ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม ~

[คัดลอกลิงก์]
51#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พอออกพรรษาแล้ว ก็ได้รับจดหมายด่วนบ้าง ธรรมดาบ้าง ซึ่งส่งไปจากประเทศไทยและประเทศพม่า มีใจความในจดหมายว่า ขอให้เรากลับไปเมืองย่างกุ้งด่วน เพราะเจ้าแม่สุทันตะจันทเทวีได้รับเงินเดือนแล้ว ดีอกดีใจ ลูกชายลูกสาวของท่านได้ชักชวนเพื่อนฝูงจะสร้างวัดถวายที่เมืองย่างกุ้ง ขอให้มารีบจัดการ เมื่อได้ทราบ ดังนั้นจึงได้รีบเดินทางกลับเมืองกัลกัตตา เมื่อมาถึงแล้วได้เตรียมวีซ่าพาสปอร์ตกลับมาเมืองย่างกุ้ง วันที่ไปถึง คณะกรรมการสร้างวัดได้พากันไปรับที่สนามบิน แล้วก็พาไปวังเจ้าแม่ในวันนั้น ณ ที่นั้นมีกรรมการนั่งประชุมกันอยู่ประมาณ ๓๐ กว่าคน คณะกรรมการประกอบด้วย เจ้านาย ข้าราชการ พ่อค้าคหบดี ได้มาประชุมหารือกัน จะซื้อที่ดินถวายให้สร้างวัด ที่ดินที่จะซื้อมีลักษณะเป็นเนินเขาดินสูงๆ มีเนื้อที่ประมาณ เก้า เอเคอร์ เจ้าของจะขายในราคาราว ๓ หมื่นรูปี เมื่อได้ทราบโครงการย่อๆ แล้ว ก็ได้กลับไปพักอยู่ที่พระเจดีย์ตามเคย

ต่อมาได้นำเรื่องความนี้ไปหารือเอกอัครราชทูตไทย ตอนนั้น พระมหิทธาฯ ได้ย้ายไปประจำประเทศอื่นแล้ว คงเหลืออยู่แต่ ม.ล.ปีกทิพย์ มาลากุล ดำรงตำแหน่งแทน จึงได้นำเรื่องนี้มาหารือ ท่านกล่าวว่า เรื่องเช่นนี้ถ้าทำเป็นทางราชการได้จะดีมาก ทางทูตจะได้ช่วยเหลือได้เต็มที่ ความเห็นทางฝ่ายคณะกรรมการก็อยากให้ทางไทยได้ช่วยเหลือ เพราะมีความประสงค์จะสร้างวัดให้เป็นแบบไทยทุกอย่าง ประธานกรรรมการเป็นคนแก่อายุมาก เป็นที่เกรงขามของคนในสมัยก่อน เพระในอดีตเคยเป็นนักการเมืองสำคัญคนหนึ่งของพม่า อายุประมาณ ๗๐ ปี เป็นอาจารย์ของตะขิ่นนุ นายกรัฐมนตรีของพม่า (ในสมัยนั้น- ผู้พิมพ์) ในเรื่องนี้เราเองก็นึกว่าคงสำเร็จ ได้ไปติดต่อกับคนไทยซึ่งอยู่ในเมืองย่างกุ้งหลายสิบคน ต่างคนต่างพากันดีใจ

อยู่ต่อมาไม่นานก็ได้รับจดหมายจากกรุงเทพฯ บ่อยๆ ได้ทราบข่าวเรื่องไม่ดีบางเรื่องเกี่ยวถึงนายบุญช่วย ศุภสีห์ จึงได้คิดกลับประเทศไทยเพื่อที่จะได้มาติดต่อกับคณะรัฐบาลไทยและคณะสงฆ์ไทยให้ทราบเรื่องด้วย

เดือนธ.ค.พ.ศ.2494 ได้โดยสารเครื่องบินจากสนามบินย่างกุ้งถึงกรุงเทพฯ ตอนนี้พระที่ได้ติดตามไปได้กลับมาก่อนหลายวันได้มาพักอยู่กับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ที่วัดบรมนิวาส และได้นำเรื่องการสร้างวัดที่เมืองย่างกุ้งกราบเรียนสมเด็จฯ สมเด็จฯ ได้ตรึกตรองอยู่เป็นเวลาหลายวัน เกือบๆ จะได้รับอนุญาตให้ไปประเทศพม่าอีก ก็เผอิญมีเรื่องบางอย่างแทรกซึมเข้ามา คือมีพระสงฆ์บางรูปเมื่อได้ทราบข่าวว่าจะตั้งวัดขึ้นในเมืองย่างกุ้ง ก็ได้แสดงตัวติดต่อเป็นเจ้ากี้เจ้าการ เขาแสดงความหมายว่า พระอาจารย์ลีทำไม่สำเร็จนอกจากเขา เรื่องนี้ทางเมืองย่างกุ้งได้มีจดหมายมาบอกข่าวอย่างนี้ เขาจะรู้ได้อย่างไรไม่ทราบ พระองค์ที่แสดงตัวเป็นเจ้ากี้เจ้าการนี้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ทรงสมณศักดิ์ ซึ่งอยู่ในพระนครนี้เอง เมื่อได้รับทราบเรื่องราวเช่นนี้เราก็ปล่อยมือ ไม่เกี่ยวข้อง โดยได้มีจดหมายไปถึงเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศพม่าขอถอนเรื่องนี้ ในที่สุดเรื่องนี้เป็นอันยุติไป จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่เห็นมีใครไปก่อสร้างขึ้น

เมื่อเหตุการณ์ได้เป็นไปดังที่กล่าวมาแล้ว จึงได้ออกเดินทางจากวัดบรมนิวาส กลับไปเยี่ยมญาติโยมที่ จ.จันทบุรี ระหว่างนี้ได้มีคนบางจำพวกซึ่งอิจฉาริษยาพยาบาทเรา ได้หาเรื่องทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณทุกวิถีทาง มีอยู่มากมายหลายคน แต่จักไม่ขอกล่าวชี้ตัว เพราะถือเสียว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ช่วยสร้างความดีให้แก่เราๆ ยิ่งมีมานะสูงขึ้นทุกทีๆ อยู่มาจวนจะเข้าพรรษาก็ได้เดินทางจาก จ.จันทบุรี กลับมาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาสตามเคย แล้วได้เดินทางไปอบรมญาติโยมที่วัดเสน่หา จ.นครปฐม ต่อจากนั้นได้ไปพักอยู่ที่วัดประชุมนารี จ.ราชบุรี ที่วัดนี้มีเจ้าจอมทรัพย์วัฒนาเป็นประธาน ได้ไปนิมนต์มา ได้ไปพักอยู่ที่วัดนี้หลายวัน ได้มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง
52#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เช้าวันหนึ่งมีหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๐ ปี เข้ามานั่งอยู่หน้าธรรมาสน์สักครู่หนึ่งก็เกิดอาการชัก จึงได้ทำน้ำมนต์รดให้ ไล่เลียงถามดูได้ความว่ามีปีศาจตนหนึ่งเป็นผู้ชายได้ถูกฆ่าตายโหง ได้อาศัยอยู่ในบริเวณนี้แล้วได้เข้าสิงคน จนเกิดมีโรคขึ้นในตัว เป็นปุ่มแผลโตเท่านิ้วหัวแม่มือ พอทราบเรื่องราวอย่างนี้ เราก็ไม่มียาอะไร เวลานั้นกำลังนั่งฉันหมากอยู่ จึงเอาชานหมากขว้างไปให้เขากิน อาการที่เป็นปุ่มแผลในตัวหายไป ได้ปรากฏเหตุการณ์อย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง และมีคนเห็นอยู่หลายคนด้วยกัน

อยู่มาวันหนึ่งจวนๆ จะออกเดินทาง มีหญิงคนหนึ่งชื่อนางสมร หลานสาวนางเง็กที่อยู่กรุงเทพฯ เคยบวชเป็นชี สึกออกไปมีสามีอยู่ที่ราชบุรี อายุประมาณ ๔๐ ปี สามีเป็นอดีตผู้พิพากษา มีบุตรชาย ๑ คน อายุ ๑๕ ปี คนๆ นี้ นับถือเรามาก ไปคราวไหนก็ไปหาทุกที วันนั้นเวลาประมาณห้าโมงเย็น นางสมรได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปถวาย จึงได้พูดถามขึ้นคำหนึ่งว่า แม่สมรต้องการอะไร เขาตอบว่า จะมาขอลูกจากหลวงพ่อ

เจ้าของเองได้ยินแล้วรู้สึกใจไม่ค่อยดี เพราะมีคนน้อยและแกก็พูดเบาๆ เสียด้วย เลยพูดออกมาว่า อย่าเพิ่งพูดกัน เพราะนึกคิดไปถึงเหตุการณ์ข้างหน้าว่า ถ้าเกิดมีความจริงขึ้นเราก็แย่ ฉะนั้น เรื่องนี้จึงขอเปิดเผยความจริงให้ทราบทั่วกันว่าเป็นอย่างไร

ถึงเวลาประมาณ ๑ ทุ่มเศษ ได้มีญาติโยมมาประชุมกันบนศาลาประมาณร้อยคนเศษ แม่สมรมานั่งอยู่ใกล้ๆ ข้างธรรมาสน์ พอให้ศีลแสดงธรรมะอบรมจิตใจเพื่อสร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมีแล้ว แม่สมรก็พูดขึ้นดังๆ ว่า อะไรๆ ฉันไม่อยากได้ทั้งนั้น ฉันอยากได้แต่ลูก จะขอลูกจากหลวงพ่อ เราจึงพูดกับแกว่า ไม่เป็นไร หลวงพ่อจะให้ ที่ตอบดังนี้เพราะเคยทราบเรื่องในพระสูตรอยู่บ้าง จึงได้พูดเป็นทีเล่นๆ ว่า ขอให้ตั้งใจ ทำจิตให้ดีในวันนี้ ฉันจะอธิษฐานอาราธนาให้เทวดาเอาลูกมาให้ เมื่อแกนั่งสมาธิเสร็จแล้ว แกก็บอกว่า รู้สึกสบายใจ ดีใจ เคยนั่งหลายหน ไม่เหมือนวันนี้ จึงบอกว่า นั่นจะสำเร็จละ

พอวันรุ่งขึ้น ได้ออกเดินทาง จ.ราชบุรี โดยทางรถไฟไป จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขุนทัศนวิภาคเป็นศิษย์ติดตามไป ได้ไปพักอยู่ที่ป่าช้าข้างสถานีปราณบุรีฯ ๑ คืน ตื่นเช้าให้ขุนทัศน์ฯ ไปติดต่อซื้อตั๋วรถไฟ ขุนทัศน์ฯ มีเงินอยู่ ๑๒๐ บาท สมัยหลังสงครามใช้ธนบัตรที่พิมพ์จากอเมริกาใบละ ๑๐๐ บาท และใบละ ๒๐ บาทเหมือนกัน ได้ตั๋วมาแล้วใบละ ๑๐๐ บาทหายไป เพราะเข้าใจว่าใบละ ๑๐๐ บาทเป็นใบละ ๒๐ บาท จึงได้ส่งให้คนขายตั๋วไป ขุนทัศน์ฯ จะกลับไปที่สถานีอีกเพื่อทวงคืน แต่ได้พูดห้ามว่า เราโง่อย่าไป อายเขา ขุนทัศน์ฯ มีความเสียใจคิดอยากจะกลับบ้าน จึงได้พูดปลอบใจไว้ ป่าช้าที่พักนี้อยู่บนเนินสูง เป็นป่าเขาดิน เขาว่าที่นั่นคนอยู่ไม่ได้ ผีดุ ได้พักอยู่หนึ่งคืน ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์อันใด
53#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต่อจากนั้นได้เดินทางโดยรถไฟจนถึง จ.สุราษฏร์ธานี ไปพักอยู่ที่เนินดินเขาสูง ข้างสถานีสุราษฏร์ธานี ตกเวลาค่ำได้มีคนมาสนทนาด้วย ได้พบคนสำคัญสองคน คือ นายพ่วงและนายผาด ได้เข้ามาหาแล้วเปิดเผยความลับให้ฟังว่า บ้านผมอยู่ จ.นครปฐม แต่ก่อนเคยเป็นคนร้ายชั้นเสือ เคยฆ่าคนตายหลายศพ ครั้งสุดท้ายได้ฆ่ายายแก่คนหนึ่งตายคาที่ เพราะมีคนบอกว่ามีเงิน ๔,๐๐๐ อยู่ใต้หมอน จึงได้ลอบขึ้นไปฟันคอยายแก่ ค้นใต้หมอนได้เพียง ๔๐ บาท ตั้งแต่วันนั้นมาก็เสียใจ คิดเลิกทำการโจรกรรม ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกเสียวลูกปืน ขอให้หลวงพ่อช่วยหาเครื่องป้องกันภัยให้ด้วย จึงพูดว่า ถ้าโยมเว้นได้จริงจะให้ของดี จะไม่ให้ตายด้วยปืน แกก็ปฏิญาณสาบานว่า ผมเลิกแน่ จึงได้ให้คาถาให้แกภาวนาประจำตัว

พอวันรุ่งขึ้นแกมาหาอีก แล้วเล่าว่าเวลานี้น้องชายกำลังต่อสู้กับตำรวจอยู่ที่อำเภอ นอกเขตจังหวัด มีพรรคพวกเก้าคน ที่ตำรวจจับตัวไว้ได้ก็มี แต่ขณะนี้ยังจับตัวน้องชายไม่ได้ เรื่องนี้เกรงจะเกี่ยวพันมาถึงตัวด้วย จะให้ทำอย่างไรดี จึงได้แนะนำว่าให้โยมรีบไปแจ้งความที่สถานีตำรวจด่วน แล้วให้นำเจ้าที่ตำรวจออกติดตาม แกได้ปฏิบัติตามคำแนะนำทุกอย่าง ต่อมาวันหลังปรากฏว่าพวกปล้นได้ยอมจำนนแก่ตำรวจทั้งหมด นายพ่วงเป็นผู้ประกันตัวน้องชายออกมาได้ ในที่สุดเมื่อคดีถึงศาลพวกปล้นรับสารภาพหมดทุกคน ศาลตัดสินให้จำคุก แต่เพราะรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง

การที่มาพักที่นี่ไม่สู้สบายใจนัก เพราะมักจะมีคนไม่ดีมาติดต่ออยู่เสมอ ที่ทำไปล้วนแต่เป็นเรื่องดี ถึงกระนั้นก็ยังหวาดว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าเราช่วยโจร จึงได้รีบเดินทางต่อไปยัง อ.ทุ่งสง แล้วไปนมัสการพระบรมธาตุเจดีย์ที่ จ.นครศรีธรรมราช ตอนนี้ขุนทัศน์ฯ ได้ขอลากลับกรุงเทพฯ เขาได้ซื้อตั๋วรถไฟให้แล้วส่งขึ้นรถไฟให้เดินทางไปคนเดียว ตอนเย็นได้เดินทางไปถึงองค์พระเจดีย์ จ.นครศรีธรรมราช ได้พักอยู่ในวัดพระมหาธาตุ มีคนเลื่อมใสในการปฏิบัติ พระองค์หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกันและอยู่ที่วัดนี้ก็สนใจ จึงได้อยู่อบรมญาติโยมพระเณรพอสมควร แล้วได้ออกเดินทางไปยัง จ.สงขลา เมื่อถึง อ.หาดใหญ่ ได้พักอยู่ที่ป่าช้าปักกริม ซึ่งเป็นที่รกรุงรังและ เงียบสงัด พักอยู่ไม่กี่วัน พระมหาแก้วเพื่อนของเราได้มาติดตาม พบกันตรงนั้น ได้พักอยู่พอสมควรแล้วก็ได้ออกเดินทางวิเวกไปตามตำบลต่างๆ

ในปีนี้ได้อยู่จำพรรษาที่วัดควนมีด ได้ทำการอบรมพระเณรญาติโยมทางจิตใจแทบทุกคืน มีการแสดงธรรมะเกือบทุกคืน เมื่อทอดกฐินเสร็จออกพรรษาแล้ว ได้เดินทางกลับมาพักที่เขาควนจง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ใกล้คลองเรียน อยู่มาวันหนึ่งได้เห็นญาติโยมไหลหลั่งกันมามากมายเป็นเวลาหลายวันจึงได้สอบถามดูได้ความว่า เขาจะมาดูงูใหญ่รัดผู้หญิงที่เขาควนจง เขาลือกันว่ามีงูใหญ่หงอนแดง รัดผู้หญิงไว้บนยอดเขาไม่ถึงเวลาไม่ยอมปล่อย เมื่อชาวบ้านได้ทราบข่าวนี้ จึงพากันแตกตื่นมาดูพลุกพล่านอยู่บริเวณใกล้ที่เราพักอยู่ แต่ในหมู่บ้านที่เราไปพักอยู่ไม่ปรากฏว่ามีใครได้ยินข่าวนี้ เป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างยิ่ง พักอยู่ที่นี้พอสมควรแล้วได้ออกเดินทางไปพักบ้านทุ่งโพธิ์ ตลาดคลองแงะและอำเภอสะเดา เวลานั้นผู้บังคับกองสถานีตำรวจอำเภอสะเดาถูกโจรจีนยิงตาย เนื่องในการต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์ ขณะที่ไปพักอยู่นั้น ตอนกลางวันมีคนมาหามาก แต่พอค่ำลงก็รีบพากันกลับ เขาบอกว่ากลัวพวกคอมมิวนิสต์มาปล้น จึงได้พูดว่า ขอให้โยมพากันมาฟังเทศน์เถอะ รับรองว่าคืนนี้ไม่มี พอตกค่ำเวลาประมาณสองทุ่ม มีคนมาเต็มโบสถ์ จึงได้เทศน์อบรมญาติโยม
54#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วันหลังก็กลับไปป่าช้าปักกริม อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่เคยพักมาก่อน เมื่อกลับมาพักครั้งนี้ชาวอำเภอหาดใหญ่พากันมาอบรมศีลธรรมจิตใจ และฟังเทศน์ทุกคืน

ต่อจากนี้ได้เดินทางกลับมา จ.นครศรีธรรมราช ได้แวะเยี่ยมสำนักปฏิบัติที่อำเภอร่อนพิบูล แล้วเดินทางต่อไปพักที่อำเภอทุ่งสง นายสังเวชเสมียนแผนกศึกษาธิการได้เป็นศิษย์ติดตามมาด้วยได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำทะลุมาพอสมควรแล้ว ออกเดินทางต่อไป จ.ชุมพร จับรถไฟจาก จ.ชุมพร ถึง จ.เพชรบุรี ถึงตอนนี้ได้ทราบว่าสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ได้มีจดหมายติดตามให้กลับจึงได้เดินทางต่อไปยังราชบุรี พักทีวัดประชุมนารี หลวงอรรถฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และนายอำเภอเมืองได้ไปตามตัวให้กลับกรุงเทพฯ เพราะสมเด็จฯ วัดบรมนิวาส ต้องการพบ ระหว่างที่พักอยู่ที่วัดประชุมนารี ได้มีพระองค์หนึ่งถูกจับ มาพักอยู่ที่เขาแก่นจันทร์ มีหญิงนุ่มขาวห่มขาว ๔-๕ คน ทราบว่ามาจากบ้านโป่ง เขาอยากมาพบเราแต่ไม่กล้าขึ้นมาหา เพราะพระกำลังมีคดี ไม่ใช่เรื่องของตัวแต่น่าเล่า คือเขาเล่าว่าพระองค์นั้นนั่งเทศน์มาก ภาวนามาก เมื่อยขา ขอให้ชีนวดให้ ชีก็นวดให้จริงๆ เลยเกิดเหตุ สืบสวนดูแล้วเป็นพระไม่มีใบสุทธิ ทราบว่าทางการได้จับสึกไป

ระหว่างที่พักอยู่ที่ราชบุรี แม่สมรได้ออกมาหาแล้วบอกว่า ฉันตั้งครรภ์ได้สองเดือนกว่าแล้วหลวงพ่อ เขาพูดต่อไปว่า ขอถวายลูกแก่หลวงพ่อเดี๋ยวนี้เพราะเป็นลูกหลวงพ่อ ไม่ใช่ลูกคุณหลวง สังเกตว่าเขาพูดจริงๆ จังๆ แต่เราเฉย แต่แปลกใจว่าไม่เคยมีบุตรถึงสิบห้าปีแล้ว (แม่สมร) แล้วทำไมเป็นได้อย่างนั้น ต่อจากนั้นได้เดินทางกลับพระนครพักที่วัดบรมนิวาส พอดีสมเด็จฯ อาพาธ จึงได้พยาบาลท่านพอสมควร

ระหว่างที่พักอยู่ที่วัดบรมนิวาสนี้ ได้มีผู้มาฝึกสมาธิกันมาก มีพวกธนบุรี พระนคร และลพบุรี วันหนึ่งปรากฏเหตุการณ์แปลก มีหญิงคนหนึ่ง ชื่อแม่ขอม คนลพบุรี ได้นำเอาพระธาตุมาถวายสามองค์ จึงได้ถามแกว่า เอามาจากไหน ได้รับตอบว่า ได้อาราธนาขอจากพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนหัวนอนของท่านพ่อนั้นเอง

พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระได้มาจากเชียงตุง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นพระของนายอุดมฯ มีเหตุการณ์แปลกประหลาดหลายอย่างเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ ตามที่นายอุดมฯ ได้เล่าให้ฟัง

ตอนนี้จะขอย้อนกล่าวถึงประวัติพระพุทธรูปองค์นี้ แต่เดิมมานายอุดมฯเป็นคนไม่เชื่อพระ เป็นข้าราชการทำงานแผนกสื่อสารเกี่ยวกับวิทยุ ครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่สองได้ติดตามกองทัพไทยไปเมืองเชียงตุง มีพลโทประพันธ์เป็นแม่ทัพ วันหนึ่งนายอุดมฯ ได้ไปพักอยู่ที่วัดเก่าแก่หนึ่งกับพวกพลทหาร เวลาค่ำได้เอนหลังลงนอนยังไม่ทันหลับก็ได้เห็นแสงสว่างพุ่งจากหัวนอน นายอุดมฯจึงได้รีบลุกขึ้นตรวจดูว่ามีอะไร ธรรมดาวิสัยของนายอุดมฯขณะนั้นถึงจะได้อยู่ใกล้พระก็ไม่เคยกราบไหว้ วันนั้นเกิดแปลกประหลาดขึ้นในใจ ก็ยืดคอดูบนแท่นพระได้เห็นพระพุทธรูปสำริดสีดำองค์หนึ่งสูงหนึ่งคืบเศษ หน้าตักกว้างประมาณสามนิ้วเศษดำใสเป็นเงาเหมือนมีคนขัดทุกวัน เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบฉวยพระพุทธรูปองค์นั้นใส่กระเป๋า ตั้งแต่นายอุดมฯ ได้พระองค์นี้ไว้ ฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก มีคนนิยมช่วยเหลือ ชักจะเป็นผู้มีเงินใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย คือได้เงินจากชาวบ้านในถิ่นนั้นๆ เอง

ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้สงบลง นายอุดมฯ ได้เดินทางกลับ ได้มาพักอยู่ริมฝั่งแม่จัน ในคืนวันนั้นพระพุทธรูปองค์นี้ได้เข้าฝัน บอกกับนายอุดมฯ ว่า อ้ายดมมึงจะเอากูข้ามไป กูไม่ไปกับมึง นายอุดมฯ ก็ไม่สนใจ คิดว่าพระโลหะจะมีอำนาจอะไร ในที่สุดได้นำพระพุทธรูปองค์นั้นกลับไป จ.จันทบุรี ตัวเองได้ลาออกจากราชการ ไปทำการค้าขาย ในระหว่างนี้หน้านายอุดมฯ ดำลง ผอมลง ฐานะก็ฝืดเคืองลงทุกที
55#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อยู่มาวันหนึ่งลูกเมียเกิดเจ็บป่วยไปตามๆ กัน รักษาอย่างไรก็ไม่หาย หลวงพ่อได้มาเข้าฝันอีก กูไม่ยินดีอยู่กับมึง มึงต้องเอากูไปส่งที่เก่าของกู พอดีปีนั้นเราได้ออกธุดงค์ไป จ.ปราจีนบุรี พักอยู่ที่เขาฉกรรจ์ ประมาณเดือนเมษายนได้ออกเดินทางข้ามดงทะลุ ถึง จ.จันทบุรี นายอุดมฯ ทราบข่าววิ่งไปหาและพูดว่า ผมแย่หลวงพ่อ ลูกเมียเจ็บ ยากจน พระพุทธรูปเข้าฝันว่าให้นำกลับไปส่งที่เดิม จะให้ผมทำอย่างไรดี จึงตอบว่า หลวงพ่อท่านอยู่ป่า ชอบวิเวก เอามาไว้กับเราก็ได้ นายอุดมฯ จึงนำพระพุทธรูปองค์นั้นมาให้ไว้ แต่จะฝากหรือถวายไม่ทราบชัด ก็ได้เก็บไว้บูชาตามธรรมดา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาการป่วยของลูกเมียนายอุดมฯ ก็หายหมด และนายอุดมฯ ได้เดินทางมาอยู่ จ.พระนครปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ยังมีแปลกประหลาดอีกหลายอย่างแต่ขอเล่าย่อๆ ไว้เพียงเท่านี้ก่อน

ต่อมาก็นึกสงสัยในเรื่องพระบรมธาตุว่าเป็นมาได้อย่างไร เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่เคยสนใจมาเลยตั้งแต่บวช แต่ก็ได้รับไว้จากแม่ขอมและเก็บไว้บูชา

กาลต่อมาได้ทราบว่าแม่ขอมได้พระบรมธาตุอีก แต่พระพุทธรูปองค์นี้เวลานั้นได้นำมาฝากไว้ที่วัดบรมนิวาส กุฏิรามแข ส่วนเราได้กราบลาสมเด็จฯ เดินทางไป จ.ลพบุรี ปีนั้นได้ทำงานวิสาขบูชาที่วัดมณีชลขันธ์ ในวันพฤหัสบดีกลางเดือนหก ในวันนั้นได้คิดขึ้นในใจว่า พระบรมธาตุนี้ถ้าไม่ได้เห็นกับตาไม่ยอมเชื่อ เพราะจะจริงหรือไม่จริงก็ยังไม่ทราบ

ต่อจากนั้นรู้สึกว่าท่านสนใจนั่งสมาธิได้นานๆ บางวันนั่งได้ตั้งสองชั่วโมง ขณะที่ท่านนั่งท่านก็ให้เราพูดธรรมะให้ฟังประกอบไปด้วย เมื่อจิตของท่านได้ตั้งสงบดีแล้ว เราพูดธรรมะถวายพระเดชพระคุณท่าน รู้สึกจิตของท่านเป็นไปตามคำพูดของเรา วันหนึ่งท่านได้พูดขึ้นว่า เราได้บวชมาเป็นเวลานาน ไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้เลย

หลังจากนี้ เราไม่เคยพูดธรรมะให้ท่านฟังยืดยาวอย่างนี้อีกเลย พอเอ่ยขึ้นเพียงสองสามคำ ท่านก็รู้ในความหมาย ส่วนตัวเราก็ดีใจ วันหนึ่งท่านได้กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า นักศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะ ต่างมาติดข้องกันอยู่แค่ความคิดเห็นนี้เอง จึงไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ถ้าทุกคนมีความคิดเห็นถูกต้อง การปฏิบัตินั้นเป็นเหตุไม่เหลือวิสัย

ในระหว่างที่จำพรรษากับท่าน ก็รู้สึกเบาในใจการที่จะต้องชี้แจงเหตุผล ท่านได้บอกเราว่า แต่ก่อนเราไม่เคยนึกว่า การทำสมาธิเป็นของจำเป็น เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านได้รับสั่งอีกว่า พระเณรก็ดี ญาติโยมก็ดี ประโยชน์ยังไม่พอ ขอให้คุณช่วยหาโอกาสอบรมให้ด้วย

ต่อจากนั้นท่านได้สั่งพระเถระผู้ใหญ่ในวัดให้ทราบความประสงค์จึงได้เกิดมีการอบรมกันขึ้นที่ศาลาอุรุพงษ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้มีญาติโยม พระ เณร หลายวัดมาร่วมรับการอบรมด้วย คุณท้าวสัตยานุรักษ์ก็ได้ออกมาพักอยู่กุฏิเนกขัม ปฏิบัติจิตใจได้ผลดี มีความรู้เกิดในจิตแปลกประหลาด จนกระทั่งยอมเสียชีวิตอยู่ที่วัดบรมนิวาส
56#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พอออกพรรษแล้วได้ลาท่านไปเที่ยวต่างจังหวัด เพราะอาการของสมเด็จฯ ค่อยทุเลาลง กลับมาอยู่วัดบรมฯ ในปีที่สองได้เข้ามาทำวิสาขบูชา ในวันนั้น ได้เข้านั่งในโบสถ์ทำสมาธิ ได้ปรากฏเหตุการณ์อีกคือเห็นพระบรมธาตุเสด็จ เพราะคืนนั้นได้นึกว่า เราตาลูกเล็ก อยากได้ตาโตๆ มองทางไกลๆ ได้ร้อยเส้นพันวา หูเราเล็ก อยากได้หูโตๆ ฟังได้รอบโลก ปากเราเล็ก อยากได้กว้าง เทศน์กัณฑ์เดียวให้ก้องอยู่ห้าวัน ห้าคืน นึกอย่างนี้จึงตั้งใจปฏิบัติตนเองในอาการสามอย่างคือ

๑. ปากใหญ่ คืออย่ากินมาก พูดมาก ในวันสำคัญ

๒. หูอยากโต คือ อย่าไปสนใจฟังเรื่องราวที่ไม่เป็นสาระ ตัดปาก อดข้าว ตัดหู อย่าไปรับรู้อะไรทั้งหมด

๓. ตาโต คืออย่าเห็นแก่นอน

เมื่อนึกอย่างนี้ จึงไม่ยอมนอนในวันวิสาขะ ประมาณตีห้าเศษ ได้พระบรมธาตุหลายองค์ที่โบสถ์วัดบรมนิวาส

ต่อมาได้อยู่จำพรรษากับสมเด็จฯ อีก ปีนี้ญาติโยมแตกตื่นสนใจมากกว่าปีก่อน แต่ปรากฏมีเหตุไม่ดีเข้าแทรก เพราะมีพระบางองค์เกิดอิจฉา คอยหาเรื่องราวตัดรอนทำร้ายให้เสื่อมเสีย แต่ไม่อยากออกนามในทีนี้ ใครอยากทราบรายละเอียดขอให้ติดตามไปถามท้าวสัตยานุรักษ์หรือสมเด็จฯ

วันหนึ่งตอนค่ำหนึ่งทุ่ม มีพระองค์หนึ่งชื่อพระครูปลัดเทียนเข้าไปหาในกฏิ พูดค่อยๆ ว่า อาจารย์อย่าน้อยใจ ผมสนับสนุนอาจารย์ทุกอย่าง ตอบว่า สาธุ มีเรื่องอะไรขอให้ทราบ ไม่เคยคิดน้อยใจเสียใจ ท่านจึงบอกความจริงให้ทราบทุกอย่างว่า เรื่องนี้รู้ถึงสมเด็จฯ แล้ว ถ้าสมเด็จฯ สงสัยคงเรียกตัวมาถาม ถ้าเรียกเมื่อไรให้ไปบอกผม ผมรู้เรื่องของอาจารย์หมดแล้ว ในที่สุดสมเด็จฯ ก็ไม่เคยพูดสักคำ ไม่เคยถามสักอย่าง มีแต่สนทนาธรรมะเป็นนิจ ได้มีบัตรสนเท่ห์เกิดขึ้นมีใจความว่า พระครูธรรมสารชอบแต่งคัมภีร์ พระอาจารย์ลีชอบคุยกับแม่ออก มหาเปรมหัวหงอกอยากเป็นสมภาร หลวงตาปานขี้คุยธรรมะ หนังสือสนเท่ห์ฉบับนี้ พระครูธรรมสารได้ถูกซักไซ้เกือบแย่ คือหาว่า พระครูเป็นคนด่าเรา ในที่สุดเราไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ดูเหตุการณ์ต่างๆ รู้สึกว่าไม่เหมาะสมหลายเรื่อง แต่เราไม่สนใจ

พอออกพรรษาแล้ววันหนึ่ง มหาณรงค์ได้มาเยี่ยมสมเด็จฯ แล้วลงมาขอหลักฐานจากใบสุทธิ เสร็จแล้วไปเรียนสมเด็จฯ ว่าจะขอสมณศักดิ์ให้เป็นพระครู ซึ่งสำนักงานมหามกุฏได้ทาบทามมา สมเด็จฯได้เรียกตัวไปถามว่า เขาว่าอย่างนี้ เราจะว่าอย่างไร จึงตอบว่า เกล้าฯ เป็นพระ ไม่จำเป็น ไม่อยากเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ไหนแต่ไรมา นึกถึงแต่การสร้างความดีให้แก่หมู่คณะเท่านั้น ท่านจึงพูดว่า เราจะตอบเขาเอง ต่อมาท่านได้เล่าคำตอบให้ฟังว่า พระอาจารย์ลีนี้เธอมาอยู่กับเรา เพราะเราเป็นคนเรียกตัวมา เธออยู่ด้วยความเคารพนับถือเรา พวกท่านจะมาตั้งสมณศักดิให้เธอ เราถือว่าจะมาไล่พระอาจารย์ลีนี้หนีไปจากเรา ท่านว่าท่านจะตอบอย่างนี้ เราก็ สาธุ พอใจ ในที่สุดก็ยกเลิกกันไปในปีนั้น
57#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต่อมาออกพรรษา สมเด็จฯ บรรเทาป่วย ก็ได้กราบลาเดินทางออกไปวิเวกอีกตามเคย ปีนี้เป็นปีครบรอบ ๑๐๐ ปี ในการที่ได้สร้างวัดสุปัฏวนาราม จ.อุบลราชธานี สมเด็จฯ ได้รับสั่งว่า งานนี้ให้คุณขึ้นไปช่วยเขา ฉันจะให้พระบรมธาตุที่เธอถวาย ไปเป็นเครื่องระลึกของวัดด้วย พูดแล้วท่านให้ตรวจดูพระบรมธาตุบนที่บูชาซึ่งอยู่เบื้องบนศีรษะท่าน ปรากฏว่ามีพระบรมธาตุเสด็จมาอยู่ในครอบแก้วเป็นจำนวน ๔๐ กว่าองค์ จึงได้ยกมาถวายท่านๆ รับสั่งว่า แปลกๆ ตั้งแต่เราบวชมาไม่เคยปรากฏอย่างนี้ จึงได้คัดเลือกเอาของเราและของคุณไปด้วย เมื่อได้พูดสั่งอย่างนี้ ก็ได้ตั้งใจไปงานฉลองพระคุณท่าน

งานสมโภชวัดสุปัฏฯ ครั้งนี้กลายเป็นงานใหญ่โตขึ้น ทางราชการได้มอบเงินให้ก้อนหนึ่ง เพื่อเป็นการฉลองวัดสุปัฏฯ ครั้งนี้ได้กำหนดการออกเดินทางจาก จ.พระนคร ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ในกำหนดการมี จอมพลผิน ชุณหวัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และพลโทหลวงสวัสดิ์ฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน ก็ได้ร่วมไปในงานนี้

วันหนึ่งได้เดินทางไป จ.ลพบุรี แล้วได้ทราบข่าวมีการเปลี่ยนแปลงวันกำหนดการ จึงได้รีบกลับมา จ.พระนคร เมื่อมาถึงสมเด็จฯ ได้เรียกตัวไปหาว่า เขาเปลี่ยนแปลงกำหนดวันเดินทางแล้ว ให้คุณออกเดินทางไปตามขบวนเขา ฉันจะมอบพระบรมธาตุให้เป็นภาระของตัว ส่วนตัวเองไม่ได้พูดว่าอย่างไร ในที่สุดกลับมาตรองดูเหตุการณ์ที่กุฏิแล้ว เราจะทำตามไม่ได้ จึงได้กราบเรียนท่านว่า เกล้าฯ ไปไม่ได้ เพราะใบกำหนดการซึ่งกระทรวงได้กำหนดขึ้นเป็นตราครุฑว่า วันที่สิบเจ็ด จะตั้งให้ประชาชนเข้าชม มาบัดนี้ล้มโครงการหมด เกล้าฯ แจกใบกำหนดการไปแล้ว วันที่ ๑๗ คงมีคนมามาก เมื่อเกล้าฯ ไปเสียก่อนก็ต้องถูกตำหนิ เหตุนี้เกล้าฯ จึงไม่ไป พระผู้ใหญ่ต่างก็จะไม่ไป คือนายเชาวน์ฯ เป็นคนก่อเหตุ ไม่ได้แจ้งให้คณะสงฆ์ทราบ คือเรื่องมีว่า จอมพลผินฯ ได้ปรารภว่า เราค่อยๆ เดินทางไปพักที่นครราชสีมา เพื่อเปิดโอกาสให้คณะทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และพ่อค้า ประชาชนได้มีโอกาสนมัสการพระบรมธาตุเสียหนึ่งคืนก่อน เหตุนี้กำหนดการจึงผิดไป

ในที่สุด ในกระบวนแรกก็ไม่ได้ไปด้วย เพระท่านสั่งว่า ให้คุณอยู่ ถ้ามีคนมาก็ให้เอาพระบรมธาตุให้ชมที่ศาลาก็แล้วกัน เป็นอันตกลงกันตามท่านสั่ง วันรุ่งขึ้นได้จัดพระบรมธาตุสีมุกดาหารสามองค์โตกว่าเมล็ดผักกาดไปใส่ภาชนะแก้วให้ญาติโยมชมที่ศาลาอุรุพงษ์ คนนั้น คนนี้ก็อยากดูเพราะไม่เคยเห็น พอเปิดสำลีออกเห็นสามองค์ คนนั้นก็แหย่ คนนี้ก็หยิบ เลยหายไปสององค์ เหลือเพียงหนึ่งองค์ พอถึงวันที่สิบแปด ได้ขึ้นรถด่วนไปอุบลราชธานี มีคนติดตามไปรวม ๑๔ คน

พอไปถึงอุบลฯ แล้ว ก็ได้ไปทำพิธีฉลองสมโภชพร้อมทั้งฝังศิลาฤกษ์ ตึกมหาเถระที่จะสร้างขึ้นในวัดสุปัฏฯ อยู่มาคืนหนึ่ง ได้มีปรากฏการณ์ขึ้นในประมาณเวลาสี่ทุ่มเศษ กำลังนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ เวลานั่งหลับตาได้บังเกิดแสงวาบๆ ขึ้นเหมือนแสงนีออน เปิดๆ ดับๆ ทุกคนต่างพากันลืมตาขึ้น ก็ปรากฏว่ามีคนเก็บพระบรมธาตุได้ ๒-๓ คน พอดึกเข้าก็มีปริมาณมากเข้าทุกที มีคนนั่งอยู่ประมาณห้าสิบคน ชักให้เกิดความสงสัยและฉงนสนเท่ห์แก่คนภายในและภายนอกโบสถ์โดยลำดับ เมื่อดึกพอสมควรได้หยุดพัก

รุ่งขึ้นเวลากลางวันก็มีเรื่องอื้อฉาวขึ้นในตลาด ได้มีชายคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเข้าวัดเลยมาเล่าว่า เมื่อคืนฝันเห็นดาวตกที่วัดสุปัฏฯ เยอะแยะ นึกว่าคราวนี้ ถ้ามีสิ่งใดศักดิสิทธิ์ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็ขอจงได้แสดงออกมา
58#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต่อมาตอนเย็นมีนายพิศ ประมงจังหวัด ได้นำเพื่อนครูหญิงคนหนึ่งมาหา ครูคนนั้นได้มาสนทนาสอบถามอย่างโลดโผน และจะขอลาสามีขอติดตามหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อพูดธรรมะเป็นอย่างอัศจรรย์ จึงตัดสินใจว่าจะหนีจากบ้านให้ได้ในคราวนี้ ส่วนสามีของเขาชื่อนายประสงค์ ทำงานอยู่ธนาคารออมสิน จ.อุบลฯ เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ ก็เข้าใจว่าภริยาเป็นคนมีจิตผิดปกติจึงคอยติดตามอยู่เสมอ มีคนมาบอกว่า เขาถือคริสต์แต่ทำไมมานั่งอยู่ในโบสถ์ทั้งผัวทั้งเมีย ครูคนนี้เกิดจิตใจห้าวหาญขึ้นมา ได้เข้ามานั่งใกล้เราประมาณสองศอก ตัวเรานั่งบนเก้าอี้ สามีนั่งห่างไปประมาณห้าหกศอก มีคนนั่งอยู่ด้วยประมาณห้าสิบคน จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า วันนี้ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงช่วยข้าพเจ้า เพราะมีข่าวลือเกี่ยวกับพระบรมธาตุเกิดขึ้นว่า พระอาจารย์ลีมีอุบายหลอกลวงให้หลงเชื่อ พอทราบข่าวอย่างนี้ไม่มีที่พึ่งอันใด นอกจากเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะช่วยได้ หากมิฉะนั้นแล้ว พระพุทธศาสนาจะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม ขณะนั้นมีพระอริยคุณาธาร นั่งอยู่หน้าพระประธาน พระนอกนั้นหนีหมด เพราะเป็นเวลาดึกแล้ว

ต่อจากนั้นได้สั่งให้ทุกคนนั่งเข้าสมาธิ แล้วพูดว่า ถ้าใครไม่เชื่อให้นั่งดูอยู่นิ่งๆ พอสักครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาวนเวียนอยู่รอบๆ ก็ได้บอกโยมทุกคนให้ลืมตา แล้วบอกนายประสงค์สามีครูคนนั้นว่า ลืมตาดูอาตมาๆ จะลุกเดี๋ยวนี้ พูดเสร็จก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยืนสะบัดจีวรและอาสะให้เขาดู ขณะเดียวกันก็นึกถึงเทพยดาให้ช่วย อย่าให้เขาดูหมิ่นศาสนาของเขาได้ แล้วพูดดังๆ ว่า โยมพระบรมธาตุเสด็จ คนที่นั่งตรงหน้าฉันนี่จะได้พระธาตุ แต่เมื่อลืมตาแล้วอย่าไหวตัว ฉันเองก็ไม่ไหวตัว พูดเสร็จได้ยินเสียงวัตถุชิ้นหนึ่งตกลงบนพื้นโบสถ์ มีโยมหญิงคนหนึ่งลุกขึ้นจะตะครุบ เมื่อตะครุบก็วิ่งหลุดจากง่ามมือมาใกล้ที่นั่งเรา มีคนอีกคนหนึ่งวิ่งตามมา เราจึงร้องห้ามไว้ ต่อมาวัตถุนั้นได้แล่นไหวตัวไปตรงหน้าหญิงที่เป็นครูจึงพูดว่า ของคุณ นายประสงค์ดูให้ดี ครูคนนั้นหยิบวัตถุนั้นขึ้นมา เป็นหัวแหวนสวยงาม สิ่งนั้นคือเครื่องสักการะพระบรมธาตุ ครูคนนั้นบางคราวก็หลับตา บางคราวก็ลืมตา แต่เขาพูดว่า หลวงพ่อพาฉันไปนั่งบนยอดเขา ฉันเห็นแต่โครงกระดูกของฉันเอง แต่ฉันอยู่ได้อย่างไร ได้เงินเดือนๆ ละ ห้าร้อยบาท ไม่มีสุขเหมือนนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ แกได้พูดแปลกๆ ขึ้นทุกที ในที่สุดคืนวันนั้น มีคนได้พระบรมธาตุไม่ต่ำกว่าสิบคน ทุกคนลืมตาดูในที่สว่างทั้งหมด เมื่อสว่างเช้ามืดมีนายแพได้กำเอาพระบรมธาตุมาถวายอีกหนึ่งชุด เขาบอกว่าได้มาเมื่อคืนนี้ สิ่งเหล่านี้ได้มอบไว้เป็นสมบัติของวัดสุปัฏฯ งานคราวนี้มีห้าวันห้าคืน

วันหนึ่งเป็นวันถวายผ้าไตรแก่พระที่ไปงาน คนในเมืองอุบลฯ ที่ยังสงสัยเราอยู่มีหลายคน แต่เขาไม่พูด คนที่เปิดเผยคือ แม่ทองม้วน เซียสกุล แกอธิษฐานว่า ถ้าอาจารย์องค์นี้ปฏิบัติดีจริง ขอให้ผ้าไตรของแกตกเป็นพระอาจารย์องค์นี้ เมื่อทำการจับฉลากแล้ว ผลปรากฏว่าผ้าไตรของนางทองม้วนฯ ได้ตกแก่เราจริงๆ

พองานนี้เสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ได้เที่ยวจารึกไปในสถานที่ต่างๆ ถึงเวลาเข้าพรรษาก็ได้มาเฝ้าสมเด็จฯ อีกตามเคย พรรษานี้อาการอาพาธของสมเด็จฯ หนักมากขึ้น การนั่งสมาธิมีน้อยมีแต่นอนทำ ต่อมาออกพรรษาแล้วสมเด็จฯ ก็มรณภาพ
59#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในระหว่างพรรษา สมเด็จฯ อาพาธมาก หืดกำเริบนอนไม่หลับ วันหนึ่งเวลาประมาณตีสองได้ให้พระมาตามเรา พระเณรวุ่นวายไปตามๆ กัน ท่านสั่งให้ไปรับหมอมาด่วน เจ้าคุณสุเมธีฯ ให้พระไปตามโดยทันที ให้เรามาพูดกับสมเด็จฯ เพราะพระองค์อื่นพูดไม่เชื่อ เพราะเป็นเวลาดึกจะไปตามหมออย่างไร จึงได้ขึ้นไปถามดูว่า วันนี้พระเดชพระคุณฉันยากี่เม็ด กี่เวลา ยาอะไร ท่านรับสั่งว่า มีอาการหายใจไม่ออก ได้คลำดูตามตัวปรากฏว่าร้อนผ่าว จึงจับได้ข้อหนึ่งว่าท่านฉันยาเกินไปหนึ่งเม็ด หมอสั่งให้ฉันเวลาละหนึ่งเม็ด ท่านขี้เกียจฉันสองหน เลยฉันรวมทีเดียวสองเม็ด อาการก็จุกแน่น หายใจไม่ออก เราจับเหตุนี้ได้ เรียนถวายว่า อาการอย่างนี้เคยพบผ่านมา ไม่เป็นไร อีกประมาณสิบห้านาทีจะสงบ สักครู่ท่านก็หลับตาทำสมาธิ พระเณรเฝ้าอยู่หลายองค์ ท่านรับสั่งว่า สบายดีแล้ว ไม่ต้องตามหมอ

ต่อมาอีกหลายวันโรคเกิดกำเริบอีก ตอนนี้ออกพรรษาแล้วอาการป่วยหนักขึ้นมีอากาศเย็น เป็นเวลาฤดูหนาว วันหนึ่งตอนเช้าท่านให้เณรไปตาม เรากำลังมีแขก เณรมาบอก ท่านถามเณรว่า อาจารย์ลีอยู่ไหม เณรตอบว่า อยู่ ถ้าอยู่ไม่ต้องมา เราสบาย ถ้าไปนอกวัด ให้ไปตามมา

ต่อมาบ่ายประมาณห้าโมงเย็น ให้เณรไปดูอีก แต่เณรไม่ได้บอกเราเพราะกำลังนั่งสมาธิ เณรมานมัสการว่า ท่านอาจารย์ลีอยู่ ต่อมาครู่เดียวเวลาประมาณหกโมงเย็น เณรมาตามอีก ตอนนี้เราจึงรีบขึ้นไป เมื่อขึ้นไปพบแล้ว ท่านก็ได้รับสั่งอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับวัด พอเสร็จการพูดสนทนาท่านก็เงียบ เราลงไปพักสักครู่เดียวก็เกิดเอะอะกันขึ้นอีกจึงรีบขึ้นไป มีพระปฏิบัติหนึ่ง เจ้าคุณธรรมปิฏกหนึ่ง มองดูอาการเห็นจะไม่ไหว พระเณรต่างพากันแตกตื่น หมอก็วุ่นวาย ในที่สุดดูอาการป่วยของท่านเห็นว่าหมดหวัง จึงพูดห้ามหมอ อย่ายุ่ง คือหมอเอามือล้วงคอเอาเสลดออก แต่ไม่เกิดผล จึงห้ามให้หมอหยุด สักครู่ก็สิ้นลมหายใจ เมื่อได้ชำระศพเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างหารือกัน วันรุ่งขึ้นเตรียมการสรงน้ำ

ต่อมาคณะกรรมการสงฆ์ได้ทำบุญถวาย คณะกรรมการสงฆ์ได้มอบให้เราเป็นเจ้าหน้าที่โรงครัว ก็รับปากกับคณะสงฆ์ มีคุณนายตุ่น โกศัลยวิทย์ เป็นผู้ช่วย ในระหว่างเจ็ดวันแรก ไม่มีการเบิกจ่ายเงินจากกองกลางเลย มีแต่คนช่วย ทำบุญอยู่ถึง ๕๐ วัน ในระหว่าง ๕๐ วันนี้ได้เบิกเงินกองกลางมาจ่ายบ้าง เมื่อทำบุญครบแล้วนึกว่าเราจะต้องไปวิเวกพักผ่อนบ้าง จึงได้ออกเดินทางไปลำปางในวันที่ ๑๐ เมษายน เนื่องในงานผูกพันธสีมาวัดสำราญนิวาส แล้วได้ไปทำบุญอยู่เป็นเวลาหลายวัน

เสร็จจากงานนี้แล้วได้เข้าไปพักในถ้ำพระสบาย โรคกระเพาะเกิดกำเริบ มีอาการถ่ายท้อง ปวดท้องเป็นกำลัง มีข่าวลือว่าหลวงพ่อแย่ วันหนึ่งได้เข้านอนในข้างในเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งจุกอยู่ปากถ้ำสูงประมาณสิบวา จึงเกิดความคิดว่าอยากสร้างเจดีย์ในถ้ำนี้ ได้ร้องสั่งญาติโยมผลักก้อนหินก้อนนี้ให้หลุดออกจากปากถ้ำ หินก็หลุดจริงๆ ช่วยกันขุดหลุม ตีต่อยหิน จนถึงเวลาประมาณบ่ายโมง มีรถยนต์จากลำปางไปรับว่ามารับไปโรงพยาบาล แต่เราหายแล้วไม่รู้ตัว ได้บอกเขาว่าจะสร้างพระเจดีย์ก่อนจะกลับจากถ้ำนี้ ได้ยืนหน้าถ้ำมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีทิวป่า เขียวชอุ่ม เมื่อเห็นต้นไม้เขียวสดดีก็นึกถึงต้นโพธิว่า ถ้าได้มาปลูกสักสามต้นจะดีมาก ได้พูดกับพระเณรอย่างนี้แล้วออกเดินทางกลับลำปาง แล้วเดินทางมาอุตรดิตถ์ เพราะมีโยมขึ้นไปตามให้กลับอุตรดิตถ์ด่วน เพราะมีศิษย์แก่คนหนึ่งอายุมากเป็นหญิงได้เกิดเป็นโรคจิตฟุ้งซ่านมาหลายวัน ได้มาพักช่วยเหลือให้พอสมควร ก็เดินทางมาพักอยู่พิษณุโลก พักอยู่ที่วัดราษฏร์บูรณะใกล้บ้านบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง เรื่องบุตรบุญธรรมนี้น่าเล่าสู่กันฟัง แต่เป็นเรื่องที่ได้ผ่านมานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งไปจำพรรษาบ้านผาแด่นแสนกันดารในคราวก่อน
60#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แม่คนนี้ชื่อฟื้น สามีชื่อมหาน้อม วันหนึ่งได้ไปอบรมสมาธิอยู่ป่าวัดอรัญญิกไกลจากพิษณุโลก ประมาณหกกิโลเมตร มีข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนไปนั่งสมาธิกันหลายคน อาทิ ผู้กำกับการตำรวจ หลวงพ่อสัมฤทธิฯ หลวงชื้นฯ ขุนเกษมฯ ร.อ.แผ้ว ฯลฯ ล้วนเป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมะปฏิบัติ ขณะกำลังนั่งสนทนาธรรมะกันอยู่ก็มีคนไปตาม บอกว่า ขอนิมนต์ไปเยี่ยมคนป่วยที่บ้าน ก็ได้รับปากกับเขา ผู้กำกับการฯ ได้นำไปส่งให้ถึงที่บ้านคนป่วย เมื่อไปถึงบ้านเขา เขาได้เล่าว่ามีพระธุดงค์องค์หนึ่งได้เดินทางมาจากภาคเหนือ มาทำน้ำมนต์ให้ ท่านบอกว่า ฉันรักษาไม่หายดอกโยม จะมีพระองค์หนึ่งมาโปรดโยมเร็วๆ นี้ แล้วท่านก็เดินธุดงค์ต่อไป พอมหาน้อมทราบว่าเรามาก็ตามไปจนพบ ได้สนทนากับมหาน้อม เขาเล่าว่า แม่ฟื้นภริยาเขาคนนี้เป็นโรคเกิดในสมัยอยู่ไฟ ได้ป่วยเป็นเวลาสามปีแล้ว ฉีดยาหมดเงินไปแปดพันกว่าบาทแล้วยังไม่หาย นอนอยู่อย่างนี้มาสามปีแล้ว ลุกไปไหนไม่ได้ พูดไม่ได้มาหนึ่งปีแล้ว แม้จะไหวตัวก็ไม่รอด เมื่อได้ฟังมหาน้อมเล่าแล้ว ก็ตอบเขาว่าฉันจะไปดู

พอเราเดินผ่านเข้าในธรณีประตู เห็นคนป่วยยกมือไหว้ผงับๆ เราไม่นึกว่าภาวะเขาเป็นอย่างไร ได้นั่งสมาธิ แม่ฟื้นพูดได้สองสามคำ แล้วไหวตัวยกมือไหว้จนกระทั่งลุกขึ้นนั่งหมอบอยู่กับหมอนได้ ก็บอกว่า ให้หาย หมดเวรหมดกรรม วันนั้นสั่งให้แกหยิบไม้ขีดจุดบุหรี่ถวาย แกก็ทำได้ วันรุ่งขึ้นสั่งไม่ให้ใครป้อนข้าว ให้หาข้าว หาแกงวางไว้ เขากินได้เอง สามีเขาเองเป็นผู้ไปถวายอาหารเรา พอกลับมาถึงบ้านเห็นแม่ฟื้นกินข้าวหมด ล้างถ้วยชามได้เรียบร้อย ลุกขึ้นคลานได้ พอตอนบ่ายไปเยี่ยมอีก เห็นญาติโยมของเขาหิ้วหม้อไหไปบ้านมหาน้อม ว่าจะไปเอาน้ำมนต์วิเศษ เมื่อเห็นดังนั้นเราลำบากใจ จึงรีบออกหนีเดินทางกลับ แต่ได้มีจดหมายถามข่าวคราวอยู่เสมอประมาณเดือนเศษ

แม่ฟื้นลุกเดินได้ ปีที่สองไปวัดใส่บาตรได้ ปีที่สามได้ติดตามมาอยู่ที่วัดบรมนิวาส เดินจากหัวลำโพงถึงวัดบรมฯ เดินจากที่พักขึ้นศาลาฟังเทศน์ได้เป็นปกติดี นี้ก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดอย่างหนึ่ง

ในสมัยที่เดินทางจากอุตรดิตถ์นั้น ได้เดินทางไปเพชรบูรณ์เพื่อไปเยี่ยมศิษย์ซึ่งไปตั้งสำนักอยู่ที่อำเภอหล่มเก่า มีนายอำเภอปีน เป็นผู้อุปการะ ได้พักผ่อนวิเวกอยู่พอสมควร ก็เดินทางเข้าดง ขึ้นเขาลงห้วยไปหลายคืน ตกถึงเขาลูกหนึ่ง ต่อจากนั้นได้ออกเดินทางไปตามเนินเขา เดินทางไปถึงเขาสูงลูกหนึ่ง มีป่าเต็งรังโปร่ง มองเห็นยอดเขายอดหนึ่งสูงลิ่ว เขาเรียกว่า เขาหอ ส่วนเพื่อนได้เดินทางไปล่วงหน้า เราเดินตามหลัง พอไปถึงเขานั้นรู้สึกว่าใจสบาย นึกไปถึงสมบัติอันหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุเหลือวิสัยว่า เราอยากจะบินไปยอดเขาหอ ยืนตัวตรงสะพายบาตรอยู่ครู่หนึ่ง ได้เคลิ้มฝันเห็นก้อนเมฆลอยต่ำลงมาจากอากาศ ได้ยินเสียงดังแว่วๆ ว่า ท่านอย่านึก ถึงคราวเป็นเอง แล้วนิมิตก็หายไป เวลาเดินทาง คราวนี้หิวน้ำจัดที่สุด รีบๆ ทางเดินมีแต่ฝูงหมาจิ้งจอก เพราะห่างบ้านคนมาก ก็ได้เดินทางเรื่อยมา มาพักอยู่บ้านวังน้ำใส เดินพุ่งไปข้ามห้วยข้ามดง เมื่อพ้นจากดงก็ถึงภูผาบิ้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระอาจารย์มั่นเคยมาพักอยู่ ทีนี้มีถ้ำ และเขาเล็กๆ ได้พักอยู่หลายวัน
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้