ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ตำนานเหล็กไหล

[คัดลอกลิงก์]
31#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-15 21:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ที่อยู่ของเหล็กไหล 
ที่อยู่เหล็กไหล
เหล็กไหลแท้ๆจะมีเนื้อธาตุที่มีลักษณะคล้ายกับเนื้อหินอุลกมณีหรือสะเก็ดดาวถ้าเป็นเหล็กไหลชั้นยอดเนื้อจะมีความใส คล้ายแก้ว แต่มีความเข้มข้นสูงมากจนแสงไม่อาจส่องผ่านทะลุได้ บางท่านจึงมักเรียกเหล็กไหลว่า "หินไหล" แต่กระนั้นเหล็กไหล ก็มีหลายชนิดหลายระดับ บ้างก็มีเนื้อคล้ายโลหะธาตุ บ้างก็มีลักษณะ เป็นแร่เหล็กอย่างหนึ่ง บางชนิดก็มีกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ภายในตัว ซึ่งคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของคำว่า "เหล็กไหล" ทั้งสิ้น และนอกจากนี้ด้วยความแข็งของเนื้อธาตุที่แข็งเปรียบได้กับเหล็ก แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถกลับเนื้อตัวให้อ่อนนุ่มลื่นไหลได้ ราวกับของเหลวจึงเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ว่า "เหล็กไหล"

แร่เหล็กไหลนั้นเป็นแร่ชนิดพิเศษที่ไม่ปรากฏพบธาตุนี้อยู่ บนโลกของเรา จากผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์พบว่าแร่ เหล็กไหลมีลักษณะทางกายภาพคล้ายกับสะเก็ดดาวตก ซึ่งเป็นวัตถุธาตุที่เดินทางมาจากนอกโลกอีกทั้งแร่เหล็กไหลก็ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มของโลหะและอโลหะได้ และนอกจากนี้ยังพบว่าแร่เหล็กไหลนั้นมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าธาตุใดๆในโลก โดยที่ไม่มีธาตุชนิดใดสามารถมาเปรียบเทียบได้ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า "เหล็กไหล" คือธาตุกายสิทธิ์ที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนธาตุใดๆในโลก เหล็กไหลมีหลายชนิดและหลายรูปพรรณสัณฐานแต่เหล็กไหล ชนิดที่ดีที่สุดนั้นจะมีรูปร่างคล้ายแท่งแก้วแต่มีลักษณะเรียวมนมีสีดำอมเขียวปีกแมลงทับ และมีคุณสมบัติคือสามารถทำตัวเอง ให้แข็งและสามารถกลับตัวเองให้อ่อนนุ่มได้ สามารถเสพพลังจากน้ำผึ้งด้วยการดึงส่วนที่เป็นพลังของกลิ่น สี และรสของน้ำผึ้งจนทำให้น้ำผึ้งที่ผ่านการเสพของเหล็กไหลมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนไปทั้งสี กลิ่นและรส นอกจากนั้นแร่เหล็กไหลยังมีกระแสไฟฟ้าชนิดเดียวกันกับกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากคลื่นสมองของมนุษย์ขณะที่กำลังอยู่ในสมาธิจิตอันเป็นกระแสไฟฟ้าอย่างละเอียดวังวนไปมาอยู่โดยรอบเหล็กไหล

ราวกับว่าเหล็กไหลมีพลังอำนาจจิตที่สามารถสื่อสารติด ต่อทางจิตกับมนุษย์ได้ธรรมชาติของเหล็กไหลโดยทั่วไปมักชอบอยู่ตามถ้ำที่มี ความเย็นและมีความชื้นสูง บางครั้งเป็นถ้ำที่ไม่มีทางเข้าออกหรือที่เรียกถ้ำในลักษณะนี้ว่า "ถํ้าไข่ในหิน" คือเป็นถ้ำที่อาจจะเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้กลายเป็นโพรงขนาดใหญ่อยู่ใจ กลางภูเขา โดยทั่วไปถ้ำในลักษณะนี้จะถูกค้นพบได้ด้วยความบังเอิญเท่านั้น เช่น เกิดเหตุแผ่นดินไหวหรือจากการระเบิดภูเขาแล้วไปพบช่องทางเข้าถ้ำโดยบังเอิญ หรือบางครั้งก็เป็นถ้ำใต้ดินที่มีโพรงลึกลงไปเป็นกิโล ถ้ำอันเป็นที่อาศัยของเหล็กไหลจะมีลักษณะพิเศษ คือมักจะมีหมอกลงปกคลุมตลอดเวลาลักษณะของหมอกทีลงปกคลุมถ้ำนั้นจะเป็นหมอกที่หนาทึบและอยูเรี่ยพื้นดินหรือที่ เรียกกันว่า "หมอกหนัก"บางสถานที่จะได้ยินเสียงครางเหมือนฟ้าร้อง เป็นระยะๆ หรือเมื่อเข้าไปในถ้ำจะได้ยินเสียงคราง"ฮึ่มๆ"อย่าง เช่น ถ้ำเหล็กไหลที่เขาอึมครึมอันเป็นถ้ำเหล็กไหลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ปรากฏว่ามีเสียงฟ้าคำรามรอบ ๆ เขาอยู่ตลอดเวลา ความแปลกอีกอย่างคือเหล็กไหลจะดูดพลังงานไฟฟ้าทุกชนิดไม่ว่า จะเป็นไฟฉาย โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็ตาม ดังนั้น การจะเข้าไปในถาที่มีเหล็กไหลจึงใช้ได้เฉพาะแสงไฟจากเปลวเทียน หรือคบเพลิงเท่านั้น


สิ่งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับธรรมชาติของเหล็กไหลคือบริเวณ ก้อนหินที่เหล็กไหลอาศัยอยู่นั้นมักมีลักษณะที่แตกต่างไปจากหิน ทั่วไป ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากรังสีของเหล็กไหลที่ทำปฏิกิริยากับหิน ก้อนดังกล่าว เป็นผลให้โขดหินหรือก้อนหินที่เหล็กไหลเกาะอยู่เป็น เวลานานนั้นมีลักษณะบูดเบี้ยวคล้ายดั่งกล้ามเนื้อหรือแปรสภาพ ไปเป็นรังเหล็กไหลในที่สุดธรรมชาติของเหล็กไหลอีกประการหนึ่งทีน่าสนใจคือ บริเวณใดก็ตามที่มีเหล็กไหลช่อนตัวอยู่จะไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าลัตว์ ตัดชีวิตในบริเวณนั้นได้เลย เช่น ถ้าพรานป่าเอาปืนไปยิงเก้ง กวาง ในระยะรัศมีทีมีเหล็กไหลอาศัยอยู่ จะปรากฏว่าปืนจะยิงไม่ออก เป็นมหาอุดหยุดกระสุนอย่างเหลือเชื่อ หรือแม้ว่าพรานป่าจะใช้ธนู ลูกธนูก็จะหักหรือสายธนูขาดจนเป็นที่น่าอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเห็นได้ ว่าธรรมชาติของเหล็กไหลนั้นเป็นสิ่งที่รักสงบและไม่ชอบการฆ่าฟัน


ผู้ที่พบเห็นเหล็กไหลหรือรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของเหล็กไหลได้จึงมักเป็นผู้ที่ได้เข้าไปปฎิบัติสมาธิภาวนาอยู่ในป่าลึกหรือตามถ้ำที่อยู่ห่างไกลผู้คนเหล็กไหลเป็นธาตุที่มีพลังอันเร้นลับอยู่ภายใน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพลังอำนาจแห่งจิตที่สามารถหยั่งรู้ความคิดของมนุษย์เราได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลได้จึงต้องเป็น ผู้ที่มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารทางจิต หรือเป็นผู้ที่มีพลังจิต พลังสมาธิที่แก่กล้า นอกจากเหล็กไหลจะสามารถรับความคิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ว่ามีความคิดอย่างไรกับตนแล้ว เหล็กไหลยังสามารถแสดงพลังตอบโต้ความคิดเหล่านั้นได้ด้วยการสร้างภาพนิมิตหรือสร้างภาพลวงตาให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ได้ตามที่ตนต้องการอีกด้วย

นอกจากนี้เหล็กไหลยังมีพลังงานที่มีรังสีอันมีคุณสมบัติ ที่แปลกออกไปจากคลื่นพลังงานทั่วไปคือสามารถเป็นได้ทั้งคลื่น พลังงานในด้านทำลายล้างและยังสามารถเป็นคลื่นพลังงานที่ช่วย ในการรักษาเยียวยาได้อีกด้วย ความน่าอัศจรรย์ของเหล็กไหล ยังมีอีกมากมาย แต่จากที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ก็คงพอทำ ให้มองเห็นภาพของธรรมชาติความเป็นเหล็กไหลแร่กายสิทธิ์ ได้พอสมควร

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
32#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-17 22:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


เหล็กไหลวัชรธาตุ หรือ เหล็กนิพพาน

---วัชรธาตุ หรือเหล็กนิพพาน หยดน้ำฟ้าชนิดแข็ง เป็นธาตุที่ชักชวนผู้ที่เป็นเจ้าของให้ฝักใฝ่ในธรรมะ ชอบที่จะสร้างบุญกุศล สวดมนต์ ไหว้พระและฝึกฝนปฏิบัติทางจิต เช่น น้อมจิตให้ชอบสวดมนต์  นั่งสมาธิ ประพฤติปฏิบัติธรรม จนเข้าสู่กระแสธรรมแห่งวิปัสสนาญาณไปในที่สุด จนทำให้ผู้ที่ครอบครอง รู้แจ้งเห็นจริงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตามบุญบารมีของผู้ที่เป็นเจ้าของไปโดยปริยาย

---วัชรธาตุ-หยดน้ำฟ้า หรือ เหล็กนิพพานนั้น ชอบที่จะเข้าไปบั่นทอนอาสวะกิเลสที่กำลังเกิดขึ้นของผู้คนที่อยู่รอบข้าง  ผู้ที่อยู่ใกล้ตัวให้สภาวะแห่งกิเลสนั้น ค่อย ๆ ดับลงไป ทำให้ปัญญาต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในหน้าที่การงานและครอบครัว หรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหมดปัญหาลงไป พูดจากันเข้าใจ และทำให้จิตไม่คิดเกินใจ ไร้อารมณ์แห่งการย้ำคิดย้ำทำ เพราะธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ มีเมตตา คุ้มครอง แคล้วคลาด คงกระพัน โชคลาภ มีบารมีในทุก ๆ ด้าน 1000% สุดแล้วแต่ผู้ที่ครอบครองจะอธิษฐาน


----เพราะธาตุชนิดนี้เป็นเพียงธาตุชนิดเดียว ที่เป็นยอดแห่งพุทธคุณ  ธรรมคุณ สังฆคุณ เทวคุณ พรหมคุณ และอริยคุณ แห่งสัมมาทิฐิบารมีดูแลรักษา อริยธาตุอยู่ตลอดเวลา เป็นสุดยอดแห่งธาตุที่มีอยู่ในจักรวาล  ที่สามารถหลอมละลายธาตุได้ ถ้าอยู่ในเมืองมนุษย์ เรียกว่า เหล็กไหลขาว เหล็กเปียก เหล็กน้ำนมแห่งพระแม่ธรณีเป็นองค์บารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ฝากพระแม่ธรณีเอาไว้ ผู้รู้มักจักนำธาตุชนิดนี้สร้างเป็นยอดปลีของพระธาตุหรือเป็นวัตถุมงคล มีทั้งสำเร็จรูปเป็นธาตุที่มีปลายแหลมทั้งสองด้าน


---ถ้าล่องลอยอยู่ในจักรวาล เรียกว่า  จันทราธาตุ ซึ่งหมายถึง แสงแห่งความร่มเย็น ที่จะนำเข้าสู่ อริยธรรม ส่วนใหญ่จะถูกเทพเทวาอัญเชิญไปรวมไว้ ณ จุดเดียวกัน เพื่อรักษาคุ้มครอง ป้องกันพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ เพื่อเป็นฐานรองรับพระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี ณ ห้องพระนิพพาน แห่งแดนสุขาวดี จึงกลายเป็นธาตุที่ซึมซับเอาอริยบารมีแห่งการปฏิบัติทั้งมวลแห่งเจตสิกที่มีความบริสุทธิคุณเอาไว้ในธาตุชนิดนี้  เราเรียกธาตุชนิดนี้ว่าเป็น วัชรธาตุ


---เมื่อโลกมนุษย์เกิดวิกฤตแห่งไฟกิเลส วัชรธาตุก็เกิดความเร่าร้อนตามไปด้วย จึงเกิดการละลายตัวหยดลง ณ โลกมนุษย์ เราจึงเรียกว่า วัชรหยดน้ำฟ้า หรือเหล็กไหลพระนิพพาน เพื่อลงมาช่วยเหลือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อที่จะเป็นกำลังใจที่จะต่อสู้กับกิเลสตัณหาและความทะยานอยากทั้งหลาย จนสามารถฝ่าฟันเอาชนะกิเลสแห่งตนให้หมดไป  และตั้งมั่นแห่งการสะสมบุญบารมีกันต่อไปจนกว่าจะเห็นทางแห่งการพ้นทุกข์ ดีนักแล


ที่มา http://www.watkaokrailas.com/product/1399925/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8.html


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
33#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-18 18:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกรรมอัญเชิญพญาเหล็ก
ของ หลวงพ่อหวล ภูริภทฺโท
วัดพุทไธศวรรย์ จ.พระนครศรีอยุธยา



ก่อนอื่นหลวงพ่อหวลจะเพ่งกระเเสจิตของท่าน สำรวจดูว่าในถ้ำเเห่งใดมีพญาเหล็กสถิตย์อยู่
เมื่อรู้เห็นในญาณทัศนะชัดเจนเเล้ว ท่านก็จะพาลูกศิษย์ของท่านเดินทางไปสำรวจให้เห็นกับตาอีกครั้ง
จากนั้นก็กำหนดฤกษ์ยาม วันเวลาที่จะทำพิธี

ท่านว่า ถ้ำที่จะมีพญาเหล็กสถิตย์อยู่นั้น ต้องเป็นถ้ำที่สะอาด ไม่มีค้างคาวมาอาศัย
โดยมากจะเป็นถ้ำหินอ่อนที่มีความเย็นสูง หรือ ถึงกับเย็นยะเยือกเมื่อเดินเข้าไปสู่ภายใน เเละเป็นถ้ำที่เเห้งสะอาด

นอกจากเครื่องบวงสรวงในการทำพิธีเเล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับพิธีนี้คือ น้ำผึ้งเเท้บริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมไปจำนวนมาก
อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้เช่นกันคือ ขี้ผึ้งบริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมไปจำนวนมากเช่นกัน

การทำพิธีบวงสรวง ก็เพื่อบอกกล่าวต่อเจ้าถ้ำ เจ้าที่เจ้าทาง เทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย
ถึงจุดประสงค์ของการมาทำพิธีว่า จะอัญเชิญพญาเหล็กไปเพื่อประโยชน์เเก่พระพุทธศาสนาประการใดบ้าง

เมื่อทำพิธีบวงสรวงเสร็จเเล้ว หลวงพ่อหวลท่านจะกำหนดจิตอธิษฐานตามวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมา
จากนั้นก็เอาขี้ผึ้งบริสุทธิ์ที่เตรียมมา ป้ายชโลมไปตรงรอยเเตกของผนังถ้ำ
พร้อมกับบริกรรมคาถากำกับไว้ตลอดเวลาจนเสร็จพิธี

หลังจากนั้นหลวงพ่อท่านได้ยืนกำหนดจิตด้วยอาการสงบ
สักพักหนึ่งบรรดาศิษย์ที่มาร่วมพิธีต่างได้พบกับเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง กล่าวคือ
ตรงรอยเเตกของผนังถ้ำนั้นปรากฎมีวัตถุอย่างหนึ่ง ไหลออกมากินน้ำผึ้งที่หลวงพ่อท่านได้ป้ายไว้

หลวงพ่อหวลจึงนำด้ายสายสิญจน์ ที่ชโลมไว้ด้วยน้ำผึ้งจนเปียกชุ่ม กดปลายด้านหนึ่งลงไปในช่องรอยเเตกนั้น
เเล้วโยงสายสิญจน์ที่เหลืออีกด้านหนึ่งลงไปยังบาตรน้ำมนต์ขนาดใหญ่ ที่บรรจุน้ำผึ้งเเท้บริสุทธิ์จำนวนมาก
โดยภายนอกบาตรจะถูกหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้ง เเละมีผ้าขาวลงอักขระยันต์ปิดปากบาตรไว้
มีเพียงรูเล็กๆที่จะเอาด้ายสายสิญจน์แหย่ลงไปได้เท่านั้น

ท่านบอกว่า บาตรน้ำมนต์ที่ต้องหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้งเเละบรรจุน้ำผึ้งไว้ในบาตร ก็เพื่อล่อให้พญาเหล็ก (เหล็กไหล) ลงมากิน
ส่วนผ้ายันต์สีขาวนั้น ก็เป็นยันต์กำกับป้องกันไม่ให้พญาเหล็กที่ลงมากินน้ำผึ้งในบาตร หนีกลับเข้าไปในผนังถ้ำได้อีก



พอโยงสายสิญจน์ลงสู่บาตรที่มียันต์กำกับไว้เรียบร้อยเเล้ว
ท่านก็จุดเทียนซึ่งทำเป็นพิเศษจากขี้ผึ้งเเท้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ลนเปลวเทียนไปที่ผนังถ้ำซึ่งเหล็กไหลโผล่ออกมาให้เห็น
พร้อมบริกรรมคาถากำกับไว้ตลอดเวลา ทำให้เหล็กไหลได้ไหลย้อยลงมาตามสายสิญจน์เพื่อกินน้ำผึ้งในบาตร
โดยเหล็กไหลที่ไหลลงมานั้นจะมีอยู่ ๓ สี คือ สีเมฆพัด(สีน้ำเงินอมเขียว) สีเงินยวง สีท้องปลาไหล
เเต่จะเป็นสีใดนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของเหล็กไหลที่มีอยู่ในถ้ำเเห่งนั้น

การทำพิธีอัญเชิญพญาเหล็ก (เหล็กไหล) ของหลวงพ่อหวล ท่านจะมุ่งเน้นที่เหล็กไหลสีเมฆพัด (สีน้ำเงินอมเขียว) เเละสีเงินยวง
เพราะสองลักษณะนี้ สามารถที่จะนำมามอบให้กับผู้มาร่วมทำบุญกับท่านได้
ส่วนสีท้องปลาไหล ท่านไม่นิยมมอบให้ลูกศิษย์
ท่านว่า เหล็กไหลลักษณะนี้มีอาถรรพณ์ร้อนเเรง ผู้ที่ครอบครองจะมีความฮึกเหิม
ซึ่งอาจเป็นเหตุให้สร้างความเดือดร้อนเเก่ตนเองเเละผู้อื่นได้

หลังจากที่เหล็กไหลได้ไหลลงในบาตรจนหมดเเล้ว (ในสภาพที่เป็นของเหลว)
หลวงพ่อก็นำไปประกอบพิธีต่อไป คือ การทำให้เหล็กไหลที่เหลวนั้นเเข็งตัว
โดยการนำบาตรไปตั้งบนเตาไฟ เเล้วเอาหุ่นขี้ผึ้งเเท้บริสุทธิ์รูปทรงต่างๆ ที่ต้องการให้เหล็กไหลก่อตัวเป็นรูปทรงนั้นๆ เช่น
รูปทรงพระกริ่ง รูปทรงพระสมเด็จ ฯลฯ โดยหุ่นขี้ผึ้งนี้จะมีจะมีสายชนวนอยู่ด้านบนเเบบเดียวกับเทียนไข
สำหรับไว้จุดไฟในขณะทำพิธีหล่อหลอมเหล็กไหลให้เป็นรูปทรงตามต้องการ

เมื่อหลวงพ่อจุดไฟตรงด้ายชนวนเเล้ว ท่านก็บริกรรมคาถากำกับไปเรื่อยๆในขณะที่หุ่นขี้ผึ้งเริ่มละลายไปทีละเล็กละน้อย
เมื่อหุ่นขี้ผึ้งละลายไปจนใกล้จะหมด เหล็กไหลที่มีสภาพเหลวที่อยู่ในบาตร ก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปทรงเหมือนหุ่นขี้ผึ้งต้นเเบบอย่างน่าอัศจรรย์
โดยเหล็กไหลที่เเข็งตัวเป็นรูปทรงตามหุ่นขี้ผึ้งต้นเเบบนั้น (รูปทรงพระกริ่ง รูปทรงพระสมเด็จ ฯลฯ) จะมีขนาดเล็กกว่าหุ่นต้นเเบบ
มีลักษณะสีสันวรรณะเเปลกประหลาด สีเเวววาวเหลือบมัน

เมื่อเหล็กไหลก่อตัวเสร็จสมบูรณ์เเล้ว หลวงพ่อก็จะนำมาทำพิธีสวดญัตติ
ซึ่งเป็นพิธีกรรมในการป้องกันไม่ให้เหล็กไหลเเปรเปลี่ยนสภาพไปอยู่ในสภาพเดิม หรือ หนีกลับคืนไปยังถ้ำที่นำมาเเต่เดิม
หลังจากนั้นท่านจะทำพิธีปลุกเสกอธิษฐานจิตอีกชั้นหนึ่ง
จากนั้นจึงนำมามอบให้กับลูกศิษย์ผู้มาร่วมทำบุญอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาต่อไป


[size=14.3999996185303px]*** ข้อมูลจาก นิตสารโลกลี้ลับ ฉบับที่ ๑๕๐
[size=14.3999996185303px]เดือนมิถุนายน ๒๕๔๐


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
34#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-18 22:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


เหล็กไหลช่อทิพย์เงินยวง

---เหล็กไหลชนิดนี้มีญาณของ อริยเทพ อริยพรหม ระดับอรูปญาณรักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมในชั้นสูง ชอบช่วยเหลือผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญกุศล  เหล็กไหลชนิดนี้จัดว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูง เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ป้องกันได้ครอบจักรวาล เหล็กไหลชนิดนี้มีสีขาวเป็นยวงคล้ายกับปรอท มีความแวววาว เหมือนโลหะ ลักษณะเป็นช่อ ซึ่งอัญเชิญตกลงมากลางผ้าขาวในถ้ำ จ.สุราษฎร์ธานี


---เกจิอาจารย์ในยุคก่อน นิยมหล่อเป็นพระพุทธรูปและเครื่องรางของขลัง และเชื่อว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ป้องกันได้ครอบจักรวาล อานุภาพทางแคล้วคลาด ล่องหน หายตัว มีมายาในตัวงอกขึ้นได้ เล็กลงได้สามารถรู้อนาคตกาลล่วงหน้าได้มีพลังทางร่มเย็น ทำลายอวิชชาต่างๆได้ดี และปรับธาตุ 4 ขันธ์ 5 ปรับอุณหภูมิภายในร่างกายให้กับผู้ครอบครองใช้ทำน้ำมนต์รักษาโรคป้องกันคุณผีคุณคนเป็นมหาอุดและเสริมดวงชะตาโชคลาภ เป็นเหล็กไหลที่ส่งเสริมคุณธรรมทำให้จิตใจสงบสู่สภาวธรรมชั้นสูงได้ง่ายผู้มีไว้ครอบครองชีวิตวาสนาจะรุ่งเรืองมั่นคง.

............................................................



ที่มา http://www.watkaokrailas.com/pro ... B8%AB%E0%B8%A5.html

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขอบคุณครับ
37#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-21 19:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิธีรักษาธาตุกายสิทธิ์ให้ดีตลอด[size=10.8000001907349px]

[size=13.1999998092651px]


[size=13.1999998092651px]
วิธีรักษาธาตุกายสิทธิ์ให้ดีตลอดเเละ วิธีพัฒนาธาตุกายสิทธิ์ที่ร้าย...ให้กลายเป็นดี

๑. ธาตุกายสิทธิ์ (เหล็กไหล) เหล่านี้ ปรารถนาที่จะเข้าสู่กระเเสธรรม มุ่งอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีธรรม
เพื่อเลื่อนภูมิจิตของตนเองเข้าสู่ความเป็น "พระอริยเจ้า" ถึงพระนิพพานอันเป็นอมตธรรมเป็นสำคัญ
จึงต้องอยู่กับคนดีมีศีลธรรมเท่านั้นจึงดี เเละจะให้คุณเป็นความเจริญด้วย มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ
เเละเป็นอุปการะเเก่ผู้มีไว้ในครอบครองผู้บำเพ็ญบารมีธรรม ให้ถึงความบรรลุ มรรค ผล นิพพาน...ได้สะดวก

เพราะฉะนั้น ผู้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้
จักต้องดำรงตนอยู่เเต่ในคุณความดี เพิ่มพูนบารมีธรรม
โดยปฏิบัติ "ทานกุศล" "ศีลกุศล" "ภาวนากุศล" ให้ยิ่งๆขึ้นไป
เเละให้เขาได้มีโอกาส "อนุโมทนาบุญ" เเละ "ร่วมบำเพ็ญบารมีธรรม" ...ไปกับเราด้วย

โดยประการนั้นเเหละถูกต้องความประสงค์ของเขานัก
เเละ "กายสิทธิ์" ที่สถิตอยู่ก็จะได้ทำหน้าที่เป็น "ภาคผู้เลี้ยงพระ" ได้อย่างสมบูรณ์

๒. ถ้าเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน หรือ เเม้ผู้เป็นนักบวช ผู้ยังไม่ชำนาญในการเจริญภาวนาชำระธาตุธรรมได้เอง
ควรมีธาตุกายสิทธิ์ประเภทที่ "ผู้รู้" หรือ "ผู้ทรงคุณวุฒิ" ท่านได้นำมาสร้างเป็นพระ หรือได้ฝังอยู่ในองค์พระ
เเละที่ผ่านการเจริญภาวนาชำระสะสางธาตุธรรม นำเข้าสู่กระเเสธรรมเเห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีเเล้ว จึงจะดี เเละ ปลอดภัยที่สุด






ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
38#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-21 19:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

การเรียกเหล็กไหล

หลังจากที่เราได้ทราบถึงวิธีในการหาเหล็กไหลแล้วก็มา ถึงขั้นตอนที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการเรียกเหล็กไหลให้ออกมาจากรังเหล็กไหล ซึ่งวิธีการเรียกเหล็กไหลโดยทั่วไปแล้วจะเริ่มต้น ด้วยการทำพิธีบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขารวมถึงเจ้าที่ผู้ดูแลเหล็กไหล โดยครูบาอาจารย์ผู้ประกอบพิธีเรียกเหล็กไหลจะทำการบวงสรวง ถวายต่อเจ้าป่าเจ้าเขาผู้ดูแลเหล็กไหลที่บริเวณหน้าปากถ้ำ เพื่อเป็นการเสี่ยงทายว่าเจ้าป่าเจ้าเขาที่ดูแลเหล็กไหลชิ้นนั้นอยู่จะยอมอนุญาตให้นำเหล็กไหลออกไปได้หรือไม่ ซึ่งจะสังเกตได้จาก ธูปเทียนที่จุดบูชาว่าจะติดไฟจนหมดหรือว่าดับกลางคัน หากว่าธูปเทียนเกิดดับกลางคันแสดงว่าเจ้าป่าเจ้าเขาไม่ยินยอมให้เหล็กไหลชิ้นนั้น จำต้องยุติพิธีกรรมการตัดเหล็กไหลในครั้งนั้นทันทีเพราะถ้ายังคงดื้อดึงที่จะกระทำพิธีต่อไปก็อาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้



รังเหล็กไหล


แต่หากว่าธูปเทียนติดไฟจนหมดก็แสดงถึงว่าเจ้าป่าเจ้าเขาอนุญาตให้นำเหล็กไหลชิ้นนั้นออกไปได้ ครูบาอาจารย์ผู้ที่จะทำพิธีเรียกเหล็กไหลก็จะเริ่มพิธีการเรียกเหล็กไหลโดยจะเทน้ำผึ้งชนิดพิเศษที่ เรียกว่า "น้ำผึ้งพระจันทร์" (นํ้าผึ้งป่าที่ถูกปาดจากรังผึ้งในคืนวันเพ็ญ) ลงบนฝ่ามือจากนั้นจะยื่นฝ่ามือเข้าไปใกล้ๆรังเหล็กไหล แล้วกำหนดจิตถึงเหล็กไหลที่อยู่ภายในรัง หลังจากนั้นเพียงไม่นานเหล็กไหลก็จะยืด ตัวลงมาเสพน้ำผึ้งในฝ่ามือจนหมด ซึ่งหากต้องการที่จะตัดเหล็กไหล จะต้องกระทำในช่วงที่องค์เหล็กไหลกำลังยืดตัวอยู่นั้นเอง โดยต้อง ตัดใยเหล็กไหลให้ขาด เหล็กไหลที่ตัดได้จะนิ่มตัวอยู่บนฝ่ามือสักครู่ จากนั้นจึงแข็งตัวเอง
แต่โดยมากแล้วการเรียกเหล็กไหลนั้นเป็นเพียง การขอชมบารมีจากองค์เหล็กไหล ดังนั้นผู้ที่ทำการเรียกเหล็กไหล จึงไม่นิยมตัดเหล็กไหล แต่หากต้องการครอบครองเหล็กไหลที่จะทำการเรียกจะต้องมีการกำหนดจิตบอกต่อเจ้าป่าเจ้าเขาว่าต้องการ เหล็กไหลชนิดไหนสีสันวรรณะใด ต้องแจ้งให้ชัดเจน เพราะเมื่อเรียกเหล็กไหลออกมาแล้วเหล็กไหลที่ได้มาผิดไปจากชนิดที่ได้ขอไว้ก็ไม่สามารถนำเหล็กไหลชิ้นนั้นออกมานอกถาได้ จะต้องคืนให้แก่เจ้าป่าเจ้าเขาไป เพราะถือว่าผิดสัจจะที่ให้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากฝืนเอาออกมาด้วยความโลภแล้วย่อมจะเกิดภัยพิบัติกับตัวเองได้

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การเรียกเหล็กไหลนั้นแท้ที่จริงคือ การขอชมบารมีของเหล็กไหลเท่านั้น ต่างจากการตัดเหล็กไหลซึ่ง เป็นการบังคับเอาเหล็กไหลด้วยการใช้วิชาอาคมและพลังจิตที่ เหนือกว่าเจ้าป่าเจ้าเขาที่รักษาเหล็กไหล การเรียกเหล็กไหลนั้นเป็น การอัญเชิญเหล็กไหลด้วยความอ่อนน้อมโดยอาศัยการกำหนดจิตเป็นสำคัญเพื่อขอชมบารมีของเหล็กไหลที่อยู่ภายในถ้ำจากเจ้าป่าเจ้าเขา ส่วนการเชิญเหล็กไหลให้เสด็จมาหาตนนั้น ท่านให้หาฝักขี้ผึ้งอย่างดีทีทำด้วยรังผึ้งขวางตะวันที่ร้างโดยธรรมชาติ และวางฝักขี้ผึ้งนั้นไว้บนพานครูที่ประกอบไปด้วยเทียนขาว 9 เล่ม ธูป 9 ดอก น้ำผึ้ง 1 ถ้วย ข้าวตอกดอกไม้ จากนั้นให้นำพานดังกล่าว ไปบูชาไว้บนหิ้งพระแล้วสวดพระคาถาอัญเชิญเหล็กไหลเป็นประจำ ประกอบกับการกำหนดจิตให้เป็นสมาธิแล้วแผ่เมตตาพร้อมทั้ง อุทิศล่วนกุศลให้กับเทพยดาที่รักษาเหล็กไหล หากจิตเราไปตรงกับ เทพยดาองค์ใดพร้อมด้วยกุศลอันเพาะบ่มดีแล้วก็จะทำให้เหล็กไหล เสด็จมาหาเราได้จริง ๆ ซึ่งก็เป็นการเรียกหรือการอัญเชิญเหล็กไหลอีกวิธีหนึ่ง

ในสมัยที่หลวงพ่อสดวัดปากน้ำท่านยังอยู่นั้นนับว่าท่านเป็น ผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องธาตุกายสิทธิ์มากที่สุดในยุคนั้น ท่านมัก เจริญฌานเต็มกำลังแล้วอธิษฐานเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดต่างๆ มารวมกัน กล่าวกันว่าในสมัยนั้นมีธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดมาหา ท่านในลักษณะที่เป็นดวงไฟลอยลงมาขณะที่ท่านกำลังบำเพ็ญภาวนา มีทั้งพระธาตุ มีทั้งดวงแก้ว มีทั้งคด แต่จะมีเหล็กไหลด้วยหรือไม่นั้น มิอาจทราบได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถยืนยันได้ว่าการบำเพ็ญภาวนา นั้นสามารถทำให้ธาตุกายสิทธิเสด็จมาหาเราได้จริง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ความศรัทธาและความเชื่อมั่นของผู้ที่ภาวนาด้วย

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
39#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-21 19:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Marine เมื่อ 2015-8-21 20:12

การตัดเหล็กไหล

การตัดเหล็กไหลการจะตัดเหล็กไหลอันเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้นั้นไม่ใช่ของง่ายที่ใครๆ จะสามารถทำได้ทุกคน เนื่อจากเหล็กไหล เป็นวัตถุธาตุที่มีลักษณะพิเศษ คือหากเป็นเหล็กไหลชั้นดีหรือที่เรียกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้น เหล็กไหลประเภทนี้สามารถที่จะยืด ตัวเองหรือย้อยตัวเองลงมาจากรังที่มันอาศัยอยู่ได้ อีกทั้งยังสามารถ หดตัวเองกลับได้และสามารถเคลื่อนตัวไปไหนมาไหนได้ราวกับ เป็นสิงทีมีชีวิตและมีจิตวิญญาณ

การตัดเหล็กไหลในธรรมชาติจึงแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือการตัดเหล็กไหลชั้นดีหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ไม่ยอมแข็งตัวเอง ตามธรรมชาติซึ่งต้องใช้วิชาการตัดเหล็กไหลเพื่อตัดเหล็กไหล ประเภทนี้ออกจากรังของมัน กับอีกประเภทหนึ่งคือการตัดเหล็กไหล ชั้นรองที่แข็งตัวเองอยู่ตามผนังภายในถ้ำซึ่งสามารถตัดเหล็กไหลประเภทนี้ออกมาจากรังได้ง่ายกว่าการตัดเหล็กไหลน้ำหนึ่งมาก

ดังนั้นผู้ที่จะทำการตัดเหล็กไหลได้จะต้องเป็นผู้ที่รู้ในศาสตร์วิชานี้อย่างแท้จริงและจะต้องมีประสบการณ์จริงในการ ตัดเหล็กไหล เพราะหากจะอาศัยเพียงแค่คำบอกเล่าย่อมไม่อาจทำการตัดเหล็กไหลได้ อีกทั้งต้องเคยเป็นลูกมือที่คอยช่วย ครูบาอาจารย์ไนการประกอบพิธีตัดเหล็กไหลมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าถึงหกครั้งจึงพอจะสามารถกระทำพิธีตัดเหล็กไหลด้วยตัวเองได้ นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้ถึงวิธีป้องกันอันตรายอันอาจเกิดจาก ฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลในขณะที่ตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดอีกด้วย

เหล็กไหลแต่ละชิ้นจะมีจิตวิญญาณที่แตกต่างกันออกไป บางชิ้นเป็นสัมมาทิฐิซึ่งผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลจะต้องปฏิบัติตน อย่างเคร่งครัดในเรื่องการบูชาและการดูแล มิฉะนั้นพลังงานภาย ในเหล็กไหลอาจให้ผลร้ายแก่ผู้ที่ครอบครองได้ ในการตัดเหล็กไหล จึงมีผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้องจบชีวิตลงไปมากมายหลายรายแล้ว การตัดเหล็กไหลจึงต้องกระทำโดยผู้ที่มีประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากครูบาอาจารย์ในสายนี้โดยตรงเท่านั้น

จึงจะสามารถรู้เคล็ดลับวิธีการตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดและรู้ถึงลักษณะของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่ามีคุณสมบัติอย่างไร มีฤทธิ์อำนาจดีทางไหนประเภทไหนใช้พกติดตัวได้ประเภทไหนใช้ทำน้ำมนต์หรือประเภทไหนเป็นอันตรายห้ามนำมาไว้ในครอบครอง ซึ่งหากไม่รู้จริงในเรื่องเหล่านี้ก็อาจนำพาอันตรายมาถึงตัวโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

วิธีการตัดเหล็กไหลนั้นจะต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ถึงลักษณะและคุณสมบัติของเหล็กไหลแต่ละซนิดเสียก่อน จากนั้นจึงศึกษาถึงธรรมชาติของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่าเหล็กไหลแต่ละชนิดนั้นชอบอาศัยอยู่ในสถานที่แบบใดเราจะต้องทราบเกี่ยวกับ ลักษณะของสถานที่ว่าถ้ำในลักษณะไหนมีเหล็กไหลอาศัยอยู่ โดยถ้ำที่เหล็กไหลชอบอาศัยอยู่นั้นทั่วไปแล้วจะต้องเป็นถ้ำที่อยู่ในป่าลึกลี้ลับอยู่ห่างไกลจากผู้คน และเป็นถ้ำที่เข้าถึงได้ยากอีกทั้งมักจะได้ยิน เสียงฟ้าคำรามในแถบบริเวณถ้ำนั้นอยู่บ่อย ๆ ไมว่าจะมีพายุฟ้าฝนหรือไม่ก็ตาม ส่วนบรรยากาศบริเวณถ้ำจะอึมครึม แสงแดดจะไม่ร้อน จัดแต่จะออกนวลๆและเมื่อเข้าไปภายในถ้ำจะมีความชื้นสูง อากาศจะเยือกเย็นผิดปรกติ บางครั้งถึงกับหนาวและมักพบธารน้ำ อยู่ภายในถ้ำด้วย

หากนำเครื่องใช้ใฟฟ้าติดตัวไป เครื่องใช้ไฟฟ้าจะถูกรบกวนและดึงพลังงานไฟฟ้าออกไปจนสังเกตเห็นได้ชัดเช่นเมื่อเปิดถ่านไฟฉายในถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวจะพบว่าพลังไฟจากถ่านจะหมดลงอย่างรวดเร็วเป็นต้น หากได้พบสถานที่ที่มีลักษณะตามที่กล่าวมานี้แสดงว่าได้พบสถานที่ที่มีเหล็กไหลชั้นยอดประเภทเหล็กไหลนั้าหนึ่งอันเป็นสุดยอดในบรรดาเหล็กไหลที่ไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติซึ่งต้องรอผู้มีบุญบารมีมาเรียกหรือตัดเอาไปอย่างเช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลโกฏิปี เหล็กไหลเพลิง เหล็กไหลเจ้าป่า อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน ในการตัดเหล็กไหลจะต้องรู้ถึงวิธีการที่จะทำให้เหล็กไหลยืดตัวออกมาจากรังเหล็กไหลเสียก่อนซึ่งวิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลก็คือ "การนำน้ำผึ้งมาล่อ" แต่ขั้นตอนที่ยากกว่านั้นอยู่ที่ว่าเมื่อเหล็กไหลยืดตัวออกมาเสพน้ำผึ้งแล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถตัดเหล็กไหลนั้นได้ ซึ่งตามตำนานก็ได้กล่าวถึงวิธีการตัดเหล็กไหลไว้หลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น การตัดโดยใช้เส้นผมของผู้หญิงพรหมจรรย์ที่ชุบด้วยเลือดของสาวพรหมจรรย์นั้นอีกทีหรือการตัดโดยใช้กริชเงิน 9 ขดที่ลงอาคมสำหรับการตัดเหล็กไหลไว้โดยเฉพาะนอกจากนี้ก็ยังมีวิธีอื่นๆ
พิธีกรรมตัดเหล็กไหล
การตัดเหล็กไหลเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาลอุปกรณ์ที่จะใช้ ประกอบพิธีกรรมจึงอาจจะมีสิ่งแตกต่างกันไปตามบุรพาจารย์ผู้กำหนดเพราะส่วน สำคัญในการตัดเหล็กไหลบางอาจารย์ก็ใช้หวายผูกลูกนิมิตใบตาลเส้นผมสาวพรหมจา รีย์ขวานเทียนเข้าพรรษาประจำเดือนของทารกแรกเกิดเป็นต้น
ผู้จะทำพิธีตัดเหล็กไหลต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติรักษาศีล ได้มั่นคงไม่มี่จิตละโมบคือต้องขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อนเมื่อได้ รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอามิฉะนั้นหากเราขืนด้วยกำลังหมายแย่งชิงเอาโดย พละการถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเพทภัยถึงแก่ชีวิตหรือเกิดความขัดแย้งในหมู่ คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง
พิธีกรรมในที่นี้จึงเป็นเพียงแนวทางสำหรับผู้สนใจในพระเวทย์เพื่อใช้ใน การนี้โดยเฉพาะขอให้ท่านได้ลองพิจารณาศึกษาดูเพราะโอกาสจะเรียนรู้ในเรื่อง ราวเหล่านี้จากครูบุรพาจารย์ผู้รู้นั้นหายาก

อุปกรณ์ในการตัดเหล็กไหล
1.สายสิญจ์จากปากหลุมลูกนิมิตร
2.ไม้ตาขอ9อันใหญ่พิเศษ1อัน
3.มีดหมอลงอาคมเพื่อใช้ตัดเหล็กไหล
4.นํ้าผึ้งป่า
5.คาถาเรียกเหล็กไหล
6.คาถาผูกเหล็กไหล
7.คาถาตัดเหล็กไหล
8.คาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เครื่องบวงสรวง
1.บายศรีเทพบายศรีพรหมอย่างละ1คู่สำหรับตั้งศาลเอก
2.ฉัตรเงินฉัตรทอง9ชั้น4ทิศ
3.ตั้งศาลเอก1ศาลศาลเพียงตา4ทิศ
4.ผลไม้7อย่างทั้ง4ศาล
5.อาหารเจพร้อมผลไม้ชุดใหญ่หน้าศาลเอกพร้อมบายศรี
6.บายศรีตองตั้งที่ศาลเพียงตาแห่งละ1คู่
7.เครื่องกระยาบวชข้าวตอกดอกไม้
8.อาหาร คาวหวานเช่นหัวหมูเป็ดไก่ปลาเนื้อมะพร้าวอ่อน1คู่กล้วยํ้าว้า1คู่ขนมต้มแดง- ตัมขาวถั่วชนิดต่างๆงาดำงาขาวขนมผลไม้เหล้าขาวเหล้าแดงหมากพลูบุหรี่สำหรับ เทวดาที่ถือศีล5ที่ยังชอบเหล้ายาปลาปิ้งของสดของคาวจัดแยกไว้ที่หน้าศาลเอก อีกโต๊ะต่างหาก
เมื่อถึงเวลาก็จุดธูป๙ดอกเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว๙เล่ม
ตั้งนะโม๓จบ
กล่าวสัคเคฯชุมนุมเทวดา
จบแล้วต่อด้วยบทสวดดังนี้
สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ๓จบ
เอกายะโนอะยังภิกขเวมัคโคสัตตานังวิสุทธิยา




40#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-21 19:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การตัดเหล็กไหลโดยใช้พลังจิต

การตัดเหล็กไหลโดยใช้พลังจิตในการตัดจะเริ่มต้นจากการเทน้ำผึ้งพระจันทร์ (น้ำผึ้งป่าที่ผ่านการทำพิธีอาบแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญมาแล้วอย่างน้อยสามครั้ง) ลงบนฝ่ามือแล้วกำหนดจิตเรียก เหล็กไหลให้ไหลเยิ้มตัวลงมาเสพนั้าผึ้งพระจันทร์นั้น เมื่อเหล็กไหลประเภทนั้าหนึ่งไม่อาจทนความหอมหวานจากนั้าผึ้งพระจันทร์ได้ก็จะทำตัวไหลย้อยออกมาคล้ายตัวปลิงหรือไม่ก็ย้อยตัวลงมาเป็นเส้นบางๆคล้ายใยบัวหรือเส้นผมผู้หญิงลงมาบนฝ่ามือจากนั้นผู้ตัดจะคลึงเหล็กไหลที่ลงมาเสพน้ำผึ้งไปมาบนฝ่ามือ เมื่อน้ำผึ้งกับเหล็กไหลกลิ้งรวมเข้าด้วยกันแล้วเหล็กไหลก็จะออกมาจากรังเหล็กไหล โดยจะมืสัณฐานเป็นแท่งยาวคล้ายแคปซูลผิวเนื้อเหล็กไหลจะเรียบเป็นมันแวววาวไม่มีรอยขีดข่วนดูคล้ายกับเนื้อของธาตุปรอทกลิ้งอยู่ในฝ่ามือไปเรื่อยๆ รอจนกว่าเหล็กไหลจะเสพกลิ่นและเสพรสจากน้ำผึ้งพระจันทร์จนเป็นที่พอใจแล้วเส้นใย ของเหล็กไหลจึงจะเริ่มชักตัวเองกลับเข้ารังในช่วงเวลานี้เองที่อาจารย์ผู้กระทำพิธีจะกล่าวคาถาพร้อมกับกำหนดจิตเพื่อตัดเหล็กไหลออก จากรังด้วยการกระชากมือเบา ๆ ให้เล้นใยเหล็กขาดออกจากกัน เมื่อเหล็กไหลถูกตัดใหม่ๆ จะยังคงมีลักษณะเป็นของเหลวข้นคล้ายกับ ปรอทและมีน้ำหนักดุจดั่งโลหะประเภทเหล็ก สามารถกลิ้งไปมาบน ฝ่ามือได้เหมือนกับธาตุปรอทและจะเริ่มแข็งตัวในเวลาต่อมา

เหล็กไหลที่ได้จากการตัดโดยวิธีนี้จะมีสัณฐานเป็นแท่งคล้ายแคปซูล ซึ่งเป็นรูปทรงที่เกิดจากการกลิ้งมวลเหล็กไหลบนฝ่ามือ แร่เหล็กไหลที่ได้ จากการตัดในลักษณะนี้มักเป็นเหล็กไหลน้ำหนึ่งซึ่งหาได้ยากมากที่สุด ในขณะที่เหล็กไหลยืดตัวออกมาเสพน้ำผึ้งในลักษณะคล้ายกับใยบัวหรือเส้นผมนั้นนับว่าเป็นช่วงที่อันตรายและน่าสะพรึงกลัวมากที่สุด เพราะหากตัดเหล็กไหลผิดจังหวะแล้วเส้นใยของเหล็กไหล ที่ยืดตัวออกมาจะตวัดพันร่างกายของผู้ที่ตัดเหล็กไหลให้ขาดออก เป็นชิ้นๆ ได้ ถ้าเหล็กไหลตวัดพันถูกส่วนไหนชองร่างกายแล้ว ร่างกายส่วนนันก็จะถูกตัดขาดออกจากกันทันที

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเหล็กไหลจึงควรเป็นช่วง เวลาที่เหล็กไหลเสพน้ำผึ้งจนอิ่มแล้ว และจะต้องเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่เส้นใยของเหล็กไหลกำลังจะชักตัวกลับรัง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการตัดเหล็กไหลโดยวิธีนี้ ผู้ที่ทำการตัดเหล็กไหลจะต้องมีความชำนาญเป็นอย่างมากจึงจะสามารถรู้ว่าช่วงเวลาไหนที่เหล็กไหลเสพน้ำผึ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะชักตัวกลับรังเมื่ออาจารย์ผู้ประกอบพิธีตัดเหล็กไหลได้สื่อสารด้วยกำลังฌานจนแน่ใจว่า เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง หรือเจ้าของถ้ำซึ่งเป็นพลังงานที่ดูแลคุ้มครองเหล็กไหลชิ้นดังกล่าวได้อนุญาตและมอบเหล็กไหลชิ้นนี้ให้ในขณะที่เหล็กไหลกำลังจะหดตัวกลับรังนั้นเอง ท่านก็จะกล่าวคาถาตัดเหล็กไหล กล่าวคำขอขมาและกล่าววาจาสัตย์อธิษฐานจิต ให้แน่วแน่ถึงจุดประสงคํที่มาขอเหล็กไหลว่าจะนำไปเพื่อใช้ทำอะไร ซึ่งคำสัตย์เหล่านี้จะคอยควบคุมเหล็กไหลชิ้นนั้นตลอดเวลา

และหากเริ่มผิดคำสัตย์ตามทีได้กล่าวไว้เมื่อใด เหล็กไหลก็จะเริ่มให้โทษแก่ผู้ครอบครองและจะหาหนทางกลับมายังรังที่อยู่เดิมอีกครั้ง หลังจากที่ตัดเหล็กไหลมาได้แล้วจะต้องนำเหล็กไหลมาอธิษฐาน ที่หน้าปากถ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปีนการตรวจดูให้แน่ซัดว่าเป็นเหล็กไหล ประเภทที่ต้องการหรือไม่และหากไม่ใช่เหล็กไหลชนิดหรือประเภทที่ได้กล่าวสัจจะวาจาขอเอาไว้ก็ต้องนำเหล็กไหลชิ้นนั้นไปวางคืนไว้ที่ภายในถ้ำ เพราะหากนำเหล็กไหลผิดชนิดหรือผิดประเภทซึ่งไม่ตรงตามที่ได้กล่าวสัจจะขอไว้กลับไปก็จะเป็นอันตรายกับตนเองอย่างใหญ่หลวง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้