ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ปู่ฤาษี 108 ตน

[คัดลอกลิงก์]
81#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-15 13:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ึุ76.พระฤาษีพฤหัสบดี


82#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-15 14:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


77.พระฤษีพรหมจุลี

    ท่านเป็นพระราชบิดาของ ท่านท้าวพรหมทัต ผู้ยิ่งใหญ่และมีคุณธรรมแห่ง นครกามปิลย์ ท้าวพรหมทัตเป็นมานัสบุตร ซึ่งเกิดขึ้นด้วยใจของพระจุลีพรหมฤษีคำว่ามานัสบุตรและการเกิดขึ้นด้วยใจนั้นมิใช่ว่าจะเป็นเรื่องเหลวใหลเนื่องจากผู้ที่สำเร็จในตบะฌานได้ขึ้นไปปฏิบัติอยู่บนสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นชั้นเทพหรือชั้นพรหมท่านจะมีบารมีมากมายถึงขั้นที่ว่าต้องการอะไรก็จะต้องได้สมกับเจตนา มโนนึก ที่เรียกกันว่า เสวยทิพย์สมบัติ ในที่นั้นจะต้องกลายเป็นทิพย์ทั้งหมด เช่น อยู่่ปราสาททิพย์ วิมานทิพย์ บัลลังก์ทิพย์ แท่นทิพย์(ทิพยอาสน์) อาหารทิพย์ โภชนาทิพย์ เสื้อผ้าอาภรณ์ทิพย์ กายทิพย์ และกายก็ยังเป็นทิพย์ตลอดเวลาเมื่อต้องการสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้นมาทุกครั้งที่ต้องการ    เมื่อท่านต้องการที่จะมีบุตรหรือธิดา ก็เพียงแต่สัมผัสกันด้วยใจคือมีความนึกคิดว่าจะมีเ้ท่านั้นเองก็จะเกิดขึ้นมาตามความต้องการ มิต้องมีการสัมผัสกันด้วยกายเหมือนมนุษย์
   ในกาลครั้งนั้น ยังมีกษัตริย์ที่สละสมบัติอีกพระองค์หนึ่งซึ่งตั้งตน บำเพ็ญตบะเป็นพระฤษีทรงพระนามว่า พระกุศนาภ  มีพระราชธิดาทั้งหมดถึง ๑๐๐ นาง แต่ละนางมีความงดงามต้องตาต้องใจ ของผู้ที่ได้พบเห็นและความงามนี้ก็เท่าเทียมกันทุกนางด้วย อยู่มาวันหนึ่ง ซึ่งจะต้องบังเอิญให้เกิดเหตุอันที่จะต้องบันทึกไว้เป็นประวัติ นางทั้งร้อยได้ออกมาจากสถานที่อยู่อาศัย  เพื่อออกไปเที่ยวเล่นและเก็บดอกไม้ผลไม้ในป่ากันอย่างสนุกสนานต่างก็กระเซ้าเย้าแหย่กันมาตลอดทาง พอดีมาพบกับพระพายในระหว่างทางไนป่าเปลี่ยวพระพายเห็นนางทั้งร้อยมีความสวยงามเป็นที่น่ารักและถูกใจจึงตรงเข้าไปขอความรัก  และขอร่วมรักกับนางทั้งร้อยนั้น  แต่ทุกนางก็ไม่มีใครยอมตกลงมิหนำซ้ำยังช่วยกันรุมล้อมทำการขับไล่ให้พระพายไปจากที่นั่น พระพายทั้งโกรธและอายจึงกลั่นแกล้งสาปให้นางทั้งร้อยกลายเป็นนางค่อม(กันยากุพชา)กันทั้งหมดทุกนาง แล้วพระพายก็จากไปโดยไม่หันมามองอีกเลยว่านางทั้งร้อยจะบังเกิดความทุกขอย่างไร
   นับแต่นั้นมา นครหลวงของพระกุศนาภจึงมีนามเรียกขานกันต่อๆมาว่า นครกานยกุพช์  เพราะเป็นเมืองที่อยู่ของ  กันยากุพชานางค่อมทั้งร้อยนั่นเอง ท่านท้าวกุศนาภก็มีความคั่งแค้น ที่พระธิดาของท่านต้องกลายมาเป็นนางค่อมโดยการกลั่นแกล้งของพระพาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ในที่สุดพระกุศนาภก็ยกพระธิดาพิการทั้งร้อยนางใหักับท่านท้าวพรหมทัตกษัตริย์แห่ง นครกามปิลย์ไปเป็นชายา ด้วยเหตุที่ว่าท่านท้าวพรหมทัต  ท่านเป็นมานัสบุตร คือ  บุตรที่เกิดจากใจพระจุลีพรหมฤษี  จึงเป็นผู้ที่มีบารมีมากดังนั้นพอท่านท้าวพรหมทัตรับนางทั้งร้อย แล้วพากลับเข้าสู่พระราชฐานแล้ว เพียงแตสัมผัสแตะต้องตัวนางค่อมเท่านั้น ทุกนางก็กลับกลายเป็นหญิงผู้มีรูปโฉมงดงามหายจากการพิการหมดสิ้นทั้งร้อยนาง
   นี่คือประวัติย่อๆของพระพรหมฤษีจุลี ที่มีทั้งอภินิหารและบารมีอันล้นพ้นหากท่านผู้อ่านมีศรัทธาและนับถือท่านก็ทำพิธีกราบ
กราบไหว้ขอพรบารมีจากท่าน บางทีท่านอาจจะประทานให้ก็ได้....



83#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-16 13:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ึ78.พระอาฬารดาบสกาลามโคตร(ผู้เป็นพระอาจารย์เอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)  

                 ท่านเป็นพระอาจารย์เอกของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันนี้ ท่านก็ยังละสังขารจากโลกมนุษย์ ขึ้นไปเสวยสุขอยู่บนทิพย์วิมานในชั้นพรหมโลกนี้ด้วยเหมือนกัน จนกว่าจะสิ้นอายุขัย
ต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้แล้วก็ทรงดำริที่จะไปแสดงธรรม และก็คิดว่าจะแสดงธรรมในที่ใดกับผู้ใดก่อน ซึ่งจะโปรดเป็น
คนแรกเมื่อพระองค์ระลึกได้ว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงออกผนวชใหม่ๆ ก็ได้อาศัยพระอาฬารดาบสนี้ เป็นอาจารย์ผู้สั่งสอนในสิ่งต่างๆ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ท่าน
สอนนั้นจะไม่บรรลุก็ตามก็ยังจัดว่า พระอาฬารดาบสท่านนี้ ก็ยังนับว่ามีพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่นั่นเอง ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ มีความฉลาด กิเลสน้อย
ปัญญาก็ดี มีความสามารถที่จะรู้ได้เร็วกว่าผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงคิดที่จะทรงแสดงธรรมโปรด เพื่อที่จะให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
เพียงแต่พระพุทธเจ้าทรงเล็งทิพย์ญานดู ก็รู้ว่าท่านพระอาฬารดาบสได้ละสังขารตายไปเสียแล้ว ก่อนหน้าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้เพียง ๗ วัน เท่านั้น
แล้วขึ้นไปบังเกิดเป็นอรูปพรหม อยู่ในชั้นที่ ๑๙ นั่นเองจึงหมดโอกาสที่จะแสดงธรรมโปรด ให้บรรลุธรรมขั้นวิเศษ ที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ต่อไปไ ด้
เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะได้สดับรับฟัง
      พระอาฬารดาบสจึงหมดโอกาสที่จะได้เป็นพระอรหันต์ และหมดโอกาส
ที่จะให้พระพุทธเจ้า นำพามุ่งสู่ ศิวาโลกแดนพระมหานิพพานได้อีกแล้ว จึง
ต้องเสวยทิพย์อยู่ในวิมานอากาศเป็นอรูปพรหม ต่อไปถึงแปดหมื่นมหากัปป์.....

84#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-16 13:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


79.พระฤษีสุเมธ
             พระฤษีองต์นี้บำเพ็ญพรตอยู่ที่ป่าหิมพานต์ ท่านสามารถใช้คาถาอาคมของท่านในการล่องหนหายตัว ผูกจิต สะกดจิต สะกดทัพ เรียกลม เรียกฝนเรียกน้ำ เรียกไฟ ได้ตามความต้องการของท่าน ก็นับได้ว่าในดินแดนแห่งป่าหิมพานต์นั้น ยากนักที่จะมีพระฤษีองค์ใดมีความสามารถ เสมอเหมือนกับพระฤษีสุเมธได้ดังประวัติและเรื่องราวของท่าน หลังจากที่มหายมยักษ์ หรือท้าวศากยวงศา ผู้ครอบครองเมืองบาดาลได้สวรรคตไปแล้ว ท้าวไมยราพณ์ผู้เป็นโอรสก็ขึ้นครองบาดาลสืบไป ในด้านวิชาความรู้ก็ยังมีน้อยนัก จึงต้องไปร่ำเรียนวิชาอาคมกับพระฤษีสุเมธ อยู่ในอาศรมแห่งป่าหิมพานต์นั้น พระฤษีก็อบรมสั่งสอนให้ไมยราพณ์ได้ท่องบ่นมนตร์ที่สำคัญๆ จนกระทั่งเชี่ยวชาญและมีความรู้ความสามารถเป็นอย่างดี ทั้งในด้านคงกระพันชาตรี ล่องหน กำบังกาย หายตัว สะกดทัพ สะกดจิต ผูกใจ เรียกฝน เรียกลม เรียกน้ำ เรียกไฟ ได้อย่างแม่นยำครบถ้วนทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยความขยันหมั่นเพียรและเอาจริงเอาจัง และไมยราพณ์ก็มีนิสัยดี ว่านอนสอนง่าย จึงทำให้พระฤษีสุเมธมีความรักต่อไมยราพมาก ไม่ว่าจะมีอะไรก็ไม่ปิดบังนำเอามาถ่ายทอดอบรมสั่งสอนให้จนหมดสิ้น ในที่สุดพระฤษีสุเมธก็ทำพิธีถอดดวงใจให้ไมยราพณ์เพื่อจะได้อยู่ยงคงทน ใครฆ่าก็ไม่ตาย พระฤษีทำพิธีสะกดจิตวิญญานและดวงใจด้วยการนั่งบริกรรมพระคาถาไศยาคมด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นและแน่วแน่ ด้วยตบะและบารมีฌานของท่าน ครั้นแล้วในไม่ช้านักดวงใจของไมยราพณ์ก็ลอยออกมาทางปาก แล้วจึงกลายเป็นแมลงภู่ บินวนเวียนอยู่รอบปรำพิธี เป็นการทักษิณาวัฏครบ ๓ รอบ แล้วพระฤษีสุเมธก็เรียกให้แมลงภู่บินเข้ามาใกล้ จับใส่ผอบแล้วจึงส่งให้ไมยราพณ์ ให้นำเอาไปเก็บซ่อนไว้มิให้มีผู้ใดรู้เห็น ที่ในถ้ำลึกยอดเขาตรีกูฏ พร้อมทั้งกำชับว่าอย่าบอกใครเป็นอันขาด ไมยราพณ์จะได้มีชีวิตอยู่ยืนยงถาวรสืบต่อไป ทั้งหนังก็เหนียวใครฆ่าไม่ตาย ไม่มีใครทำลายชีวิตไมยราพณ์ได้
            นี่ก็คือประวัติอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยฤทธาบารมีของพระฤษีสุเมธ....
             พระฤษีสุเมธ สวมชฎาดอกลำโพง หรือเทริดยอดบายศรีลายหนังเสือ เป็นอาจารย์ของไมยราพณ์ บำเพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาป่าหิมพานต์....

85#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 09:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


80.พระฤษีครรคยมุนี
               ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับพระฤษีองค์นี้ก็คือ ท้าวยุธาชิต โอรสของท้าวอัศวบดี มีปุโรหิตประจำคือ พระฤษีอังคีรส ซึ่งพระฤษีครรคยมุนีนี้ก็เป็นบุตรของพระฤษีอังคีรสเชื่อมโยงกันดังนี้
              วันหนึ่งท้าวยุธาชิตได้ให้พระฤษีอรรคคย ไปร้องเรียนให้พระรามทราบว่าบัดนี้ในปัญจนัทยเทศ มีคนธรรพ์ที่ดุร้ายอยู่เป็นจำนวนสามสิบโกฏิ ได้รบกวนและรังแกชาวบ้านชาวเมืองตลอดจนกระทั่งฤษีชีพราหมณ์ในป่าของแคว้นเกกัยชนบทเป็นประจำได้รับความเดือดร้อนกันอย่างหนัก ขอให้พระรามไปช่วยปราบคนธรรพ์นั้นด้วยเถิด หากขืนปล่อยเอาไว้เช่นนั้นแล้วมันก็จะต้องมีความดุร้ายมากขึ้นไปอีก
            พระรามจึงให้พระภรต พร้อมด้วยพระตักษ์และพระบุษกร ผู้ที่เป็นโอรสของพระภรตทั้งสอง ให้ยกกองทัพไปปราบคนธรรพ์และพระรามยังกำชับว่า ถ้าหากชนะศึกปราบคนธรรพ์ได้แล้ว ให้แบ่งเมืองให้กับพระตัษ์และพระบุษกรคนละครึ่งพระนคร พระภรตกับพระโอรสทั้งสองก็ยกกองทัพไป สมทบกับกองทัพของท้าวยุธาชิต แล้วก็ปราบคนธรรพ์สามสิบโกฏิได้สำเร็จ
พระพรตก็จัดแบ่งปัญจนัทยเทศออกเป็นสองเขต แล้วจึงสร้างพระนครให้
พระตักษ์เป็นนครหลวง มีนามว่า นครตักษศิลา มาในภายหลังเรียกเพี้ยน
ไปเป็น ตักกะศิลา แล้วก็สร้างเมืองหลวงให้กับพระบุษกร มีนามว่า นครบุษ
กราวดี มาจนถึงบัดนี้
          ทั้งสองพระนครและพระราชาใหม่ ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรมจึงเป็นที่รักของปวงประชาราช และยังส่งเสริมบรรดาผู้ทรงศีลอีกด้วย ได้จัด
สร้างสถานที่แล้วอัญเชิญให้พระฤษีในป่าทั่วๆไป ให้มาบำเพ็ญตบะสร้าง
บารมี ภายในเขตแดนทั้งสองพระนคร
        พระฤษีทั้งหลายก็ประทานพรให้กับพระราชาใหม่ทั้งสองพระนครให้อยู่เย็นเป็นสุขหมดสิ้นทุกข์ภัยจากมารร้ายทั้งปวง ทั้งพระฤษีก็มีความเป็นอยู่
ที่สะดวกสบายไม่มีรากษสและอสูรมาคอยรังแกรบกวนให้ได้รับความเดือด
ร้อนอีกเลย....

86#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 09:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

81.พระฤษีสมมิตร
  ท่านผู้นี่ได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่าจนมีชื่อเสียงโ่ด่งดังเลื่องลือไปไกล ก็
เพราะความดีความชอบและการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดของท่าน จนเป็นที่ยก
ย่องกันในวงการพระฤษี สำนักของท่านเลยกลายเป็นสำนักใหญ่โตที่มีผู้สน
ใจและฝากตัวเป็นศิษย์ ต่างก็เข้ามาบวชเป็นพระฤษีบำเพ็ญตบะสร้างบารมี
อยู่ในสำนักของท่านอาจารย์ฤษีฤสมมิตร พระอาจารย์ท่านก็อบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งหลายเหล่านั้นด้วยความรักและเมตตา สั่งสอนทั้งทางโลกและทางธรรมประกอบกันไป เพื่อจะให้ศิษย์ทั้ง
หลายได้นำเอามาชั่งน้ำหนักดูว่าสิ่งใดและสิ่งใดไม่ควรเมื่อพิจารณาได้เช่นนั้นแล้วก็จะนำเอาเข้ามาสู่หลักการณ์การปฏิบัติกันต่อไป สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดีก็จะเก็บเอาไว้ให้อยู่ยงคงทนต่อไป ถ้าเห็นว่าสิ่งใดไม่ดีท่านก็จะต้องรีบสลัดตัดออกไปให้พ้น ดังนั้นบรรดาศิษย์ทั้งหลายจึงมีความศรัทธาเลื่อมใสต่อองค์อาจารย์ฤษีฤสมมิตรไม่เปลี่ยนแปลงต่างก็อยู่ในโอวาทเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระอาจารย์แต่ก็นั่นแหละ ที่ไหนมีดีที่นั่นก็มักมีชั่วคละเคล้าปะปนกันไปไม่มากก็น้อยในกลุ่มคนจำนวนมากยากนักที่จะให้ดีไปหมดทุกคน ย่อมจะต้องมีคนที่แหกคอกนอกคำสั่งสอนกันบ้างล่ะ เพียงแต่ว่าจะมากน้อยเท่าใด นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง......

87#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 09:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

82.พระฤษีวาปุระมุนี
  ท่านผู้นี้ก็มีความสามารถอีกท่านหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเพื่อนเกลอกับ พระฤษีมุสิก
มุนี และอยู่ในถิ่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นศิษย์สำนักอาจารย์เดียวกันอีกด้วยตอนเช้าหลังจากพระฤษีทั้งสองออกจากฌาณสมาบัติแล้ว มักจะออกมานั่งสนทนาธรรมกัน ที่บริเวณกองไฟหน้าอาศรม ผิงไฟระงับความหนาวกันอยู่ทุกวัน   ฝ่ายเจ้าลิงทะโมนใหญ่ เมื่อหนีฝนมาอย่างทุลักทุเลทั้งเปียกชุ่มทั้งหนาวสั่น เมื่อมันเห็นพระฤษีทั้งสองกำลังนั่งผิงไฟกันอยู่ มันก็ดีใจเดินตรงเข้าไปจะผิงไฟบ้าง เพื่อจะได้ประทังความหนาว แต่แล้วมันก็ต้องหยุดชะงัก มีความคิดขึ้นมาว่า ถ้าหากว่ามันจะเข้าไปร่วมผิงไฟกับพระฤษีด้วยลักษณะเช่นนี้ที่ไหนพระฤษีทั้งสองท่านจะยอมให้เข้าไปร่วมกับท่าน ดังนั้นมันจึงคิดหาเล่ห์เหลี่ยมที่จะต้องเข้าไปผิงไฟให้ได้และแล้วสมองของมัน ก็พลันมีความคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ที่ว่ามันจะต้องปลอมแปลงเป็นพระฤษีแล้วเข้าไปนั่งผิงไฟนั่นแหละจึงจะสำเร็จเมื่อคิดได้เช่นนั้นมันจึงลัดเลาะไปรอบๆอาศรม เก็บเอาเปลือกไม้เก่าๆของพระฤษีที่ทิ้งเอาไว้มาห่มครองให้กับตัวมัน แล้วจึงหาไม้เท้า คดๆงอๆ ทำท่าทางให้เหมือนพระฤษี แล้วเดินเข้าไปผิงไฟด้วย มันแสดงกิริยาท่าทางวางมาตรไม่ผิดเพี้ยนจากพระฤษีเลยสักนิด

88#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 09:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฝ่ายพระฤษีวาปุระก็แปลกใจที่อยู่ๆก็มีพระฤษีแปลกหน้าเข้ามานั่งผิงไฟด้วยถึงแม้จะเพ่งมองและใช้ความสังเกตุ อย่างไร ก็จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักมาแต่ก่อนหรือไม่ มองกันไปมองกันมา เจ้าลิงทะโมนมันก็วางท่าได้สมบทบาท พระฤษีวาปุระจึงถามพระฤษีมุสิกขึ้นว่า 'เอ..พระฤษีผู้นี้ดูทีท่าว่าจะไม่เคยเห็นหน้ามาแต่ก่อนนี้เลยนี่ ท่านมาอย่างไรกัน' พระฤษีมุกสิกก็โบกมือช้าๆแล้วกล่าวออกไปตามตรงว่า 'มันใช่ฤษีที่ไหนกัน ลิงต่างหากล่ะ มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่สมควรจะให้เข้ามา'
      เมื่อพระฤษีวาปุระทราบเช่นนั้นก็คว้าได้ไม้เท้าแล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวด
เร็ว เจ้าลิงทะโมนเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ คิดว่าพระฤษีจะต้องเอาแน่ด้วยความ
กลัวมันเลยลุกขึ้นกระโดดโครมหมายจะหนีไปให้พ้นจากที่นั้นโดยเร็ว แต่
อนิจจาแทนที่มันจะหนีออกไปจากกองไฟนั้น ด้วยความเผลอของมันที่มิ
ทันได้ระวังเอาไว้ก่อน มันดันกระโดดพรวด เข้าไปในกองไฟผ้าเปลือกไม้
ที่มันห่อหุ้มคลุมอยู่นั้นเลยเกี่ยวพันกับกองฟืน ไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา มันจะดิ้น
สักเท่าใดก็ดิ้นไม่หลุดด้วยไฟอันร้อนแรงที่กำลังลุกโชนอยู่นั้น ก็เลยไหม้ร่าง
ของมันจนกระทั่งขาดใจตาย ร่างของมันดำเป็นตอตะโก
'ก็สมควรแล้วกับชีวิตของลิงชั่วๆ ที่มันฆ่าตัวเอง ไม่มีใครเขาทำมันเลย'
พระฤษีวาปุระกล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินกลับอาศรม ต่อจากนั้นมาก็ไม่มีลิงมา
รบกวนพระฤษีอีกเลย......

89#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 09:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



83.พระฤษีมุสิกมุนี
***    ท่านผู้นี้ก็มีวิชาอาคมและตบะฌานเก่งกล้า มุ่งมั่นในบารมีธรรม จึงได้มุ่ง
ออกบวชเป็นพระฤษี แล้วมาสร้างอาศรมอยู่ในป่าหิมพานต์ เพื่อหามุมสงบที่
เหมาะสมในการบำเพ็ญ และยังเป็นเพื่อนเกลอของพระฤษีวาปุระมุนีอีกด้วย...

90#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-17 09:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


84.พระฤษีทธิวามุนี
***  ท่านผู้นี้แต่เริ่มแรกเดิมทีเป็นพ่อค้านำสินค้าไปต่างประเทศ ก็บังเอิญเกิดมรสุมทำให้เรือแตก จึงได้เกาะขอนไม้ลอยไปติดเกาะแห่งหนึ่ง จึงขึ้นไปบนเกาะนั้น และก็ไม่มีทางใดที่จะกลับบ้านหรือถิ่นกำเนิดได้จึงบำเพ็ญตนถือเพศเป็นพระฤษีอยู่ในเกาะกลางทะเลนั้นเป็นเวลาแสนนาน จนกระทั่งได้บรรลุฌานขั้นต่ำ จึงมีความมุ่งมั่นมานะพยายามบำเพ็ญตบะต่อไปเพื่อหวังในผลสำเร็จ จะได้กลับถิ่นเดิมได้.....

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้