ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ปู่ฤาษี 108 ตน

[คัดลอกลิงก์]
141#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 14:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิธีการบูชาปู่เจ้าสมิงพราย
การที่จะไปกราบไหว้บนบานปู่เจ้าสมิงพรายนั้นก็เหมือกับการไหว้ปู่ฤษีตามปกติ สิ่งที่ถวายไม่ควรเป็นของคาวควรเป็นผลไม้ หมากพลู บุหรี่ ยาเส้น น้ำดื่ม พวงมาลัยและดอกไม้

คาถาบูชาปู่เจ้าสมิงพราย
สวดนะโม 3 จบ....
ยะมะหัง ครูอาจาริยัง สะระณังคะโต อิมินา สักกาเรนะ ครูอาจาริยัง อภิปูชะยามิ
ทุติยัมปิ ยะมะหัง ครูอาจาริยัง สะระณังคะโต อิมินา สักกาเรนะ ครูอาจาริยัง อภิปูชะยามิ
ตะติยัมปิ ยะมะหัง ครูอาจาริยัง สะระณังคะโต อิมินา สักกาเรนะ ครูอาจาริยัง อภิปูชะยามิ
   โอมกูจะครอบฟ้าและแผ่นดิน กูจะครอบพระสมุทรและสายสินจน์ กูจะครอบพระอาทิตย์และ
พระพรหม กูจะครอบพระยมและพระกาฬ กูจะครอบท้าวโลกบาลทั้งสี่ ทั้งกูจะครอบทั้งตัวกู กู
เป็นลูกปู่เจ้าสมิงพราย ครูกูจึงจะใช้ ให้เรียกคุณมนต์ดลแลจ่ามนต์และพระยามนต์อย่าได้ไปไกล
จากตนกูโอมประสิทธิแก่กู สวาหะ.....

142#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 15:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


118.พระฤษีสันทราย....
องค์นี้ตามประวัติเดิมท่านเป็นพราหมณ์ที่ได้รับการอบรมศึกษาทางด้านวิชาการจากสำนักที่มีชื่อเสียงของเมืองตักกศิลา จนกระทั่งมีความรู้ความสามารถที่เชี่ยวชาญเมื่อเรียนสำเร็จแล้วก็บวชเป็นพระฤษี แล้วออกไปบำเพ็ญตบะอยู่ที่ป่าหิมพานต์ต่อมาท่านก็ได้บรรลุฌาณชั้นสูงจึงมีศิษย์มากมายท่านต้องการที่จะให้ศิษย์ได้รับความสะดวกสบายไม่ต้องทนลำบากอยู่ในป่าหิมพานต์ที่เต็มไปด้วยอันตราย จึงได้ย้ายสำนักไปอยู่ชายแดนของประเทศกาสี ในหมู่บ้านคามนิคมซึ่งที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยโภชนาหารพร้อมเพรียง ผิดกับในป่าหิมพานต์เป็นอันมาก
   พระฤษีสันทรายได้้ตั้งสำนักเป็นหลักเป็นฐานอยู่ในบ้านคามนิคมนั้นมาเป็นเวลานาน ก็มีศิษย์มากขึ้นเป็นลำดับจึงทำให้ชื่อเสียงของพระฤษีองค์นี้โด่งดังไปไกลแสนไกล เมื่อใครๆรู้ข่าวก็มีความเลื่อมใสศรัทธา นำเอาข้าวปลาอาหารมาถวายกันมิได้ขาด ภายในบริเวณอาศรมก็มีลิงตัวหนึ่งเป็นลิงทะโมนตัวใหญ่มากและก็มีนิสัยซุกซน ชอบกลั่นแกล้งตามสัญชาติของลิง มันอาศัยอยู่บนต้นโมกข์ใกล้กับอาศรมพระฤษี เวลาใดที่พระฤษีออกไปบิณฑบาตหรือว่าไปทำธุระภายนอกเจ้าลิงตัวนี้มันจะลงมาจากต้นโมกข์แล้วตรงเข้ารื้อข้าวของในอาศรมให้กระจุยกระจายได้รับความเสียหายอยู่เป็นประจำ บางครั้งมันก็ถ่ายอุจจาระรดอาศรมเอาดื้อๆ บางครั้งก็ทุบทำลายเครื่องใช้ เช่น หม้อข้าวตุ่มน้ำและของที่แตกพังได้ จนพระฤษีแทบจะทนไม่ไหว
    ในวันหนึ่งๆจะมีญาติโยมที่มีจิตศรัทธานำข้าวปลาอาหารมาถวายให้พระฤษีฉันต์ เจ้าลิงตัวนั้นก็อยากกินบ้าง มันจึงคิดหาอุบายและช่องทางที่จะหลอกให้คนเข้าเชื่อถือมีความศรัทธาในตัวของมันจะได้นำเอาอาหารมาถวายบ้าง เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วมันจึงลงมาจากต้นโมกข์แล้วแกล้งสำรวมกิริยาอาการให้เหมือนกับพระฤษีคงนั่งขัดสมาธิ หลับตาเข้าฌาณในท่าทางของพระฤษีที่มันเคยเห็น แล้วจึงนำมาทำบ้าง เพื่อที่จะให้ผู้ที่มานั้นได้มีความเชื่อและเลื่อมใสในตัวของมันให้มาก....
ฝ่ายชาวบ้านที่พากันมานั้น เมื่อเห็นกิริยาอาการของลิงทะโมนตัวนั้น ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาต่างก็ปรึกษาและโจษขานไปต่างๆนานา ด้วยความเชื่ออย่างมั่นใจในสำนักของพระฤษีนี้เป็นสถานที่ศักดิ์ศิษย์ และพระฤษีองค์นี้ท่านก็มีความสามารถอบรมสั่งสอนให้ดีได้แม้กระทั่งสัตว์เดียรัจฉาน
ก็ยังรู้จักปฏิบัติธรรมบำเพ็ญตบะเยี่ยงพระฤษีกลายเป็นสัตว์ผู้ทรงศีลไปได้
    ชาวบ้านยิ่งเพิ่มความมั่นใจขึ้นมาอีกจึงได้กล่าวยกย่องชมเชยต่อหน้าพระฤษี ซึ่งก็เล่นเอาพระฤษีถึงกับกระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เลยเปิดเผยขึ้นว่า... ' จะไปหลงเชื่ออะไรกับลิง โยมทั้งหลายไม่รู้จักนิสัยของลิงหรอกหรือ ถ้ายังไม่รู้จักธรรมชาติและกำพืดของมันก็อย่าไปหลงกลมันอย่าเพิ่งไปชมว่ามันดี '...

143#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 15:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พวกชาวบ้านกลุ่มนั้นพากันนิ่งเงียบไปตามๆกันด้วยความสงสัยในคำพูดของพระฤษี 'อ้าว..แล้วนั่นไม่ใช่ศิษย์ของพระคุณเจ้าหรอกหรือ ' ....ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นมาตรงๆ หลังจากที่ทุกคนยังนิ่งฟังและมองหน้าพระฤษีอยู่ ...' เปล่าหรอกโยม ไอ้ลิงตัวนี้แหละมันเป็นลิงเกเร ที่ชอบรบกวนรัง
แกอาตมาอยู่บ่อยๆ เช่น ทุบทำลายข้าวของ ถ่ายอุจจาระรดศาลา เที่ยวเอาไฟไปเผาไอ้โน่นไอ้นี่ด้วยความสนุก และซุกซน จนกระทั่งอาตมาได้รับความเดือดร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว..'
    เมื่อชาวบ้านทั้งหมดได้ทราบเหตุผลต้นปลายจากพระฤษี ก็มีความโกรธแค้นเจ้าลิงทะโมนตัวนั้นมากถึงขนาดหาไม้ ก้อนอิฐ ก้อนหิน ก้อนดิน เอามาช่วยกันขว้างปา จนกระทั่งเจ้าลิงตัวนั้นทนต่อความเจ็บปวดไม่ได้ จึงต้องหนีไปอยู่ที่อื่น ทั้งอาหารที่มันต้องการก็ไม่ได้กิน มิหนำซ้ำยังต้องเจ็บตัวอีก ชาวบ้านไม่ยอมลดละถ้าหากขืนดื้อดึงอยู่ต่อไป  ก็คงจะต้องตายแน่ๆ หลังจากที่ลิงทะโมนหนีเข้าป่าไปแล้วพระฤษีท่านก็ฉันภัตตาหารแล้วก็แสดงธรรมโปรดญาติโยมทั้งหลายแล้วจากนั้นท่านอพยพกลับไปอยู่ในป่าหิมพานต์อีกครั้ง เรื่องราวของพระฤษีสันทรายและเจ้าลิงทะโมนยังไม่จบลง
ง่ายๆ....
    ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านได้เข้ามาร้องเรียนกับท่านท้าวพรหมทัต ทางด้านชายแดนของเมืองพาราณสีนั้น บัดนี้ได้มีกองโจรเข้ามาอาละวาดทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนพระราชาทรงทราบเรื่องเช่นนั้นก็ยกกองทัพหมายออกไปปราบโจรพวกนั้น ครั้นกองทัพเดินทางมาถึงป่าใหญ่ แต่ก็ยังมิได้พบกับกองโจร พระราชามีพระบัญชาให้หยุดทัพเพื่อที่จะให้ทหารพักผ่อน เมื่อ
หยุดพักแล้วพวกทหารก็เอาเสบียงออกมาแจกจ่ายกันกินซึ่งในสมัยนั้นก็มักจะเป็นการคั่วข้าวตากเป็นอาหารหลักกันแทบทั้งนั้น ต่างก็เอาข้าวตากใส่ภาชนะแล้ววางไว้มิทันได้กิน ทหารคนนั้นก็หันไปทำธุระทางอื่นก่อน ซึ่งในขณะนั้นก็หาได้พ้นสายตาของลิงทะโมนตัวที่ถูกชาวบ้านไล่ขว้างปาจนต้องหนีเข้าป่าซึ่งมันก็กำลังหิว แอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างเงียบเชียบเมื่อเห็นอาหารมันก็อยากกินและก็เป็นจังหวะที่ทหารคนนั้นกำลังเผลอมันก็ย่องเงียบเข้าไปโขมยเอาข้าวตากใส่ปากจนเต็มแล้วก็รีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่มันเคี้ยวข้าวตากอย่างเอร็ดอร่อย แต่บังเอิญมันทำข้าวตากที่อยู่
ในปากตกลงพื้นดิน เจ้าลิงทะโมนมันแสนเสียดายข้าวตากเมล็ดนั้นมาก ถึงกับต้องคายข้าวตากที่อยู่ในปากทิ้งแล้วรีบไต่ต้นไม้ลงมาเพื่อที่จะหาข้าวตากเมล็ดนั้นให้ได้ แต่ทว่ามันพยายามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ทั้งของในปากก็คายทิ้งหมดแล้ว ด้วยความเสียดายกลายเป็นความเสียใจ มันไต่ขึ้นไปนั่ง
เหงาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่ทิ้งของใหญ่ลงไปหาของเล็กแล้วในที่สุดมันก็อดทั้งสองทางมันจึงมีอาซึมด้วยความเสียดาย

144#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 15:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พอดีกับพระราชาเสด็จมาทางนั้นเมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมองก็เห็นอาการหงอยเหงาของเจ้าลิงทะโมนตัวนั้น ก็ทรงแปลกพระทัย คิดว่าจะต้องมีเหตุร้ายแน่นอน พระราชาจึงมุ่งหน้าเข้าไปหาพระฤษีสันทราย เพื่อให้ทำนายในเหตุการณ์ครั้งนี้ ...'พระองค์จะไปเชื่ออะไรกับลิง นิสัยและสันชาติของมันเช่นนั้น มันมีสันดานอย่างนั้น พอใจในสิ่งที่ตกหล่น ชอบทิ้งของใหญ่ๆหวังจะได้ของเล็ก แต่แล้วมันก็ไม่ได้ทั้งเล็กทั้งใหญ่ มันจึงต้องมานั่งหงอยเหงาให้ผู้ที่ไม่รู้เท่าทันสงสารมัน ก็นั่นแหละที่จะเข้าทำนองให้ลิงหลอก เพราะนิสัยของมันชอบหลอก ตามคำภาษิตก็ยังได้บอกเอาไว้ว่า ชอบหลอกเหมือนลิงจริงไหมล่ะบพิตร '...
    พระราชานิ่งฟังการบรรยายของพระฤษีด้วยความเลื่อมใสศรัทธา...'จริงของพระคุณเจ้านั่นแหละแล้วกองทัพมาที่นี่จะมีอุปสรรคไหมขอรับ' ....พระราชายังถามเพื่อความมั่นใจ พระฤษ๊จึงตอบว่า'...มหาบพิตรก็เห็นอยู่แล้วจากเจ้าลิงทะโมนตัวนั้น มันทิ้งของใหญ่เพราะว่ามันเสียดายของเล็กก็
เปรียบได้กับมหาบพิตรที่กำลังจะเอาของใหญ่ไปแลกกับของเล็กที่หาคุณค่ามิได้  อันของใหญ่นั้นเปรียบได้กับกองทัพมหาบพิตรแต่ไอ้ของเล็กๆอันน้อยนิดที่หาค่ามิได้ก็เห็นจะเปรียบได้กับกองโจรนั่นแหละ มันไม่เป็นการสมควรที่จะต้องไปแลกกันเลยเพราะว่าค่ามันไม่เท่ากันถ้าหากว่าพลาดพลั้ง
ลงไปแล้วก็คงจะได้รับความเดือดร้อน ได้รับอันตรายได้รับความเสียยายอย่างมหาศาล'
พอพระฤษีกล่าวจบ พระราชาก็ก้มลงกราบด้วยความเคารบอย่างจริงจัง จึงสั่งให้ทหารนำเอาเสบียงมาถวายพระฤษีแล้วจึงยกทัพกลับพระนคร หลังจากที่พระราชาพรหมทัตยกกองทัพกลับเข้าเมืองพาราณาสีแล้ว เจ้าลิงทะโมนใหญ่ตัวนั้นมันก็ลงจากต้นไม้แล้วท่องเที่ยวรอนแรมไปในป่า จนกระทั่งมีสมัครพรรคพวกอยู่รวมกันเป็นฝูงหากินกันอยู่ในป่าหิมพานต์นั่นเอง ลิงทุกตัวในฝูงต่างฝ่ายต่างรู้ช่ิงทางในการหากินอาหารกันเป็นอย่างดีเจ้าทะโมนตัวใหญ่กว่าเพื่อนจึงได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าฝูง คอยออกหัวคิดวางแผนในการหากินและควบคุมดูแลบริวารเหล่านั้น ตั้งแต่นั้นมาจึงมีความสุขขึ้นมาบ้าง วันหนึ่งบริวารลิงได้มาบอกเจ้าทะโมนหัวหน้าฝูงว่ามีต้นมะม่วงอยู่ต้นหนึ่ง เมื่อถึงฤดูที่ออกผลพวกตนเคยไปเก็บมากินทุกปี เราะว่ามะม่วงต้นนั้นทั้งดกและยังมีรสอร่อยอีกด้วย แต่มาบัดนี้พระฤษีสิงคานก็ได้พาพรรคพวกเข้ามาปลูกสร้างอาศรมบริเวณนั้น จึงยากต่อการที่ีพวกเราจะเข้าไปเก็บ
กินได้เพราะพระฤษีเหล่านั้นได้ยึดอำนาจถือสิทธิ์เป็นเจ้าของไปแล้ว เจ้าลิงทะโมนใหญ่มันก็ยังมีใจเจ็บแค้นและอาฆาตพยาบาทต่อพระฤษีอยู่จึงชวนกันไปโขยมมะม่วงกิน โดยที่ตนจะหาอุบายและแก้ไขสถานการณ์เอง พวกบริวารแรกๆก็ยังไม่กล้าไป เพราะกลัวว่าพระฤษีท่านจะทำร้ายเอา แต่เมื่อได้
รับการรับรองจากเจ้าทะโมนใหญ่อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ จึงตดลงยกขบวนพากันไปที่ต้นมะม่วงนั้นแต่ก็ยังมิกล้าเข้าไปเพราะว่ายังเป็นเวลากลางวัน กลัวพระฤษีจะเห็น

145#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 15:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พวกลิงเหล่านั้นจึงพากันหลับพักผ่อนนอนคอยทีอยู่บนต้นไม้รอบๆบริเวณอาศรมของพระฤษีอย่างเงียบเชียบเพื่อรอเวลาให้ถึงตอนดึก แล้วจะได้เข้าไปเก็บมะม่วงโดยที่ไม่มีใครเห็น หลังจากที่พวกมันรอคอยกันมาเป็นเวลานานก็ถึงเวลาดึกสงัด พวกลิงทั้งฝูงจึงพากันย่องเงียบมาขึ้นต้นมะม่วงแต่เจ้าทะโมนมันมัวแต่หลับอยู่จึงไม่ได้เข้ามาด้วย คงปล่อยให้พวกบริวารเหล่านั้นขึ้นไปเก็บกินผลมะม่วงอย่างเอร็ดอร่อย ก็บังเอิญมีพระฤษีองค์หนึ่งในจำนวนศิษย์ของพระฤษีสิงคานออกจากอาศรมมาทำธุระภายนอก ก็เห็นลิงทั้งฝูงขึ้นไปโขมยผลมะม่วงจึงกลับเข้าไปบอกพวกพระฤษีทั้งหมดให้ออกมาช่วยกันล้อมต้นมะม่วงเอาไว้ เพื่อจะรอให้สว่างเสียก่อนจึงจะจับลิงพวกนั้นได้ พระฤษีทั้งหลายจึงต้องนั่งเฝ้ากันอยู่อย่างนั้นทั้งคืน โดยการนำเอาเศษฟืนมาสุมไฟนั่งผิงกันหนาว กันลิ้นกันยุงไปในตัว คอยเวลาให้ถึงตอนเช้า ฝ่ายเจ้าพวกลิงเห็นดังนั้นก็พากันตกใจมาก เนื่องจากไม่มีทางจะหนีไปไหนได้เลย จึงต้องนั่งเงียบกันอยู่บนต้นมะม่วงนั้น พอดีเจ้าทะโมนตื่นขึ้นมาเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจจึงใช้ความคิดที่จะช่วยพวกบริวารเหล่านั้นให้ได้ มันจึงลงจากต้นไม้เดินกระสับกระส่ายไปมาได้สักพักมันก็คิดแผนการณ์ขึ้นมาได้ แล้วเจ้าทะโมนใหญ่จึงค่อยๆย่องเงียบเข้าไปทางด้านหลังของกลุ่มพระฤษีที่กำลังนั่งเฝ้าลิง และก็มิทันระวังว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าลิงทะโมนมันจึงฉวยโอกาสตอนที่พระฤษีเผลอ ค่อยๆย่องเข้าไปจนใกล้กองไฟ แล้วใช้ความว่องไวของมันให้เป็นประโยชน์มันวิ่งเข้าไปคว้าดุ้นฟืนที่มีไฟลุกโพลนได้ดุ้นหนึ่ง แล้วรีบวิ่งตรงไปอาศรมของพระฤษี แล้วจึงจุดไปเผาอย่างรวดเร็ว ไฟก็ได้ลุกพรึบขึ้นมาส่องแสงสว่างจ้า  ทำให้พวกพระฤษีที่เฝ้าลิงนั้นตก
ใจพากันวิ่งไปช่วยกันดับไฟที่อาศรม ส่วนพวกลิงที่อยู่ทางนี้ก็เก็บมะม่วงกินตามสบาย แล้วพากันหนีเข้าป่าไป  ทางด้านพระฤษีเมื่อช่วยกันดับไฟสงบลงแล้วก็พากันกลับมาที่ต้นมะม่วงอีกครั้ง แต่แล้วทั้งหมดก็พากันตกตะลึง ด้วยว่าที่มะม่วงต้นนั้นไม่มีลิงเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว มิหนำซ้ำพวกมัน
ยังได้ช่วยกันขนมะม่วงบนต้นไปจนหมดเกลี้ยง
  
         พอดีพระฤษีสิงคานผู้ที่เป็นพระอาจารย์ของพระฤษีกลุ่มนั้นออกมา จึงเอ่ยขึ้นว่า ...( 'เป็นไงล่ะท่านเสียท่าลิงเข้าจนได้ ' พระฤษีกลุ่มนั้นต่างก็มองกันไปมาอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครกล้าพูดอะไร..'นี่แหละที่เขาว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง แต่มันไม่ใช่คนก็ต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจลิง จะยุ่งกันใหญ่ เป็นถึงพระฤษียังเสียท่าให้ลิง โดนลิงหลอกแล้วจะให้เรียกกันว้าอะไรล่ะ ถ้าหากไม่ใช่คำว่า '..โง่ยิ่งกว่าลิง '
   ต่อมาอีกไม่นานนักเจ้าลิงทะโมนใหญ่ตัวนั้นมันก็มาครุ่นคิดว่าการที่มันมาอยู่ในฝูงเป็นหัวหน้านั้น มันมีแต่ความรับผิดชอบทุกๆอย่างทางที่ดีแล้วควรจะออกไปเผชิญโชคแต่เพียงลำพังคงจะดีเสียกว่า เมื่อมันคิดเช่นนั้นแล้วมันจึงทิ้งฝูงเดินรอนแรมไปในป่า และในเวลานั้นเป็นฤดูแล้ง อาหารการกินก็ไม่ค่อยมี ผลไม้บนต้นทุกต้นก็เกลี้ยงต้น อีกทั้งฝนก็ไม่ตกน้ำตามลำธารก็แห้งขอดจนกระทั่งดินแยกแตกระแหง จึงทำให้เจ้าลิงทะโมนมันเกิดความลำบากมาก ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ทั้งร้อนเข้ามาประดัง ครั้งจะกลับไปเข้าฝูงเหมือนเดิมก็ขี้เกียจเพราะจะต้องย้อนกลับไปอีกไกลมากมันจึงต้องใช้ความ
พยายามและอดทนเดินทางต่อไป จนกระทั่งมาถึงอาศรมของพระฤษีอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งในบริเวณนั้นมีสระน้ำอันกว้างใหญ่และสูงชัน มันไม่สามารถจะลงไปกินน้ำได้ เจ้าทะโมนใหญ่ก็จนปัญญา แต่มันจะต้องกินน้ำให้ได้เพราะกระหายหิวเหลือเกิน มันจึงแอบซุ่มคอยดูจังหวะอยู่เงียบๆ

146#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 15:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระฤษีสัตบัน พระฤษีองค์นี้ท่านก็มีฤทธิ์มาก มีตบะบารมีในขั้นสูง ได้บำเพ็ญตนสร้างบารมีอยู่ในอาศรม แห่งป่าหิมพานต์เช่นเดียวกัน หลังจากที่ท่านออกจากตบะฌาณแล้ว ท่านก็ออกจากอาศรม พร้อมทั้งถือกระป๋องผูกเชือก ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตักน้ำเดินมุ่งหน้าไปทางสระน้ำหวังจะอาบน้ำ ชำระร่างกายให้สบายหายจากความร้อน แล้วพระฤษีก็ถือเชือกหย่อนกระป๋องลงไปจ้วงตักน้ำในสระขึ้นมาอาบ เจ้าลิงทะโมนเห็นดังนั้นก็ดีใจรีบไต่ลงมาจากต้นไม้แล้วเดินเข้าไปหาพระฤษีสัตบัน แล้วกล่าว
กับพระฤษีว่า ...'ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าหิวน้ำเหลือเกิน ขอพระคุณเจ้าจงเวทนาสงสารให้ทานน้ำแก่ข้าพเจ้าได้กินพอมีกำลังด้วยเถิด ข้าพเจ้าแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว ทั้งหิวทั้งร้อน ทั้งเหนื่อยเป็นกำลัง '...พระฤษีสัตบันท่านก็มีเมตตาจิตอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ เมื่อได้รับความทุกข์แล้ว
ท่านก็จะต้องช่วยเสมอ จึงตักน้ำเทใส่ภาชนะให้ลิงกินด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาสงสาร    เมื่อเจ้าลิงทะโมนใหญ่ได้กินน้ำจนอิ่มแล้วจึงมีความสดชื่นและมีกำละงแข็งแรงก็เดินกลับไปที่ต้นไม้พักเหนื่อยอีกครู่หนึ่ง พอดีพระฤษีอาบน้ำเสร็จจึงกลับเข้าอาศรม แล้วนำเอาอาหารและผลไม้ออกมาฉัน โดยที่ท่านไม่ได้คิดถึงลิงตัวนั้นอีกเลย เจ้าลิงใหญ่มันเห็นพระฤษีเดินหายเข้าไปในอาศรม มันจึงตามเข้าไปบ้างและทำกิริยาอาการอิดโรยให้พระฤษีเห็นว่าตนกำลังหิว เผื่อว่าพระฤษีท่านจะสงสารแล้วให้อาหารบ้าง พระฤษีท่านเห็นอาการดังนั้น ก็จัดแบ่งอาหารและผลไม้ส่งให้เจ้าลิงทะ
โมนกินจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ก็มีกำลังวังชาขึ้นมาเหมือนเดิม มันจึงเริ่มออกฤทธิ์ทันทีเข้าทำการรื้อค้นของในอาศรมของพระฤษีให้กระจุยกระจาย ฝ่ายพระฤษีจึงเอ่ยว่า...'ชะ..ชะ.เจ้าทะโมนนี่ข้าให้ข้าวให้น้ำเจ้ากินยังไม่พออีกหรือ ยังจะซุกซรอีก...' พระฤษีท่านยังไม่มีความโกรธจึงพูดด้วยน้ำ
เสียงอันราบเรียบเดพื่อจะตักเตือน แต่คำพูดของพระฤษีไร้ผล เหมือนกับจะยิ่งยุให้เจ้าทะโมนมันแผลงฤทธิ์มากขึ้น ...'แล้วกันซีหว่า พูดกันไม่รู้เรื่องจะแกล้งกันไปถึงไหนอีกล่ะ...' เจ้าทะโมนหันกลับมามองแล้วมันก็โก่งตูดให้เป็นการหลอกล้อให้พระฤษีโกรธ ..'แน่ะ...ว่าแล้วยังจะมาล้อเลียนอีก ทำสันดานยังกะลิงแน่ะ'...เจ้าทะโมนยังไม่หยุดล้อเลียนพร้อมทั้งมันยังตอบกลับไปว่า...'ก็ลิงน่ะซี ท่านไม่รู้จักลิงหรอกหรือ ว่าลิงนั้นเป็นอย่างไรและมีนิสัยอย่างไรเท่านี้ยังไม่พอประเดี๋ยวท่านก็คงจะรู้ว่าลิงนั้นมันมีพิษสงอะไรบ้าง'...ว่าแล้วเจ้าลิงทะโมนก็โหนขึ้นไปบนขื่อ แล้วถ่ายอุจจาระรด
หัวพระฤษีทันที คราวนี้ได้ผล พระฤษีโกรธจนตาแดงทั้งสองข้างพร้อมกับชี้หน้าด่าลิง...'ไอ้ลิงชั่วไอ้ลิงเลว ไอ้ลิงเนรคุณ หนอยแน่ะมึง มันจะมากไปแล้ว กูอุตส่าห์ให้ข้าวให้น้ำมึงกินมึงยังเนรคุณหนอย..เสือกมาขี้รดหัวกูได้ ไปให้พ้น'...
   แทนที่เจ้าทะโมนมันจะกลัว กลับแยกเขี้ยวยิงฟัน ทำท่าล้อเลียนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพระฤษีอดใจอยู่ไม่ไหว จึงคว้าไม้เท้าหมายจะตีลิง เจ้าทะโมนเห็นดังนั้นก็รีบไต่ลงจากขื่อวิ่งหนีออกจากอาศรมไป แต่ก็ยังไม่วายที่จะหลอกล้อพระฤษีด้วยท่าทีต่างๆจนพระฤษีรำคาญจึงร่าวพระเวทย์บันดาล
ให้ฝนตกใหญ่เพื่อจะแกล้งลิงบ้าง มันจะได้หนีไปเสียให้พ้นๆจะได้ไม่ต้องมารำคาญอีกต่อไป
    ฝ่ายเจ้าทะโมนเมื่อโดนฝนจนเปียกชุ่มก็ให้มีอาการหนาวสั่น ครั้งว่าจะย้อนเข้าไปอาศัยร่มเงาของอาศรมก็ไม่ได้เสียแล้ว มันเกิดกลัวพระฤษีที่ทำท่าเอาจริง แล้วเจ้าทะโมนมันก็ต้องวิ่งหนีฝนออกไปจากที่นั่นโดยเร็วที่สุดทั้งๆที่หนาวสั่น มันวิ่งไปอย่างไม่ยอมหยุดจนกระทั่งห่างไกลมามาก ที่มันต้องวิ่งก็เพราะจะช่วยบรรเทาความหนาวลงได้บ้าง เจ้าลิงทะโมนเจอเข้ากับฤทธิ์ของพระฤษีมันคงจะเข็ดไปอีกนานเลยทีเดียว

147#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 15:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-17 15:16



119.พระฤษีโคนข่อย.....
พระฤษีองค์นี้ไม่มีใครรู้ประวัติของท่านโดยแท้จริง ไม่รู้แม้กระทั่งถิ่นกำเนิดของท่าน แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของท่านก็ไม่มีใครรู้จัก ท่านมีตบะฌาณที่อยู่ในขั้นสูงอีกผู้หนึ่ง บำเพ็ญตบะอยู่ในอาศรมแห่งป่าหิมพานต์นั้นและอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคามหานที อาศรมของท่านปลูกสร้างอยู่ที่โคนต้น
ข่อยใหญ่ที่มีความร่มเย็น ด้วยอิทธิฤทธิ์และชื่อเสียงของท่านโด่งดังไปไกลใครๆจึงพากันเรียกท่านว่า...พระฤษีโคนข่อย
    ในเรื่องราวและความสัมพันธ์ของท่านเมื่อกาลก่อน ในสมัยที่ท่านท้าวพรหมทัต ได้เป็นกษัตริย์อยู่ในนครพาราณสี ในกาลครั้งนั้น.



ขอบคุณสำหรับความรู้และเรื่องราวดีๆครับ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะหาอ่านได้ที่ไหนก็เจอพอดีเลย
149#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-22 08:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กราบปู่ฤาษีครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้