ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ปู่ฤาษี 108 ตน

[คัดลอกลิงก์]
41#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


40.พระพรหมฤษีอคัสตยะ
              
                  ในกาลครั้งหนึ่งสมัยเมื่อไตรดายุค พระฤษีอคัสตยะ ได้บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ป่านี้มีความ
               กว้างยาวถึง ๑๐๐ โยชน์ แต่ก็เป็นที่แปลกประหลาดที่หามนุษย์และสัตว์ในป่านี้มิได้เลย เป็นป่าที่ปราศ
               จากสิ่งมีชีวิต วันหนึ่งพระฤษีได้เที่ยวไปในป่า พบกุฏิร้างอยู่ที่ริมสระใหญ่ภายในป่านั้น พระฤษีอคัสตยะก็เข้าไปอาศัยในอาศรมนั้น พักอยู่คืนหนึ่งพอรุ่งขึ้นเมื่อออกจากฌานแล้วก็จะลงไปสรงน้ำในสระนั้น ก็พบว่ามีศพลอยอยู่ในน้ำ แล้วอีกครู่หนึ่งต่อมาก็มีเทพบุตรขี่รถมายังขอบสระนั้นแล้วลากเอาศพนั้นขึ้นมากินเนื้อหนังจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว เทพบุตรนั้นก็ลงอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
                  ด้วยความสงสัย พระฤษีจึงถามเทพบุตรนั้นว่า เพราะอะไรจึงทำเช่นนั้น เทพบุตรก็บอกว่า เมื่อครั้งก่อนตัวเองชื่อว่า เศวต เป็นโอรสของ ท้าวสุเทพ พระราชาผู้ครองนครวิทรรภ เมื่อท้าวสุเทพสิ้น พระชนม์แล้วท้าวเศวตก็ขึ้นเสวยราชย์แทนสืบต่อมา พลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว โหรก็ทำนายว่าชะตาถึงฆาต จึงทรงมอบสมบัติให้กับพระอนุชา แล้วก็ออกบวชบำเพ็ญตบะเป็นพระฤษีอยู่ในป่าแห่งนี้อาศัยอยู่ในอาศรมริมสระนั่นแหละจนกระทั่งละสังขาร ได้ขึ้นไปเกิดอยู่ชั้นเทวโลก แต่ถึงจะมีความสุขกายสุขใจแต่ก็ยังมิวายที่จะหิว จึงต้องขึ้นไปถามพระพรหมมา ท่านก็แนะนำว่าเรื่องนี้เป็นเพราะว่าเคร่งต่อการปฏิบัติอย่างเดียวเป็นแต่เพียงมุ่งทรมานร่างกายมิได้บำเพ็ญในสิ่งที่เป็นทานบารมี จึงมิได้อิ่มทิพย์เหมือนเทวดาองค์อื่นๆ ก็จะต้องกินเนื้อของตัวเองต่อไป จนกว่าว่าเมื่อใดจะพบกับพระพรหมอคัสตยะแล้วทำการทักษิณาด้วยอาภรณ์แล้ว เมื่อนั้นแหละจึงจะพ้นทุกข์ได้เสวยทิพย์
                  พอพระเศวตเทพบุตรเล่าเรื่องจบแล้วก็เปลื้องอาภรณืออกมาทำการทักษิณาแด่พระพรหมฤษีอคัสตยะ พระฤษีก็รับอาภรณ์นั้น ก็เป็นว่าพระเศวตสิ้นกรรมได้ไปเสวยทิพย์ในเทวโลกโดยสมบูรณ์ตลอดไป ส่วนพระพรหมฤษีอคัสตยะ จะต้องบำเพ็ญตบะที่อาศรมแห่งนั้นไปจนกว่าองค์พระนารายณ์จะอวตารลงมาเป็นพระรามแล้วเดินทางมาถึงอาศรมนั้น พระฤษีทำการทักษิณาแด่พระรามแล้ว นั่นแหละ  พระฤษีก็จะสิ้นกรรมกลับขึ้นไปเสวยทิพย์ในชั้นพรหมโลกเช่นเดียวกันดังเรื่องราวที่เป็นตำนานสืบทอดต่อเนื่องกันมา ประวัติของพระฤษีแต่ละองค์ ท่านก็จะมีลีลาและหน้าที่ไม่เหมือนกัน เพราะเหตุที่พระฤษีมีกันอยู่มากมาย ยากที่จะเรียงลำดับรายชื่อได้ จึงจัดแบ่งแยกออกมาแต่ละชั้นเพื่อจะได้ไม่จำซ้ำซ้อนกัน คือ......
              
                  ๑.พระฤษีในชั้นพรหม จะเป็นแต่เพียงพรหมฤษี
                  ๒.พระฤษีในชั้นเทพ จะเป็นเพียงเทพฤษี
                  ๓.พระฤษีในชั้นดิน ก็จะเป็นเพียงมนุษย์ฤษี
              
               แต่ละชั้นจะไม่มีการปนเปกัน จึงต้องจัดแบ่งแยกให้อธิบายง่ายเข้า สำหรับพระฤษีในชั้นพรหมนั้นมิใช่  มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายล้านหลายโกฏิพระองค์ จึงได้บอกว่า พระพรหมในพรหมโลกมักจะเป็นพระ
               ฤษีแทบทั้งสิ้น เพราะว่าพระพรหมท่านเป็นผู้ปฏิบัติ ในบารมีฌานกันทุกพระองค์ ดังนั้นจึงต้องคัดเลือก   เอาแต่เพียงองค์ที่มีประวัติเท่านั้นที่จะนำเอามาเล่า

42#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

41.พระดาบสสินี ฤษีหน้ากวาง(สีดา)
                          
                 พระฤษีองค์นี้เป็นผู้หญิง มิใช่ฤษีปิตน จำเดิมแต่พระรามฆ่าทศกัณฑ์แล้ว ก็รับนางสีดามาอยู่ในอยุทธยาแล้ว นางอดูล ปีศาจ เป็นญาติกับทศกัณฑ์ ซึ่งนางก็มีใจเจ็บแค้นพระรามกับนางสีดา จึงได้แปลงกายเป็นนางงามเข้ามาถวายตัวเป็นข้าช่วงใช้นางสีดา ครั้นแล้วก็หาอุบายให้นางวาดรูปทศกัณฑ์จนกระทั่งพระรามมาเห็นเข้าก็โกรธ สั่งให้พระลักษณ์นำเอานางสีดาไปประหารแล้วควักเอาดวงใจมาให้ดู พระลักษณ์ฟันด้วยพระขรรค์ก็บังเกิดเป็นพวงดอกไม้ทิพย์คล้องคอนางสีดาพระลักษณ์จึงปล่อยนางสีดาไป พระอินทร์ได้เนรมิตเนื้อทรายนอนตายให้พระลักษณ์ควักเอาดวงใจไปถวายพระราม แล้วพระอินทร์ก็ยังแปลงกายเป็นมหิงส์(ควาย) ให้นางสีดาทรงขี่ไป จนกระทั่งถึงอาศรมพระฤษีวัชมฤค(คือพระฤษีวาลมีกิหรือพระฤษีหน้าวัว) พระฤษีทราบเรื่องแล้วจึงให้สีดา ได้ถือเพศเป็นดาบสสินีโดยปลอมแปลงกำบังกายให้เป็นพระฤษีหน้ากวาง เพื่อป้องกันอันตราย จนกระทั่งนางสีดาคลอดพระโอรสคือ พระกุศ(หรือพระมงกุฎในรามเกียรติ์) แล้วจึงฝากให้พระฤษีวาลมีกิเลี้ยงเอาไว้ในอาศรม นางก็ไปบำเพ็ญตบะอีกทางหนึ่งครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นางสีดาจะไปอาบน้ำก็ได้พบกับลิงแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกให้เกาะกระโดดจากกิ่งไม้มากิ่งไม้นี้ นางสีดาก็หวังดีจึงร้องบอกนางลิงว่าให้ระวังลูกจะตก นางลิงก็บอกว่าลูกที่อยู่ใกลัแม่ถึงจะอย่างไรก็ยังช่วยได้ทันและยังเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าลูกจะเป็นอะไร แต่ส่วนนางสีดานั่นสิฝากลูกเอาไว้กับพระฤษี ห่างไกลสายตาของผู้เป็นแม่ลูกจะเป็นอะไรก็ไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็น ก็พระฤษีท่านมัวแต่หลับตาภาวนาอยู่ หากว่าสัตว์ร้ายมาคาบเอาลูกไปกินแล้วใครจะเป็นผู้รู้เห็น
               นางสีดาได้ยินนางลิงว่าเช่นนั้นก็เห็นว่าจริงของนางลิง จึงเกิดเป็นห่วงลูกขึ้นมา นางจึงกลับไปยังอาศรมพระฤษีแล้วอุ้มเอาลูกชายมาอาบน้ำด้วย เหตุที่พระฤษีมัวแต่นั่งหลับตา ท่านจึงไม่เห็นและก็ไม่รู้ว่านางสีดาได้มาอุ้มเอาลูกของนางไปแล้ว
                   ครั้นพระฤษีวาลมีกิได้ออกจากฌานลืมตาขึ้นมาแล้วก็มองหาพระกุศไม่พบ ถึงแม้จะเที่ยวตามหาจนทั่วบริเวณอาศรมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา พระฤษีตกใจมาก ท่านคิดว่าสัตว์ร้ายจะต้องย่องเข้ามาคาบเอาพระกุมารไปกินเป็นแน่แท้ ก็คิดกลัวว่านางสีดาจะมาหาว่าท่านทำลูกของนางหาย จะรอช้าไม่ได้แล้วรีบจัดตั้งเครื่องพิธีจะชุบกุมารขึ้นมาแทนพระกุศ โดยการวาดรูปกุมารให้เหมือนแล้วจะได้ทำการชุบด้วยพระคาถาต่อไป พอดีพระฤษีวาดรูปเสร็จยังมิทันได้เสกคาถา นางสีดาก็อุ้มลูกขึ้นมาบนอาศรมนางสีดาเห็นว่ารูปที่พระฤษีวาดขึ้นมานั้นมีความสวยงามน่ารักมาก พระฤษีพอรู้ว่าพระกุศไม่ได้หายไป
               ไหนก็ดีใจจะทำการลบรูปพระกุมารที่เขียนนั่นเสีย นางสีดาก็ไม่ยอมให้ลบ ขอร้องให้พระฤษีชุบขึ้นมาจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับพระกุศ พระฤษีก็ตามใจนางสีดา จึงทำการชุบกุมารนั้นขึ้นมา รูปร่างหน้าตาเป็น
               พิมพ์เดียวกันกับพระกุศ ให้ชื่อว่า ลบนี่คือประวัติความเป็นมาของดาบสสินีหน้ากวาง.....



43#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


42.พระฤษีนารอด
                          
                 พระฤษีนารอด ท่านเป็นหมอยาที่มีคาถาอาคมเก่งกล้า ทั้งยังเป็นอาจารย์รดน้ำมนต์ที่เก่งที่สุดอีกด้วยท่านมีบารมีมาก ปวงชนทั่วไปก็มักจะรู้จักพระนามของท่านแทบทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาของท่านก็ยังมีหนวดเครายาวลงมาจากคางถึงในระหว่างอกมือถือดอกบัว ตรงด้านหน้ามีบาตรน้ำมนตร์ตั้งอยู่เป็นประจำ เก่งในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชงัดนักแล ถ้าหากผู้ใดมีความทุกข์ที่เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงบนบานศาลกล่าวกับท่านดูแล้ว   ท่านก็จะต้องเมตตาเสด็จลงมาปัดเป่ารักษาให้โรคภัยนั้นหายไปในเร็ววันมักจะมีคนพูดกันทั่วไปว่า พระฤษีนารอดเป็นพี่ชายของ พระฤษีนารายณ์แต่บำเพ็ญพรตกันอยู่คนละแห่ง นานๆจึงจะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง แต่เรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่ ที่จริงแล้วผู้ที่เป็นน้องชายของพระฤษีนารอดก็      คือ พระฤษีนาเรศร์ มิใช่พระฤษีนารายณ์ ที่ถูกต้องก็คือ พระฤษีนาเรศร์ นี่แหละที่เป็นน้องชายแท้ๆของ พระฤษีนารอด และก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่งมั่นอยู่กันคนละแห่ง สำหรับพระฤษีนาเรศร์นี้ ท่านเก่งในคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์มีเวทมนตร์ขลังเป็นที่สุด ชอบสันโดษบำเพ็ญพรตอยู่แต่ในป่าลึกๆ ไม่ค่อยชอบสมาคมกับใครเท่าใดนัก แม้แต่พี่น้องกันแท้ๆ ยังนานๆได้พบกันที พอพบกันก็จะดีใจถึงกับกอดกันแน่นด้วยความปลื้มปิติยินดี
               ท่านที่กราบไหว้บูชาพระฤษีสององค์พี่น้องก็จะเป็นมงคลอันสูง ท่านก็จะได้แผ่บารมีแห่งความเมตตามายังท่าน มาป้องปัดบำบัดรักษา และคุ้มครองมิให้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนตลอดกาล....
              
                   พระฤษีนารอดสวมเทริดฤษี ยอดบายศรีลายหนังเสือ เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาโสฬสนอกกรุงลงกา เมื่อครั้งหนุมานไปถวายแหวนนางสีดา เหาะเลยกรุงลงกาไปจึงไปพบพระฤษีนารอด(ฤษีนารท) โดยบังเอิญ แล้วต่อสู้กัน หนุมานแพ้จึงยอมอ่อนน้อมให้พระฤษี และเมื่อครั้งหนุมานเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางดับไม่ได้ พระฤษีนารอดจึงดับให้....

44#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-13 03:32



43.พระฤษีกาลสิทธิ
  สำหรับพระฤษีองค์นี้จงใช้ความสังเกตุให้ดี ที่ว่ามีชื่อเหมือนกับพระฤษีหน้าเสือกาลสิทธิ์ ผิดกันที่ตรงการันต์เท่านั้น ท่านก็เป็นผู้้มีความศักดิ์สิทธิ์อีกองค์หนึ่ง ประวัติเดิมของท่านเป็นถึงวงศ์พรหม ได้ลงมาจำศีลภาวนา อยู่ที่ภูเขาที่มีรังกากายสิทธิ์อยู่บนยอดเขา แลัวต่อมาก็สร้างเมืองใหม่ในบริเวณภูเขานั้น และเปลี่ยนจากชื่อรังกากายสิทธิ์มาเป็น เมืองลงกา จนกระทั่งตกทอดมาจนถึงชั้นทศกัณฑ์ พระฤษีกายสิทธิก็ไม่ยอมโยกย้ายไปไหน ยังคงบำเพ็ญตบะอยู่ที่เดิมมาเป็นเวลาหลายพันปี ในบรรดาอสูรทั้งหลายต่างมีความเคารพท่านมาก แม้แต่ทศกัณฑ์เองก็มีความเคารพ จึงมีความเป็นอยู่ที่นั่นตลอดไปพระฤษีกาลสิทธินี้ ท่านมีอานุภาพมากมีคาถาอาคมวิเศษและศักสิทธิ์มาก มีทั้งอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์จนกระทั่งเป็นที่เลื่อมใสกันทั่วไปและต่างก็มีความเกรงกลัวในบารมีและฤทธิ์เดชของท่านไม่มีผู้ใดกล้าไปรบกวนหรือองของกับท่านเลย เมื่อพระนารายณ์อวตารลงมาแล้ว เป็นพระรามยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ทศกัณฑ์ยังได้อ่านพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ไปอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์เพื่อเกลี้ยกล่อมให้พระรามเลิกทัพกลับไป ในครั้งนั้นพระอินทร์ได้ใช้ให้พระวิศกรรม(วิศนุกรรม) ลงมานิมิตสุวรรณพลับพลาไว้ที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นเพื่อที่จะให้พระรามและพระลักษณ์ เมื่อลาเพศจากพระฤษีจะได้มาพักอาศัยอยู่ที่นั่น และทศกัณฑ์ในร่างของพระฤษีกาลสิทธิก็หวังจะมาลวงพระราม บอกว่านางสีดาเมื่อถูกยักษ์ลักพาตัวเอาไป ไหนเลยจะมีความบริสุทธิ์เหมือนเดิมอีกคงจะแหลกเหลวแน่ๆแต่พระรามมีความมั่นใจ อธิบายให้พระฤษีปลอมนั้นฟังว่า อันนางสีดานั้นคือพระลักษมีอวตารลงมาเกิด ถึงแม้จะตกน้ำก็ไม่ไหล ตกในกองไฟก็ไม่ไหม้ และจะไม่มีราคีในสิ่งที่จะทำให้มัวหมอง ดังนั้นจึงจะต้องอยู่เพื่อฆ่ายักษ์ให้ได้ให้ยักษ์ตายกันหมดแล้วนั่นแหละจึงจะยกกองทัพกลับไป ฝ่ายภิเภกนั้นรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ครั้นจะทูลให้พระรามทรงทราบว่านั่นคือพระฤษีปลอม แต่ก็ถูกทศกัณฑ์สะกดตรึงเอาไว้ จึงพูดอะไรไม่ได้ เพราะอ้าปากไม่ขึ้นจึงเฉยไว้พระฤษีปลอมก็ยังตื๊อที่จะให้พระรามยกทัพกลับให้ได้ จนกระทั่งเหล่าสวาวานรพากันสงสัย บันดาลให้มีความโกรธหมายที่จะกระโดดเข้าไปฆ่าเสีย พระรามพระลักษณ์ก็ได้ห้ามเอาไว้ ฤษีจำแลงจึงกลัวความลับจะแตกก็ต้องจำลาพระรามนั้นกลับไป.....
   พระฤษีกาลสิทธิ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลีบบัว (ฤษีทศกัณฐ์แปลงกายเข้ามาในกองทัพพระรามเพื่อมาดูลาดเลา)   พระฤษีกาลสิทธิ สวมชฎาดอกลำโพงสีดำ นุ่งห่มหนังเสือ (ฤษีทศกัณฐ์แปลงกายเมื่อตอนอยู่เขาคันธมาทน์)

45#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-13 03:37



44.พระฤษีโคศก
  พระฤษีองค์นี้ได้บำเพ็ญตบะในป่าแห่งเมืองสิงขร สำหรับความเป็นมาเกี่ยวกับพระฤษีโคศกก็คือในอดีตกาลมีเทวดาองค์หนึ่งซึ่งเป็นข้าช่วงใช้ของพระอิศวร เป็นเทวดาที่มีความเกียจคร้าน งานหนักไม่เอา งานเบาก็ไม่สู้ ไม่เอาใจใส่อะไรทั้งนั้น พระอิศวรท่านจึงทรงพิโรธเลยสาปให้ลงไปเป็นยักษ์ชื่อว่าท้าวอุณาราช ครอบครองเมืองสิงขร ในเขตป่าอนุญาตให้คอยจับสัตว์กินเป็นอาหาร เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มากใครฆ่าก็ไม่ตาย ตราปใดที่พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระรามเดินทางมาพบแล้วใช้ต้นกกเป็นศรแผลงออกไปปักอก ตรึงเอาไว้กับแผ่นศิลาอยู่เช่นนั้นตลอดไป อีกนานเป็นเวลาถึงแสนโกฏิปี
เมื่อกองทัพพระรามเดินทางมาถึงสวนของท้าวอุณาราช ในเขตป่าแห่งเมืองสิงขรนั้น นนทกาลซึ่งเป็นยักษ์ภารโรงผู้ดูแลสวนเห็นเข้าก็ตรงเข้าไปหมายที่จะจับพวกลิงเอามากินเล่น แต่ก็ไปเจอลิงที่มีฤทธิ์มากกว่ายักษ์จึงถูกรุมล้อมไล่ตียักษ์ จนกระทั่งนนทกาลต้องรีบหนีไปฟ้องต่อท้าว อุณาราช
เมื่อท้าวอุณาราช รู้เรื่องก็โกรธจึงจัดกองทัพออกไปเอง ครั้นมาพบกับพระรามก็ทำสงครามกัน แต่จะทำอย่างไรก็ไม่ชนะพระรามได้ ฝ่ายพระรามและพลวานรจะฆ่ายักษ์ อุณาราชด้วยวิธีไหนๆก็ไม่ตาย จึงร้อนถึงพระฤษีโคศก ผู้ที่พระอิศวรสั่งความลับไว้ให้บอกกับพระรามเพื่อจะได้ปราบยักษ์อุณาราช
ได้สำเร็จ พระฤษีจึงต้องกำบังกายเข้ามาในกองทัพ แล้วจึงนำเอาความลับที่พระอิศวรสั่งเอาไว้บอกกับพระรามโดยเฉพาะฝ่ายพระรามเมื่อรู้ความลับในการปราบยักษ์แล้วจึงมิได้รอช้า รีบไปถอนเอาต้นกกมาทำเป็นลูกศร แผลงออกไปปักอกยักษ์ตรึงไว้กับหลักศิลาได้สำเร็จ เมื่อศรปักอกยักษ์ตอกตรึงไว้กับแท่นหิน ท้าวอุณาราชก็สิ้นฤทธิ์ แต่ก็มิวาที่จะโกรธและอาฆาตต่อไปอีก พระนารายณ์อวตารจึงสาปให้มีไก่แก้วมาเกิดกับนนทรีถือค้อนใหญ่เฝ้าท้าวอุณาราชเอาไว้ถึงแสนโกฏิปี ถ้าหากว่าศรต้นกกนั้นเคลื่อนที่ถอนเขยื้อนยามใดก็ให้ไก่แก้วเนรมิตนั้นขันขึ้นเป็นการบอกสัญญาณให้รู้ แล้วนนทรีก็จะต้องเอาค้อนเหล็กใหญ่ มหึมานั้นมาตอกต้นกกซ้ำลงไปให้แน่นอย่างเดิมอยู่เช่นนั้นตลอดไปและในบริเวณนั้นยังห้ามมิให้ผู้ใด เอาน้ำส้มสายชูเข้าไปเป็นอันขาด เพราะว่าน้ำส้มสายชูนี่แหละ ถ้าราดลงไปที่ต้นกกเมื่อใด ต้นกกนั้นก็จะถอนหลุดออกไป แล้วยักษ์ที่ดุร้ายก็จะเป็นอิสระ
กลับมาอาละวาดได้อีก ยักษ์ตนนี้ ปัจจุบันนี้ยังถูกต้นกกปักตรึงอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งเคยเป็นเมืองนพบุรี ของหนุมานมาตั้งแต่เริ่มต้นและยักษ์ตนนั้นเรียกกันว่า ท้าวกกขนากก็นับได้ว่าพระฤษีโคศกนี้มีคุณต่อชาวโลกมากมาย หากว่าไม่ได้ท่าน พระรามก็ไม่รู้จะปราบยักษ์ได้ด้วยวิธีไหน ก็เพราะว่าฆ่ามันไม่ตาย.....
   พระฤษีโคศกสวมชฎายอดบายศรีลายหนังเสือ พระฤษีผู้บอกพระรามสังหารท้าวอุณาราช

46#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


45.ปู่ฤษีนารายณ์
        พระฤษีนารายณ์พระองค์นี้แหละที่ทุกวงการยอมรับนับถือกัน ดังนั้นไม่ว่าจะทางไสยศาสตร์นาฏศิลป์ ดนตรี หรือหมอนวดแผนโบราณ จะต้องเรียกขานขอประทานพรพระบารมีของท่านอยู่ร่ำไป ส่วนประวัติในความเป็นมาก็มิได้ลึกลับอะไรนัก สาเหตุที่จะเกิดมาเป็นพระฤษีนารายณ์ก็เมื่อครั้งที่พระนารายณ์ได้กระทำเทวฤทธิ์ อวตารลงมาเป็นพระกบิลนั่นเอง ทรงบำเพ็ญตบะอยู่ใต้พิภพ เพื่อจะปราบกุมารทั้งหกหมื่น อาวุธที่ร้ายแรงสำหรับพระฤษีนารายณ์หรือพระกบิลก็คือ ไฟกรดอันแรงกล้า ที่ได้มอดไหม้พระกุมารทั้งหกหมื่นตายจนหมดสิ้นส่วนอิทธิฤทธิ์และบารมีของท่านนั้นมีอยู่มากมาย ไม่ทำลายผู้กระทำความดี มีแต่ช่วยส่งเสริมและช่วยเหลือโดยตลอด ด้วยพระเมตตาปราณีเป็นล้นพ้น ฝูงชนมักจะนิยมกราบไหว้บูชากันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพิธีมงคลใดๆ ก็จะต้องทำการอัญเชิญให้ท่านเสด็จลงมาร่วมพิธีด้วยทุกครั้งไป ก็จะได้เป็นมงคลอันดีงามสำหรับงาน หรือว่ากิจการที่กระทำนั้นให้บังเกิดผลสำเร็จสมความมุ่งหมายทุกประการ.....

47#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


46.พระฤษีวชิระ
***พระฤษีวชิระผู้นี้ท่านมีวิชากบคือ 'เทพมณโท'...

48#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-13 03:53



47.พระฤษีอุศัพเนตร
***พระฤษีอุศัพเนตร ท่านก็เป็นพระฤษียาอีกผู้หนึ่ง..

49#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


48.พระฤษีนาไลย
***พระฤษีนาไลย พระฤษียา ผู้เป็นบรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณอีกผู้หนึ่ง...

50#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 03:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


49.พระฤษีสุกทันต์
***พระฤษีสุกทันต์ หรือพระฤษีฟันขาว เป็นบรมครูแห่งว่านยาไทยอีกผู้หนึ่ง...

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้