ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนานพระเกจิอาจารย์แห่งแดนสยาม
»
~ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม ~
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
... 18
/ 18 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
เจ้าของ: kit007
~ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม ~
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
41
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:08
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ประสบการณ์เดินธุดงค์
พระธุดงค์ได้ชื่อว่าเป็นเลิศในการสังเกต ท่านจะรู้ว่า สถานที่ที่ท่านอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร ไกลหรือใกล้หมู่บ้าน หรืออยู่ในป่าลึก เป็นต้น ทั้งนี้อาศัยประสบการณ์ของพระแต่ละรูปเป็นสำคัญ
สำหรับพระอาจารย์ดูลย์ถือได้ว่า ท่านเป็นผู้มีประสบการณ์ในการเดินธุดงค์และยอดเยี่ยมในเรื่องการสังเกตอีกท่านหนึ่ง
ตามปกติหลังออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์ดูลย์มักจะพาบรรดาคณะศิษย์ของท่านออกเดินธุดงค์ไปทางแถบชายแดนไทย กัมพูชา บริเวณ จ.สุรินทร์นั่นเอง เพราะเป็นสถานที่อันเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นยิ่งนัก
แต่บริเวณนี้ลำบากในเรื่องอาหารการขบฉัน อันเนื่องมาจากมีบ้านเรือนราษฎรอยู่น้อย บางครั้งต้องอดอาหารเป็นเวลาหลายวันกว่าจะหาหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาตได้ แต่หามีใครปริปากบ่นไม่
ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ดูลย์พาศิษย์ของท่านออกเดินธุดงค์ ซึ่งการจาริกธุดงค์ในครั้งนั้นมีเด็กชายซอมติดตามไปด้วย เผอิญครั้งนี้เกิดหลงป่า ทำให้อดอาหารไปตาม ๆ กัน เหล่าศิษย์ทั้งหิวทั้งกลัว ส่วนพระอาจารย์ดูลย์ท่านเฉย ๆ มีเพียงท่าทางที่อิดโรยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไร้ร่องรอยบ้านเรือน ซ้ำสิ่งที่จะแทนอาหารได้ก็หาไม่พบเลย เด็กชายซอมแทบสิ้นหวัง แต่เหมือนกับสวรรค์โปรด เมื่อได้ยินพระอาจารย์ดูลย์พูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องกลัวแล้ว ได้กินข้าวแน่วันนี้”
ว่าแล้วพระอาจารย์ดูลย์ท่านก็เดินลิ่ว พาศิษย์บุกป่าฝ่าดงไปอย่างรวดเร็ว แต่เดินไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะพบบ้านเรือนผู้คน มีแต่ป่าและป่าเหมือนเดิม
เด็กชายซอมแทบหมดแรงเมื่อคิดว่าพระอาจารย์ดูลย์พูดให้กำลังใจเท่านั้น แต่ก็ทนฝืนเดินตามท่านต่อไป
จากนั้นไม่นานนักเมื่อเดินพ้นดงไม้แล้ว ภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้าคือกระท่อมมุงหลังคาด้วยหญ้าเก่า ๆ หลังหนึ่ง
ความรู้สึกในเวลานั้น เด็กชายซอมมองเห็นว่ากระท่อมหลังนั้นงดงามกว่าปราสาทพระราชวังใด ๆ ที่เคยเห็นมา
“พระอาจารย์ดูลย์รู้ได้อย่างไรว่ามีบ้านอยู่ตรงนี้ ท่านจึงได้มั่นใจว่าวันนี้มีข้าวกินแน่ และนำลิ่วมาถูกทางเสียด้วย” เด็กชายซอมถามขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากที่พากันอิ่มหนำสำราญแล้ว
คำตอบที่ได้คือ ท่านเดินป่ามามาก ก็มีประสบการณ์รู้จักสังเกตสังกา และอนุมานเอาได้ ขอให้พยายามฝึกฝนต่อไป บ่มนิสัยให้รู้จักสังเกตให้มากขึ้น ๆ แล้วก็จะรู้เรื่อง
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
42
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:09
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระป่า พระเมือง
ผู้เรียนเฉพาะปริยัติโดยไม่สนใจในการปฏิบัติเลยนั้น บางครั้งเมื่อต้องอธิบายความหมายก็จะอธิบายเพียงตามตำราที่เรียนมาเท่านั้น ออกนอกตำราแล้วไม่รู้เรื่อง แต่ผู้ที่ทั้งปฏิบัติและทั้งได้ศึกษาเล่าเรียนมาด้วยกัน สามารถที่จะอธิบายความได้แจ้งตลอดทั้งสายทีเดียว
พระครูนันทปัญญาภรณ์ บันทึกเกี่ยวกับคำสนทนาของพระอาจารย์ดูลย์กับพระราชาคณะผู้เป็นพระเมือง เอาไว้เรื่องหนึ่งว่า
หลวงปู่เสร็จจากศาสนกิจในพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง ก็กลับมาพักที่พระตำหนักทรงพรต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
ครั้นพอหลวงปู่สรงน้ำเสร็จแล้ว ก็เอนกายพักผ่อนอยู่ ให้ภิกษุสามเณรบำเพ็ญอาจาริยวัตร ด้วยการนวดเฟ้นพัดวีต่าง ๆ
ครั้งนั้นพระราชาคณะรูปหนึ่งก็แวะเข้ามาเยี่ยม ขอโอกาสว่าให้หลวงปู่เอนกายพักผ่อนตามสบาย เพราะประสงค์เพียงแวะมาคุยอย่างกันเอง
ในระหว่างการสนทนาด้วยเรื่องราวหลากหลายนั้น ท่านเจ้าคุณเอ่ยขึ้นตอนหนึ่งว่า “เขาว่าคนสนใจเรียนคาถาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ สมัยก่อนเป็นยักษ์”
หลวงปู่ลุกขึ้นพรวดพราดกล่าวว่า “ผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณเคยศึกษาถึงปัญจทวาราวัชชนจิตไหม” พระราชาคณะรูปนั้นได้ยินว่าปัญจทวาราวัชชนจิตแล้วถึงกับอึ้ง ไม่คิดว่าจะมีคำถามสวนกลับมา
พระอาจารย์ดูลย์กล่าวต่อไปว่า
“ปัญจทวาราวัชชนจิตนี้ คือกิริยาจิตที่แฝงอยู่กับทวารทั้ง ๕ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นกิริยาจิตที่ทำหน้าที่ประจำรูปกาย อาศัยอยู่ตามทวารทั้ง ๕ เป็นทางที่ติดต่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจิตกับสิ่งภายนอกหรืออารมณ์ภายนอก เป็นกิริยาจิตที่มีอยู่อย่างนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น ห้ามไม่ได้ บังคับไม่ให้เป็นไปไม่ได้ แต่อาจเป็นพาหะให้ทุกข์เกิดได้ และที่น่าตื่นใจก็คือ ให้กิริยาจิตเหล่านี้เป็นไปโดยประการที่ทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้ก็ได้
อันนี้แหละที่น่าสนใจ น่าสำเหนียกศึกษาที่สุด ว่าทำอย่างไรเมื่อตาเห็นรูปแล้ว รู้ว่าสวยงามหรือน่ารังเกียจอย่างไร แล้วก็หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อหูได้ยินเสียงรู้ว่าไพเราะหรือน่ารำคาญแล้ว ก็หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อลิ้นได้ลิ้มรสรู้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย เปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไรแล้วก็หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมหรือเหม็นอย่างไรแล้วก็หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อกายสัมผัสโผฏฐัพพะรู้ว่าอ่อนแข็งอย่างไรแล้ว ก็หยุดเพียงเท่านี้ ครั้นเมื่อศึกษาถึงขั้นนี้แล้วก็จะปรากฏเหตุอันน่าอัศจรรย์ที่เรียกว่า หัสสิตุปปาทะ คือกิริยาที่จิตยิ้มขึ้นมาเองโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ หาสาเหตุที่มาไม่ได้ อันหัสสิตุปปาทะหรือกิริยาที่จิตยิ้มเองนี่ ย่อมไม่มีปรากฏมีในสามัญชนโดยทั่วไป
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
43
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:09
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายควรกระทำไว้ในใจ ในอันที่จะสำเหนียกศึกษา ทำความกระจ่างแจ้งในอเหตุกจิตอันนี้ เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า เมื่อปฏิบัติไปถึงลำดับนี้แล้ว จิตจะเกิดยิ้มขึ้นมาเอง ไม่มีการกระทำ ไม่มีการบังคับให้เกิดขึ้น ย่อมเป็นไปเองโดยไม่รู้ตัว
อนึ่ง เมื่อปฏิบัติตามหลัก “จิตเป็นจิต” อันมีการ “หยุดคิดหยุดนึก” เป็นลักษณะ ถ้าใช้ปัญญาอันยิ่งสอดส่องสำรวจตรวจตราดูตามทวารทั้ง ๕ เหล่านี้เพื่อจะหาวิธีป้องกันการที่จิตจะแล่นไปหาเรื่องใส่ตัวในภายนอก ก็จะเห็นและเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมดาอยู่เองที่คนเราจำเป็นจะต้องใช้ทวารทั้ง ๕ เหล่านั้น กระทำการอันสัมพันธ์กับภายนอก
เมื่อพิจารณาให้ถ้วนถี่ยิ่งขึ้นก็จะได้อุบายอันแยบคาย ว่าในขณะที่เกิดสัมพันธภาพกับภายนอก จิตก็ควรจะกำหนดให้อยู่ในจิต เมื่อเห็นก็กำหนดให้รู้เท่าทันการเห็น แต่ไม่ถึงกับต้องรำพึงรำพันออกมาว่า เห็นแล้วนะ เห็นแล้วหนออะไรดอก เพราะขณะจิตหนึ่ง ๆ นั้น มันไม่กินเวลาอะไร ๆ เมื่อรู้เท่าทันแล้วก็ไม่ต้องไปรำพึงรำพันการปรุงแต่งเพิ่มเติมอีก
ในการกำหนดรู้ให้เท่าทันนั้น อย่าได้ถูกลวงด้วยสัญญาแห่งภาษาคน ภาษาโลก ดังเช่นการรู้เท่าทันคนที่จะมาหลอกลวงเรา เป็นต้น การรู้เท่าทันอารมณ์ในภาษาธรรมนั้นหมายความว่า ความรู้จะต้องทัน ๆ กันกับการรับอารมณ์ของทวารทั้ง ๕ เช่น ในขณะที่ตาเห็นรูป จะต้องมีสติรู้อยู่อย่างเต็มที่สมบูรณ์ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องรู้อะไร เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกข์อันอาศัยปัจจัยคือการเห็นเป็นต้นนั้น ย่อมไม่เกิด และเราก็จะสามารถมองอะไรได้อย่างอิสระเสรี โดยที่รูปหรือสิ่งที่เรามองเห็น ไม่อาจมีอิทธิพลอันใดเหนือเราได้เลยแม้แต่น้อย
ปัญจทวาราวัชชนจิตหรือกิริยาจิตที่แล่นอยู่ตามทวารทั้ง ๕ ย่อมสัมพันธ์กันกับมโนทวาร ในมโนทวารนั้นมีมโนทวารวัชชนจิต อันเป็นกิริยาจิตที่แฝงอยู่ มีหน้าที่คิดนึกต่าง ๆ สนองตอบอารมณ์ที่มากระทบไปตามธรรมดา
ดังนั้นในทางปฏิบัติจะให้หยุดคิดหยุดนึกทุกกรณีย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ด้วยการอาศัยอุบายวีดังกล่าวแล้วนี้แหละ เมื่อจิตตริความนึกคิดอันใดออกมาทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ก็ทำความกำหนดรู้พร้อมในเท่าทันกัน เช่นเดียวกันเมื่อความรู้พร้อมทัน ๆ กันกับอารมณ์ดังนี้แล้ว ปัญญาที่รู้เท่าเอาทันย่อมตัดวัฏฏจักรให้ขาดออกจากกัน ไม่อาจจะเกิดสืบเนื่องหมุนเวียนต่อไปได้ กล่าวคือการก่อรูปก่อร่างต่อไปของจิต ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ และความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็มีอยู่เองโดยไม่ต้องมีอาการลวง ๆ ว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย ความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นแต่เพียงชื่อที่เรานำมาใช้เรียกขานกันให้รู้เรื่อง เมื่อวัฏฏะมันขาดไปเท่านั้น
โดยนัยนี่จึงน่าจะศึกษาให้เข้าใจในอันที่จะกำหนดรู้อย่างไรจึงจะถูกต้อง เมื่อจิตกระทบเข้ากับอารมณ์ภายนอกอย่างไร ก็ให้หยุดอยู่แค่นั้น อย่าไปทะเลาะวิวาท โต้แย้ง อย่าไปเอออวย เห็นดีเห็นงาม ให้จิตได้โอกาสก่อรูปก่อร่างเป็นตุเป็นตะเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวต่อไป อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป อย่าไปใส่ใจอีกต่อไป พอกันเพียงรู้อารมณ์เท่านี้ หยุดกันเพียงเท่านี้
นี่แหละ ทฤษฎีกับปฏิบัติ ต่างกันด้วยประการฉะนี้แล
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
44
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:09
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระปรมาจารย์
บรรดาพระนักปฏิบัติหรือพระป่า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระอาจารย์ดูลย์กล่าวถึงท่านเหล่านั้นให้พระครูนันทปัญญาภรณ์ ศิษย์ใกล้ชิดของท่านฟังว่า
“ถ้าจะพูดในแง่ธุดงค์แล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่ (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) จะถือธุดงค์อย่างเคร่งครัดที่สุด ยืนยันได้เลยว่าลูกศิษย์ของท่านทั้งหมด ตั้งแต่รุ่นโน้นมาจนถึงรุ่นปัจจุบันนี้ ยังไม่มีผู้ใดถือได้เท่าเทียมกับท่านอาจารย์ใหญ่เลยแม้แต่องค์เดียว
ท่านพระปรมาจารย์ หรือท่านอาจารย์ใหญ่ของพระอาจารย์ดูลย์นั้น จะไม่ยอมใช้ผ้าสบงจีวรสำเร็จรูป หรือคหบดีจีวรที่มีผู้ซื้อจากท้องตลาดมาถวาย นอกจากได้ผ้ามาเองแล้วมาตัดเย็บย้อมเองทั้งหมดจึงใช้ และไม่เคยดำริหรือริเริ่มให้ใครคนใดคนหนึ่งสร้างวัดสร้างวาเลย มีแต่สัญจรไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าป่าตรงไหนเหมาะสมท่านก็อยู่ เริ่มด้วยการปักกลด แล้วทำที่สำหรับเดินจงกรม ส่วนญาติโยมผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เมื่อมาพบและมองเห็นความเหมาะสมสำคัญก็จะสร้างกุฎิเล็กกุฎิน้อย สร้างศาลาชั่วคราวถวายท่าน จากนั้นสถานที่นั้นก็กลายเป็นวัดป่า เจริญรุ่งเรืองต่อมา ยิ่งกว่านั้น แม้แต่การรับกฐินท่านก็ไม่เคย สมัยต่อมานั่นไม่ทราบ และท่านไม่เคยถือเอาประโยชน์ที่ได้รับอานิสงส์พรรษาตามพระพุทธบัญญัติ ที่อนุญาตให้แก่ภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาตลอดสามเดือนได้รับการยกเว้น บางอย่างในการปฏิบัติท่านจะถือสิกขาบทโดยตลอด ไม่เคยงดเว้น ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธุดงควัตรโดยสม่ำเสมอ
ด้านอาหารการฉันก็เช่นเดียวกัน ท่านถือการบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นประจำ ไม่เคยขาด แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยแต่พอเดินได้ ท่านก็เดิน จนกระทั่งในที่สุดเมื่อเดินไปบิณฑบาตไม่ได้ ท่านก็จะยืนแล้วอุ้มบาตร ศิษยานุศิษย์ที่กลับมาจากบิณฑบาตและญาติโยมก็มาใส่บาตรให้ท่าน แล้วท่านก็จะขบฉันเฉพาะอาหารที่อยู่ในบาตรเท่านั้น
แม้เมื่อเวลาท่านชราภาพมากแล้ว เวลาท่านเจ็บไข้หรือป่วยมากจนไม่อาจเดินออกนอกวัดได้ ก็ทราบว่าท่านเป็นอยู่อย่างนี้ และยังฉันอาหารมื้อเดียวตลอด แม้แต่หยูกยาคิลานเภสัชต่าง ๆ ที่ใช้ในยามเจ็บไข้ ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ไม่นิยมใช้ยาสำเร็จรูป หรือแม้แต่ยาตำราหลวง หากแต่พยายามใช้สมุนไพรตัวยาต่าง ๆ มาทำเอง ผสมเองเป็นประจำ
แม้แต่การเข้าไปพักก็นิยมพักวัดที่เป็นป่า จำได้ว่าท่านไม่เคยเข้าไปอยู่ในวัดบ้านเลย แต่จะอยู่วัดที่เป็นป่าหรือชายป่า เมื่อไม่มีวัดเช่นนี้อยู่ ท่านก็จะหลีกเร้นอยู่ตามชายป่า แม้ว่าจะมีความจำเป็นเวลาเดินทาง ก็ยากนักที่จะเข้าไปอาศัยวัดวาในบ้าน
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
45
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:10
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านอาจารย์ใหญ่สั่งสอนไว้ว่า
การฉันอาหารต้องฉันอย่าประหยัด มีสติสัมปชัญญะ เพื่อขัดเกลาจิตใจมิให้เกิดความโลภ
วิธีการฉันนั้น เมื่อรับข้าวสุกมากะว่าพออิ่มสำหรับตนแล้ว ให้แบ่งข้าวสุกที่ตนพออิ่มนั้นออกเป็น ๔ ส่วน เอาออกเสียส่วนหนึ่ง แล้วจึงรับเอากับข้าวมาในปริมาณที่เท่ากับส่วนหนึ่งที่เอาออกไป
กล่าวคือ ให้มีข้าว ๓ ส่วน กับข้าว ๑ ส่วน แล้วจึงลงมือฉัน ท่านอาจารย์ใหญ่เองก็จะฉันภัตตาหารในลักษณะเช่นนี้โดยตลอด เมื่อมีผู้ใดจะตระเตรียมภัตตาหารในบาตรถวายท่าน ท่านอาจารย์ใหญ่ก็จะแนะนำให้จัดแจงมาในลักษณะเช่นนี้ แล้วจึงฉัน
สำหรับพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร นั้น พระอาจารย์ดูลย์กล่าวถึงว่า
“ท่านอาจารย์ฝั้นนั้น มีพลังจิตสูงมาก น่าอัศจรรย์ ในด้านการธุดงค์กัมมัฏฐานหรือการปฏิบัติของท่าน ท่านเป็นนักต่อสู้และเอาชีวิตเข้าแลกทีเดียวต่อการปฏิบัติ
ดังนั้นในระยะหลังจึงมีคนนับถือท่านมาก มีผู้สนใจการปฏิบัติมาหาท่านมาก เมื่อมีคนมาหาท่านมาก ท่านมีเมตตาต้องรับแขกมาก คนเหล่านั้นไม่รู้หรอกว่าได้ทำความลำบากแก่ขันธ์ของท่านเพียงไร
ตัวเรานี้ถ้ามีแขกมากหรือทำอะไรมาก ๆ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นแล้ว ก็จะไม่มีอายุยืนนานถึงขนาดนี้ดอก แต่ก็เป็นธรรมดาสำหรับนักปฏิบัติระดับนี้ ที่จะต้องเอื้อเฟื้อต่อสรรพสัตว์ เพราะตนเองก็ไม่ห่วงสังขารอะไรอยู่แล้ว”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
46
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:10
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๑๐. ปูชนียบุคคล
ตั้งแต่เข้าสู่ร่มเงาผ้ากาสาวพัตร์จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพนั้น พระอาจารย์ดูลย์ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด
พระอาจารย์ดูลย์มีวัตรปฏิปทาที่ถูกต้อง งดงาม มั่นคง ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ กำลังความสามารถในการบริหารพระศาสนา ท่านมุ่งมั่นแต่ในทางพระศาสนา แต่กิจวัตรส่วนตัวของท่าน ไม่เคยบกพร่องแต่ประการใดเลย เคยประพฤติปฏิบัติอย่างไร ท่านก็คงยึดปฏิปทาปฏิบัติอยู่อย่างนั้นสม่ำเสมอ
ด้วยวัตรปฏิปทาของพระอาจาย์ดูลย์ดังกล่าว ทำให้ท่านเป็นพระเถระที่มีผู้เคารพนับถือและเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก ทั้งใน จ.สุรินทร์และจังหวัดที่อยู่ในภาคอีสาน ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาทุกสาขาอาชีพอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ จึงนับว่าท่านเป็นปูชนียบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
47
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:10
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นิสสัย ๔
ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต เรียกว่า นิสสัย มี ๔ อย่างได้แก่
๑. เพียรบิณฑบาต ๒. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๓. อยู่โคนไม้ ๔. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า
พระอาจารย์ดูลย์ถือนิสสัยอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการบิณฑบาตนั้น ท่านไม่เคยขาด แต่เมื่อท่านชราภาพลงมากแล้ว ทำให้การเดินบิณฑบาตทำได้ไม่สะดวก ท่านจึงบิณฑบาตภายในวัด โดยให้พระเณรนำอาหารที่บิณฑบาตได้นำมาตักใส่บาตรของท่านที่ตั้งไว้หน้ากุฏิ
พระอาจารย์ดูลย์ไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับอาหาร ท่านไม่เคยวิจารณ์เกี่ยวกับรสชาติอาหารให้ผู้ใดฟังเลย ได้มาอย่างไรก็ฉันไปอย่างนั้น จะประณีตหรือไม่ก็ตาม เพราะท่านถือว่าอาหารบิณฑบาตเหล่านั้น เขาถวายท่านด้วยศรัทธาและท่านเป็นศิษย์ตถาคต อาศัยชาวบ้านเป็นอยู่ ต้องอยู่ง่ายกินง่าย ไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
ครั้งหนึ่ง พระครูนันทปัญญาภรณ์มีความคิดว่า พระและฆราวาสผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คงจะตัดความยินดีในรสอาหารและไม่ยินร้ายในรสอาหารได้ จึงได้เข้าไปหาพระอาจารย์ดูลย์ บอกถึงความคิดของตน และได้เรียนถามท่านว่า ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว สามารถตัดความยินดีในรสอาหารได้จริงหรือไม่
พระอาจารย์ดูลย์ตอบว่า “เข้าใจถูกครึ่งหนึ่ง เข้าใจผิดครึ่งหนึ่ง แต่ก็เป็นการดีแล้วแล้วที่มาพบเพื่อพยายามทำความเข้าใจ ที่ว่าเข้าใจถูกนั้นก็คือท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว สามารถตัดความยินดีในรสอาหารได้จริง ที่ว่าผิดนั้นก็เพราะท่านมีความรู้สึกรับรู้รสของอาหารได้เป็นอย่างดี ดีผิดจากคนธรรมดาสามัญ ทั้งนี้เนื่องจากธาตุขันธ์ของท่านบริสุทธิ์หมดจดแล้ว ด้วยการชำระล้างแห่งธรรมอันยิ่ง ประสาทรับรู้รสอันประกอบด้วยเส้นตั้งพัน ตามที่ปรากฏในพระธรรมบทขุททกนิกาย ต่างก็ปฏิบัติหน้าที่รับรู้รสของตน ๆ ได้อย่างอิสระเต็มที่เต็มทางตามความสามารถแห่งคุณสมบัติของตน จึงรู้รสชาติต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนละเอียดลออ ไม่ขาดไปแม้แต่รสเดียวและแต่ละรสมีรสชาติขนาดไหนก็รู้สึกได้ เสียแต่ว่าไม่มีคำพูดหรือภาษาที่บัญญัติไว้ให้พออธิบายให้เข้าใจได้เท่านั้นเอง ซึ่งด้วยภูมิธรรมของปุถุชนสามัญธรรมดา หากสามารถรับรู้รสชาติเห็นปานนี้ได้ น่าที่จะต้องเกิดคลั่งไคล้ใหลหลงอย่างแน่นอน
ดังนั้น ไม่ว่าอาหารนั้นจะได้รับการปรุงแต่งให้มีรสชาติมากหรือรสชาติน้อยอย่างไร รสชาติบรรดาที่มีอยู่ในตัวอาหารนั้น ๆ ท่านที่ปฏิบัติชอบแล้วก็สามารถรับรู้ได้จนครบถ้วนทุกรส แต่เมื่อรับรู้แล้วก็หมดกันแค่นั้น ไม่เกิดความยินดีพอใจสืบเนื่องต่อไป”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
48
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:11
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จริยาวัตร
ตั้งแต่หนุ่มจนกระทั่งท่านชราภาพ กิจทุกอย่างท่านมักจะทำด้วยตัวท่านเอง ไม่ชอบที่จะให้คนมารับใช้หรือเอาใจท่านมากนัก พระครูนันทปัญญาภรณ์ได้สรุปจริยาวัตรของพระอาจารย์ดูลย์ในเรื่องนี้ไว้เป็นบันทึกของท่านว่า
“ประการแรกหลวงปู่ท่านเป็นคนที่ไม่มีมายา ไม่มีการวางมาด นั่งอย่างนั้น ยืนอย่างนี้ พูดอย่างนี้ เดินอย่างนั้น อะไรทำนองที่ทึกทักเอาด้วยตนเองว่า ทำให้เกิดความภูมิฐาน น่าเลื่อมใส นับถือ หรือยำเกรงบุญญาธิการ เวลาจะพูดก็ไม่ทำสุ้มเสียงให้ห้าวกระหึ่มผิดปกติให้น่าเกรงขาม ทำตนเป็นคนที่ใคร ๆ เอาใจยากหน่อย ไม่งั้นมันจะดูเป็นคนธรรมดาสามัญจนเกินไป ท่านจะทำอะไรก็ทำโดยกิริยา พูดโดยกิริยา ไม่ทำให้ใครลำบากโดยใช่เหตุ ไม่พูดให้ใครอึดอัดใจ เพียงเพื่อจะสนองตัณหา หรือปมด้อย หรืออัสมิมานะ (การถือเขาถือเรา) อะไรบางอย่าง
ประการที่สองหลวงปู่ท่านเป็นคนเข้มแข็ง คนที่เข้มแข็งย่อมไม่นิยมการพึ่งพาผู้อื่นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะในกิจที่เล็ก ๆ น้อย ๆ
คนอ่อนแอเท่านั้นที่คอยแต่จะอาศัยผู้อื่นโดยไม่จำเป็น เด็กที่อ่อนแอย่อมคอยแต่จะออดอ้อนมารดา โยกเยกโยเยด้วยอาการต่าง ๆ เป็นอาจิณ ผู้ใหญ่ที่อ่อนแอก็ฉันนั้น อยู่ก็ยาก กินก็ลำบาก งอแง หงุดหงิด เจ้าโทสะ ต้องมีคนคอยเอาอกเอาใจอยู่ตลอดเวลาเหมือนเด็กอ่อนที่ขี้โรค
แต่หลวงปู่ท่านเป็นคนที่หาความอ่อนแอไม่พบ เป็นผู้ที่มีความสง่าผ่าเผยโดยไม่ต้องวางมาด ทุกอิริยาบถของท่าน อวัยวะทุกส่วนเคลื่อนไหวตัวเองตามหน้าที่อย่างอิสระ ปราศจากการควบคุมบรรจงจัดให้น่าประทับใจแต่อย่างใดไม่เคยนั่งตัวงอ หรือเอนกายในที่สาธารณสถาน ไม่เอนกายเอกเขนก หรือนอนรับคารวะจากสหธรรมิก แม้สามเณรที่เพิ่งบวชในวันนั้น
บางครั้งเราจะเห็นภาพที่ผู้มองอดขำเสียมิได้ คือเมื่อท่านมีอายุมากกว่า ๙๐ ปีแล้ว ญาติโยมก็มีจิตศรัทธาซื้อหาไม้เท้ามาถวายให้ท่านได้ใช้เป็นเครื่องพยุงกาย ท่านก็ฉลองศรัทธาญาติโยมด้วยการนำไม้เท้านั้นติดตัวไปไหนมาไหนด้วย แต่กลับไม่ค่อยได้ใช้ไม้เท้าค้ำยันกายเลย
จึงเกิดภาพที่น่าขันที่เห็นท่านนำไม้เท้าไปในลักษณะที่ถือไปทุกครั้ง ทำให้มองดูกลับกลายเป็นว่า หลวงปู่ไม่ได้พึ่งพาอาศัยไม้เท้านั้น แต่ไม้เท้านั้นกลับต้องพึ่งพาให้หลวงปู่พาไป
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
49
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:11
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้ไม่หวั่นไหว
ปฏิปทาที่น่าเลื่อมใสของพระอาจารย์ดูลย์อีกข้อหนึ่งนั้นคือ ความเป็นผู้เยือกเย็น ไม่หวั่นไหว คงเพราะท่านได้จากการออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมนั่นเอง
มีเรื่องเล่าถึงปฏิปทาของพระอาจารย์ดูลย์โดยศิษย์ของท่านในเรื่องนี้ไว้ว่า
“ครั้งนั้น ๔๐ ปีกว่าล่วงมาแล้ว เกิดมหันตภัยรายแรงที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ คือเกิดเหตุการณ์อีคคีภัยครั้งใหญ่ในตลาดจังหวัดสุรินทร์ ชาวบ้านชาวเมืองเรียกไฟไหม้ครั้งนั้นว่า “ไฟบรรลัยกัลป์” เพราะเป็นการลุกไหม้เผาผลาญอย่างวินาศสันตะโรจริง ๆ
ไฟเริ่มไหม้ที่ใจกลางเมืองพอดี แล้วลุกลามขยายออกไปเป็นวงกลมรอบทิศ หน่วยดับเพลิงต่างสิ้นหวังและหมดปัญญาจะสกัดไฟได้ สามารถป้องกันได้เพียงบางจุดเท่านั้น ในส่วนอื่น ๆ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม เป็นที่แน่ชัดว่าแทบทั้งเมืองจะต้องราพณาสูญไปด้วยฤทธิ์พระเพลิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งในวัดและบริเวณใกล้เคียงนั้น เกิดความโกลาหลทั่วไปหมด ชาวบ้านวิ่งกันสับสนอลหม่าน คนจำนวนมากวิ่งหนีเข้ามาหวังจะพึ่งวัด หอบลูกจูงหลานแบกข้าวของกันอึงคะนึง พระเณรชีต่างก็อกสั่นขวัญหนี เพราะทั้งกุฏิเสนาสนะต่าง ๆ ในวัดและอาคารบ้านเรือนรอบ ๆ วัดล้วนเป็นไม้เก่าแก่ นับว่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ต่างไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะไฟแลบลุกไหม้เข้ามา และจะต้องเข้าถึงวัดอย่างไม่ต้องสงสัย ความสับสนอลหม่านในวัดได้เกิดขึ้น จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทั้งชาวบ้านที่วิ่งชนพระเณรชี และวิ่งชนข้าวของกันดูชุลมุนวุ่นวายไปหมด
พระเณรจำนวนหนึ่งกรูกันขึ้นไปบนกุฏิหลวงปู่ เห็นท่านนั่งจิบน้ำชาอยู่ด้วยสีหน้าปกติ ต่างก็ลนลานขอโอกาสท่านเพื่อขนของหนีไฟ หลวงปู่ห้ามว่า “ไม่จำเป็น” ไฟโหมลุกไหม้ใกล้วัดเข้ามาทุกที และอีกไม่กี่คูหาก็จะถึงวัดแล้ว พระเณรกรูกันลงมาจากกุฏิหลวงปู่ วิ่งไปด้านหลังมณฑปหลวงพ่อพระชีว์ เห็นเปลวไฟลามใกล้เข้ามาจะถึงวัดแล้ว จึงพากันวิ่งกรูขึ้นไปบนกุฏิหลวงพ่อเพื่อช่วยกันขนย้ายอีก หลวงปู่ยังนั่งอยู่ที่เดิมแล้วห้ามไว้ด้วยอาการสงบเย็นว่า “ไม่จำเป็น”
ทันใดนั้นขณะไฟลุกลามมาติดเขตวัด สุดยอดแห่งความบังเอิญที่เกิดขึ้น เกิดมีลมกรรโชกขึ้นมาอย่างแรง พัดกระพือจากทิศตะวันออกอันเป็นเขตวัดตลบกลับไปทางทิศตะวันตกอันเป็นเขตภายนอกวัด พัดเปลวไฟกลับไปสู่บริเวณที่ลุกไหม้อยู่ก่อน จนกระทั่งมอดไหม้สงบไปในที่สุด มหันตภัยครั้งนั้นก็สิ้นสุดลงด้วยความสูญเสียครั้งร้ายแรงของชาวบ้านร้านตลาดในจังหวัดสุรินทร์ ทุกคนภายในวัดต่างก็เหนื่อยอ่อนกันถ้วนทั่ว”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
50
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-3-24 18:11
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บริสุทธิ์ทั้งกายวาจาใจ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพระสงฆ์สาวกของพระองค์ว่า ควรจะพูดถ้อยคำที่ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ เป็นเรื่องจริง มีประโยชน์ ผู้ฟังพอใจ และถูกต้องเหมาะกับเวลา และสถานที่ จะขาดองค์หนึ่งองค์ใดไม่ได้
พระอาจารย์ดูลย์เป็นผู้ที่มีความสะอาดทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ท่านรักษาความสะอาดของร่างกายเป็นอย่างดี เครื่องนุ่มห่มสะอาดสะอ้าน เสนาสนะ ที่อยู่อาศัย พอเช้าขึ้นก็ต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อยตามแบบพระกัมมัฏฐาน
ท่านสอนศิษย์อยู่เสมอว่า “เมื่อฝึกให้เคยชินการรักษาความสะอาดและทนความสกปรกไม่ได้เป็นนิสัยแล้ว นิสัยนี้จะแฝงฝังอยู่ในใจ เมื่อใดเกิดกิเลสตัณหาอันเป็นความสกปรกทางใจเกิดขึ้น มันก็จะดำรงอยู่ได้ไม่นาน เพราะใจจะทนไม่ได้ไปเอง อดที่จะกำจัดขัดเกลาทิ้งเสียไม่ได้”
ในเรื่องของวาจานั้น ท่านเป็นคนพูดน้อย แต่คำพูดเหล่านั้นมักจะรวบรัดหมดจดชัดเจน แต่ก็มีความหมายลึกซึ้ง เป็นถ้อยคำที่ไม่ผิดพลาดจากความเป็นจริง ถูกกาลเทศะ ตรงต่อพระธรรมวินัย ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน และผู้อื่นทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนา พูดตามความจำเป็นตามเหตุการณ์
คำพูดแต่ละคำของท่านนั้น ไม่มีมายาเจือปนแม้แต่น้อย ไม่พูดพร่ำเพรื่อเพ้อเจ้อ ไม่พูดตลกคะนอง ไม่พูดหรือปลอบโยนเอาอกเอาใจ หรือพูดจากเพื่อเลียบเคียงหวังประโยชน์แต่ประการใด
เมื่อมีเหตุการณ์อะไรไม่สมควรที่ลูกศิษย์ประพฤติปฏิบัติ ท่านจะพูดเพียงครั้งเดียวแล้วก็หยุด ไม่พูดพร่ำเพรื่อ หรือเมื่อจำเป็นต้องปรามให้หยุดการกระทำนั้น ก็จะปรามครั้งเดียวไม่มีอะไรต่อ คือจะมีอะไรที่แรงออกมาค่ำหนึ่งแล้วท่านก็สงบระงับไปอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อมีอะไรที่น่าพอใจ น่าขัน ก็จะหัวเราะออกมาในวาระแรกแล้ว ต่อไปก็ยิ้มๆ และเป็นยิ้มที่สะอาดหมดจด เป็นปกติ จริงใจ
บุคลิกที่มีประจำตัวอีกอย่างของพระอาจารย์ดูลย์ประการหนึ่ง ก็คือเมื่อเวลาสนทนากัน ท่าจะไม่มองหน้าใครตรง ๆ จะมองเพียงครั้งแรกที่พบ จากนั้นท่านก็จะทอดสายตาลงต่ำ นาน ๆ ครั้งจึงจะหันหรือเงยหน้าขึ้นมองบ้างเมื่อจำเป็น แม้แต่เมื่อพูดกับสมณะด้วยกัน ท่านก็ปฏิบัติเช่นนี้
ด้านจิตใจของท่านนั้น นับว่าเป็นแบบฉบับของบุคคลที่เขาเรียกกันว่า เป็นผู้มีจิตใจสะอาด บริสุทธิ์ เป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพบูชาอย่างแท้จริง ไม่มีเล่นแง่แสนงอน หรือเอาเหลี่ยมเอาเชิงกับใคร ท่านไม่มีทิฏฐิมานะถือว่าตนเองเป็นใหญ่กว่า ผู้น้อยจะมาล้ำหน้าก้ำเกินไม่ได้ แม้จะไม่เจตนาก็ตาม ท่านไม่เคยมีจิตใจถือโทษเลย
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
หน้าถัดไป »
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
... 18
/ 18 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...