ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนานพระเกจิอาจารย์แห่งแดนสยาม
»
~ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม ~
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
... 18
/ 18 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
เจ้าของ: kit007
~ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม ~
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
51
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:12
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปราศจากทิฏฐิมานะ
ดังกล่าวแล้วว่า พระอาจารย์ดูลย์ท่านเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกาย ทั้งวาจา และใจ ท่านมีจิตใจที่ปราศจากทิฏฐิมานะ และเปี่ยมไปด้วยเมตตาอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์ของพระอาจารย์ดูลย์ผู้หนึ่งได้เล่าเอาไว้ว่า
“ครั้งหนึ่ง เมื่อใกล้เทศกาลเข้าพรรษาในปีหนึ่ง ที่วัดป่าโยธาประสิทธิ์ ที่อยู่ชานเมืองจังหวัดสุรินทร์ มีการบวชนาคหลายรูปด้วยกัน บิดามารดาและญาติมิตรสหายของนาคทั้งหลายก็มาชุมนุมทำพิธีสมโภชนาคพร้อมกัน กำหนดการว่ารุ่งเช้าก็จะแห่นาคมาบวชที่วัดบูรพารามพร้อมกัน โดยได้เผดียงหลวงปู่เป็นพระอุปัชฌาย์ไว้เป็นที่เรียบร้อยล่วงหน้า
พอดีในคืนที่กำลังทำพิธีสมโภชนาคนั่นเอง ท่านเจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ (โชติ คุณสมฺปนฺโน) เดินทางมาจากวัดวชิราลงกรณ์ นครราชสีมา ผู้ปกครองนาคคนหนึ่ง เป็นผู้มีความเลื่อมใสเคารพนับถือในตัวหลวงปู่โชติมาก มีความดีอกดีใจ จึงขอแยกนาคที่เป็นบุตรชายของตนออกมาทำพิธีบวชต่างหาก โดยอาราธนาหลวงปู่โชติเป็นพระอุปัชฌาย์ แม้จะถูกขอร้องและทัดทานจากนาคอื่นว่าไม่ควรทำเช่นนั้น เพราะได้กราบอาราธนานิมนต์พระอาจารย์ดูลย์เป็นอุปัชฌาย์แล้ว แต่ทางฝ่ายนาคคนนั้นไม่ฟัง
พอรุ่งเช้า ขบวนแห่นาคก็พากันยกมาถึงวัดบูรพารามโดยพร้อมเพรียงกัน นาคทุกคนยกเว้นนาคผู้นั้นก็พากันไปทำพิธีบวชในพระอุโบสถ ครั้นหลวงปู่ทำพิธีบวชให้เรียบร้อยแล้ว ก็พากันออกจากโบสถ์
บิดามารดาของนาคที่แยกตัวออกมาก็อาราธนาเจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ให้ทำพิธีบวชให้บุตรของตนแต่ผู้เดียว ท่านก็ไม่ขัดข้อง แต่ปรากฏกว่านาคผู้นั้นซึ่งเคยซ้อมขานนาคมาด้วยกัน ๔ คน เมื่อมาขานนาคเดี่ยวเข้าก็ไม่คล่องแคล่ว เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนั้น ท่านเจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์จึงไม่บวชให้ ทั้งนาคและบิดามารดาญาติมิตรสหายต่างก็พากันลากลับไปด้วยความผิดหวัง
ในวันรุ่งขึ้น คณะของนาคคนนั้นก็ยกขบวนมาวัดบูรพารามอีกครั้ง เพื่อมาขอบวช โดยอาราธนาพระอาจารย์ดูลย์ให้เป็นอุปัชฌาย์
ท่านพระมหาสมศักดิ์ (พระครูนันทปัญญาภรณ์) ได้กราบเรียนพระอาจารย์ดูลย์ว่า “หลวงปู่ครับ นาคองค์นี้แหละที่ไม่ยอมบวชกับหลวงปู่เมื่อวานนี้ เขานิมนต์ท่านเจ้าคุณโชติให้บวชให้ต่างหากเป็นพิเศษ เมื่อเขามานิมนต์ให้บวชให้อีกในวันนี้ หลวงปู่จะต้องลงโบสถ์ไปบวชให้เขาทำไม ให้เขาไปบวชที่โคราชไม่ดีหรือ”
ท่านตอบว่า “เมื่อเขาอยากบวชก็บวชได้ เมื่อเขาไม่บวชก็เป็นเรื่องของเขา เมื่อวานเขาไม่พร้อม วันนี้เขาพร้อม มีหน้าที่บวชให้เขาก็บวชก็เขาไป”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
52
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:12
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พลังจิต
ถ้าสังเกตดูจะพบว่า พระอาจารย์ดูลย์ท่านจะไม่พูดถึงอภินิหาร หรือผีสางเทวดาเลย ท่านจะพูดก็แต่ธรรมะเพียงประการเดียว มีคนชอบถามท่านเกี่ยวกับเรื่องอิทธิฤทธิ์บ้าง หรือจิตที่มีฤทธิ์มีพลังอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง แต่เนื่องจากท่านไม่สนใจในเรื่องมหัศจรรย์ท่านจึงไม่นิยมพูดให้ใครฟัง สำหรับเรื่องจิตนั้นท่านพูด คือท่านพูดเรื่องจิต ท่านไม่ค่อยใช้คำว่าอิทธิฤทธิ์ โดยมากท่านจะพูดว่าพลังจิตนั้นมีอยู่
พระอาจารย์ดูลย์ได้กล่าวถึงพลังจิตว่า พลังจิตที่เกิดจากสมาธิถูกต้องนั้น คือ เมื่อมีสมาธิเกิดขึ้นแล้วก็อาศัยพลังแห่งจิต เพราะสมาธินั้นเกิดจากจิตรวมคือมันละอารมณ์ต่าง ๆ เมื่อมันไปแบกเอาอารมณ์ต่าง ๆ ไว้มาก จิตมันก็ไม่มีกำลัง ไม่มีพลังอะไร ต่อเมื่อจิตสามารถตัดอารมณ์ต่าง ๆ ได้ ก็เกิดสมาธิ ก็ใช้คำว่า จิตเดียวที่ปราศจากอารมณ์มากเกินไป จิตก็จะเกิดมีพลังขึ้นมา
ระหว่างที่จิตเราเกิดมีพลังสมาธินี่แหละ บุคคลจะเอาไปใช้ทางไหนก็ได้ผลในทางนั้น แต่เมื่อใช้ในทางที่เสียหาย มันก็ทำให้เสียหายได้ หรือใช้ไปทางที่ให้ประโยชน์ให้เกิดพลังปัญญาก็ได้ หมายความว่าอย่างที่พูดในหลักวิชาการเรียนทางศาสนาว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ว่าศีลทำให้เกิดการอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ฉะนั้นพลังจิตที่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงหลังเกิดสมาธินั้น หมายถึงว่า จิตนั้นยกสภาวธรรมขึ้นมาไตร่ตรอง ให้เกิดวิปัสสนาญาณ เกิดปัญญาแล้ว ปัญญานั้นก็จะแจ่มแจ้งดีกว่าจิตที่ไม่เกิดสมาธิหรือจิตที่ไม่มีสมาธิ โดยกล่าวว่าพลังจิตนั้นสามารถยกระดับภาวะ หรือป้องกันความทุกข์ยากอันเนื่องจากการที่จิตส่งออกไปเพื่อรับอารมณ์ต่าง ๆ ได้ ท่านยอมรับว่าจิตนั้นย่อมเป็นจิตที่มีพลัง เมื่อจิตมีพลังแล้วมันก็จะเป็นคุณประโยชน์ได้หลายอย่าง แต่ท่านก็จะขึ้นต้นว่าจิตจะมีพลังได้นั้นก็ต่อเมื่อมีสมาธิ หรือเกิดสมาธิ จิตมีอารมณ์เดียว จิตจึงจะมีพลัง เมื่อจิตมีพลังแล้วจะหันไปใช้ทางไหนก็ย่อมได้ แม้หันไปทางที่ผิดทางของพระพุทธศาสนาก็ย่อมจะได้ ล้วนแต่เป็นสมาธิซึ่งนับว่าเป็นมิจฉาสมาธิได้
ส่วนสัมมาสมาธินั้น หมายถึงจิตที่เป็นสมาธิตามลำดับ ตั้งแต่ขั้นต้น คือ ขณิกสมาธิ จนกระทั่งเข้าสู่ อัปปนาสมาธิ อะไรในกระแสนี้ แล้วจิตนั้นก็จะเป็นพลังส่องทางไปให้เกิดปัญญา ถ้าอาศัยพลังจิตไปในเรื่องอื่น เรื่องอิทธิฤทธิ์อะไรนั้นไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกพุทธประสงค์ทั้งหมด แต่ถ้าใช้พลังจิตนั้นเพื่อเป็นเหตุให้ปัญญาผุดผ่องขึ้น เพื่อจะตัดกิเลสปัญหาและความชั่วร้ายต่าง ๆ เพื่อยกระดับจิตของเราให้พ้นทุกข์ จึงจะเป็นพลังจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ และเป็นทางที่ถูกต้อง ท่านกล่าวอย่างนี้ ส่วนทางที่ว่าเอาพลังจิตไปแสดงอิทธิฤทธิ์ท่านไม่ค่อยกล่าวถึง จะระมัดระวังในเรื่องการปฏิบัติให้เป็นไปในทางที่ดีที่ถูกต้อง
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
53
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:12
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สิ่งพ้นวิสัย
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อเรื่องกรรม ไม่มีใครหลุดพ้นจากกรรมไปได้ และไม่มีใครหรือสิ่งใดจะช่วยได้ แต่ชาวพุทธบางส่วนยังไม่วายที่จะหาสิ่งต่าง ๆ ไว้เป็นที่พึ่งของตน แทนที่จะยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก แล้วประพฤติตามคำสอนของพระพุทธองค์ คือพระธรรมที่พระสงฆ์อันเป็นเนื้อนาบุญของโลกนำมาสั่งสอน เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้ที่เป็นที่พึ่งของคนกลุ่มนี้ก็คือพระไม่ว่าพระป่าหรือจะเป็นพระเมืองก็ตาม จุดประสงค์ก็คือเครื่องรางของขลังที่พวกเขาคิดว่าจะคุ้มครองให้เขาอยู่รอดปลอดภัยได้
พระอาจารย์ดูลย์เป็นพระที่ไม่สนใจในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธ์ หรือสิ่งพ้นวิสัยหรือแม้กระทั่งในเรื่องของฤกษ์ยาม ท่านใส่ใจแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
เมื่อมีคนมาถามเรื่องฤกษ์เรื่องยาม ท่านจะบอกว่า วันไหนก็ได้ ถ้าคนที่จะทำมีความพร้อม ไม่ว่าจะขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน และงานมงคลอื่น ๆ ท่านว่ามันขึ้นอยู่กับคนทำ ไม่ใช่วันหรือเวลาแต่อย่างใด
ท่านเคยพูดในหมู่สงฆ์ว่า “ถ้ากาย วาจา และจิตใจดี อำนาจความดีงามก็จะเกิดขึ้นเอง”
ส่วนเรื่องการเจิมบ้าน เจิมรถนั้น มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระอาจารย์ดูลย์ว่า ครั้งหนึ่ง มีพระภิกษุนำรถของตนมาให้ท่านเจิม ท่านไม่ทำและดุเอาว่างมงาย บางครั้งมีคนมาขอชานหมาก ท่านก็กล่าวว่าเอาไปทำไมของสกปรก หรือถ้ามีคนมาขอให้ท่านเป่าหัวให้ ท่านก็ตอบว่า เป่าทำไม เดี๋ยวน้ำลายเลอะ เป็นต้น ในระยะแรก ท่านไม่เคยทำเลย แต่เมื่อท่านมาพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่า เพื่อเป็นการสงเคราะห์ญาติโยมคือให้กำลังใจ ให้ญาติโยมเกิดความสบายใจ ท่านจึงทำให้
และในเรื่องวัตถุมงคล เมื่อมีคนถามว่า มีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ ท่านจึงได้สร้างหรืออนุญาตให้สร้างขึ้นมา
พระอาจารย์ดูลย์ตอบคำถามนี้ว่า
“พวกท่านทั้งหลายแสดงความสนใจในการบำเพ็ญภาวนา ก็พากันบำเพ็ญภาวนาไป ไม่ต้องไปห่วงไปสนใจกับวัตถุมงคลอันเป็นของภายนอกนี้ แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจเพลิดเพลินอยู่ ยังยินดีในการเกิดการตายในวัฏฏสงสาร ยังไม่สามารถรับธรรมของพระพุทธองค์ได้ ยังไม่สามารถหันมาสู่การปฏิบัติธรรมได้ ก็ให้อาศัยวัตถุภายนอก เช่นวัตถุมงคลเช่นนี้เป็นที่พึ่งไปก่อนเถิด อย่าไปตำหนิติเตียนอะไรเลย ครั้นเขาเหล่านั้นประสบเหตุเภทภัยมีภยันตรายแก่ตน และเกิดแคล้วคลาดด้วยคุณแห่งพระรัตนตรัยก็ดี โดยบังเอิญก็ดี เขาก็จะบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ในภายหลัง ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้เจริญงอกงามในทางที่ถูกต้องได้เอง”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
54
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:13
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๑๑. อาพาธ
ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๘ พระอาจารย์ดูลย์อาพาธด้วยโรคตับอักเสบ บางครั้งท่านปวดท้องอย่างรุนแรง ฉันอาหารทีไรเป็นต้องอาเจียนออกมาเสียทุกครั้งไป สร้างความวิตกให้แก่บรรดาเหล่าศิษย์เป็นอย่างมาก
ในการอาพาธครั้งนี้ ท่านไม่ได้แสดงท่าทีปริวิตกให้เห็นแต่ประการใด สร้างความสบายใจให้แก่ผู้เฝ้าพยาบาลท่านเป็นยิ่งนัก แม้ว่าบางครั้งอาการของท่านจะหนัก ถ้าเป็นคนทั่วไปคงจะต้องร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่ท่านสามารถทนต่อเวทนานั้นได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ท่านจะแสดงอาการออกมาทางใบหน้า แต่ก็เป็นอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าไม่สังเกตแทบไม่รู้ว่าท่านเจ็บปวดและต่อมาใบหน้าก็สงบนิ่งตามเดิม
การอาพาธครั้งนี้ พระอาจารย์ดูลย์ได้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุรินทร์เป็นเวลา ๙ วัน ก็หายเป็นปกติ
อารมณ์ขัน
พระอาจารย์ดูลย์ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพระเถระที่มีปฏิปทาสมบูรณ์ เป็นผู้สงบเสงี่ยม ทำทุกอย่างด้วยความสำรวมระวัง เวลายิ้มท่านยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเท่านั้น
แต่มีเรื่องหนึ่งที่พระอาจารย์ดูลย์ท่านได้หัวเราะอย่างเต็มที่ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ท่านเข้าพำนักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ซึ่งพระครูปัญญาภรณ์ได้บันทึกเอาไว้ว่า
มีอยู่ครั้งหนึ่ง และครั้งเดียวเท่านั้น ที่เคยเห็นหลวงปู่หัวเราะอย่างเต็มที่ และมีอาการสะกดกลั้นการหัวเราะนั้นเป็นระยะ เพื่อให้ตนเองหยุดหัวเราะ จนกระทั่งหยุดหัวเราะไปในที่สุด
ความเป็นมาของเรื่องนี้มีอยู่ว่า
เมื่อนายแพทย์ใหญ่ตรวจอาการของอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง เห็นว่าเพื่อให้อาจารย์ทุเลาจากอาพาธโดยเร็วที่สุด จึงเห็นสมควรที่จะนำท่านเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล จ.สุรินทร์ เพราะว่าที่นั่นมีอุปกรณ์การแพทย์เพียบพร้อม และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
ทางคณะสงฆ์พิจารณาร่วมกัน ก็เห็นควรอนุโลมให้เป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนั้นในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ อาจารย์จึงเข้ารักษาอาการอาพาธที่โรงพยาบาลสุรินทร์
ข่าวคราวการเข้าโรงพยาบาลของอาจารย์แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว การเยี่ยมเยียนก็ยิ่งทวีความคึกคักขึ้นอีก ทั้งญาติโยมพุทธบริษัททั่วไป ทั้งพระภิกษุสามเณร ตลอดจนคณาจารย์เจ้าสำนักต่าง ๆ ก็พากันมาเยี่ยมไปขาดระยะ
บ่ายวันหนึ่ง พระอาจารย์รูปหนึ่งมากับญาติโยมสองสามคน
ครั้นกระทำสามีจิกรรมคือกราบนมัสการหลวงปู่แล้ว พระอาจารย์รูปนั้นก็กรากเข้าไปชิดหลวงปู่ กรีดกรายฝ่ามือประคองต้นแขนหลวงปู่อย่างนุ่มนวลพลางพูดว่า
“หลวงพ่อ อย่าไปคิดอะไรมาก ปล่อยวาง ปล่อยวาง สังขารทั้งหลายมันไม่เที่ยงอย่างนี้แหละนะ หลวงพ่อนะ ปล่อยวาง ปล่อยวางนะหลวงพ่อ”
แล้วพระอาจารย์องค์นั้นยิ้ม ทำเอาหลวงปู่เกิดความขบขันเป็นอย่างมาก ท่านหัวเราะออกมาอย่างชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วท่านก็พยายามสะกดกลั้นเป็นระยะ ๆ
ครู่หนึ่งอาการหัวเราะก็หยุดลง วางสีหน้าเฉยเป็นปกติ แล้วเอ่ยวาจาขอบอกขอบใจพระอาจารย์รูปนั้นและญาติโยมที่อุตส่าห์มาเยี่ยม และก็สนทนาธรรมดาอื่น ๆ ต่อไป ด้วยอาการเรียบตามปกติของหลวงปู่
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
55
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:13
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สิ่งที่ดีที่สุด
ครั้นอาการอาพาธทุเลาลง ในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ ขณะที่เตรียมตัว ท่านได้แนะนำเรื่องความตายให้ศิษย์ของท่านไว้คิดว่า
“ถึงคราวตาย ต้องตายให้เป็น ต้องตัดสินใจว่า ถึงยังไงก็จะตายแน่แล้ว ไปวิตกทุกข์ร้อนหวั่นไหวก็ไม่มีประโยชน์
จากนั้นต้องสำรวมจิตใจให้สงบเป็นหนึ่ง แล้วก็หยุดเพ่ง ปล่อยวางทั้งหมดสุคติก็เป็นอันหวังได้แน่นอน
ถ้ายังไม่ถึงที่สุดทุกข์ในตอนนั้น หากกำลังเพียงพอ ก็อาจหมดปัญหาไปเลย”
เมื่อพระอาจารย์ดูลย์กลับมาพำนักที่วัด จะมีผู้ที่เคารพนับถือทั้งพระและฆราวาสมาเยี่ยมท่านเป็นจำนวนมาก ท่านได้พูดคุยกับเขาเหล่านั้นอย่างเป็นกันเองตามสมณวิสัยที่จะทำได้ บางครั้งก็สนทนาธรรมดา ตลอดจนเทศนาสั่งสอนไปด้วย เพื่อตอบแทนไมตรีจิตของเขาเหล่านั้น
ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่พระอาจารย์ดูลย์พักผ่อนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ศิษย์ผู้เฝ้าพยาบาลกำลังเช็ดตัวท่านด้วยน้ำอุ่น แล้วถวายการบีบนวดปรนนิบัติตามปกติ
ญาติโยมกลุ่มหนึ่งที่มาภาวนาปฏิบัติธรรมที่ศาลาโรงธรรม ก็ขึ้นมากราบเยี่ยมพระอาจารย์ดูลย์ พร้อมกับนำน้ำปานะมาถวาย
หลังจากถามไถ่อาการป่วยไข้ของท่านและสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ พอสมควร อุบาสกท่านหนึ่งก็นมัสการถามท่านถึงวิธีการเริ่มต้นในการบำเพ็ญภาวนา
“พวกกระผมถกเถียงกัน บางคนบอกว่าก่อนที่จะนั่งสมาธิภาวนา ต้องกล่าวคำแสดงตนถึงพระรัตนตรัยก่อน แล้วก็รับศีล จึงจะทำสมาธิให้บังเกิดผลได้
บางพวกบอกว่าไม่ต้อง สะดวกสบายตอนไหนก็นั่งกำหนดจิตได้เสมอ ขอฟังคำแนะนำจากหลวงปู่ครับ”
พระอาจารย์ดูลย์ได้ตอบว่า
“เราเคยบอกแล้วว่า ตราบใดที่มีลมหายใจก็ทำได้ และควรจะทำทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องให้จิตอยู่ในจิต มีสติกำกับอยู่เสมอ
ในการนั่งสมาธินั้น จะเริ่มต้นยังไงก็ตามแต่จะพอใจ ใครจะแสดงตนถึงพระรัตนตรัย สมาทานศีลก่อนก็ทำไป เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็นเพียงแว่นดำที่คนตาบอดสวมใส่ ไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไร เพียงแต่ช่วยให้คนอื่นดูดีขึ้นบ้างเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่รู้ไม่เห็นว่าจะดูดีขึ้นได้อย่างไร”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
56
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:13
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาพาธหนัก
หลังจากอาพาธหนักมาแล้ว ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ แม้ต่อมาท่านจะมีอาการอาพาธขึ้นบ้างตามประสาของผู้ชราภาพ แต่อาการก็ไม่หนักหนาสาหัสมากนัก หลังจากนั้นอีก ๑๘ ปี เมื่อท่านเจริญขันธ์มาถึง ๙๕ ปี จึงมีอาการผิดปกติด้านสุขภาพอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๖
อาการอาพาธครั้งนี้ เริ่มมีอาการปวดชาตั้งแต่บั้นเองลงไปถึงปลายเท้า เริ่มเป็นด้านซ้ายข้างเดียวก่อน ต่อมาอาการอย่างนี้ก็ลามมาที่ขาข้างขวา รู้สึกเหมือนจะปวดหนักปวดเบาอยู่ตลอดเวลา แต่เวลาถ่ายกลับถ่ายไม่ออก และมีอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ และกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา
แต่ถึงกระนั้นท่านก็อดทนเป็นอย่างมาก ท่านไม่เคยต้องการหมอ หรือไม่เคยพูดถึงโรงพยาบาลเลย ทุกครั้งที่จะต้องนำหมอมารักษา หรือพาท่านไปที่โรงพยาบาล จะต้องขอร้องทุกครั้ง
อาการอาพาธของท่านทรงอยู่ตลอดวันและมีมากขึ้นในตอนกลางคืน จนศิษย์ผู้ใกล้ชิดต้องนำส่งโรงพยาบาล ในเวลา ๐๔.๐๐ น. ของวันรุ่งขึ้น
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์ได้ให้น้ำเกลือและสวนปัสสาวะออก แต่อาการก็ยังไม่ทุเลาลง ถึงกระนั้นท่านก็รบเร้าขอให้พาออกจากโรงพยาบาล แม้ใครจะขอร้องอย่างไรท่านก็ไม่ยอม จึงต้องนำท่านกลับวัดตามความประสงค์ของท่านในวันนั้น
แต่ด้วยอาการของพระอาจาย์ดูลย์ทรุดหนักขึ้นกว่าเดิม คณะสงฆ์ที่เป็นศิษย์ของท่านตกลงกันที่จะนำท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ โดยออกเดินทางเวลา ๐๙.๐๐ น. ของวันที่ ๒๙ มกราคม
ต้องใช้เวลาถึง ๙ ชั่วโมงกว่าที่รถพยาบาลจะไปถึงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทั้งที่ปกติรถวิ่งจากสุรินทร์ไปกรุงเทพนั้น ใช้เวลาเพียง ๖ – ๗ ชั่วโมงเท่านั้น แต่เพราะกลัวว่าท่านกระทบกระเทือน รถพยาบาลจึงแล่นอย่างระมัดมะวัง ตลอดเวลาที่รถวิ่งนั้นพระอาจารย์ดูลย์นอนสงบอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดออกมาแต่อย่างใด
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
57
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:14
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ครั้นถึงเวลา ๑๗.๔๐ น. รถได้มาถึงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต้องรีบนำพระอาจารย์ดูลย์เข้ารักษาที่ตึกฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นวันเสาร์และนอกเวลาราชการ ขณะนั้นอาการของท่านหนักมาก แถมยังลำบากต้องเดินทางไกล และยังต้องรอเวลาให้แพทย์ตรวจเป็นเวลานาน แพทย์สอบถามข้อมูลหลายอย่างและฉายเอ็กซเรย์ด้วย เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้พาหลวงปู่เข้าพักที่ห้องพิเศษตึกวชิราวุธ ชั้น ๒ หมายเลขห้อง ๒๒
เมื่อเข้าห้องพักได้ประมาณ ๒ ชั่วโมงกว่า คณะแพทย์ก็มาตรวจอาการแล้ว บอกว่ามีความจำเป็นต้องนำท่านไปเอ็กซเรย์อีก แม้ท่านจะอ่อนเพลียมากก็ตาม คณะแพทย์ทำการเอ็กซเรย์โดยใช้เวลากว่า ๒ ชั่วโมง เนื่องจากเกิดปัญหาทางเครื่องฉายและฟิล์ม ต้องฉายหลายครั้งกว่าจะสำเร็จได้
ขณะที่นำท่านเข้าห้องเอ็กซเรย์นั้น เป็นเวลา ๕ ทุ่ม พระอาจารย์ดูลย์อยู่ในอาการสงบนิ่ง ไม่ไหวติง ต้องใส่ท่ออ๊อกซิเจนช่วยหายใจ แม้พยาบาลจะฉีดยาหรือให้น้ำเกลือก็ทำไม่สะดวก บางครั้งก็แทงเข็มไม่เข้า จนคณะแพทย์บอกว่าร่างกายของท่านไม่รับ ซึ่งหมอเองก็ท้อใจ การทำงานของคณะแพทย์ใช้เวลาประมาณ ๕ ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ แต่การวินิจฉัยในคืนนั้นไม่ได้รับผลอะไรเลย
ครั้นประมาณตีสาม ท่านได้พูดประโยคแรกนับจากออกจากวัดบูรพารามว่า “หมอตรวจเสร็จแล้วหรือ” ซึ่งเหมือนกับว่าท่านรู้เหตุการณ์ตลอด ทั้งที่ตั้งแต่ออกจากวัดบูรพารามจนกระทั่งแพทย์นำไปเอ็กซเรย์ครั้งที่ ๒ นั้น ท่านอยู่ในอาการหลับตา สงบนิ่ง ไม่ไหวติง เป็นเวลามากกว่า ๑๔ ชั่วโมง ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อได้รับคำตอบว่าเสร็จแล้ว ท่านก็ให้พากลับวัดบูรพารามทันที พระครูนันทปัญญาภรณ์ต้องอธิบายให้ท่านทราบว่า ท่านต้องรักษาอาการอาพาธอีกหลายวัน ไม่สามารถพาท่านกลับในตอนนั้นได้ พร้อมทั้งลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ท่านฟัง
ในวันนั้น คณะศิษย์ได้กราบเรียนท่านเจ้าคุณสมเด็จพระญาณสังวร (สมเด็จพระสังฆราช) ให้ทรงทราบ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จึงเจริญพรไปยังสำนักพระราชวังต่อไป
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
58
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:14
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระมหากรุณาธิคุณ
ครั้นรุ่งเช้าวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๖ อาการของท่านก็ดีขึ้น คณะแพทย์ได้เข้าตรวจร่างกายของท่านอีกครั้งหนึ่ง จากผลการเอ็กซเรย์พบว่าท่านมีอาการเกี่ยวกับกระดูก ปอด และสมอง กล่าวคือกระดูกและปอดมีจุดดำ และลามไปถึงสมอง แพทย์ลงความเห็นว่าจะต้องใช้เวลารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเดือนจึงจะหาย ที่ตึกวชิราวุธของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นี้ มีระเบียบว่าห้ามอยู่เฝ้าพยาบาลเกิน ๒ คน ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์จึงต้องไปค้างคืนที่วัดบวรนิเวศวิหาร และเมื่อกราบเรียนให้สมเด็จพระญาณสังวรฯ ทราบถึงอาการอาพาธของพระอาจาย์ดูลย์ และปัญหาในเรื่องการเฝ้าพยาบาลให้ท่านทราบ ท่านได้ให้เลขาฯ ของท่าน ติดต่อไปที่คุณหญิงสมรักษ์ เพื่อขอย้ายพระอาจารย์ดูลย์ออกจากตึกวชิราวุธ
ครั้นในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ พระอาจารย์ดูลย์ได้ย้ายมาอยู่ที่ห้องพระราชทาน ชั้น ๓ ตึกจงกลนี วัฒนวงศ์ เพื่อพักรักษาตัวต่อไป
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชทานสงเคราะห์พระอาจารย์ดูลย์ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้พระราชทานแพทย์หลวงมาทำการรักษาเป็นพิเศษ
ขณะที่พระอาจารย์ดูลย์อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเพื่อทรงเยี่ยมพระอาจารย์ดูลย์ ในวโรกาสต่าง ๆ ดังนี้
วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลา ๑๙.๔๕ น. สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยี่ยมพระอาจารย์ดูลย์ ทรงสนทนาถามถึงอาการอาพาธของท่าน จนกระทั่งเวลา ๒๐.๓๐ น. จึงเสด็จฯ กลับ
วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลา ๑๘.๑๙ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาทรงเยี่ยมพระอาจารย์ดูลย์ โดยที่มิได้ทรงมีกำหนดการมาก่อน แต่ปรากฏว่าพระอาจารย์ดูลย์ได้เตรียมพร้อมไว้ก่อน แล้วคล้ายท่านจะรู้ว่าทั้งสองพระองค์จะเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนทนากับพระอาจารย์ดูลย์ ในขณะที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจัดดอกไม้ที่โต๊ะหมู่บูชา และทรงทำน้ำปานะจากส้มเขียวหวานด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง และได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้พระองค์ถวายแก่พระอาจารย์ดูลย์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ดูลย์ ท่านได้แสดงถึงการเข้าฌานและการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก่อนเสด็จฯ กลับ ทั้งสองพระองค์ได้ถวายพระพรพระอาจารย์ดูลย์ว่า ขอให้ท่านดำรงขันธ์อยู่มากกว่า ๑๐๐ ปี พระอาจารย์ดูลย์ได้ทูลตอบเหมือนที่ได้เคยทูลตอบพระองค์เมื่อครั้งก่อนว่า “แล้วแต่สังขารเขาจะเป็นไปเองของเขาดอก”
อนึ่ง เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดาสองพระองค์ พระราชสุนิสา และพระเจ้าหลานเธอ ได้เคยเสด็จฯ ไปที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ มาแล้ว
ในครั้งนี้พระอาจารย์ดูลย์ได้แสดงธรรมเทศนาถวาย ครั้นแสดงธรรมจบลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า “หลวงปู่การที่จะละกิเลสให้ได้นั้นควรจะละกิเลสอะไรก่อน” ท่านก็ได้ถวายวิสัชนาว่า “กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อนให้ละอันนั้นก่อน”
ครั้นพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก่อนเสด็จฯ กลับ ทรงมีพระราชดำรัสคำสุดท้ายว่า “ขออาราธนาหลวงปู่ให้ดำรงขันธ์อยู่ให้นานต่อไปอีกเกินร้อยปี เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป หลวงปู่จะรับได้ไหม” พระอาจารย์ดูลย์ถวายพระพรว่า “อาตมภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารเขาจะเป็นไปของเขาเอง จะอยู่ได้นานอีกเท่าไรก็ไม่ทราบ”
วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลา ๑๗.๐๐ น. สมเด็จพระเทพรัตนสุดา สยามราชกุมารี ทรงเสด็จฯ เยี่ยม เมื่อทรงทราบว่าท่านมีอาการดีขึ้น ทรงชมว่าท่านแข็งแรงดี และเมื่อสมควรแก่เวลาจึงเสด็จฯ กลับ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
59
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:14
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สายธารแห่งปัญญา
ครั้นเมื่อข่าวแพร่สะพัดไปว่า พระอาจารย์ดูลย์อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทำให้มีผู้ที่เคารพนับถือและเลื่อมใสศรัทธาได้ทยอยกันมาเยี่ยมนมัสการท่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งพระและฆราวาส ในส่วนของพระมีตั้งแต่พระธรรมดาขึ้นไป จนกระทั่งถึงสมเด็จพระราชาคณะ สำหรับในส่วนของฆราวาสนั้นก็มีตั้งแต่ประชาชนธรรมดาสามัญ ไปจนกระทั่งถึงระดับผู้บริหารประเทศ
นอกจากจะมาเยี่ยมแล้ว ยังนำภัตตาหารของขบฉันอื่น ๆ รวมทั้งเครื่องสักการะบูชาต่าง ๆ เช่น ธูปเทียน เป็นต้น มาถวายท่าน ซึ่งมีมากมายจนกระทั่งต้องนำไปแจกจ่ายให้แก่คนไข้อนาถาตามตึกต่าง ๆ ของโรงพยาบาล
ในครั้งแรก คณะศิษย์ไม่อยากให้ใครมารบกวนพระอาจารย์ดูลย์มากนัก ด้วยต้องการให้ท่านได้พักผ่อน แต่เมื่อเห็นศรัทธาที่แรงกล้าของบรรดาญาติโยมผู้ตั้งใจมาเยี่ยมแล้ว ในที่สุดจึงต้องยอมให้เยี่ยมตามสะดวก เมื่อเห็นอาการของท่านที่ดีขึ้นทุกคนก็ค่อยสบายใจ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
60
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:14
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กลับวัดบูรพาราม
พระอาจารย์ดูลย์พำนักรักษาอาการอาพาธ ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นเวลาประมาณ ๒ เดือน อาการอาพาธของท่านดีขึ้นเป็นลำดับ คณะแพทย์จึงลงความเห็นว่าให้ออกจากโรงพยาบาลได้
ภายหลังจากทราบว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ในวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๖ เป็นที่แน่นอนแล้ว พอถึงวันที่ ๒๐ มีนาคม ก่อนจะกลับวัดบูรพาราม คณะศิษย์ได้จัดให้มีการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ๑๐ รูป เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษและผู้ก่อสร้างโรงพยาบาล นอกจากนี้ได้นำจตุปัจจัยที่ผู้มีจิตศรัทธาถวายพระอาจารย์ดูลย์ในขณะที่ท่านพักรักษาตัวอยู่นั้น จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท บริจาคบำรุงโรงพยาบาลด้วย
ครั้นถึงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๖ อันเป็นวันครบกำหนดที่จะเดินทางกลับวัดนั้น มีศิษยานุศิษย์จากสาขาต่าง ๆ พากันเดินทางมาส่งพระอาจารย์ดูลย์ที่หน้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์อย่างล้นหลาม
ขบวนรถที่ไปส่งนั้นประกอบไปด้วยรถจากราชสำนัก รถของโรงพยาบาลและรถส่วนตัว โดยมีรถตำรวจทางหลวงนำหน้าและปิดท้ายไปตลอดทาง ตลอดทางที่รถแล่นไปพระอาจารย์ดูลย์อยู่ในอิริยาบถนอนเหมือนกับตอนที่เดินทางมาโรงพยาบาล และท่านสามารถตอบคำถามถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่รถแล่นผ่านได้อย่างถูกต้อง โดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นดูเลย
ขบวนรถที่มาส่งพระอาจารย์ดูลย์ได้มาถึงวัดบูรพาราม เวลา ๑๕.๐๐ น. พบว่ามีสาธุชนมาคอยรับท่านอยู่เป็นจำนวนมาก คณะสงฆ์และบรรดาญาติโยมได้ร่วมกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายกุศล เพื่อแสดงกตเวทิตาคุณ ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๒๓ มีนาคม มีพิธีทำบุญตักบาตรถวายกุศลแด่ท่าน
การรักษาพยาบาลในระยะนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากถวายยาฉันตามที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ และรายงานอาการให้แพทย์ประจำทราบโดยสม่ำเสมอในส่วนตัวของท่านนั้น ตามปกติไม่เคยทำความลำบากใจให้ใครอยู่แล้ว วางตนเป็นผู้สุขสบายทุกกรณี จึงทำให้ศิษย์และบุคคลทั่วไปเห็นว่าท่านมีสุขภาพอนามัยแข็งแรงดีเป็นปกติ
หลังจากกลับมาพำนักที่วัดบูรพารามแล้ว แม้ว่าพระอาจารย์ดูลย์จะมีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่หายขาด คณะศิษย์จึงได้จัดให้ท่านรับกิจนิมนต์น้อยที่สุด แม้กระทั่งการรับแขกก็กำจัดเวลาด้วย ด้วยความห่วงใยในสุขภาพของท่าน ซึ่งต้องได้รับการพักผ่อนให้มากที่สุด อันเป็นสิ่งที่ขัดกับอุปนิสัยที่ไม่ชอบอยู่นิ่งของท่าน ในระหว่างนั้นคณะศิษย์จึงต้องยอมให้ท่านแสดงธรรมเพียงอย่างเดียว โดยละกิจอื่น ๆ ไว้ทั้งหมด
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
หน้าถัดไป »
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
... 18
/ 18 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...