ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1430239507


ไฮสปีดเทรน มาแว้วว



วันที่ 29 เมษายน  พ.ศ. 2558 เวลา 00:10 น.




ทิ้งหมัดเข้ามุม

โดย สมิงสามผลัด

อย่างที่เคยบอกมาตลอดว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศเป็นสิ่งที่จำเป็น หากเมืองไทยต้องการก้าวไปสู่ความเป็นแนวหน้าของภูมิภาคอาเซียนให้ได้


ต้องมีรถไฟความเร็วสูง แต่ไม่ใช่เพราะอยากเท่ๆ แบบเพื่อนบ้าน


แต่รถไฟความเร็วสูงจะกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค สร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง


และดีใจมากที่เห็นรัฐบาลชุดนี้ปัดฝุ่นโครงการรถไฟความเร็วสูง


พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม ระบุว่า จากการหารือกับผู้บริหารซีพี ซึ่งได้นำพันธมิตร 2 บริษัทจากฮ่องกง และประเทศจีน เข้าแสดงเจตนาที่จะเข้าร่วมดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ระยะทาง 194 ก.ม.


วงเงินเบื้องต้น 1.5 แสนล้านบาท


นอกจากนี้ยังมีไทยเบฟเวอเรจสนใจเส้นกรุงเทพฯ-หัวหิน และบีทีเอสก็สนใจเดินเส้นขอนแก่น-มาบตาพุดด้วย


ในชั้นนี้ถือว่ารถไฟความเร็วสูงในเมืองไทยคงได้เกิดขึ้นแน่นอน


บอกได้เลยว่าเป็นโอกาสอันดีที่ไทยต้องเข้าสู่โหมดการพัฒนาประเทศอย่างเต็มตัว


แต่ที่เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันตอนนี้ ไม่ใช่การคัดค้านการก่อสร้าง ไฮสปีดเทรน แต่มีการตั้งข้อสงสัยถึงพฤติกรรมของกลุ่มคนที่เคยต่อต้านโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ 2 ล้านล้านในอดีต


มีเพจดังๆ ในสังคมออนไลน์ออกมา ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมม็อบนกหวีด หรือพรรคการเมืองที่เคยต่อต้านโครงการ 2 ล้านล้าน เพราะเห็นว่าจะสร้างหนี้สินให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ


ตอนนี้เงียบกันเป็นเป่าสาก


นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักการเมือง คนดังก็โพสต์ในเฟซบุ๊ก ระบุว่า "คนดีหายไปไหน? รถไฟความเร็วสูงมาแล้ว"


  บอกด้วยว่าฝ่ายค้านยุคที่แล้ว อภิปรายคัดค้านอยู่ 3 วัน 3 คืน บอกว่าสิ้นเปลืองบ้าง เป็นหนี้นาน 50 ปีบ้าง กู้มาโกงบ้าง ทุนนิยมสามานย์บ้าง


ตอนนี้เงียบกันเป็นเป่าสาก


หรือว่ามีธงวิพากษ์วิจารณ์กันเฉพาะบางรัฐบาลเท่านั้น !?







จับตา 19 ปีไทยเสี่ยงดินไหวใหญ่

เมื่อวันที่ 27 เม.ย. นายทินกร ทาทอง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรณีเขต 1 (ลำปาง) รับผิดชอบพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวว่า จากข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวของประเทศไทยในปี 2526 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 แม็กนิจูด ที่จ.กาญจนบุรี ต่อมาปี 2537 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.6 แม็กนิจูด ที่อ.พาน จ.เชียงราย และล่าสุดเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2557 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แม็กนิจูด ที่อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ถือเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จากการคาดการณ์ระยะเวลาการเกิดแผ่นดินไหวที่จ.เชียงราย จำนวน 2 ครั้ง ห่างกันประมาณ 20 ปี หากเป็น รอบของการเกิดแผ่นดินไหวจริง จึงคาดว่าในอีก 20 ปี ข้างหน้า หรือในปี 2577 ประเทศไทยจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่อีก



นายทินกรกล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่มีพลังอยู่ทั้งหมด 14 รอยเลื่อน แบ่งเป็นภาคเหนือ 10 รอยเลื่อน ภาคตะวันตก 2 รอยเลื่อน และภาคใต้ 2 รอยเลื่อน ซึ่งในพื้นที่ภาคเหนือมีการเกิดแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง โดยมีขนาดต่ำกว่า 3 แม็กนิจูด ประกอบ กับภาคเหนือมีจำนวนรอยเลื่อนมากที่สุดในประเทศไทย จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะรอยเลื่อนเถิน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของ จ.ลำปาง และแตกแขนงพาดมายังฝั่งทิศเหนือ รวมถึงรอยเลื่อนพะเยา พาดผ่าน อ.งาว จ.ลำปาง และอ.เมือง ต.พะเยา และรอยเลื่อนท่าสี พาดผ่าน อ.เมือง อ.แม่เมาะ และอ.งาว จ.ลำปาง



นายทินกรกล่าวต่อว่า ปัจจุบันยังไม่มีเครื่องมือใดที่จะเตือนแผ่นดินไหวล่วงหน้าได้ จึงเป็นการคาดการณ์เท่านั้น ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าจะเกิดที่ใดบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้อง เตรียมความพร้อมในการรับมือแผ่นดินไหว โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งปกติกรมทรัพยากรธรณีจะเฝ้าระวังแผ่นดินไหวให้ประชาชนตลอดทั้งปีอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้จะจับตา ดูเป็นพิเศษ เนื่องจากประชาชนห่วงเรื่องแผ่นดินไหวใหญ่ที่ประเทศเนปาล แต่ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบกับประเทศไทย เพราะอยู่ห่างจาก จ.เชียงราย ประมาณ 1,700 ก.ม. และห่าง จากกรุงเทพฯ ประมาณ 2,300 ก.ม.




สู่อมาตยาธิปไตยเต็มใบ






ในการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญแบบเข้มข้นที่ผ่านมา สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) บางคน วิพากษ์ว่าเป็นการถอยหลังกลับสู่ยุคของการปกครองโดยข้าราชการที่เรียกว่า “อมาตยาธิปไตย” ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการตัดอำนาจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการแต่งตั้งโยกย้ายปลัดกระทรวงให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ซึ่งเป็นข้าราชการล้วน
คณะกรรมการที่เรียกว่า “คณะกรรมการแต่งตั้งข้าราชการโดยระบบคุณธรรม” มีกรรมการ 7 คน มาจากกรรมการ ก.พ. มาจากผู้เคยเป็นปลัดกระทรวง และประธานกรรมการจริยธรรมของกระทรวงน่าเป็นห่วงว่ารัฐบาลชุดต่อๆไปจะสามารถผลักดันให้การบริหารประเทศเป็นไปตามนโยบายที่สัญญาต่อประชาชนได้หรือไม่ ถ้าไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษปลัดกระทรวง


อีกเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญให้อำนาจและความสำคัญต่อข้าราชการเป็นพิเศษคือที่มาของ ส.ว. 200 คน ส่วนหนึ่งมาจากอดีตปลัดกระทรวง ส่วนหนึ่งมาจากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านการเมือง ความมั่นคงการบริหาร ราชการ แม้แต่ส่วนที่มาจากเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน ก็ยังต้องคัดกรองโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จึงคาดว่า ส.ว.เสียงข้างมากจะมาจากข้าราชการ
แม้แต่ระบบการเลือกตั้งใหม่ ก็ถอยหลังกลับไปสู่ระบบจัดการเลือกตั้งโดยข้าราชการ ที่ใช้มาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 83 ปีก่อน ถึงแม้จะยังให้มีองค์กรอิสระคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ “ควบคุม” การเลือกตั้ง ส.ส.และระดับท้องถิ่น




แต่ กกต.ถูกตัดเขี้ยวเล็บไปมาก ไม่มีอำนาจจัดการเลือกตั้งเอง เหลือแค่ใบเหลืองคือสั่งให้เลือกตั้งใหม่
ส่วนอำนาจในการให้ใบแดงเป็นของศาลอุทธรณ์ และอำนาจหน้าที่ “จัดการเลือกตั้ง” เป็นของ “คณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง” ประกอบด้วยข้าราชการจากแต่ละหน่วยงานที่ได้รับแต่งตั้งจากบรรดาปลัดกระทรวงสำคัญๆ จากประสบการณ์ในอดีต การเลือกตั้งภายใต้การจัดการของระบบราชการไม่เคยจับทุจริตการเลือกตั้งไม่กล้าให้ใบแดงผู้มีอำนาจ




อีกเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงว่าประเทศ ไทยกำลังถอยหลังกลับสู่อมาตยาธิปไตยเต็มตัว คือสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ 120 คน มาจาก สปช. 60 คน สนช. 30 คน “ผู้ทรงคุณวุฒิ” อีก 30 คน และคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติ 15 คน ก็จะมาจาก “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ทั้งสององค์กรจะสืบทอดอำนาจเป็นคู่ขนานกับรัฐสภาและรัฐบาลใหม่อีกหลายปี




จากบทบัญญัติเหล่านี้แสดงว่าคณะกรรมาธิการมีความเชื่อถือและเชื่อมั่น ในระบบราชการมากกว่าการเมืองไม่เชื่อมั่น ว่าระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลที่เข้มแข็ง จะทำให้การเมืองดีขึ้นได้ แต่ที่ผ่านๆมา ระบบข้าราชการก็เป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตยเช่นเดียวกับนักการเมือง เพราะมักจะมาพร้อมกับระบบอุปถัมภ์ ก้าว ไม่พ้นเส้นสายและทุจริตคอร์รัปชัน.




http://www.thairath.co.th/content/495638



[url=][/url]


ประสานเสียงถล่ม‘ร่างรัฐธรรมนูญ’
ประสานเสียงถล่ม‘ร่างรัฐธรรมนูญ’
: ขยายปมร้อน โดยอรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ สำนักข่าวเนชั่น          
           ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญยกแรกโดยสภาปฏิรูปแห่งชาติ แม้ไม่ดุเดือดเหมือนสภาปกติ แต่ก็เรียกว่า "เผ็ดร้อน" ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะก่อนหน้านั้นหลายคนไม่ได้คาดหวังว่ารัฐธรรมนูญจะถูกชำแหละอะไรมากนัก เพราะอย่างไรก็ตามก็ล้วนมาแต่ต้นกำเนิดเดียวกันทั้งสิ้น แต่เอาเข้าจริงแล้วมีหลายคนที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญอย่างถึงแก่น

           แต่ที่ไม่เหนือกว่าความคาดหมายคือ เป้าที่ถูกล็อกว่าจะถล่ม มิใช่เรื่องของการปฏิรูป มิใช่เรื่องของสิทธิ หากแต่เป็นเรื่องของ "การจัดสรรโครงสร้างอำนาจทางการเมือง" ที่จาก 7 วันของการอภิปราย ใช้เวลากับส่วนนี้ไปถึง 3 วัน เรียกว่าเกือบครึ่งของเวลาทั้งหมด

           แน่นอนว่า เสียงวิจารณ์ย่อมมีไปถึงกรณี “ที่มานายกฯ” ที่ไม่กำหนดว่า นายกฯ ต้องเป็น ส.ส. และ “ที่มา ส.ว.” ที่นอกจากที่มาจะมีความลักลั่นในตัวเอง กึ่งเลือกตั้งกึ่งสรรหา ประเด็นยังมีอยู่ที่ความไม่สัมพันธ์ระหว่างที่มาและอำนาจ เพราะมีอำนาจกว้างขวางหลากหลายแต่กลับไม่ยึดโยงกับประชาชน

           และที่สำคัญคือ เรื่องของ "ระบบการเลือกตั้ง" ที่ถูกมองว่าจะก่อปัญหาในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เสถียรภาพของรัฐบาล” การต่อรองที่จะมีขึ้นตามมา เพราะปัญหาเรื่องเสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จในสภากำลังถูกแก้ด้วยปัญหาเดิมๆ ก่อนรัฐธรรมนูญปี 2540 คือการมี “รัฐบาลผสม”

           ยิ่งไปกว่านั้น ระบบเลือกตั้งที่เปิดโอกาสให้ผู้สมัครสังกัดกลุ่มการเมืองก็ยังถูกมองว่าเป็นการทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง มิพักต้องพูดถึง "สมัชชาคุณธรรม และสมัชชาพลเมือง" ที่ถูกตั้งคำถามถึงอำนาจ ที่มาที่ไป องค์กรตรวจสอบที่มีอำนาจเปี่ยมล้น หรือ "สภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ" ที่ถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ

                   “ลุงชัย" ชัย ชิดชอบ ส.ส.อาวุโส ในฐานะสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ถึงกับพูดในสไตล์ลูกทุ่งว่า “บ้านเมือง...หายแน่”

           สำทับด้วยความเคลื่อนไหวนอกสภา เมื่อ “ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป” หรือ ศปป. เชิญหลายฝ่ายเข้าหารือเรื่องการแก้ไขความขัดแย้ง รวมถึงคู่ขัดแย้งและพรรคการเมือง แต่ดูเหมือนว่าเวทีวันนั้นจะกลายเป็นเวทีอภิปรายการเมืองนอกสภา

           เพราะแทบจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พรรคการเมือง “ปรองดอง” จับมือกัน โดยประสานเสียงไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ด้วยข้อหาหนักคือ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” และยิ่งกว่านั้นคือ หลายคนถึงกับบอกว่า การเลือกตั้งจะเลื่อนออกไปก็ได้ แต่ขอให้ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย นี่คือเสียงที่ประกาศชัดในเวทีของผู้มีอำนาจสูงสุดขณะนี้

           แต่เสียงจาก “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ประธานกรรมาธิการยกร่างฯ ที่ออกมานั้น กลับไม่ใช่สัญญาณที่ดีเท่าไหร่นัก “ขอความกรุณาส่งกลับมาด้วยว่าจะให้แก้มาตราไหน แก้ไขเป็นอย่างไร แล้วจะให้เขียนใหม่เป็นแบบไหน ระบุมาให้ชัดอย่ามาพูดรวมๆ ว่าจะสร้างความวุ่นวาย เพราะขณะนี้อยู่ในระหว่างการร่างบทบัญญัติ ถ้าทำอย่างที่ผมบอกถือว่าเป็นการเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ และกมธ.ยกร่างฯ ก็จะพิจารณาอย่างจริงจัง ไม่ใช่มาเหมารวมว่า ผลไม้ในเข่งมี 300 ใบ อาจจะเสียไป 5 ใบ ก็ขอให้บอกมาว่า 5 ใบที่เสียนั้น จะทำให้ผลไม้เสียทั้งเข่งได้อย่างไร”

           “บวรศักดิ์” กำลังจะบอกว่า ถ้าจะแก้ก็จะแก้เป็นมาตราไป แต่ต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่ทุกคนประสานเสียงบอกกันนั้น ไม่ใช่เรื่องของผลไม้ในเข่งที่เสียไปไม่กี่ใบ แต่กำลังหมายถึงผลไม้ทั้งเข่งที่ส่งมานั้นไม่ต้องตามความต้องการ

           ที่หนักกว่านั้นคือ สิ่งที่ทุกคนพูดถึงเจตนาคือบอกว่า หลักการของรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างนี้ไม่ถูกต้อง แต่ “บวรศักดิ์และทีมงาน” ก็ประกาศชัดว่า จะไม่ยอมแก้หลักการของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งหลักการที่ว่าก็หมายถึงสามเรื่องหลักที่ัถูกตั้งคำถาม

           ถ้าอ่านใจกรรมาธิการยกร่างฯ ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้หนึ่งต้น สิ่งที่พวกเขาจะทำคือ ยอมเด็ดใบทิ้งเท่านั้น แต่สิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็นปัญหามิใช่อยู่แค่ปลายกิ่ง หากแต่อยู่ที่ลำต้น ที่กรรมาธิการมีท่าทีแข็งขืนไม่ยอมปรับเปลี่ยน

           หนทางจากนี้..สำหรับกรรมาธิการยกร่างฯ จะยิ่งลำบากมากขึ้นกว่าจะถึงวันที่โหวตร่างรัฐธรรมนูญรอบสุดท้าย หากนับแล้วน่าจะมากกว่าวันที่ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ด้วยซ้ำไป

           อย่างไรก็ตาม วันนี้พวกเขาอาจต้องคิดใหม่ให้หนักขึ้น เพราะสัญญาณที่ออกมาจากผู้มีอำนาจเองก็มิได้ไฟเขียวไปเสียทั้งหมด ซ้ำยังเปิดหน้าไพ่เล่นใหม่ อย่างเวที ศปป.ที่ออกมาสร้างแรงกดดันเพิ่ม

           ที่แน่ๆ วันนี้ คสช.มีไพ่หลายหน้าในมือให้เล่น ไม่ว่าร่างจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย และธรรมดาของคนมีอำนาจ การจะหยิบไพ่ใบไหนมาเล่นก็จะขึ้นอยู่ตามสถานการณ์ ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้จนกว่าจะถึงนาทีสุดท้าย ที่ต้องทิ้งไพ่ในมือลงมา


http://www.komchadluek.net/detail/20150429/205484.html

[url=][/url]


'บวรศักดิ์'ย้อน'มาร์ค'ปรองดองไม่ได้มโน'บวรศักดิ์' ย้อน 'อภิสิทธิ์' ปม 'ปรองดอง' ชี้ ไม่ได้เขียนจากการมโน ย้ำ 'อภัยโทษ' ไม่สามารถออก ก.ม.ระบุชื่อคนได้                                                                  

                                   29 เม.ย. 58  เมื่อเวลา 09.30 น.  ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ  นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ และรองประธานสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คนที่ 1 กล่าวในการสัมมนา เรื่อง “การรับฟังความเห็นและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อกำหนดทิศทางการคุ้มครองผู้บริโภค” และบรรยายพิเศษต่อ เรื่อง “ประเด็นเด่นพลเมืองเป็นใหญ่ในรัฐธรรมนูญ” จัดโดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปคุ้มครองผู้บริโภค สปช.ในตอนหนึ่ง ว่า ในร่างรัฐธรรมนูญที่ประกอบด้วย 315 มาตรานั้น อ่านไม่ง่าย แต่เมื่อย่อออกมาก็สามารถสรุปได้ 4 เรื่องสำคัญ

                                   1. การสร้างพลเมืองเป็นใหญ่ 2. การเมืองใสสะอาดและสมดุล 3. หนุนสังคมที่เป็นธรรม และ 4. นำชาติสู่สันติสุข ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เรียกว่า รัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป

                                   นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ที่มีการชุมนุมถึง 2 ปี มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คน บาดเจ็บกว่า 3,000 คน ยังไม่นับความเสียหายอื่น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ได้ประเมินความเสียหายกว่า 2 ล้านล้านบาท และในปี 2553 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้น 3 ชุด คือ คณะกรรมการศึกษาการปฏิรูปเศรษฐกิจ ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน คณะกรรมการปฏิรูปสังคมด้านต่างๆ มี นพ.ประเวศ วะศรี เป็นประธาน และคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ได้สรุปออกมาเป็นรายงานทั้งหมด แต่ก็เอาไว้บนหิ้ง ไม่มีใครนำไปทำ และหลังจากนั้นก็เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างมาก เราจะปล่อยเป็นเช่นนั้นต่อไปไม่ได้ เราเสียเวลามาเกือบ 10 ปีแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงกำหนดเรื่องความปรองดอง ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ เห็นว่า ไม่ควรมีหมวดดังกล่าว เพราะจะสร้างความขัดแย้ง แต่ด้วยความเคารพ ถ้า คอป.ที่ท่านตั้ง ได้ผล หมวดนี้ไม่ต้องมี ความจริง คอป.ทำงานไว้ดีมาก ควรนำมาใช้ แต่ไม่เห็นรัฐบาลไหนให้ความสนใจนำมาใช้ จึงต้องเขียนให้มีคณะกรรมการอิสระเพื่อความปรองดองแห่งชาติ โดยนำคนกลางมาไว้ในรัฐธรรมนูญ

                                   "เราไม่ได้เขียนจากการมโน เขียนจากประสบการณ์ 10 ปีที่ผ่านมาว่า เอกสารอยู่บนหิ้งกี่ชุด ที่นักการเมืองมาจากการเลือกตั้ง ไม่ยอมทำ"

                                   นายบวรศักดิ์ กล่าวอีกว่า การนำชาติสู่สันติสุข คือ การสร้างความปรองดอง สร้างความผาสุขอย่างมีระบบ กระบวนการสร้างความปรองดองมันมีอยู่แล้ว สามารถเรียนรู้ได้จากหลายประเทศที่ฆ่ากันตาย แต่การปรองดองก็ทำได้ประสบความสำเร็จ เรียกกระบวนการนี้ว่าความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน ต้องมีการพูดคุยกับผู้ขัดแย้งทุกฝ่าย มีการหาข้อเท็จจริงว่าใครเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ใครทำผิดรุนแรงต้องถูกดำเนินคดี ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเขียนเรื่องให้อภัยใน ม.298 แต่มีคนพยายามตีความ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าไปอ่านกันอย่างไร มีคนบอกว่าจะหมกเม็ด จะมีการตราพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ก.) ให้คนนั้นคนนี้ ซึ่ง พ.ร.ก.เป็นกฎหมายลักษณะทั่วไป ทำได้อย่างมากเพียงกำหนดเงื่อนไข ส่วนการอภัยโทษต้องทำผ่านขั้นตอนปกติ โดยทำผ่านรัฐบาลนำขึ้นทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                                   "กฎหมายที่ระบุชื่อคนมีอยู่ฉบับเดียวในประเทศไทยวันนี้ คือ กฎหมายอภัยโทษให้คุณอุทัย พิมพ์ใจชน คุณอนันต์ ภักดิ์ประไพ คุณบุญเกิด หิรัญคำ ที่ถูกคณะปฏิวัติสมัยจอมพลถนอม ขังคุก นอกนั้นกฎหมายไประบุชื่อคนไม่ได้ เมืองไทยนี่ระแวงกันจนกระทั่งเกินสมควร บางทีระแวงแล้วยังไม่ทันซักถามอะไรกันให้ดีก็กล่าวหากัน"

                                   นายบวรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่เป็นสิ่งจำเป็น การเมืองภาคพลเมืองไม่เข้มแข็ง ก็ปล่อยให้นักการเมืองทำอะไรก็ได้ ซึ่งการสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ ต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือ จิตใจที่ต้องมีสำนึกที่เป็นสาธารณะ ต้องใฝ่รู้ในกิจการบ้านเมือง ติดตามตรวจสอบการทำงานนักการเมือง ข้าราชการมีจิตที่จะช่วยเหลือคนอื่น ที่จะนำมาซึ่งส่วนที่ 2 คือ พฤติกรรมการมีส่วนร่วม โดยเป็นสิ่งที่ต้องสร้าง ไม่ใช่เกิดขึ้นเอง จึงได้บัญญัติไว้ในร่างรธน.ด้วย

http://www.komchadluek.net/detail/20150429/205499.html

ไล่ล่าฝ่ายที่คิดต่างทางการเมืองอย่างนี้แล้วเมื่อไร ความปรองดอง ที่แท้จริงจะเกิดกับประเทศนี้ ที่มิใช่ ความปรองดอง ที่เกิดจากความกลัวจากอำนาจกระสุนปืน...

เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจนอกเครื่องแบบ จาก สน.โชคชัย บุก สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม PeaceTV
บุกค้นสำนักพ่อปู่ฤาษี หลังภาพแชร์ว่อนทำน้ำมันพรายชิ้นส่วนมนุษย์
[size=14.3000001907349px]
นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
วันนี้ (29 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 และสถานีตำรวจภูธรแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ นำกำลังเข้าตรวจค้นสำนักพ่อปู่ฤาษี ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีนายอิ่นคำ อายุ 59 ปี เป็นเจ้าสำนัก
โดยการเข้าตรวจค้นครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ได้รับเบาะแสจากการที่มีผู้โพสต์ภาพการทำพิธีเคี่ยวน้ำมันจากชิ้นส่วนมนุษย์เพื่อทำของขลังที่สำนักดังกล่าว ซึ่งเปิดทำเครื่องรางของขลังมานานกว่า 30 ปีแล้วจากการตรวจค้น พื้นที่ข้างสำนักพ่อปู่ฤษียังพบเป็นลักษณะของโรงงานเล็กๆ ที่มีเครื่องรางของขลังจำพวกเมตตามหานิยม และพวกของขลังสำหรับการค้าขายตามที่มีลูกค้าสั่งมา โดยกลุ่มลูกค้า และที่มาเป็นลูกศิษย์นอกจากชาวไทยแล้วยังมีชาวต่างชาติทั้งจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และไต้หวัน ที่มาสั่งซื้อของรวมทั้งนำสิ่งของมาให้ปลุกเสก ทำพิธี
เบื้องต้นนายอิ่นคำ ยังคงให้การปฏิเสธว่าไม่มีการนำชิ้นส่วนมนุษย์มาใช้ในการทำพิธีใดๆ ทั้งสิ้น อ้างว่า สิ่งของที่ทำพิธีไม่ใช่ชิ้นส่วนมนุษย์ เป็นแค่หัวว่านเท่านั้น ส่วนน้ำมันและสิ่งของที่พบทั้งลูกกรอก และตะกรุด ไม่ได้มีส่วนผสมของชิ้นส่วนมนุษย์ตามที่มีการกล่าวอ้างเป็นสินค้าที่ตนเองทำขึ้นจากว่าน น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันหอม
ทางด้าน พล.ต.ต.ปชา รัตนพันธ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า การเข้าตรวจสอบในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากทางตำรวจสืบทราบมาว่ามีการนำชิ้นส่วนมนุษย์มีทำน้ำมันพราย และจำหน่ายให้กับลูกค้าทางอินเตอร์เน็ต จึงได้ขอหมายศาลขอเข้าตรวจค้น เบื้องต้นแม้จะยังไม่พบชิ้นส่วนมนุษย์ อีกทั้งพบว่าวันนี้เว็บไซต์ที่ลงโฆษณาขายสิ่งของเหล่านี้ได้ปิดตัวลงแล้วหลังตำรวจติดตามสืบสวน แต่ก็จะมีการเชิญตัวไปทำประวัติ และตรวจสอบเรื่องของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องของการโฆษณาสินค้า ว่าเข้าข่ายความผิดนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตามในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ยังพบวัดที่มีพระ และสำนักต่างๆ ที่มีลักษณะของการทำเครื่องรางของขลังจากชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ และชิ้นส่วนศพอยู่ในหลายแห่ง การเข้าดำเนินการครั้งนี้ของตำรวจภาค 5 ถือว่าเป็นการกวาดล้างให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ส่วนความผิดก็ต้องรอตรวจสอบหลักฐานที่เก็บตัวอย่างมา หากยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนมนุษย์จริงก็จะมีความผิด




ติดตามข่าวด่วน เกาะกระแสข่าวดัง บน Facebook คลิกที่นี่!!







มือปืนพระกาฬใช้ปืนยาวติดกล้องเล็งแบบสไนเปอร์ดักซุ่มสังหารโหด


นักธุรกิจหนุ่มหลานชายอดีตนายตำรวจคนดังตระกูล “เปาอินทร์”




ลงมือขณะเหยื่ออุ้มลูกน้อยวัย 2 ขวบ เดินออกมาส่งเพื่อนนายตำรวจที่หน้าบ้านย่านเมืองนนท์ กระหน่ำยิงกระสุนเจาะร่าง 3 นัดซ้อน ล้มทรุดบาดเจ็บและขาดใจตายระหว่างหามส่ง รพ. บช.ภ.1 รุดตรวจสอบระบุชนวนเหตุน่าจะมาจากขัดแย้งธุรกิจขายรถหรู กับเรื่องผู้ตายเป็นคนอารมณ์ร้อน สั่งเร่งไล่ล่าคนร้ายเพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ ขณะที่ชุดสืบสวนสอบพบผู้ตายเคยมีเรื่องกับเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต ถึง ขั้นชักปืนข่มขู่กันในห้างสรรพสินค้า กับเรื่องผู้ตายตามทวงเงินลูกค้าที่นำรถมาขายฝากในราคาร่วม 10 ล้านบาท และเคยท้ายิงกับคู่อริที่หน้าบ้าน คาดอาจเป็นชนวนสังหารโหด
คนร้ายใช้ปืนยาวติดกล้องเล็งแบบสไนเปอร์ลอบยิงฆ่าโหดนักธุรกิจหนุ่มหลานชายอดีตนายตำรวจคนดังดับอนาถขณะอุ้มลูกน้อยเปิดเผยเมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 1 พ.ค. ร.ต.ท.สิงหา ชาลี พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี สาขาย่อยรัตนาธิเบศร์ รับแจ้งมีคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ที่หน้าบ้านเลขที่ 258/20 ถนนงามวงศ์วาน ซอย 9 แยก 5 ต.บางกระสอ จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ และพร้อมด้วย พล.ต.ต.สำราญ ยินดีอารมณ์ ผบก.ภ.จ.นนทบุรี พ.ต.อ.สุรพงษ์ ถนอมจิตร รอง ผบก. พ.ต.อ.มนตรี เทศขัน ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี ไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นบ้าน 2 ชั้น หน้าบ้านติดป้ายชื่อ “พ.ต.อ.อนันต์ เปาอินทร์” พบเพียงกองเลือดบนพื้นถนนหน้าบ้าน ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลนนทเวชไปก่อนแต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวขาดใจตายระหว่างนำส่ง ทราบชื่อนายทิวพันธ์ เปาอินทร์ อายุ 31 ปี เป็นบุตรชาย พ.ต.อ.อนันต์ เปาอินทร์ อายุ 73 ปี เจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนไม่ทราบขนาดเข้าอกซ้าย 1 นัด หัวไหล่ขวา 1 นัด และหัวไหล่ซ้าย 1 นัด กระสุนฝังในทั้ง 3 นัด
สอบสวนทราบว่านายทิวพันธ์ ผู้ตายประกอบธุรกิจนำเข้ารถอิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ต ก่อนเกิดเหตุได้อุ้มลูกสาววัย 2 ขวบเดินออกมาส่ง ร.ต.ต.ปภิณวิช รอดบางยาง บุตรชาย พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รอง ผบช.น. และ ร.ต.ท.ปกรณ์ ใจภักดี สังกัดโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อนที่หน้าบ้าน หลังเพื่อนขับรถออกไปและนายทิวพันธ์กำลังเดินเข้าบ้าน มีคนร้ายที่มาดักซุ่มใช้ปืนกระหน่ำยิงใส่จนล้มทรุดทั้งที่ยังอุ้มลูกสาว ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.อนันต์บิดากับคนในบ้านประสบเหตุช่วยนำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ตำรวจสอบปากคำพยานให้การว่า ขณะขี่รถ จยย.จะเข้าบ้านในซอยเดียวกัน เห็นคนร้ายเป็นชายอายุประมาณ 30-35 ปี สูงประมาณ 170 ซม.สวมเสื้อสีเข้ม นุ่งกางเกงยีนส์ ถือกระเป๋าใส่ปืนยาววิ่งไปขึ้นรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซีวิค สีขาว ทะเบียนป้ายแดง จอดห่างจากจุดที่นายทิวพันธ์ถูกยิงประมาณ 200 เมตร และขับหนีออกไปทางซอยงามวงศ์วาน 3 ส่วนพยานอีกคนเปิดเผยว่า เห็นรถคันดังกล่าวมาจอดซุ่มในที่เกิดเหตุตั้งแต่ช่วง 4 ทุ่ม จนถึงเวลา 2 ยามเศษ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกัน 5 นัดซ้อน มาทราบภายหลังว่ามีคนถูกยิง
ด้าน พ.ต.อ.สุรพงษ์ ถนอมจิตร รอง ผบก.ภ.จ.นนทบุรี เปิดเผยว่า จากการสอบพยานแวดล้อมคาดว่าคนร้ายน่าจะใช้อาวุธปืนยาวติดกล้องเล็งอินฟราเรดซุ่มยิงผู้ตายจากระยะไกล เชื่อว่าคนร้ายมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืน เพราะยิงใส่เหยื่ออย่างแม่นยำทั้งที่กำลังอุ้มลูกสาว ส่วนปมสังหารสันนิษฐานอาจมาจากการขัดแย้งที่ผู้ตายประกอบธุรกิจสั่งนำเข้ารถยนต์หรูราคาแพงมาขายให้กับลูกค้าส่วนใหญ่ค่อนข้างมีฐานะและเป็นคนในแวดวงไฮโซ ได้สั่งการให้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คนร้ายใช้หลบหนี เพื่อหาเบาะแสและเร่งติดตามจับกุมแล้ว สำหรับ พ.ต.อ.อนันต์ เปาอินทร์ บิดาของนายทิวพันธ์ผู้ตาย มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องกับ พล.ต.ต.วินัย เปาอินทร์ และ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายทิวพันธ์ผู้ตายมีศักดิ์เป็นหลานของ พล.ต.ต.วินัย และ พล.ต.ท.วิโรจน์
ต่อมาเมื่อเวลา 12.00 น. พล.ต.ท.อำนวย นิ่ม-มะโน ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.คเชนทร์ คชพลายุกต์ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สำราญ ยินดีอารมณ์ ผบก.ภ.จ.นนทบุรี พ.ต.อ.สุรพงษ์ ถนอมจิตร รอง ผบก.เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมพูดคุยกับ พ.ต.อ.อนันต์ เปาอินทร์ บิดาผู้ตายก่อนไปตรวจสอบจุดที่คาดว่าคนร้ายซุ่มยิงผู้ตาย พบร่องรอยคนร้ายใช้อาวุธปืนวางพาดประทับกับกิ่งต้นกระถิน ซุ่มยิงผู้ตายในระยะประมาณ 200 เมตร
พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผบช.ภ.1 กล่าวว่าคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ คนร้ายลงมือก่อเหตุขณะกำลังอุ้มลูกสาวเดินออกมาส่งเพื่อน โชคดีที่เด็กไม่ถูกลูกหลงไปด้วย ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต ส่วนปมสังหารเบื้องต้นพบมีหลายประเด็น ทั้งในเรื่องที่ผู้ตายทำธุรกิจขายรถหรูหรือรถจดประกอบ และเรื่องส่วนตัวที่ผู้ตายเป็นคนอารมณ์ร้อน อาจสร้างความไม่พอใจกับบุคคลหลายคน
ขณะที่ชุดสืบสวนสอบพบ เมื่อหลายเดือนก่อนผู้ตายเคยมีเรื่องกับเจ้าของโรงแรมใน จ.ภูเก็ต คนหนึ่ง ถึงขั้นมีการชักปืนข่มขู่กันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน กทม. นอกจากนี้ ผู้ตายยังได้รับจำนำรถจากลูกค้ารายหนึ่งที่นำรถมาฝากขายไว้ในราคาเกือบ 10 ล้านบาท และไม่มาไถ่ถอนจนผู้ตายต้องไปทวงเงินคืน และอีกเรื่องก่อนหน้านี้ผู้ตายเคยมีปัญหากับคู่อริคนหนึ่งถึงขั้นท้าให้ออกมายิงกันที่หน้าบ้าน ตำรวจจะเร่งสืบสวนคลี่คลายคดีโดยเชื่อว่าทั้ง 3 ประเด็น อาจเป็นชนวนนำไปสู่การสังหารโหดก็เป็นได้
พ.ต.อ.ไพโรจน์ โรจนขจร ผกก.2บก.ป.เปิดเผยว่า พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. ได้มอบหมายสั่งการให้ชุดสืบสวน บก.ป.ทำงานร่วมกันกับท้องที่ โดยแบ่งงานกันทำ ในเบื้องต้นให้แสวงหาข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระสุนที่คนร้ายใช้เป็นขนาดอะไร มูลเหตุที่นำไปสู่การสังหาร รวมทั้งเส้นทางหลบหนีของคนร้าย ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวน อย่างไรก็ตาม คาดว่าคนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะมีมากกว่า 1 คน และมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืน เนื่องจากระยะการยิงรวมถึงบริเวณจุดเกิดเหตุเป็นที่มีแสงสว่างน้อย แต่คนร้ายยังสามารถยิงถูกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.กล่าวถึงคดีคนร้ายยิงนายทิวพันธ์ เปาอินทร์ ลูกชาย พ.ต.อ.อนันต์ เปาอินทร์ เสียชีวิต ว่าได้สั่งการให้ชุดสืบสวนภาค 1 ลงพื้นที่สืบสวนคลี่คลายคดีเนื่องจากเป็นคดีสะเทือนขวัญ คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งที่อุ้มลูกมาส่งเพื่อนที่หน้าบ้าน คาดว่าคนร้ายน่าจะสะกดรอยตามเหยื่อก่อนลงมือก่อเหตุ ส่วนปมเหตุเชื่อว่ามาจากความขัดแย้งในเรื่องการประกอบธุรกิจ ได้กำชับให้เร่งสืบสวนและตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อหาเบาะแสคนร้าย
ส่วน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษก ตร.กล่าวว่า ได้รับรายงานจากชุดสืบสวนภาค 1 ที่ลงพื้นที่สืบสวนในทุกประเด็นที่อาจจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิต โดยให้ตรวจสอบการประกอบธุรกิจขายรถนำเข้าของผู้ตายและความขัดแย้งเรื่องอื่นๆ ส่วนคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุคาดว่าเป็นมืออาชีพใช้ปืนติดกล้องยิงระยะไกล ตรวจสอบรูกระสุนในตัวผู้เสียชีวิตพบเป็นกระสุนค่อนข้างเล็ก คาดอาจเป็นปืนขนาด .22 คนร้ายน่าจะมีมากกว่า 1 คน โดยมีชุดคุ้มกันมือปืน ขณะที่เกิดเหตุผู้เสียชีวิตล้มลง คนร้ายยังยิงซ้ำโชคดีที่ไม่โดนลูกที่อุ้ม ขณะนี้ตำรวจมีข้อมูลบางส่วนแต่ยังเปิดเผยไม่ได้ มั่นใจว่าจะจับกุมตัวคนร้ายได้ในเร็วๆนี้


http://www.thairath.co.th/



"เรื่องซื้อขายที่ดินที่กำลังชะงักงัน เพราะการทวงคืนแบบโง่แล้วขยัน"



วันที่ 02 พฤษภาคม  พ.ศ. 2558 เวลา 00:03 น.

ข่าวข้นคนเข้ม
   โดย พญาไม้ pradej@hotmail.com
  

หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2558... ประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งคือหัวใจของประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ จะมีหน้าตาอย่างไร กลายเป็นปัญหาของคนทั้งชาติ ที่มา ของ นายกรัฐมนตรี กับวิธีคิดของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นเรื่องรับไม่ได้ของปัญญาชน ที่อ้างคนส่วนใหญ่... เสียงแค่ 2 ใน 3 อาจจะยากหาลำบากในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่กับ การเมือง นั้นแม้ในสหรัฐอเมริกาเลือกตั้ง ประธานาธิบดี ก็ยังมีต่างกันไม่กี่เสียง ประสาอะไรกับประเทศไทย ที่มีรัฐบาลกับรัฐธรรมนูญมากเป็นมหาอำนาจของโลก ...

แวบเข้าเรื่องคอขาดบาดตายของเศรษฐกิจไทย เรื่องซื้อขาย ที่ดิน ที่กำลังชะงักงันกันทุกหนทุกแห่งตามแหล่งที่ดินแพง เพราะการทวงคืนแบบโง่แล้วขยัน เมื่อ นอสอสาม โฉนดมีตราครุฑ ยังไร้ความมั่นคง สอคอ กับ ภอบอทอ ก็กลายเป็นเศษกระดาษ ไม่เคยมีการทำลาย หลักทรัพย์ ของประชาชนครั้งใด คราวไหนจะยิ่งใหญ่เท่าครั้งนี้... เป็นเรื่องด่วนที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องสร้างมาตรการเตรียมการยอมรับหายนะทางเศรษฐกิจ จากการสูญ หลักประกัน ทางการเงินของคนทั้งชาติ ทั้งเขาใหญ่บนภูเขาและชายทะเล หากจะเอา กฎหมายชรา เข้ามาปัดกวาด มากกว่าร้อยละ 80 จะผิดและไม่สะอาด ถ้าเล่นงานเฉพาะไม่กี่แปลง มันก็ใช้อำนาจหน้าที่โดยฉ้อฉล...


เสรีภาพทางการเมืองถึงจะถูกจำกัด แต่เสรีภาพใน การโอดครวญ ต่อรัฐในเรื่องการทำมาหากินยังไม่ถูกจำกัด คนกระบี่ เลยขน ลูกปาล์ม มาทิ้งหน้า ศาลากลาง เพราะมันพังแล้วเรื่องราคา... ไปยับยั้งมา ให้ชาวนาอดทนอย่าเพิ่งโวยวาย พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เปิดเผยงานปิดทองหลังพระกับ พีซทีวี วันก่อน ผลวันนี้ต้องย้ายผ้าย้ายที่นอนจากคอนโดฯกลับคืนบ้านปิ่นฯ... ฮัลโหลมาจาก พลตำรวจเอกอชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ในฐานะอาจารย์ใหญ่หลายภาควิชาตำรวจไทย เตือนถ้าแยก สอบสวน ออกไปจะหายนะใหญ่วงการ จะไม่มี ตำรวจ ใส่ใจทำงาน แถมถามว่าจะใช้สถานที่ใดหลายๆ พันแห่งตั้งสำนักงาน กูรูตำรวจ เอ่ยยุคสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เคยแยกมาแล้ว แต่ก็ต้องรีบรวมกลับเข้าไปใหม่ เพราะมันไม่มีในตำราของตำรวจที่ไหน มันเป็นปัญหาทางปฏิบัติ... จะปฏิรูป การศึกษา ประเทศไทย วันนี้ใส่ ภาษาอังกฤษ เข้าไป ก่อนสอนซ้อนเข้าไปกับภาษาไทย อยากแยกห้องเป็นอินเตอร์ก็ทำเข้าไป ใช้เงินไม่กี่บาท...

เลี้ยงครบเกิดเมื่อวันกรรมกร 1 พฤษภาคมที่บ้านลาดปลาเค้า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นสาวขึ้นมาอีก 1 ปี... ข่าวข้น คนเข้ม วันนี้, ชฎาทิพ จูตระกูล บอสสยามพิวรรธน์ ร่วมกับรัฐบาลไทย จัดกิจกรรม "สยามส่งน้ำใจ ไปเนปาล" เปิดศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวเนปาล พาร์คพารากอน สยามพารากอน มีถึงพรุ่งนี้... 11.00 น. งานสถาปนิก 58 แสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมครั้งที่ 29 จัดโดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี... 11.15 น. น.ต.สถาพร เจริญศิริ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ การบินไทย เปิดงาน "Warming Your Hearts Under the Wings of THAI" สมนาคุณลูกค้าโอกาสบริษัทครบรอบ 55 ปี ไพล็อต เลานจ์ อาคาร 5 สำนักงานใหญ่ การบินไทย... 13.00 น. ผู้บริหาร และพนักงานจิตอาสาเครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมบรรจุถุงยังชีพส่งให้ ผู้ประสบภัยเนปาล ศูนย์กระจายสินค้าซีพีออลล์ บางบัวทอง...


http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1430498990

พลิกแฟ้มประหาร! ‘หมอสุพัฒน์’ ฆ่าโหดแรงงานพม่าฝังดิน

ศาลจังหวัดเพชรบุรี ตัดสินประหารชีวิต “หมอสุพัฒน์” พร้อมลูกชายคนโต-จำคุกลูกชายคนเล็ก 25 ปี 3 เดือน ในคดีฆ่าอำพรางแรงงานชาวพม่าฝังดิน

หลังวานนี้ (1พ.ค.) ศาลจังหวัดเพชรบุรี ได้มีคำพิพากษาสั่งประหารชีวิต “หมอสุพัฒน์” พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ อดีตอายุรแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมด้วยนายเอก เลาหะวัฒนะ บุตรชายคนโต และจำคุกนายอัคร เลาหะวัฒนะ บุตรชายคนเล็ก 25 ปี 3 เดือน

ฐานร่วมกันฆ่า “นายอีต้าร์” แรงงานชาวพม่า ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนและปิดบังอำพรางซ่อนเร้นศพ หลังมีการขุดพบซากโครงกระดูกของแรงงานชาวพม่า ถูกฝังอยู่ภายในไร่ของ “หมอสุพัฒน์” ในพื้นที่ ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ขณะที่ “หมอสุพัฒน์” ขณะนี้อยู่ระหว่างหลบหนี ไม่มาฟังคำพิพากษา ให้ออกหมายจับมารับการลงโทษ โดยทนายความได้ยื่นขอประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป

พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ

ย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อปี 2555 นับเป็นคดีดังแห่งปี เรื่องดังกล่าวกลายเป็นข่าวครึกโครม สังคมจับตามองและให้ความสนใจ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าไม้รวก จ.เพชรบุรี เข้าจับกุม “หมอสุพัฒน์” ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่หาดปึกเตียนเมื่อวันที่ 22 ก.ย.55  เนื่องจากมีส่วนพัวพันกับการหายตัวไปของ นายสามารถ นุ่มจุ้ย และน.ส.อรษา เกิดทรัพย์ สองสามีภรรยาชาวเพชรบุรี ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ตั้งแต่เดือนมิ.ย.52

หลังนายสว่าง นุ่มจุ้ย เจ้าของไร่สับปะรดชาวเพชรบุรี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรีว่า พบรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน บฉ-5960 เพชรบุรี ของนายสามารถ บุตรชายและน.ส.อรษา ลูกสะใภ้ ที่หายตัวไปจอดอยู่ภายในบ้านร้างแห่งหนึ่งใน ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี

เหตุดังกล่าว นำมาสู่การ “พลิกแฟ้มคดีคนสูญหาย” ที่เหมือนจะถูกลืมไปแล้วกลับขึ้นมาทำใหม่อีกครั้ง กระทั่งนำไปสู่การจับกุม “หมอสุพัฒน์” และออกหมายจับ น.ส.วิลสา จันทรบัญชร ภรรยา ในข้อกล่าวหาร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว และร่วมกันรับของโจร และต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการหายตัวไปของสองสามีภรรยาดังกล่าวด้วย

พยานชี้จุดพบรถกระบะ “สองสามีภรรยา”ในจ.นนทบุรี

เหตุที่ทำให้ “หมอสุพัฒน์” ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย เนื่องจากพี่ชายแท้ๆ ของหมอสุพัฒน์เอง ได้ให้ข้อมูลแก่ นายสว่าง บิดาของนายสามารถว่า รถกระบะของบุตรชายและลูกสะใภ้ที่หายไปกว่า 3 ปีนั้น ถูกจอดซุกในบ้านร้างแห่งหนึ่งในพื้นที่จ.นนทบุรี ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวเป็นของ “หมอสุพัฒน์” ที่เคยอยู่อาศัย จนเป็นที่มาของการร้องรื้อคดี และตามจับกุมตัว “หมอสุพัฒน์” ในที่สุด โดยพ่อของเหยื่อ เชื่อว่ามาเกิดจากความขัดแย้งที่บุตรชายและสะใภ้มีที่ดินติดกับไร่ของ หมอสุพัฒน์

โดยคดีนี้เป็นที่สนใจของสังคม เพราะผู้ต้องหาเป็นถึงนายแพทย์ เป็นข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่ทั้งนี้ การค้นหาหลักฐานในเชิงคดี ก็ยังไม่สามารถแจ้งข้อหา “ฆาตกรรมสองสามีภรรยา” กับหมอสุพัฒน์ได้ เนื่องจากการเข้าขุดค้นไร่ของหมอสุพัฒน์ที่ จ.เพชรบุรี จำนวนหลายครั้งนั้น พบเพียงโครงกระดูก 3 ศพ แต่เมื่อส่งไปตรวจดีเอ็นเอ กลับไม่มีศพใด ที่ระบุได้ว่าเป็นของนายสามารถ และภรรยาของเขา แต่กลับพบว่าหนึ่งใน 3 ศพนั้น เป็นศพของ “นายอีต้าร์” คนงานพม่าในไร่ของ หมอสุพัฒน์

จากการพบศพ “นายอีต้าร์”นั้น เพื่อนคนงานในไร่ให้การอ้างว่า หมอสุพัฒน์ “เป็นคนสั่งฆ่า” โดยมีบุตรชายสองคนรวมอยู่ด้วยในขณะเกิดเหตุ สาเหตุเพราะหึงหวงที่นายอีต้าร์ไปพัวพันกับ นางวิลสา จันทรบัญชร ภรรยาของหมอสุพัฒน์ พร้อมให้การระบุว่า วันเกิดเหตุ “นายอีต้าร์” ถูกยิงเข้าที่ขมับและยิงซ้ำที่ปาก ส่วนแรงงานชาวพม่าอีกคนที่เป็นเพื่อนสนิทของ นายอีต้าร์ หลบหนีไปได้ ก่อนย้อนกลับมาเป็นพยานในคดีให้ตำรวจ จากนั้นมีการนำตัวพยานไปชี้จุดฝังศพจนพบซากโครงกระดูก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา “ฆ่าแรงงานพม่าและค้ามนุษย์” แก่หมอสุพัฒน์อีก 2 ข้อหา รวม 3 ข้อหา

ค้นศพสองสามีภรรยา ในไร่ “หมอสุพัฒน์”

“กักขังหน่วงเหนี่ยวและรับของโจร  ในคดีการหายไปของสองสามีภรรยา และข้อหาร่วมกันฆ่าแรงงานพม่าและข้อหาค้ามนุษย์ จากการพบศพ นายอีต้าร์” จนนำมาซึ่งคำสั่ง “ประหารชีวิต” แม้ว่าปัจจุบัน “หมอสุพัฒน์” จะยังอยู่ระหว่างหลบหนีคดีก็ตาม…

โดยก่อนหน้านี้ “หมอสุพัฒน์” พร้อมบุตรชายทั้งสอง ได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม โดยยืนยันว่า ไม่ได้กระทำความผิดในเรื่องดังกล่าว และไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการหายตัวไปสองสามีภรรยา แต่กลับเป็นฝ่ายช่วยเหลือครอบครัวทั้งสองด้วยซ้ำ ทั้งนี้ทีมทนายพยายามยื่นขอประกันตัว หมอสุพัฒน์และน.ส.วิลสา ที่ถูกคุมขังในเรือนจำกลางเพชรบุรี แต่ศาลไม่อนุญาต

จนเมื่อยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัว น.ส.วิลสา โดยศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างดำเนินคดี เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีที่มีอัตราโทษเล็กน้อย อีกทั้งประกอบกับเป็นผู้หญิงไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานในคดีได้

จากนั้น ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุก หมอสุพัฒน์ 5 ปี ในคดีลักทรัพย์ รถยนต์ ของสองสามีภรรยาชาวเพชรบุรี ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ  ขณะที่น.ส.วิลสา ภรรยา ที่สมรู้ร่วมคิด ถูกจำคุก 3 ปี 4 เดือน

และอีกหนึ่งคดีใน “ข้อหาค้ามนุษย์” จากการรับคนงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน พร้อมให้ที่พักพิงซ่อนเร้นแก่คนงานต่างด้าวเพื่อให้พ้นการจับกุม  โดยให้ “หมอสุพัฒน์” ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ต่อโจทก์ร่วม รวมเป็นเงิน 1 ล้านบาท

โดย “หมอสุพัฒน์” ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราวในคดีดังกล่าวออกไป เพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ จากนั้น “หมอสุพัฒน์” ได้ “หลบหนี” ไม่มาฟังคำพิพากษาศาล ซึ่งศาลเห็นว่า “หมอสุพัฒน์” มีพฤติการณ์หลบหนีคดี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับ และให้ยึดหลักทรัพย์ประกันขอปล่อยตัวชั่วคราว ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม “หมอสุพัฒน์” ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีในขณะนี้  มีรายงานล่าสุด จากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนว่า เมื่อเร็วๆนี้มีผู้พบเห็น “หมอสุพัฒน์” ปรากฏตัวอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน ประเทศกัมพูชา

ถึงแม้ล่าสุด ศาลจะพิพากษาสั่ง “ประหารชีวิต” หมอสุพัฒน์แล้วก็ตาม คงไม่ถือว่าเป็นการสิ้นสุดคดีดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากตำรวจยังไม่สามารถนำตัว “หมอสุพัฒน์” กลับมาชดใช้กรรมที่ก่อไว้ได้…..

รวมถึงยังไม่พบศพของ “สองสามีภรรยา” ที่หายตัวไปอย่างลึกลับและไร้ร่องรอย ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถมัดตัวผู้กระทำผิดได้อย่างชัดเจน….



MThai News

ผู้ที่มีวิชาความรู้มากมายแต่คิดว่าชีวิตผู้อื่นเป็นเช่นผักปลานับวันความคิดเช่นนี้ถูกปลูกฝังในคนรุ่นใหม่มากขึ้นทุกวัน...มีหรือจน เรียนมาก เรียนน้อย ก็หนึ่งเสียวิตเหมือนกัน



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้