พระฤษีกสิรมุนี,พระฤษีวชิรามุนี,พระฤษีวาโปนะมุนี,พระฤษีมกันติมุนี
แรกเริ่มเดิมทีทั้ง ๔ คน พี่น้องก็เป็นพราหมณ์ประจำสำนักของท่านท้าว
พรหมทัต แห่งเมืองพาราณสี แต่มีความคิดว่าการอยู่เป็นพราหมณ์รับราชการอยู่นั้น สิ่งที่ได้มันทำให้สุขกายสบายใจก็จริงอยู่ แต่มันก็เป็นเพียงความสุขได้เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น มันเป็นการโกหกหลอกลวงทั้งนั้น เหมือนกับการแสดงโขน ละครที่ครอบเอาไว้ด้วยหัวต่างๆ ที่เรียกว่า'หัวโขน' จึงได้มียศมีอำนาจสูง และจะครอบให้เป็นอะไรก็ได้ แต่ครั้นแสดงจบแล้วก็จะต้องถอดหัวโขนนั้นออก มันก็คือคนธรรมดาไม่มีอำนาจ ไม่มีฤทธิ์เหมือนอย่างที่มีหัวโขนสวมอยู่ ก็จะต้องเดินดินกินข้าวแกงต่อไป มันไม่มีความสว่างไสวที่จะส่องนำทางไปยังโลกหน้าได้เลย หากหลงงมงายติดอยู่ในกองกิเลสอย่างที่เป็นและที่เห็นกันอยู่จำเจแล้ว ก็คงไม่มีทางหลุดพ้นไปได้เลย
เมื่อทั้ง ๔ พราหมณ์พี่น้องตกลงกันดังนั้นแล้ว ก็พากันขึ้นไปกราบทูลลา
ออกจากข้าราชการ แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ต่างฝ่ายต่างสร้างอาศรม
แล้วสำรวมใจบำเพ็ญธรรมประโยชน์กันอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ จึงมีความอด
ทนเป็นที่ตั้ง ทั้งมานะพยายามหวังว่าจะต้องกระทำให้สำเร็จ
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็ย่อมอยู่ที่นั่น ทั้ง ๔ พระฤษีจึงได้
สำเร็จในอภิญญาฌานกันทั้งหมด แต่ก็ยังมิได้เพียงพอยังคงปฏิบัติกันต่อ
ไปไม่หยุดยั้ง เวลาผ่านล่วงเลยไป จนกระทั่งพระฤษีกสิร พระฤษีผู้พี่ใหญ่ก็ได้ถึงกาลกิริยา ดับขันธ์ทิ้งร่างกายขึ้นไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในเทวโลก แต่เทพบุตรนั้นก็ยังมีความรำลึกนึกถึงน้องชายในอดีตชาติทั้ง ๓ อยู่ทุกขณะ จึงลงมาเยี่ยมพระฤษีที่เป็นน้องทั้ง ๓ เป็นประจำทุกวันมิได้ขาด คงปฏิบัติเช่นนั้นตลอดมา
ต่อมาพระฤษีวชิรามุนีก็เกิดเป็นโรคแทรกแซงขึ้นมา มีอาการหนาวสั่น
จนกระทั่งร่างกายผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแต่ก็ยังมีความเพียร
ในการบำเพ็ญไม่ยอมเลิกล้ม
ฝ่ายเทพบุตรผู้เป็นพี่ใหญ่ในอดีต ก็ลงมาหาอีกเช่นเคย เมื่อเห็นอาการ
ของพระฤษีผู้ที่เคยเป็นน้องเช่นนั้นก็มีจิตสงสาร จึงประทานขวานเพชรอัน
ศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระฤษีวชิรามุนีแล้วสั่งว่า จงเก็บรักษาขวานเพชรกายสิทธิ์
เล่มนี้เอาไว้ให้ดีจะใช้ให้ไปหาฟืนมาสุมไฟผิงกันหนาวก็ได้ หรือว่าจะใช้ให้
ไปทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เทพบุตรสั่งเสร็จก็รีบเหาะกลับไปวิมานในสวรรค์ พระ
ฤษีวชิรามุนีก็ค่อยมีความสุขสดชื่นขึ้นมาได้ แล้วมุ่งมั่นในการบำเพ็ญตบะ
ต่อไป
|