได้ส่วนทางฝ่ายพลของพระฤษีวิมุติก็คอยทีอยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นดังนั้นก็ตรงรี่เข้าไปปะทะกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกเอาจริงเอาจังกันทั้งสองฝ่าย พระฤษีทั้งสองก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่ชุมมุนวุ่นวายทั้งคู่ คนละมุมคอยสั่งและบัญชาการรบ ทั้งป่าในขณะนั้นเต็มไปด้วยกองทัพเวทมนต์ของทั้งสองฝ่าย ได้บุกเข้าปะทะกันต้นไม้ล้มระเนนระนาด ฝูงสัตว์ป่าพากันวิ่งกระเจิดกระเจิงด้วยความตกใจ พากันหนีเอาตัวรอดกันชุลมุนวุ่นวายไปหมด สงครามของทั้งสองพระฤษีไม่มีทางที่จะยุติหรือสงบลงได้ มีแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้น
    และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทันใดนั้นเองพลพรรคของพระฤษีทั้งสองฝ่ายที่กำลัง ต่อสู้กันชุลมุนก็พากันลอยตัวคว้างขึ้นบนอากาศสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป แล้วในที่สุดพลพรรคของทั้งสองฝ่ายก็อันต้องกระจายหายไปกลายเป็นเศษหญ้า เศษฟาง และเศษดินปลิวว่อนอยู่บนท้องฟ้าแล้ว
ค่อยๆล่วงลงมาสู่พื้นดินทุกอย่างสงบอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้    และแล้วก็มีวัตถุอย่างหนึ่งหล่นตุ้บลงมาตรงหน้าพระฤษีทั้งสอง ในขณะที่พระฤษีทั้งสองต่างก็ยืนตกตะลึงอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วสิ่งที่หล่นมาก็เริ่มแปรสภาพอย่างรวดเร็วจนกระทั่งกลายเป็น..พระนารทฤษี มายืนอยู่ตรงหน้าของศิษย์ทั้งสองพร้อมกับชี้หน้าอย่างโกรธแค้นในการที่พระฤษีทั้งสองลืมตัว ใช้วิชาในสายเดียวกัน ที่ได้มาจากแหล่งเดียวกันมาทำลายล้างกันโดยปราศจากความยั้งคิด พระฤษีทั้งสองได้สติ ตรงรี่เข้ากราบพระฤษีผู้เป็นอาจารย์ รับสารภาพในความผิดทุกประการ พระนารทฤษีก็อบรมพระฤษีทั้งสองให้คืนดีกันและปรองดองกันเหมือนเดิม พระฤษีทั้งสองก็เห็นว่าถูกต้องและเป็นจริงทุกประการจึงตกปากรับคำแข็งขัน จับมือคืนดีกัน พระนารทฤษีก็หายวับไปกับตาทั้งสองพระฤาษีก็พากันกลับอาศรมแห่งตน โดยไม่มีจิตคิดอาฆาตแค้นกันอีกต่อไป.....

138#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 14:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


117.ปู่เจ้าสมิงพราย
        มาจากตำนานเก่าแก่ของไทยเรื่อง 'พระลอ'กล่าวถึงปู่เจ้าสมิงพรายว่า เป็นชายชราอายุนับร้อยๆปีนุ่งขาวห่มขาวผมหนวดขาว ห้อยลูกประคำเส้นใหญ่ๆจำศีลภาวนาอยู่ในถ้ำเพียงผู้เดียว มีอาคมกล้าแข็งด้วยฤทธิ์ ธิดาเจ้าเมืองแมนสรวง คือ 'เพื่อน แพง' ให้ความเคารพนับถือมาก ภายหลังมีจิตปฏิพัทธ์ต่อ'พระลอ' โอรสเมืองอื่นซึ่งเป็นคู่อริกัน เพื่อน-แพง ให้ปู่เจ้าสมิงพรายใช้อิทธิฤทธิ์ เสกไก่แก้วให้พระลอตามไก่แก้วนั้น จนพบกับพี่น้องเพื่อน-แพงสมความปรารถนาท่านสามารถรักษาการเจ็บป่วยจาก การถูกของ ถูกกระทำ จากอำนาจไสยศาสตร์มนดำอย่างได้ผล....

      เรื่อง นี้เกิดขึ้นที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวัดในภาคเหนือของไทย ท้าวแมนสรวงเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองแมนสรวง พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า “ นาฏบุญเหลือ ” ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสพระนามว่า “ พระลอดิลกราช ” หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ พระลอ” กิตติศัพท์ว่าพระองค์เป็นหนุ่มรูปงามเลื่องลือไปทั่วสารทิศจนไปถึงเมืองสรอง ( อ่านว่าเมืองสอง ) ซึ่งเป็นเมืองที่ปกครองโดยท้าวพิชัยวิษณุกร พระองค์มีพระนามว่า “ พร
ดาราวดี ” และทั้งสองพระองค์มีพระธิดาผู้เลอโสมถึงสองพระองค์พระนามว่า “ พระเพื่อน” และ “ พระแพง ” เจ้าหญิงเพื่อนและเจ้าแพงได้ยินว่า พระลอเป็นชายหนุ่มรูปงามก็เกิดความสนใจใคร่จะได้ยลโฉม สอง พี่เลี้ยงคือนางรื่น และนางโรยสังเกตเห็นความกระตือรือร้นของนายหญิงของตนก็เข้าใจในพระประสงค์ ของทั้งสองพระองค์ สองพี่เลี้ยงจึงอาสาที่จะจัดให้นายสาวของตนได้พบกับพระลอ โดยการส่งคนไปขับซอในนครแมนสรวง ในขณะขับซอ นักดนตรีพรรณนาถึงความงามของเจ้าหญิงทั้งสอง ในขณะเดียวกันพี่เลี้ยงทั้งสองก็ได้ไปหาปู่เจ้าสมิงพราย เพื่อให้ช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอหลงใหลในเจ้าหญิงทั้งสองปู่เจ้าสมิงพรายพวก เรา รู้จักปู่เจ้าสมิงพรายในฐานะบรมครูด้านเสน่ห์ ด้านภูตพรายวันนี้เรามาเจาะลึกประวัติของปู่จากวรรณคดีกันดีกว่าครับ เรื่องพระลอนี่ผมเคยอ่านตอนอยู่ป.5รู้สึกติดใจในปู่

139#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 14:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

เจ้ามากพอโตมาเล่นของเลย ศึกษาประวัติท่านเรื่อยมาครับ....ในวรรณคดีเรื่องพระลอพูดถึงการที่พระธิดาต้องการทำเสน่ห์พระลอแต่การจะทำเสน่ห์พวก เจ้าเมืองนั้นยากมากเพราะที่เมืองจะมีทั้ง พระเสื้อเมือง เทวดาคุ้มเมือง และหมอยาเก่งๆในวังมากมาย พระธิดาจึงต้องหาหมอที่มือแน่ที่สุดในการทำเสน่ห์ ในที่สุดก็ใด้ปู่เจ้าสมิงพรายเป็นผู้ทำ และสำเร็จซะด้วย
             ในเรื่องใด้ บรรยายลักษณะของปู่เจ้าสมิงพรายดังนี้ครับ คือ ไม่ผอม ไม่อ้วน ไม่หนุ่ม ไม่แก่คิ้วสวย ตาสวยปากสวยและมีชีวิตอยู่มาถึงกัลป์แล้ว แต่ลักษณะทุกอย่างของท่านล้วนแต่พอดีไปหมดครับ คงจัดว่าเป็นชายงาม ขนาดพระธิดายังชื่นชมเลยเมื่อพระเพื่อนพระแพง
เจอท่าน จะขอให้ท่านทำของให้แล้วจะให้แก้วแหวนเงินทอง วัวควาย ท่านไม่รับครับท่านบอกว่าเป็นระดับเทพแล้วจึงไม่ต้องการ ท่านรับไว้แต่หมากที่พระธิดานำไปถวาย
          การทำเสน่ห์ของปู่ ในครั้งแรก ท่านเอาไม้เลี้ยง ไม้ไล่ ไม้ไผ่ มาไขว้เป็นลูกกลมๆคล้ายตะกร้อ เขียนรูปพระลออยู่ตรงกลาง เขียนรูปพระนางทั้ง2กอดคนละข้างและเขียนยันต์เป็นขอบ และกวักมือไปที่ยอดต้นยางใหญ่7คนโอบ ยอดต้นยางค้อมมาหาปู่ ท่านเอาลูกตะกร้อลงยันต์นั้นวางบนยอดยางและปล่อยให้ดีดออกไปตามลมถูกพระลอ หลังจากนั้นพระลอก็เพ้อคลั่งอยากไปหาพระเพื่อนพระแพง เสด็จพ่อเห็นท่าไม่ดี รู้ว่าลูกโดนของ จึงไปหาหมอหายาดีทั่วสารทิศมารักษา ในที่สุดครั้งแรกคณะแพทย์หลวง ก็สามารถแก้ใด้เมื่อปู่เจ้าท่านรู้ดัง นั้นก็เอาใหม่ คราวนี้เปลี่ยนเป็น เอาธงสามชายมา เขียนยันต์ลงไปมากกว่าเก่า แล้วใช้ต้นตะเคียนขนาด9คนโอบ โน้มลงมาแล้วดีด ธงสามชายนั่นไป ถูกพระลอเป็นครั้งที่สอง คราวนี้พระลอเพ้อคลั่งยิ่งกว่าครั้งเก่า หมอเก่งในเมืองต่างจนปัญญากัน
           จึงต้องไปเชิญหมอชื่อ ปู่หมอสิทธิไชย ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชานเมืองมารักษา ปู่หมอทำพิธีเชิญบารมีครูบาอาจารย์และเทพในเมืองมารักษา ในที่สุดก็ช่วยถอนใด้เป็นครั้งที่สอง

140#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 14:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อปู่เจ้าเห็นดังนั้น ท่านจึงคิดจัดการให้แตกหัก ท่านจึงเชิญเทวดาและผีพรายต่างๆมาเป็นกองทัพ เพื่อจะบุกเข้าไปสู้กับเทวดาที่รักษาเมืองสรอง บรรดาเทพและพรายที่มาช่วยปู่เจ้าต่างขี่เสือ สิงห์ แรด และสัตว์ดุร้ายต่างๆมากมาย ตามความบทนี้ครับ ๑๔๔ ปู่รำพึงถึงเทพดา หากันมาแต่ป่า มาแต่ท่าแต่น้ำ มาแต่ถ้าคูหา ทุกทิศมานั่งเฝ้า พระปู่เจ้าทุกตำบล ตนบริพารทุกหมู่ ตรวจตราอยู่ทุกแห่ง ปู่แต่งพระพนัสบดี ศรีพรหมรักษ์ยักษกุมาร บริพารภูตปีศาจ ดาเดียรดาษมหิมา นายกคนแลคน ตนเทพผู้ห้าวท้าวผู้หาญ เรืองฤทธิ์ชาญเหลือหลาย ตั้งเป็นนายเป็นมุล ตัวขุนให้ขี่ช้าง บ้างขี่เสือขี่สีห์ บ้างขี่หมีขี่หมู บ้างขี่หมูขี่เงือก ขี่ม้าเผือกผันผาย บ้างขี่ความขี่แรด แผดร้องก้องน่ากลัว ภูตแปรตัวหลายหลาก แปรเป็นกากภาษา เป็นหัวกาหัวแร้ง แสร้งเป็นหัวเสือหัวช้าง เป็นหัวกวางหัวฉมันตัวต่างกันพันลึก ละคึกกุมอาวุธ เครื่องจะยุทธ์ยงยิ่ง เต้นโลดวิ่งระเบง คุกเครงเสียงคะครื้น
ฟื้นไม้ไหล้หินผา ดาดดากันผาดเผ้ง ระเร้งร้องก้องกู่เกรียง เสียงสะเทือนธรณี เทียบพลผีเสร็จสรรพ ปู่ก็บังคับทุกประการ จึ่งบอกสารอันจะใช้ ให้ทั้งยามนตร์ดล บอกทั้งกลอันจะทำให้ยายำเขาเผือด มนตราเหือดหายศักดิ์ ให้อารักษ์เขาหนี ผีเขาแพ้แล้วไซร้ กูจึ่งจะใช้สลาเหิร เดิรเวหาไปสู่ เชิญพระภูธรท้าว ชักมาสู่สองหย้าว อย่าคล้าคำกู สั่งนี้ ฯ
ในที่สุดกองทัพของปู่ก็บุกไป สู้กับกองทัพของพระเสื้อเมืองสรอง และเอาชนะพระเสื้อเมืองใด้ ผีป่าต่างบรรดาลให้เกิดอาเพศทั่วเมืองสรวง ฟ้าผ่า ฟ้าเหลือง เกิดเมฆหมอก ปู่หมอสิทธิไชยเห็นดังนั้นก็ถอดใจทันที ทูลพระราชาไปตามตรงว่าไม่สามารถสู้กับปู่เจ้าใด้เลยหยูกยาทั้งหลายก็ ถูกบริวารปู่เจ้าถอนเสื่อมไปหมด หลักจากที่ใด้ชัยชนะทางผีแล้ว ปู่เจ้าท่านก็เสกหมากเป็นแมลงภู่บินเข้าไปในวังตกลงในเชี่ยนหมาก(วิชานี้ใน เรื่องเรียก สลาเหินครับ) พระลอเสวยหมากคำนั้นเข้าไปก็ใด้เรื่อง เกิดอาการคุ้มคลั่งจะออกป่าให้ใด้
แม้แต่ หมอสิทธิไชยก็ไม่สามารถช่วยใด้แล้ว เพราะเทวดาประจำเมืองหนีไปหมดแล้ว ในที่สุดพระบิดามารดาก็ห้ามไม่ไหว และในที่สุดพระลอก็ออกป่าไป ในที่สุด ....นี่แหละครับเป็น เรื่องส่วนหนึ่งของปู่เจ้าสมิงพรายจากเรื่องพระลอท่าน จึงถือเป็นบรมครูด้านเสน่ห์และภูตพราย ขอบารมีของท่านปกป้องทุกท่านครับ

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้