ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระองค์ที่ ๑๐ : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

[คัดลอกลิงก์]
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 14:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระตำหนักซ้าย ที่ประทับทรงงานในวัดบวรนิเวศวิหาร


นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงพยายามที่จะจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
โดยการจัดตั้งโรงเรียนของมหามกุฎราชวิทยาลัย
เพื่อศึกษาวิชาการสมัยใหม่ในลักษณะที่เรียกกันในปัจจุบันว่า “มหาวิทยาลัย” ขึ้น
โดยทรงพระดำริว่าจะใช้พื้นที่ตลาดยอด
(คือบริเวณด้านตะวันตกของวัดบวรนิเวศวิหารบัดนี้)
ทั้งเกาะ เป็นที่ตั้งโรงเรียนของมหามกุฎราชวิทยาลัยดังกล่าวแล้ว
แต่ยังมิทันได้ดำเนินการให้เป็นไปตามพระดำริ
เพราะไม่มีงบประมาณในการดำเนินการ

แต่อีก ๓๕ ปีต่อมา พระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ดังกล่าวแล้ว
ก็ได้รับการสานต่อจนเกิดเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา
หรือที่เรียกกันว่า มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของไทยขึ้น
นั่นคือ สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘


พระตำหนักล่าง พระตำหนักที่ประทับแห่งแรกในวัดบวรนิเวศวิหาร
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 17:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๕๗ พรรษา



สถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า”


แต่โบราณมา ตำแหน่งพระประมุขแห่งสังฆมณฑลที่เรียกว่า
สมเด็จพระสังฆราชนั้น ไม่เคยมีเจ้านายพระองค์ใดที่ทรงผนวชอยู่
ได้รับสถาปนาในตำแหน่งนี้ กระทั่งถึงรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส
วัดพระเชตุพน ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระองค์แรก

มาในรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายมหาสมณณุตมาภิเษก
แด่ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช
แต่เจ้านายที่ได้รับถวายมหาสมณุตมาภิเษกทั้ง ๒ พระองค์ ในครั้งนั้น
ไม่ได้เรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช
แต่เรียกพระนามไปตามพระอิศริยยศในฝ่ายพระบรมราชวงศ์
คือสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์

มาในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวถวายมหาสมณุตมาภิเษก
แด่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓
ก็ยังคงเรียกพระนามไปตามธรรมเนียมเดิมมิได้เรียกว่าสมเด็จพระสังฆราชเช่นกัน


ทรงฉายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ

23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 17:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ครั้น พ.ศ. ๒๔๖๔ อันเป็นปีที่ สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา
และทรงดำรงในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชมาครบ ๑๐ ปี
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริว่า

“พระมหาสังฆปริณายกประธานาธิบดีแห่งสังฆมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร
ซึ่งมีสมณศักดิ์ว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณนั้น ได้มีนามอย่างสังเขปว่า
สมเด็จพระสังฆราชเป็นประเพณีสืบมา
แต่ส่วนพระบรมบรมราชวงศ์ผู้ได้รับมหาสมณุตมาภิเษกดำรงสมณศักดิ์เช่นนี้
หาได้เรียกว่า สมเด็จพระสังฆราชไม่
ย่อมเรียกพระนามไปตามพระอิศริยยศแห่งพระบรมราชวงศ์
ไม่ปรากฏพระเกียรติยศยิ่งขึ้น

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (มีสร้อยพระนามคงตามเดิม)
เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศสืบไปชั่วกาลนาน”


เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์ปัจจุบันขึ้นแล้ว
ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ซึ่งทรงได้รับมหาสมณุตมาภิเษกในรัชกาลที่ ๔
และ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ซึ่งทรงได้รับมหาสมณุตมาภิเษกในรัชกาลที่ ๕ เป็น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า เช่นเดียวกันในคราวนี้ด้วย

พระนาม “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า”
จึงเกิดมีขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๖ โดยทรงสถาปนา
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระองค์แรก


พระรูปสุดท้ายของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ


ผลงานพระนิพนธ์

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงรอบรู้ภาษาต่างๆ หลายภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต
ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นอันมาก
เช่น หนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี โท เอก ทั้งหมดหลักสูตรบาลีไวยากรณ์ทั้งชุด
รวมพระราชนิพนธ์ ทั้งที่เป็นภาษาไทย ภาษาบาลี มีจำนวนกว่า ๒๐๐ เรื่อง

นอกจากนี้ยังทรงชำระคัมภีร์บาลีไว้อีกกว่า ๒๐ คัมภีร์
บทพระนิพนธ์เรื่องต่างๆ ของพระองค์
ไม่ว่าเป็นเรื่องคดีธรรม หรือคดีโลก ล้วนเป็นเรื่องที่ทันสมัย
โดยเฉพาะบทพระนิพนธ์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาของพระองค์นั้น
กล่าวได้ว่าเป็นการเริ่มศักราชใหม่ของการอธิบาย
หรือตีความพระพุทธศาสนาแนววิเคราะห์
เท่ากับพระองค์ทรงเป็นผู้วางแนวในการศึกษาพระพุทธศาสนาในสมัยใหม่
แก่วงการพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการเริ่มยุคใหม่อีกยุคหนึ่งของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 17:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ตึกมนุษยนาคมานพวิทยาทาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร


ทรงเป็นนักการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ของไทย


ในสมัยรัชกาลที่ ๕ อาจกล่าวได้ว่า
เป็นยุคที่พระสงฆ์มีบทบาททางการศึกษาของชาติมากที่สุด
และผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นเป็นผู้นำทางการศึกษาอยู่ในขณะนั้น
ก็คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เริ่มแต่ทรงจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัย
สำหรับเป็นสถานศึกษาวิทยาการทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม
สำหรับภิกษุสามเณรและกุลบุตร ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

และจากความสำเร็จในการจัดตั้งมหามกุฎราชวิทยาลัยนั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงตัดสินพระราชฤทัย
มอบหมายให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงรับภาระอำนวยการจัดการศึกษาในหัวเมืองทั่วราชอาณาจักรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑
ซึ่งเป็นการมอบหมายภาระในการวางรากฐานการศึกษาขั้นประถมศึกษาของชาติ
ให้พระองค์ทรงดำเนินการ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก็ได้ทรงจัดการศึกษาขั้นประถมศึกษา
อันเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของชาติได้เป็นผลสำเร็จภายในเวลา ๕ ปี
แม้ว่าจะเป็นความสำเร็จในระดับหนึ่ง
แต่ก็กล่าวได้ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดการศึกษาขั้นประถมศึกษาของไทย


พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ประดิษฐาน ณ ตึกมนุษยนาคมานพวิทยาทาน วัดบวรนิเวศวิหาร



นอกจากจะทรงเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาระดับประถมศึกษาแล้ว
ยังทรงพระดำริที่จะพัฒนาการศึกษาระดับมัธยมศึกษาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
โดยทรงพระดำริที่จะพัฒนาโรงเรียนภาษาไทยของมหามกุฏราชวิทยาลัย
ที่วัดบวรนิเวศวิหารให้เป็นโรงเรียนราษฎร์แบบอยู่ประจำ เพื่อเป็นตัวอย่าง
เป็นการช่วยรัฐบาล แต่พระดำรินี้ไม่สามารถดำเนินไปได้ตลอด
เพราะขาดงบประมาณดำเนินการเพราะขาดงบประมาณดำเนินการ

ในด้านการศึกษาของคณะสงฆ์ที่เรียกว่า การศึกษาปริยัติธรรมนั้น
ก็ทรงมีแนวพระดำริว่าภิกษุสามเณร
ควรจะมีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมเพราะ

“รู้ทางโลกก็เป็นสำคัญอุดหนุนรู้ทางธรรมให้มั่นให้กว้าง
พระศาสดาของเราก็ได้ความรู้ทางโลกเป็นกำลังช่วย
จึงประกาศพระพุทธศาสนาด้วยดี”


การที่ทรงจัดตั้งมหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้นในครั้งนั้น
ก็เพื่อจัดการศึกษาแก่ภิกษุสามเณรในแนวนี้ ซึ้งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ การจัดการศึกษาแบบใหม่ของมหามกุฎราชวิทยาลัยนั้น

“ก็เพื่อจะลองหาทางแก้ไขการเรียนพระปริยัติธรรมให้ดีขึ้น
คือ ให้ผู้เรียนรู้ได้เร็วไม่เปลืองเวลา ไม่พักลำบาก รู้ได้ดี”


25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 17:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


พระแท่นที่บรรทมสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร  



กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทรงหาวิธีการที่จะทำให้ภิกษุสามเณรใช้เวลาเรียนแต่น้อย
แต่ได้ความรู้ดีตามต้องการ
แม้ว่าการจัดการศึกษาแบบ มหามกุฎราชวิทยาลัย จำต้องเลิกไปในเวลาต่อมา
แต่แนวพระดำริของพระองค์ดังกล่าว
ก็ได้เป็นรากฐานให้แก่การจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์
ที่เรียกว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ในเวลาต่อมา

เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงมีวิสัยทัศน์ทางด้านการศึกษาที่แหลมคมและกว้างไกล
ทรงมีแนวพระราชดำริที่ล้ำยุคและล้ำหน้ากว่าใครๆ ในยุคเดียวกัน
จึงกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นนักการศึกษาที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของไทย


พระกรณียกิจพิเศษ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงเป็นพระอุปัธยาจารย์ของพระมหากษัตริย์ ๒ พระองค์
คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฏราชกุมาร
และ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา
นอกจากนี้ ก็ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ อีกหลายพระองค์


พระเมรุ ณ ท้องสนามหลวง
ในการถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ

26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 17:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระอวสานกาล

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงประชวรวัณโรค มีพระอาการเรื้อรังมาเป็นเวลานาน
กระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๔ อันเป็นปีที่ทรงเจริญมายุครบ ๖๐ พรรษา
อาการประชวรกำเริบมากขึ้น
จึงเสด็จโดยทางเรือไปรักษาพระองค์ทางชายทะเลจนถึงจังหวัดสงขลา
พระอาการยิ่งทรุดหนักลง ประจักษ์แก่พระหฤทัยว่ากาลที่สุดใกล้จะถึง
จึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ โดยทางรถไฟเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๔

ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๔
เวลา ๔ นาฬิกา ๓๕ นาทีก่อนเที่ยง (๑๐.๓๕ นาฬิกา) ก็สิ้นพระชนม์
สิริรวมพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ๓ เดือน กับ ๒๑ วัน
ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา ๓๐ ปี
ทรงดำรงตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นเวลา ๑๐ ปี กับ ๗ เดือน ๒๘ วัน
ครั้นเมื่อถึงเดือนเมษายน พ.ศ.  ๒๔๖๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ถวายพระเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง


พระโกศพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ประดิษฐานในท้องพระโรงพระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร

27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 17:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

อาคารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (หลังเก่า)


ประวัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ปฏิบัติภารกิจด้านการผลิตบัณฑิต
งานวิจัย งานบริการวิชาการแก่ชุมชน
และงานทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย
โดยเมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตั้งวิทยาลัยขึ้น
ในบริเวณวัดบวรนิเวศวิหารพระราชทานนามว่า “มหามกุฏราชวิทยาลัย”

โดยมีพระราชประสงค์เพื่อเป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร
ทรงอุทิศพระราชทรัพย์บำรุงประจำปีและก่อสร้างสถานศึกษาวิทยาลัยแห่งนี้ขึ้น

ครั้นเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๓๙
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาเปิดมหามกุฏราชวิทยาลัย
พระองค์ทรงรับมหามกุฏราชวิทยาลัยอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์
และพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์บำรุงประจำปี
อาศัยพระราชประสงค์ดังกล่าวแล้วนั้น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
จึงทรงตั้งวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินกิจการของ มหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น ๓ ประการ คือ

         ๑. เพื่อเป็นสถานศึกษาของพระภิกษุสามเณร
         ๒. เพื่อเป็นสถานศึกษาวิทยาการอันเป็นของชาติภูมิและของต่างประเทศ
         ๓. เพื่อเป็นสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา

เมื่อกิจการของมหามกุฏราชวิทยาลัยได้เปิดดำเนินการแล้ว
ปรากฏว่าพระวัตถุประสงค์เหล่านั้นได้รับผลเป็นที่น่าพอใจตลอดมา  
เพื่อจะให้พระวัตถุประสงค์เหล่านั้นได้ผลดียิ่งขึ้น

ดังนั้น ในวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ในฐานะที่ทรงเป็นนายกกรรมการ มหามกุฏราชวิทยาลัยพร้อมด้วยพระเถระนุเถระ
จึงได้ทรงประกาศตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงในรูปมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาขึ้น
โดยอาศัยนามว่า สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้

       ๑. เพื่อให้เป็นสถานศึกษาพระปริยัติธรรม
       ๒. เพื่อให้เป็นสถานศึกษาวิทยาการอันเป็นของชาติภูมิและต่างประเทศ
       ๓. เพื่อให้เป็นสถานเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในและนอกประเทศ
       ๔. เพื่อให้ภิกษุสามเณรมีความรู้และความสามารถในการบำเพ็ญประโยชน์แก่ประชาชน
       ๕. เพื่อให้ภิกษุสามเณรมีความรู้ และความสามารถในการค้นคว้า
โต้ตอบ หรืออภิปรายธรรมได้อย่างกว้างขวางแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ
      ๖. เพื่อให้ภิกษุสามเณรได้เป็นกำลังสำคัญในการจรรโลงพระพุทธศาสนา
และเป็นศาสนทายาทที่เหมาะแก่กาลสมัย
     ๗. เพื่อความเจริญก้าวหน้า และคงอยู่ตลอดกาลนานของพระพุทธศาสนา
28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 17:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ทรงฉายร่วมกับพระเถระกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย ชุดแรก พ.ศ. ๒๔๓๖  


ทั้งนี้ ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า
“กรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย”
สถาบันการศึกษาแห่งนี้ ได้เริ่มเปิดให้การอบรมศึกษาแก่ภิกษุสามเณร
ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๙ จนถึงปัจจุบัน

เหตุผลที่ทำให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ
ทรงพระดำริจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ นั้น
ปรากฏในรายงานประจำปีของมหามกุฏราชวิทยาลัย ว่า

พระเถรานุเถระทั้งหลาย มีความประสงค์ในการจัดตั้งวิทยาลัย
เป็นที่ฝึกสอนพระปริยัติธรรมแลอักขร
สมัยของภิกษุสามเณรแลศิษย์วัดนั้น
ด้วยเห็นว่าธรรมเนียมในประเทศนี้
วัดทั้งหลายเป็นโรงเรียนที่ศึกษาวิชาความรู้ของราษฎรพลเมือง
ตั้งต้นแต่เรียนอักขระฝึกกิริยามารยาท
ตลอดจนถึงเรียนพระปริยัติธรรม

บรรดาราษฎรมีบุตรหลานก็นำเข้ามาฝากเป็นศิษย์วัด
ให้เรียนวิชาความรู้ จนถึงเติบใหญ่อุปสมบทเป็นภิกษุ
บางพวกก็ได้อยู่ไปจนเป็นคณาจารย์ปกครองกันต่อๆ ไป
บางพวกอยู่สมควรแก่ศรัทธาแล้ว
ก็ลาสิกขาบทสึกไปประกอบการหาเลี้ยงชีพของตนในทางฆราวาส
มีธรรมเนียมเป็นพื้นเมืองมาดังนี้

วิธีการปกครองของวัดนั้น ไม่ได้จัดเป็นชั้นตามสถานที่ว่า
สถานที่นั้นสอนชั้นสูง สถานที่นั้นสอนชั้นต่ำ
ดูท่วงทีเหมือนในวัดหนึ่งจะมีทั้งชั้นสูงชั้นต่ำ

คือราษฎรนำบุตรหลานเข้ามาฝากภิกษุสามเณร
ให้เรียนอักขระแลฝึกกริยามารยาทเป็นต้น
การฝึกสอนชั้นนี้จัดว่าเป็นชั้นต่ำ การฝึกสอนภิกษุสามเณรให้เล่าเรียนมคธภาษาก็ดี
ให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรมก็ดี การศึกษาชั้นนี้จัดว่าเป็นชั้นสูง
แต่การหาดำเนินไปโดยเรียบร้อยดังวิธีที่  จัดไม่
เพราะข้อขัดขวางดังต่อไปนี้  
   
ราษฎรผู้จะนำบุตรหลานมาฝากต่อภิกษุสามเณร
ในวัดนั้นๆ ก็ฝากในสำนักที่ตนรู้จักคุ้นเคย
ภิกษุสามเณรผู้เป็นอาจารย์นั้น บางรูปก็มีความรู้มาก บางรูปก็มีความรู้น้อย
ทั้งไม่มีหลักสูตรแห่งการเล่าเรียนว่าถึงไหนจัดเป็นใช้ได้
ความรู้ของศิษย์จึงไม่เสมอกัน
ตั้งแต่กรมศึกษาธิการจัดหลักสูตรสำหรับสอนความรู้ขึ้นแล้ว

การเล่าเรียนจึงมีกำหนด
แต่เพราะความรู้ของภิกษุสามเณรผู้เป็นอาจารย์ไม่เสมอกัน
ทั้งความนิยมของเด็กผู้เล่าเรียนก็ดี ของผู้ใหญ่ของเด็กก็ดี
เป็นแต่เพียงอ่านได้เขียนได้เท่านั้นก็พอประสงค์
ความรู้ของนักเรียนที่ออกจากวัดจึงยังจัดว่าถึงกำหนดแท้ไม่ได้  
  
ส่วนการเล่าเรียนมคธภาษานั้นแต่เดิมไม่บังคับ แล้วแต่ใครสมัครจะเรียน
ในทุกวันนี้ความนิยมในการเล่าเรียนมคธภาษาน้อยลง
ด้วยผู้ที่มาบวชเป็นภิกษุสามเณรจะหาผู้ที่มีศรัทธาแท้เป็นอันยาก
ทั้งพื้นเดิมก็เป็นคนขัดสน
ต้องการแต่ความรู้ที่จะให้ผลเป็นเครื่องเลี้ยงชีพได้โดยประจักษ์ตา
ไม่ต้องการความรู้ที่เป็นอาภรณ์ของบุรุษ หรือความรู้ที่เป็นเครื่องเจริญผล
โดยเพิ่มสติปัญญาสามารถ แลวิธีฝึกสอนเด็กก็เป็นการเนิ่นช้า

หากจะมีผู้อุตสาหะเรียนบ้าง จะหาอาจารย์ผู้บอกให้รู้จริงเห็นจริงก็ได้ยาก
ทั้งผู้เรียนจะชำนาญในภาษาของตนมาก่อนก็ได้โดยยาก
หลักสูตรก็มากชั้น แลการสอบความรู้ก็ห่าง

29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 17:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต่อล่วงหลายปีจึงสอบครั้งหนึ่ง ด้วยอาศัยเหตุเหล่านี้
จึงมีอาจารย์สอนให้รู้จริงเห็นจริงได้น้อยตัว
เรียนไม่ทันรู้ละทิ้งไปเสียก็มี บางทีเรียนรู้พอจะสอบความรู้ได้
อยู่ไม่ถึงกาลสอบก็มี เข้าสอบจนเป็นบาเรียนแล้วก็มี
แต่จะหาผู้สอบได้จนจบหลักสูตรได้น้อยถึงนับตัวถ้วน
เพราะหลักสูตรที่ตั้งไว้มากเกิน เมื่อความเล่าเรียนเสื่อมทรามไป

ผู้เป็นบาเรียนเพียง ๔ ประโยค ๕ ประโยค
ก็กว้างขวางมีผู้นับหน้าถือตาแสวงหาลาภผลเลี้ยงตัว พอตั้งตัวได้แล้ว
ก็ไม่คิดที่จะเป็นนักเรียนต่อไป บางรูปก็รับตำแหน่งพระราชาคณะปกครองหมู่คณะเสีย
ในระหว่างยังไม่ทันได้แปลจบหลักสูตร
อาศัยเหตุนี้ การเรียนมคธภาษาจึงไม่เจริญทันเวลาที่เป็นอยู่บัดนี้   

ส่วนการเรียนพระปริยัติธรรมนั้นเป็น ๒ ชั้น คือชั้นต่ำ ๑ ชั้นสูง ๑
การให้โอวาทสั่งสอน แลให้ศึกษาในตำรับภาษาไทยจัดเป็นชั้นต่ำ
สำหรับภิกษุสามเณรบวชใหม่ ตลอดไปจนถึงผู้ไม่ได้เรียนมคธภาษา

การอ่านการทรงภาษาบาลีไตรปิฎกจัดเป็นชั้นสูง สำหรับผู้รู้ภาษามคธ
การฝึกสอนชั้นต่ำไม่เจริญได้
เพราะผู้ที่เข้ามาบวชไม่ชำนาญในภาษาของตนทั่วทุกคน
ฟังคำสอนก็จำไม่ได้ อ่านหนังสือก็ไม่ค่อยเข้าใจ แลการฝึกสอนชั้นสูงไม่เจริญได้

โดยเหตุที่หลักสูตรสำหรับมคธภาษาเป็นอย่างหนึ่ง
พระปริยัติธรรมที่จำเป็นจะต้องรู้เป็นอย่างหนึ่ง
ผู้เล่าเรียนๆ มคธภาษาสอบความรู้ได้แล้ว
ยังต้องวกมาดูบาลีไตรปิฎกอีกเป็นสองซ้ำอยู่
จะหาผู้สมัครเรียนแต่ภาษามคธก็ได้โดยยากแล้ว
จะหาผู้รู้ภาษามคธแล้วศึกษาพระปริยัติธรรมต่อไป
ก็ต้องได้โดยยากเป็นธรรมดา  
  
ถ้าจะคิดบำรุงวิทยาความรู้ให้สมควรกับประเพณี
ที่เป็นมาแต่เดิมแลให้เจริญทันเวลา
จำเป็นที่จะต้องคิดจัดการแก้ไขตามสมควรแก่เวลา
      
ในการศึกษาของศิษย์วัด จะต้องจัดให้เด็กมีที่เรียนได้ตลอดหลักสูตรของ
กรมศึกษาธิการทั่วทุกคน แลจะต้องฝึกฝนให้ประพฤติกิริยามารยาทให้เรียบร้อย

การเรียนมคธภาษาจะต้องจัดหลักสูตรให้น้อยชั้นลง
แต่ย่นความรู้ให้จุลงในชั้นนั้นๆ ให้เป็นคลองเดียวกัน
กับการเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูงด้วย
ต้องบังคับบรรดาภิกษุสามเณรที่มีอายุควรแก่การเล่าเรียน
ให้เล่าเรียนถ้วนทั่วทุกรูป คิดแก้ไขวิธีสอนให้เรียนง่ายขึ้นให้รู้ได้จริง
ให้จบหลักสูตรได้ก่อนที่นักเรียนจะเป็นคนกว้างขวางจนตั้งตัวได้
จะต้องจัดการสอบความรู้ทุกปี
เปลี่ยนแปลงวิธีสอบให้เป็นไปโดยสะดวก
มีใช้เขียนแทนแปลด้วยปากเป็นต้น  
  
การฝึกสอนพระปริยัติธรรมทั้งสองชั้น
เมื่อการฝึกสอนภาษาไทยแลมคธภาษาเจริญแล้ว ก็คงเจริญตามกัน
เมื่อสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงพระราชศรัทธาโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นไว้เป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ในคณะธรรมยุติกนิกาย
พระเถรานุเถระทั้งหลายได้ช่องอันดี จึงได้จัดการเปลี่ยนแปลง
วิธีเล่าเรียนในคณะตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ จนถึงบัดนี้

30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-11 17:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีภายในพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร



ในการจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ
ได้ทรงวางวัตถุประสงค์ไว้ ๓ ประการ คือ

         ๑. เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์ธรรมยุกติกนิกาย
         ๒. เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาวิทยา ซึ่งเป็นของชาติภูมิและต่างประเทศแห่งกุลบุตร
         ๓. เพื่อเป็นสถานที่จัดการสั่งสอนพระพุทธศาสนา


และพระองค์ได้ทรงอธิบายขยายความของวัตถุประสงค์ทั้ง ๓ ประการไว้ดังนี้

๑. การเล่าเรียนของภิกษุสามเณรนั้นประเพณีเดิมเคยเรียนมูลปกรณ์ก่อน
แล้วจึงเรียนอรรถกถาธรรมบท มังคลัตถทีปนี สารัตถสังคหเป็นต้น
ถึงกำหนด ๓ ปี มีการสอบปริยัติธรรม ครั้งหนึ่ง บางคราวถ้าขัดข้องก็เลื่อนออกไป
ถึง ๖ ปีครั้งหนึ่ง หนังสือสำหรับสอบนั้นมี ๒ อย่าง
สำหรับฝ่ายไทยอย่าง ๑ สำหรับฝ่ายรามัญอย่าง ๑

สำหรับฝ่ายไทยนั้นจัดเป็น ๙ ชั้น
อรรถกถาธรรมบทแบ่งเป็น ๓ ชั้น

คือ ชั้นที่ ๑ ชั้นที่ ๒ ชั้นที่ ๓ มังคลัตถทีปนีบั้นต้นชั้นที่ ๔
สารัตถสังคหชั้นที่ ๕ สารัตถทีปนีฏีกาพระวินัยชั้นที่ ๙
ภิกษุสามเณรผู้จะสอบความรู้ จับประโยคแล้ว
รับหนังสือตามประโยคมาดูเสร็จแล้ว
เข้าไปแปลในที่ประชุมพระราชาคณะด้วยปาก ตามเวลาที่กำหนดให้
ถ้าแปลได้ตลอดประโยคในเวลาที่กำหนดไว้นั้น
จัดเป็นได้ ถ้าครบกำหนดเวลาแล้วยังแปลไม่ตลอดประโยค จัดเป็นตก

ผู้ที่สอบได้ตั้งแต่ชั้นที่ ๓ ขึ้นไป จึงนับว่าเป็น “เปรียญ”
แม้สอบชั้นที่ ๑ ชั้นที่ ๒ ได้แล้ว ถ้าตกชั้นที่ ๓ ก็นับว่าตก
ถึงคราวหน้าจะเข้าแปลใหม่ต้องแปลตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ขึ้นไปอีก
ฝ่ายรามัญนั้นจัดเป็น ๔ ชั้น บาลีมหาวิภังค์ คืออาทิกัณฑ์
หรือปาจิตตีย์อย่างใดอย่างหนึ่งตามแต่จะเลือก

เป็นชั้นที่ ๑ บาลีมหาวิภังค์หรือจุลลวัคค์
อย่างใดอย่างหนึ่งตามแต่จะเลือก
เป็นชั้นที่ ๒ บาลีมุตตกวินัยวินิจฉัย
เป็นชั้นที่ ๓ ปฐมสมันตปาสาทิกาอรรถกถาพระวินัย
เป็นชั้นที่ ๔ แปลเป็นภาษารามัญ แต่ต้องบอกสัมพันธ์ด้วย


ถ้าแปลได้ตั้งแต่ชั้นที่ ๒ ขึ้นไป จึงนับว่าเป็น “เปรียญ”
เปรียญเหล่านี้ถ้ายังไม่ได้แปลถึงชั้นที่สุด
หรือยังไม่ได้รับตำแหน่งยศเป็นพระราชาคณะ
แม้ถึงจะมีพรรษายุกาลมากก็ยังนับว่ามีหน้าที่จะต้องแปลชั้นสูงขึ้นไปอีก
ต่อเมื่อใดแปลถึงชั้นที่สุดแล้วก็ดี ได้รับตำแหน่งยศเป็นพระราชาคณะ
ในระหว่างนั้นก็ดี จึงนับว่าสิ้นเขตที่จะแปลหนังสืออีก  
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้