ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม ~

[คัดลอกลิงก์]
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วันหนึ่งเดินออกไปบิณฑบาตพร้อมกับท่าน เดินไปทางสถานีตำรวจ ได้เดินสวนทางกับหญิงหาบของขายในตลาด แต่ก็ใจดีเหลือเกินไม่ได้เดินออกจากทางบิณฑบาต สำรวมใจแน่วแน่ สำรวมตนเต็มที่ ต่อมาอีกวันหนึ่งได้เดินตามท่านไปบิณฑบาต เราเดินห่างจากท่านนิดหน่อย ท่านเดินเร็ว แต่เราเดินช้า เห็นท่านเอาเท้าเตะกางเกงขาดของตำรวจที่ทิ้งไว้ข้างถนน ท่านเตะไปเตะมา เราก็นึกในใจว่าเราต้องเข้าในทางเสมอ พอถึงรั้วสถานีตำรวจ ท่านก็ก้มลงเก็บกางเกงขาดตัวนั้นเหน็บไว้ใต้จีวร เราก็แปลกใจว่าของเขาทิ้งแล้วท่านจะเอาไปทำไมกัน เมื่อกลับถึงกุฏิแล้วท่านก็นำเอาไปพาดไว้ที่ราวผ้าแห่งหนึ่ง เราก็ได้ทำการปัดกวาดปูอาสนะ เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วก็เข้าไปในห้องปูที่นั่งที่นอนของท่าน บางวันท่านก็ดุเอาว่า ทำอะไรไม่เรียบร้อย แต่ไม่ยอมบอกว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นที่พอใจ เราก็ต้องพยายามทำให้ถูกใจท่านทุกเวลา จึงกระนั้นก็ต้องถูกเคี่ยวเข็ญอยู่จนตลอดพรรษา

ต่อมาวันหลังได้เห็นกางเกงขาดตัวนั้น กลายเป็นถุงย่ามและสายรัดประคดห้อยแขวนอยู่ด้วยกันที่ข้างฝา วันหนึ่งท่านบอกว่าถุงย่ามใบนี้และรัดประคดอันนี้เอาไปใช้เสีย เรารับเอามามองดูมีแต่รอยปะหลายแห่ง ของดีๆ ก็มีอยู่แต่ท่านไม่ยอมให้ การได้ปฏิบัติพระอาจารย์นี้เป็นการดีที่สุด ยากที่สุด ต้องยอมฝึกหัดทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเป็นนักสังเกตที่ดี และละเอียดรอบคอบจึงจะอยู่ได้ เวลาเดินพื้นกระดานทำเสียงดังไม่ได้ เดินไปแล้วมีรอยเท้าติดพื้นก็ไม่ได้ เวลากลืนน้ำเสียงดังก็ไม่ได้ เวลาเปิดประตูมีเสียงดังไม่ได้ เวลาตากผ้า เก็บผ้า พับผ้า ปูที่นั่ง ที่นอน ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำอย่างเป็นผู้มีวิชา มิฉะนั้นจะต้องถูกไล่หนีทั้งๆ กลางพรรษา แต่ถึงอย่างนั้นต้องอดทน พยายามใช้ความสังเกตของตน บางวันเมื่อฉันแล้ว จัดแจงเก็บบาตร เก็บจีวร ผ้าปูนั่ง ปูนอน กระโถน กาน้ำ หมอน ฯลฯ และทุกสิ่งทุกอย่างในห้องของท่าน ต้องเข้าไปจัดไว้ก่อน ท่านเข้าไปข้างใน จัดเสร็จแล้วก็จดจำไว้ในใจแล้วรีบกลับออกไปอยู่ในห้องของตน ซึ่งกั้นไว้ด้วยใบตองเจาะช่องฝาไว้พอมองเห็นบริขารในห้องของท่าน เมื่อท่านเข้าไปในห้องแล้ว เห็นท่านมองข้างล่าง ข้างบน ตรวจตราดูบริขารของท่าน บางอย่างท่านก็หยิบย้ายที่ บางอย่างท่านก็ปล่อยวางที่เดิมไม่จับต้อง เราก็ต้องคอยมองดูแล้วจดจำเอาไว้ วันหลังก็ทำใหม่ จัดใหม่ให้ถูกต้องอย่างที่ท่านทำ ว่าท่านทำเองท่านทำอย่างไร เราก็จัดทำอย่างที่เรามองเห็น

ต่อมาวันหลังเมื่อเข้าไปจัดเสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องของตน มองลอดช่องฝาสังเกตดูว่าเวลาท่านเข้าไปในห้อง เห็นท่านเข้าไปแล้วนั่งนิ่ง มองซ้ายมองขวา มองหน้ามองหลัง มองดูข้างบน ข้างล่าง แล้วก็ไม่จับต้องอะไรอีก ผ้าปูนอนก็ไม่กลับ แล้วท่านก็กราบพระ สักครู่หนึ่งท่านก็จำวัด เมื่อเห็นเช่นนี้ เราก็ดีใจว่าได้ปฏิบัติเป็นที่ถูกอกถูกใจพระอาจารย์ นอกจากเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ในการนั่งสมาธิก็ดี เดินจงกรมก็ดี ก็ได้ฝึกหัดจากท่านไปจนเป็นที่พอใจทุกอย่าง แต่ก็เอาอย่างท่านได้อย่างมาก ๖๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

อยู่ต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้ว ทางวัดบรมนิวาสได้จัดงานเพื่อฌาปนกิจศพ เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) พระผู้ใหญ่ที่อยู่วัดเจดีย์หลวงได้ทยอยมาเพื่อช่วยงานเกือบหมด เจ้าอาวาสได้มอบให้พระอาจารย์มั่นเฝ้าวัดเจดีย์หลวง เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจ ได้เห็นหนังสือฉบับหนึ่งมีถึงพระอาจารย์มั่น ตั้งให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้เปิดออกอ่านมีใจความว่า พระอาจารย์มั่น ขอให้ท่านรับเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง พร้อมทั้งตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ สั่งให้เจ้าแก้วนวรัตน ณ เชียงใหม่ เป็นผู้เเทนการ ขอให้พระอาจารย์มั่นทำหน้าที่แทนเจ้าอาวาสเดิมต่อไป สรุปได้ใจความสั้นๆ อย่างนี้ พอพระอาจารย์มั่นได้ทราบเรื่องราวแล้ว ท่านก็เรียกไปหาแล้วพูดว่า “เราต้องออกจากวัดเจดีย์หลวงไปอยู่ที่อื่น”
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


อยู่ต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้วได้ ๒ วัน ท่านได้สั่งให้เราไปวิเวกบนหลังดอยจังหวัดลำพูน ซึ่งเคยเป็นที่พักของท่านมาแต่ก่อน ได้พักอยู่ที่ตีนเขาประมาณ ๑๐ กว่าวัน ต่อมาเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงได้ปรากฏเหตุการณ์คล้ายๆ กับว่ามีคนมาบอก ได้ยินทางหูขณะกำลังนั่งสมาธิว่า ท่านต้องขึ้นไปอยู่บนยอดเขาในวันพรุ่งนี้ พอรุ่งขึ้น ก่อนเดินทางถึงยอดเขาได้ไปพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งเป็นวัดร้างเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วันใดที่ตรงกับวันพระมักจะปรากฏมีแสงสว่างเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ป่านั้นเป็นป่าลึก มีเสือและช้างชุม เดินทางไปคนเดียว กลัวก็กลัว กล้าก็กล้า แต่เชื่อมั่นในอำนาจธรรมและพระอาจารย์ ได้ค้างนอนอยู่ ๒ คืน คืนแรกสงบสบายดี คืนที่สองเวลาประมาณ ๑ หรือ ๒ นาฬิกา ได้มีสัตว์ป่าคือเสือมารบกวน คืนนั้นเป็นอันไม่ได้นอน นั่งสมาธิตัวแข็ง เสือก็เดินวนเวียนอยู่รอบๆ กลด รู้สึกว่าตัวแข็งและมึนชา สวดมนต์ก็คล่องแคล่วเหมือนน้ำไหล ที่ลืมแล้วก็นึกได้ ด้วยอำนาจแห่งการสำรวมจิตและคิดกลัว นั่งอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เวลา ๒ นาฬิกา ถึง ๕ นาฬิกา เสือตัวนั้นจึงได้หนีไป

รุ่งขึ้นได้เดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีบ้านเพียง ๒ หลังคา เจ้าของบ้านออกไปทำสวนชั่วคราว เมื่อพบกับเขาๆ เล่าว่าเมื่อคืนนี้มีเสือมากินวัว เราก็นึกกลัวมากขึ้น ในที่สุดเมื่อฉันอาหารแล้วได้เดินทางขึ้นไปบนยอดดอย เมื่อขึ้นไปยอดดอยแล้วมองลงไปเบื้องล่างจะแลเห็นพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน ดอยลูกนี้เขาเรียกกันว่า ดอยค่อม่อ (ดอยหัวแม่มือ) บนหลังดอยมีบ่อน้ำลึกแห่งหนึ่ง หยั่งไม่ถึง มีน้ำในสะอาด มีเศียรพระพุทธรูปตั้งอยู่รอบบ่อเดินลงจากพื้นราบ เหยียบหินลึกลงไปประมาณ ๒ เมตรก็ถึงน้ำ เขาเล่ากันว่าเวลามีคนตกลงไปในบ่อไม่จมน้ำ จะดำน้ำก็ดำไม่ได้ ถ้าเป็นผู้หญิงลงไม่ได้เด็ดขาด ขืนลงไปจะต้องมีอาการชัก ดอยนี้ชาวบ้านถือกันว่าเป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์เล่าให้ฟังว่า มีปีศาจสำคัญ ๑ ตนอยู่ประจำที่ดอยนี้ แต่ไม่เป็นไร เขาไม่รบกวนอะไร เพราะเขารู้จักพระธรรมและพระสงฆ์
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วันแรกที่ขึ้นไปถึงยอดดอย พอวันรุ่งขึ้นไม่ได้ฉันอาหาร ถึงเวลากลางคืนเป็นลมตลอดคืน รู้สึกว่าดอยนั้นไหวเหมือนเรือลอยอยู่กลางทะเลมีคลื่นลมจัด แต่จิตดีไม่หวาดกลัวอะไร วันที่สองได้นั่งสมาธิ เดินจงกรมอยู่ในบริเวณวิหารเก่า สถานที่พักอยู่ห่างหมู่บ้านที่จะไปบิณฑบาตได้ประมาณระยะทาง ๘๐ เส้น จึงได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า เราจะไม่ฉันจังหัน ถ้าไม่มีคนมาส่งถึงที่ ในคืนนั้นรู้สึกว่าปวดท้อง มีลมกวน แต่ไม่เหมือนวันก่อน พอเวลาประมาณ ๕.๐๐ นาฬิกาเศษ ใกล้จะสว่าง ได้ยินเสียงดังฮึดๆ ฮาดๆ ข้างวิหาร ครั้งแรกนึกว่าเสือ แต่ฟังๆ ไปคล้ายเสียงคน แต่ดอยด้านนั้นชันมาก ถ้าจะปีนขึ้นพอปีนได้ แต่ถ้าจะปีนลงรับรองว่าลงไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นจะมีใครขึ้นมา นึกสงสัยอยู่ในใจแต่ยังไม่กล้าออกจากกลดและวิหารร้าง

รอจนสว่างรุ่งอรุณจึงได้ลุกออกจากกลดเดินออกมาข้างนอกวิหาร ได้พบหญิงชราคนหนึ่งอายุประมาณ ๗๐ ปี มานั่งพนมมือถือข้าวห่อใบตองมา ๑ ห่อ ขอใส่บาตร พร้อมทั้งถวายยาให้ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นรากไม้ อีกอย่างหนึ่งเป็นเปลือกไม้ แล้วกล่าวว่า ขอให้ท่านใช้ยานี้ฝนกินพร้อมกับอธิษฐานเอาแล้วจะหายปวดท้อง ขณะนั้นเรากำลังถือเคร่ง ไม่กล้าพูดกับผู้หญิงหลายคำ พอรับบิณฑบาตแล้วก็ฉันข้าวเหนียวแดงหนึ่งก้อน และยา ๒ ชิ้นนั้น เสร็จแล้วได้ยถาสัพพีให้แก แกก็ลากลับเดินหายไปทางทิศตะวันตกของดอย

ต่อมาเวลาบ่ายประมาณ ๕ โมงเย็น มีคนถือจดหมายของพระอาจารย์มั่นขึ้นไปให้บนยอดดอย ในจดหมายนั้นมีใจความว่า ให้ท่านรีบเดินทางกลับวัดโดยด่วน เพราะผมจะต้องออกเดินทางจากวัดเจดีย์หลวงในตอนเช้า เพราะรถด่วนจะถึงเชียงใหม่ในตอนเย็น พอทราบเช่นนี้ก็รีบเดินทางลงจากยอดดอยเดินทางมาถึงหมู่บ้านป่าเห้ว พอดีพลบค่ำจึงได้ไปพักในป่าช้า ๑ คืน แล้วออกเดินทางต่อเข้าเมือง ได้ทราบพระอาจารย์มั่นเดินทางออกจากวัดเจดีย์หลวงตั้งแต่เช้า สอบถามดูก็ไม่มีใครทราบว่าไปทางไหน ตกลงเราเองก็ไม่รู้ว่าจะติดตามไปทางไหนจึงจะพบ แต่นึกในใจว่าท่านคงออกจากเชียงใหม่ไปทางเชียงตุง ฉะนั้นต้องรีบติดตามไปทางเชียงตุงโดยด่วน แต่ยังไปไม่ได้เพราะจำได้ว่าท่านเคยสั่งไว้ในระหว่างเข้าพรรษา ๒ อย่างคือ

๑. ท่านสั่งว่า ให้คุณช่วยฉันนะในเรื่องข้อปฏิบัติ เพราะฉันมองไม่ใครเห็นใครที่จะช่วยได้ ตัวเองก็ไม่เคยนึก และไม่สนใจว่า ท่านหมายความว่าอย่างไร

๒. ท่านสั่งว่า จังหวัดเชียงใหม่นี้เป็นสถานที่อาศัยวิเวกของบรรดานักปราชญ์ในกาลก่อน ฉะนั้น ก่อนที่ท่านจะออกจากจังหวัดนี้ให้ท่านไปวิเวกอยู่บนดอยค่อม่อแห่งหนึ่ง ให้ไปพักวิเวกในถ้ำบวบทองแห่งหนึ่ง และให้ไปพักวิเวกอยู่ในถ้ำเชียงดาวอีกแห่งหนึ่ง

ได้พักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ๒-๓ วัน แล้วก็ออกเดินทางจากวัดไปถึงอำเภอสะเก็ด ได้เข้าไปพักในถ้ำมืด บ้านเมืองอ่อน ถ้ำนี้เป็นแปลกน่าอัศจรรย์ บนยอดเขามีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง สันนิษฐานไม่ได้ว่าสร้างไว้แต่ครั้งไหน กลางเขามีช่องโหว่เป็นรูลึกลงไปในพื้นเขา เดินลงไปพบท่อนไม้สักทอดเป็นสะพานข้ามเหว เดินไต่ไปตามท่อนไม้สักจนถึงแท่นหินอีกฟากหนึ่งของเหว ปรากฏว่ามีลานหินกว้างขวาง เดินต่อไปอีกสักพักก็มีแต่ความมืดมองไม่เห็นแสงสว่าง จึงได้จุดไฟแล้วเดินต่อไปอีก ไปพบสะพานอีกแห่งหนึ่งใช้ซุงไม้สักทั้งต้นพาดไปยังก้อนหินอีกก้อนหนึ่ง ถึงตอนนี้รู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็น
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อเดินข้ามสะพานนี้ไป ก็ไปถึงลานหินราบเรียบกว้างขวาง คะเนดูว่าบรรจุคนได้ไม่ต่ำกว่า ๓,๐๐๐ คน ภายในพื้นถ้ำเป็นคลื่น ดูคล้ายน้ำพัดเป็นระลอก ได้พบหน่อหินหน่อหนึ่งเป็นของแปลกประหลาดมาก หน่อหินนี้โตประมาณ ๒ อ้อมแขน สูงประมาณ ๓ วา ๓ ศอก ๑ คืบ สีขาวเหมือนปุยเมฆ ตั้งตรงพุ่งขึ้นบนเพดาน รอบๆ หน่อหินก้อนนี้มีหินเป็นปุ่มๆ เหมือนปุ่มฆ้องติดๆ กันไป ลักษณะที่เป็นปุ่มๆ สูงประมาณ ๑ ศอก ระหว่างปุ่มลึกแลดูราบรื่นขาวโพลนสวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่อากาศทึบ ไม่มีแสงสว่างเข้าถึง

ท่านอาจารย์มั่นเคยเล่าให้ฟังว่า ในพื้นถ้ำนั้นมีพญานาคเข้าไปนมัสการ ท่านบอกว่าหน่อหินก้อนนี้เป็นพระเจดีย์ของพญานาค นึกอยากจะนอนอยู่สัก ๑ คืน แต่อากาศทึบรู้สึกอึดอัดมาก หายใจไม่ค่อยสะดวกจึงไม่กล้าอยู่ จึงได้เดินทางกลับออกมา เขาลูกนี้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ ๓ กิโลเมตร ชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่า เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษา ภูเขาลูกนี้ร้องเสียงดัง ถ้าปีไหนมีเสียงร้องดังมาก มีฝนดี ทำนาทำไร่ได้ผลมาก

วันนั้นได้เดินทางกลับมาพักอยู่ที่ป่าแห่งหนึ่ง เขต อ.ดอยสะเก็ด เมื่อได้พักผ่อนพอสมควรแล้วก็ได้ออกเดินทางต่อไปยังบ้านโป่ง ได้พบพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อเขียน เคยอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น จึงได้ถามท่านว่า ทราบหรือไม่ว่าพระอาจารย์ไปไหน ได้รับตอบว่า ไม่ทราบ จึงชวนพระเขียนเดินทางธุดงค์ไป อ.ดอยสะเก็ดอีก ได้ไปพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง อยู่ไกลจากหมู่บ้านมากตั้งอยู่ในกลางดงลึก เขาเรียกว่า ถ้ำบวบทอง ที่เรียกอย่างนี้เพราะภายในถ้ำนี้มีขี้ทองคำไหลออกมาติดอยู่ในแอ่งน้ำ ก่อนจะไปถึงถ้ำแห่งนี้ต้องเดินบุกป่าไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร เราสองคนกับพระเขียนได้พากันไปวิเวกอยู่ภายในถ้ำบวบทองนั้น ซึ่งที่ถ้ำแห่งนี้ชาวบ้านญาติโยมลือกันว่ามีผีดุมาก ถ้าใครเข้าไปค้างคืนในถ้ำ ขณะนอนหลับอยู่จะมีผู้มาเหยียบขาบ้าง เหยียบท้องบ้าง เหยียบหลังบ้าง ทำให้คนกลัวกันมาก เมื่อได้ยินข่าวลืออย่างนี้ เราจึงต้องการจะพิสูจน์ว่ามีความจริงเป็นประการใด จึงได้ไปพักค้างอยู่ ๑ คืน

พระอาจารย์มั่นเล่าให้ฟังว่า พระภิกษุชัยเคยเดินทางไปค้างในถ้ำนี้ ๑ คืน ไม่ได้นอนตลอดคืน ได้ยินแต่เสียงคนเดินเหยียบหินเข้าๆ ออกๆ ทั้งคืน ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่ลึกมาก แต่ท่านเคยสั่งให้เราไปที่ถ้ำนี้ ผลการพิสูจน์ปรากฏว่า ไม่ได้พบและไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยในคืนนั้น ออกจากถ้ำบวบทองได้ลงมาพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง ได้พบพระภิกษุอีกองค์หนึ่งชื่อเชย จึงได้ร่วมสนทนากันเป็นที่ถูกอัธยาศัย จึงชวนกันไปเดินธุดงค์ในละแวกอำเภอดอยสะเก็ดอีก ส่วนพระภิกษุเขียนได้ลาแยกทางไปพักที่บ้านโป่งตามเดิม

อยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างเดินธุดงค์กับพระเชย โยมได้สร้างที่พักให้ในกลางป่าช้าอันกว้างใหญ่ บริเวณป่าช้าแห่งนี้มีหลุมฝังศพอยู่ทั่วไป ซึ่งเต็มไปด้วยกองฟอนเผาผี มีแต่กระดูกขาวโพลนไปหมด ได้พักอยู่กับพระเชย ณ บริเวณป่าช้านั้นเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่งโยมได้นิมนต์พระเชยไปพักอยู่ ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง เราต้องพักอยู่คนเดียว ที่พักอยู่ห่างกองฟอนเผาผีประมาณ ๓ วา รุ่งขึ้นเช้าอีกวันหนึ่ง มีโยมถือกรวยดอกไม้ธูปเทียนมาตั้งแต่ดึก แล้วบอกกับเราว่าจะเอาลูกศิษย์มาถวาย ก็นึกอุ่นใจว่าต่อไปนี้เห็นจะหายกลัว เพราะขณะนั้นตัวเองก็รู้สึกกลัวมาหลายวันแล้ว นั่งสมาธิจนรู้สึกว่าตัวชาไปหมด วันนั้นพอฉันแล้ว เวลาสายได้เห็นชาวบ้านหลายคนได้หามศพคนตายมาด้วย ศพนั้นไม่ได้ใส่โลงแต่ใช้ผ้าพันไว้ พอเห็นศพก็นึกในใจว่าคราวนี้เราแย่ จะหนีไปหรือก็รู้สึกอายชาวบ้านญาติโยม จะอยู่ต่อไปหรือก็กลัว นึกขึ้นมาได้ว่าที่โยมพูดเมื่อวันก่อนว่าจะถวายลูกศิษย์ คงจะเป็นศพๆ นี้เอง
25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พอตกบ่ายเวลาประมาณ ๔ โมงเย็น โยมได้ทำการเผาศพนั้นใกล้ๆ ที่นอนของตัว ทำให้ได้เห็นศพนั้นชัด ขณะศพนั้นถูกไฟเผาได้ยกแขนยืดขาขึ้น ตัวเหลืองประดุจทาขมิ้น เผาอยู่จนค่ำตัวขาดแค่บั้นเอว ตัวยังดำอยู่ในกองไฟ พอใกล้เวลาค่ำโยมพากันลากลับไปหมด เหลือเราอยู่คนเดียว จึงรีบเข้าไปในกระต๊อบฝาใบตองทันที นั่งสมาธิห้ามจิตไม่ให้ออกไปนอกกระต๊อบ จนกระทั่งหูดับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่มีสัญญากำหนดรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ความกลัว ความกล้าไม่มี แต่จิตยังมีความรู้สึกประจำใจอยู่จนกระทั่งสว่าง

พอดีพระเชยเดินทางกลับมา เมื่อมีเพื่อนเราก็ค่อยอุ่นใจ ปกติพระภิกษุเชยชอบเทศน์ ชอบคุยธรรมให้เราฟังเสมอๆ เราเองได้แต่นั่งฟังเฉยๆ แต่พอจะจับสำเนียงเสียงพูดได้ว่า ทำไม่ได้จริงเหมือนอย่างที่พูด คือครั้งหนึ่งเคยมีโยมคนหนึ่งมาถามว่า ท่านกลัวผีไหม พระภิกษุเชยก็ไม่ตอบไปว่ากลัวหรือไม่กลัว แต่กลับตอบว่า กลัวทำไม คนตายแล้วไม่มีอะไร วัวควาย เป็ดไก่ เมื่อตายแล้วโยมยังกินได้ ท่านชอบพูดอย่างนี้เสมอมา เราได้ยินแล้วก็นึกในใจว่า พระอวดดีไม่แสดงความกลัวให้โยมทราบ อย่ากระนั้นเลยวันพรุ่งนี้ เราจะต้องทดลองเพื่อนคนนี้ดูว่าจะจริงแค่ไหน พอดีมีโยมในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางอำเภอสะเก็ดดอยมานิมนต์ไป ดังนั้นจงให้พระภิกษุเชยอยู่เฝ้าที่พัก ตัวเราเองเป็นผู้รับนิมนต์ เป็นอันว่าตกลงตามนี้ เราจึงได้เดินทางไปกับโยม วันรุ่งขึ้นกลับมาที่พักไม่พบพระภิกษุเชย ได้ความว่าในคืนวันที่เรารับนิมนต์ไปในหมู่บ้านนั้น มีคนเอาเด็กผู้หญิงที่ตายแล้วคนหนึ่งมาฝังที่ป่าช้าในเวลาดึก พระภิกษุเชยเห็นเช่นนั้นก็รีบเก็บกลดเก็บบาตรและจีวรแล้วเปิดหนีไปในคืนวันนั้น

ตั้งแต่บัดนั้นก็ได้จากกันกับพระภิกษุเชย ต่างคนต่างไปคนละทาง เราเองก็มุ่งเดินทางกลับไปหาพระเขียนที่บ้านโป่ง แล้วได้พักอยู่พระเขียนเป็นเวลา ๓-๔ วัน ต่อจากนั้นได้ออกเดินทางจากบ้านโป่ง ผ่านตำบลแห่งหนึ่งเรียกว่า ห้วยอ้อมแก้ว มีซากวัดเก่าผุๆ พระพุทธรูปเก่าๆ เมื่อได้ทราบดังนี้ก็อยากไปดูสถานที่นั้น ถึงระยะนี้รู้สึกเบื่อโยมเบื่อเพื่อน ไม่อยากอยู่กับมนุษย์ คิดแต่อยากจะขึ้นไปอยู่บนยอดดอยแต่เพียงคนเดียว เมื่อเดินทางไปถึงห้วยอ้อมแก้วจึงเลิกไม่ยอมฉันอาหาร ฉันแต่ใบมะเดื่อและใบขี้เหล็ก เพื่อจะได้ไม่ต้องยุ่งยากกับมนุษย์อีกต่อไป บริเวณสถานที่นี้มีห้วยอ้อมวกไปเวียนมาเป็นห้วยตื้นๆ แต่สงบเงียบสงัดวิเวกดีมาก

อยู่มาวันหนึ่ง เวลากลางคืน ขณะกำลังนั่งสมาธิหลับตาอยู่ในกระต๊อบมืดๆ ได้รู้สึกว่าปรากฏมีแสงสว่างกลมโตกว้างยาวประมาณ ๑.๕๐ เมตร แสงนั้นพุ่งมาจากยอดเขาสูงแล้วมาจ่ออยู่ข้างกระต๊อบ คืนนั้นจึงได้นั่งสมาธิอยู่ตลอดคืนจนกระทั่งสว่างคาที่ นั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรู้สึกว่า ลมหายใจหยุด ลมไม่เดิน เงียบสนิท รู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง ไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอน

ต่อมาวันหลังได้เคลื่อนย้ายลงไปอยู่ในเกาะอ้อมแก้ว เพราะมีโยมคนหนึ่งได้มีศรัทธาสร้างกระต๊อบเล็กๆ ให้หลังหนึ่ง ยกพื้นพอพ้นพื้นดิน ฝาใบตอง เมื่อเข้าอยู่ในสถานที่นี้แล้ว ได้ทำความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว อดนอน ฉันแต่น้อย วันหนึ่งๆ ฉันแต่ใบมะเดื่อและใบขี้เหล็ก ๔ กำมือ ในวันแรกรู้สึกว่าสบายดี และไม่ปรากฏเหตุการณ์อะไร ถึงวันที่สองเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม หลังจากสวดมนต์และได้เดินจงกรมเสร็จแล้ว ได้ล้มตัวลงนอนหงายปล่อยอารมณ์พักผ่อนตามสบาย เลยหลับไป ในขณะนอนหลับอยู่นั้นได้ปรากฏเหตุการณ์ขึ้น คือมีหญิงคนหนึ่งรูปร่างอ้วนท้วน สวมเสื้อนุ่งผ้าถุง ใบหน้าขาว รูปร่างสวย เขาบอกว่า เขาชื่อนางสีดา ยังเป็นสาวโสด ไม่มีสามี ต้องการมาอยู่กับท่าน ในนิมิตฝันนั้นรู้สึกว่าเขาต้องการมีสามี
26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จึงได้ถามเขาว่า “เธออยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า อยู่บนยอดเขาสูง บนนั้นมีสถานที่กว้างขวางมีบ้านหลายหลัง อยู่สบายดี ขอให้ไปเป็นสามีของเขา แต่เราไม่ยอม เขาได้อ้อนวอนอยู่หลายอย่างหลายประการ แต่เราก็คงยืนกระต่ายขาเดียว เขาจึงพูดว่า เมื่อไม่ยอมเป็นสามีก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้สมสู่เป็นชู้กัน เราก็คงยืนกรานไม่ยอมอีก ผลที่สุดเมื่อเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ดังที่ปรารถนา จึงได้ตกลงกันว่าขอให้เราทั้งสองนับถือเป็นเพื่อนที่รักใคร่สนิทสนมกันก็แล้วกัน เมื่อได้ทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็จากไป

ในวันนั้นเวลากลางวัน ประมาณบ่าย ๒ โมงเศษ เราได้ไปอาบน้ำที่ห้วย มีขอนใหญ่ล้มขวางห้วยอยู่ โยมเล่าให้ฟังว่าห้วยนี้สำคัญนัก ตรงที่น้ำไหลออกมีพระเจดีย์องค์เล็กๆ องค์หนึ่ง แต่เป็นการน่าประหลาดว่า พระเจดีย์องค์นี้บางคราวคนก็เห็น บางคราวก็ไม่เห็น ได้ฟังโยมเล่าเรื่องแล้วตัวเองไม่สนใจ ก่อนอาบน้ำได้เก็บก้อนหินก้อนโตๆ มาอุดน้ำให้ล้นขอนเพื่ออาบได้ง่าย อาบเสร็จแล้วไม่ได้เก็บหินออก

ตอนเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากได้สวดมนต์และเดินจงกรมเสร็จแล้ว เวลาประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ได้ล้มตัวนอนเล่น ภาวนาไปก็ได้ปรากฏเหตุการณ์ขึ้นอีกครั้งนึง รู้สึกเหมือนกับมีคนเอามือมาลูบขา ทำให้ตัวชาไปถึงบั้นเอวตลอดจนถึงศีรษะเกือบหมดความรู้สึกนึกว่าเป็นลม ก็รีบลุกขึ้นทำจิตให้เป็นสมาธิ จิตก็สงบแน่นิ่ง ใสสว่าง ตัดสินใจว่า ถ้าเราตาย เราต้องยอม ในใจก็นึกแต่ว่าเราเป็นลม เพราะกินแต่ใบมะเดื่อ และใบขี้เหล็กเป็นอาหาร พอจิตเข้าที่เบ่งตัว อาการที่เสียวชาไปหมดก็ค่อยคลายหายออก เปรียบประดุจก้อนเมฆลอยผ่านแสงอาทิตย์ คลายออกไปทั้งข้างบน ข้างล่าง จนกระทั่งอาการเช่นนั้นคลายออกไปหมด ดวงจิตก็กลับเป็นปกติ มีแสงสว่างพุ่งออกจากจิตไปจ่ออยู่ที่ขอนอาบน้ำในลำห้วย ว่าให้ไปเก็บก้อนหินออกให้หมด เพราะทางนั้นเป็นทางเดินของปีศาจ เมื่อได้ตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้นจึงได้ไปเก็บก้อนหินที่นำมาอุดไว้ออกหมด เพื่อให้น้ำไหลไปได้ตามปกติ


ภาพเขียนสีน้ำมันหลวงพ่อลี ธมฺมธโร

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พอตอนค่ำวันนั้นก็ชักจะมีเหตุการณ์อย่างเดิมปรากฏขึ้นอีก แต่ไม่สู้รุนแรง มาปะทะแค่ฝากระต๊อบที่จำวัดอยู่เพียงไหวๆ แล้วก็หายเงียบไป จึงได้ล้มตัวนอนภาวนา เพราะรู้สึกอ่อนเพลีย แล้วได้เคลิ้มหลับไป ฝันเห็นภาพๆ หนึ่ง มีสัตว์ชนิดหนึ่งตัวโตขนาดหมู เดินมาจากยอดน้ำตกเป็นฝูง หางสัตว์ที่เห็นนี้มีขนปุกปุยเหมือนหางกระรอก หัวเหมือนแพะ พากันเดินลงมาตามลำห้วยอย่างมากมายก่ายกอง ได้เดินผ่านที่จำวัดของเราไป ต่อมาสักครู่หนึ่งก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๓๐ ปี ใส่เสื้อสีครามนุ่งผ้าถุงสีครามยาวเลยหัวเข่าเล็กน้อย ในมือถือวัตถุอย่างหนึ่งไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร เขาได้พูดขึ้นว่าเขาเป็นคนประจำอยู่บนยอดน้ำตก เขาต้องออกเดินทางอย่างนี้ไปจนถึงทะเลเสมอๆ เขาบอกว่าเขาชื่อ นางจัน คืนหลังต่อมาก็ได้ทำการบำเพ็ญภาวนาอย่างเข้มแข็งแต่ไม่ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น

ต่อจากนั้นก็ได้ออกเดินทางไปยังบ้านโป่ง ซึ่งเป็นสำนักเก่าของพระอาจารย์มั่น ได้พบกับพระภิกษุเขียน จึงได้ปรึกษาหารือกันว่า เราทั้งสองคนจะต้องออกติดตามพระอาจารย์มั่นให้พบให้ได้ เมื่อได้ตกลงกันแล้วก็พากันร่ำลาญาติโยมออกเดินทางไปยังถ้ำเชียงดาว ได้ขึ้นไปพักอาศัยอยู่ในถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งพระอาจารย์มั่นเคยมาพักแล้วเดินทางต่อไปถึงถ้ำเชียงดาว เมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ บำเพ็ญความพากเพียรภาวนาทั้งเวลากลางวันและกลางคืน

ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๓ ได้ตั้งใจนั่งสมาธิเพื่อเป็นการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นถึงเวลากลางคืนประมาณ ๓ ทุ่มเศษ จิตสงบแน่วแน่ดี ปรากฏลมและแสงสว่างพุ่งออกจากตัวโดยรอบในบริเวณนั้น ในขณะนั้นได้กำหนดลมหายใจอันละเอียดเกือบไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ ใจเงียบ จิตสงบ รู้สึกว่าเวลานั้นลมในตัวไม่เดิน สงบนิ่งไปเฉยๆ จิตไม่มีความคิดปรุงแต่งใดๆ ทั้งหมด ความคิดหายไปอย่างไรไม่ทราบ แต่รู้สึกโล่งโปร่งสว่างสบายใจ เกิดมีอิสรภาพในตัวระงับทุกขเวทนาได้ทุกอย่าง

นั่งต่อไปอีก ๑ ชั่วโมง ก็ปรากฏธรรมบางข้อขึ้นในจิตโดยมีใจความสั้นๆ ว่า ให้เพ่งดู พิจารณาดู ภพ ชาติ ตาย เกิดอวิชชาว่าเป็นมาอย่างไร ได้ปรากฏนิมิตขึ้นเหมือนเรามองเห็นด้วยตาเปล่าว่า ความเกิดเหมือนฟ้าแลบ ความตายก็เหมือนฟ้าแลบ จึงได้เพ่งพิจารณาต่อไปถึงเหตุแห่งความเกิดและเหตุแห่งความตาย ได้เพ่งพิจารณาถึงคำว่าที่ว่า อวิชชา ความไม่รู้คือไม่รู้อะไร รู้อย่างไรจึงจะเรียกว่ารู้อวิชชา รู้อย่างไรจึงจะเรียกว่ารู้วิชา ได้ทบทวนเพ่งพินิจพิจารณาอยู่อย่างนี้ เป็นเวลาเกือบสว่าง เมื่อเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ก็ได้ออกจากสมาธิ รู้สึกตัวว่า ใจเบา กายเบา ปลอดโปรง อิ่มอกอิ่มใจเป็นอย่างมาก

วันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ ได้ออกเดินทางจากถ้ำเชียงดาว ไปพักอยู่ที่ถ้ำปากเพียงและถ้ำจันทร์ ต่างคนต่างอยู่กับพระภิกษุเขียน ไปพักอยู่ที่ถ้ำนี้ก็สบายดี ไม่มีเหตุการณ์อันใดปรากฏขึ้น
28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต่อจากนี้ได้ออกเดินทางมุ่งไปอำเภอฝาง ไปพักอยู่ที่ถ้ำตับเต่า บริเวณถ้ำตับเต่าในสมัยนั้นยังไม่มีหมู่บ้านคน ได้ไปพบหลวงพ่อแก่ๆ องค์หนึ่งชื่อหลวงตาพา ได้เดินเข้าไปถึงตีนถ้ำ ปรากฏว่ามีสวนกล้วย สวนมะละกอ มีธารน้ำไหลใสสะอาด มีถ้ำใหญ่อยู่ ๒ ถ้ำ ถ้ำยาว ๑ ถ้ำ ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปโบราณเก่าแก่ตั้งเรียงรายอยู่หลายสิบองค์ หลวงตาพาได้ทำการก่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่งในถ้ำนี้องค์ใหญ่โตมาก ครั้งแรกเดินเข้าไปหาท่านที่กุฏิไม่พบ จึงได้ลงเดินไปตามลำห้วยขึ้นเขาไปทางทิศตะวันออก ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งนุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อแขนสั้นสีแดงคล้ำเหมือนสีย้อมอวนใหม่ๆ ในมือถือมีดกำลังถางป่า ท่าทีแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม จึงเดินไปหาแล้วถามขึ้นว่า “หลวงพ่อพาอยู่ที่ไหน” พอมองเห็นตัวกันถนัด แกก็รีบเดินมาหาเราพร้อมทั้งถือมีดอยู่ในมือ เมื่อนั่งลงมองดูท่าทีกลายเป็นพระ แล้วแกก็พูดขึ้นว่า “ตัวฉันนี่แหละ หลวงพ่อพา” เราจึงได้แสดงความเคารพ หลังจากนั้นท่านได้พามายังที่พัก เมื่อถึงกุฏิแล้วได้เข้าไปถ่ายเสื้อถ่ายกางเกง ห่มจีวรสีคล้ำ มีผ้ารัดอก ในมือถือลูกประคำ แล้วท่านได้เล่าเรื่องถ้ำต่างๆ ให้ฟัง พร้อมทั้งพูดว่า ถ้าอยากจะอยู่จำพรรษากับผมก็อยู่ได้ ถ้าเป็นศิษย์อาจารย์มั่น แต่อย่ามาถือผมไม่ได้นะ เพราะขณะนี้ผมกำลังสร้างพระพุทธรูป ต้องขายกล้วย ขายมะละกอ เพื่อรวบรวมเงินไว้สร้างพระพุทธรูป แต่ท่านฉันข้าวมื้อเดียว

ตอนเย็นหลวงพ่อพาท่านได้พาไปชมสวนกล้วย สวนมะละกอ ที่ท่านทำขึ้นแล้วชี้มือให้ดูพร้อมกับพูดว่า “ถ้าท่านอยากหรือหิว เก็บไปฉันได้ ไม่หวง แต่พระองค์อื่นห้าม เอาไม่ได้” เราเองก็ไม่เคยคิดอยากจะฉัน แต่ก็รู้สึกขอบใจที่ท่านมีความเมตตาแก่เรา ทุกเวลาเช้ามืดได้ให้ลูกศิษย์นำกล้วยและมะละกอมาถวายทุกวัน ได้สังเกตเห็นเรื่องน่าแปลกประหลาดอยู่หลายอย่าง เช่น นกยูงที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ไม่กลัวหลวงพ่อพา พวกนกเขาเวลาท่านฉันข้าว ท่านก็หว่านให้กินไป บางคราวจับตัวได้ พวกลิงพอถึงเวลาเย็นๆ พากันลงมากินมะละกอกันดื่นดาดไปหมด ถ้ามีชาวบ้านผ่านมาไหว้พระ สัตว์พวกนี้จะหนีไปหมด

ภายในถ้ำตับเต่านี้ มีพระพุทธรูปเก่าแก่อยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนถ้ำยาวเวลาจะเข้าไปต้องจุดตะเกียงเจ้าพายุ เดินเข้าไปสูงบ้าง ต่ำบ้าง ผ่านซอกหินเข้าไปประมาณ ๓๐ นาที จะได้พบพระเจดีย์เล็กๆ องค์หนึ่งอยู่ในถ้ำลึก ใครจะไปสร้างไว้ในสมัยใดไม่มีใครทราบ เมื่อได้เที่ยวดูถ้ำพอสมควรแล้ว ก็ได้ออกเดินทางข้ามดงไปพักที่บ้านแม่น้ำกก บ้านนี้เป็นหมู่บ้านใหญ่ มีเนินเขาสูงอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ได้พักอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ในเวลากลางคืนหนาวมาก ได้ยินแต่เสียงเสือร้องสวนไปสวนมาข้างๆ เขา ในหมู่บ้านนี่ไม่มีวัด แต่มีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่องค์หนึ่ง หน้าตักกว้างประมาณ ๑ ศอกคืบ รูปร่างสะสวย มีผู้ไปอาราธนามาจากกลางดง

ได้พักอยู่ในบ้านแม่น้ำกกเป็นเวลา ๒ คืน แล้วก็ได้ร่ำลาศรัทธาญาติโยมออกเดินทางต่อไป ได้เดินข้ามดงใหญ่ เดินทางตลอดเวลา ๒ คืน ไม่ได้พบหมู่บ้านเลย ตอนก่อนจะออกเดินทาง พอญาติโยมรู้เข้าก็พากันห้ามปราม เพราะระหว่างทางไม่มีหมู่บ้านที่จะบิณฑบาตได้ จึงได้พูดว่า “ไม่เป็นไรโยม ระยะเวลาเพียง ๒ วันเท่านั้น ฉันพอทนได้ ขอให้มีน้ำกินก็แล้วกัน” อยู่มาวันหนึ่งก่อนออกเดินทาง ขณะเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ขากลับได้พบโยมผู้ชายคนหนึ่งแจ้งว่าเขาเองก็จะออกเดินทางไปเชียงแสนในวันนี้ จึงได้เพื่อนเดินทางอีกคนหนึ่ง โดยได้มีโยมแก่ๆ คนหนึ่ง มาสั่งไว้ก่อนออกเดินทางว่า การเดินทางคราวนี้จะไปพบสถานที่ที่เขาบวงสรวงแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงสถานที่นี้ ถ้ายังไม่พลบค่ำไม่ควรนอน ให้ไปพักนอนที่อื่น เพราะที่ตรงนั้นผีป่าดุมาก ไม่ว่าใครไปพักนอนเป็นต้องถูกรบกวนนอนไม่หลับตลอดคืน บางคราวเป็นนก เป็นเสือ หรือเป็นกวาง มาคอยรบกวนไม่ให้นอนในเวลากลางคืน
29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินทางข้ามดงใหญ่ คณะที่เดินทางมีด้วยกัน ๓ คน คือ เรา พระภิกษุเขียน และโยมผู้ชาย เมื่อเดินเข้าดงไปก็ได้ไปพบสถานที่ที่เขาบวงสรวงดังกล่าวเข้าจริงๆ พระภิกษุเขียนได้ทราบเรื่องที่โยมแก่ได้สั่งไว้ จึงพูดว่า “ท่านอาจารย์อย่าพักที่นี่เลย” จึงได้ตอบว่า “ต้องพักเป็นอะไรก็รู้กันในคืนนี้” ตกลงก็ต้องพัก ณ ศาลาแห่งนี้ แล้วได้พูดกับโยมว่า “เครื่องบูชาเซ่นสรวงต่างๆ ให้โยมรื้อออกเอาไปเผาไฟให้หมด ผีอะไรจะมาดีกว่าพระ ฉันไม่กลัว” แต่ชำเลืองดูหน้าพระภิกษุเขียนเห็นหน้าซีดเซียวไปหมด

พอถึงเวลาค่ำ จึงได้ก่อไฟขึ้น นั่งประชุมทำวัตรสวดมนต์ แล้วบอกว่า ขอให้เชื่อมั่นในพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นจริงๆ ในคืนนั้นเราเองก็ได้ตั้งอธิษฐานเข้ารุกขมูล ผูกกลดติดกับต้นไม้ และใช้ท่อนไม้หนุนศีรษะ นอนอย่างทรมานตัว ไม่กลัวต่อความทุกข์ยากลำบาก ทุกคนให้นอนอยู่ห่างๆ กัน พอร้องเรียกได้ยินถึงกัน ต่างคนต่างอยู่ อย่าเห็นแก่นอนให้มากนัก เมื่อสั่งเสร็จแล้วต่างคนต่างก็เข้ากลดของตัว เนื่องด้วยได้ตรากตรำเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เรากำลังนั่งสวดมนต์อยู่ โยมลูกศิษย์กำลังนอนหลับ ได้ยินเสียงพระภิกษุเขียนนอนกรนและละเมอ แล้วก็เงียบไป ตัวเองก็ชักรู้สึกเหนื่อยจึงได้ล้มตัวเอนหลังลงนอน ประมาณสักครู่หนึ่งได้ยินเสียงเหมือนคนมากระซิบบอกว่า รีบลุกขึ้น จะมีเหตุ จึงสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมาก็ได้ยินเสียงซู่ๆ ซ่าๆ ห่างจากที่พระภิกษุเขียนนอนอยู่ประมาณ ๕ วา จึงได้รีบจุดเทียน แล้วร้องเรียกปลุกให้ลุกขึ้นทุกคน ได้ก่อไฟขึ้นแล้วนั่งสวดมนต์อยู่กลางดงใหญ่อันเงียบสงัด นั่งสวดมนต์อยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงนกร้องแปลกหู ตรงกับคำเล่าของโยมว่า ถ้าได้ยินเสียงนกร้องชนิดนี้ห้ามนอน เพราะจะมีผีตะมอยมาดูดเลือดกิน ทุกคนจึงต้องนั่งอดนอนกันจนกระทั่งสว่าง ตอนเช้ามืดได้ต้มข้าวฉัน เมื่อฉันแล้วได้เดินดูรอบๆ ที่พัก ได้เห็นรอยเสือขุดดินเป็นทางยาวพร้อมทั้งขี้ใหม่ของมัน ในคืนนั้นได้ปรากฏเหตุขึ้นเพียงเท่านี้

รอจนสว่างเห็นลายมือก็ออกเดินทางต่อไปวันยังค่ำ ไปถึงภูเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งมีน้ำตกสะอาด เสียงน้ำตกดังสนั่นหวั่นไหว จึงได้พากันหยุดพักนอน ๑ คืน ในคืนนั้นไม่ปรากฏว่ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น ตื่นเช้าต้มข้าวต้ม ฉันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป พอถึงเวลาประมาณบ่าย ๑ โมง ได้พากันนั่งพักผ่อนอยู่ภายใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง โยมผู้ชายคนที่ไปด้วยกันก็เข้ามากราบลาจะรีบออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน จากกันตั้งแต่วันนั้นแล้วไม่ได้พบกันอีก สองคนกับพระภิกษุเขียนพากันเดินทางต่อไปจนเกือบมืดจึงถึงหมู่บ้านคน ได้ถามโยมในหมู่บ้านนั้นว่า เห็นโยมคนหนึ่งผ่านมาในหมู่บ้านนี้ไหม ปรากฏว่าไม่มีใครรู้เรื่อง

วันรุ่งขึ้น ได้ออกเดินทางไปจนถึงเชียงแสน เข้าพักอาศัยอยู่ในสวนแห่งหนึ่งประมาณ ๒-๓ วัน แล้วก็ออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดเชียงราย เมื่อถึงจังหวัดเชียงรายแล้วได้ไปพักที่ป่าช้าเล็กๆ แห่งหนึ่งนอกเมือง ก็ได้พบกับหลวงพ่อองค์หนึ่ง เคยเป็นลูกศิษย์เรามาตั้งแต่ยังไม่ได้บวชชื่อหลวงตาหมื่นหาญ ซึ่งหลวงตาได้พาไปแนะนำให้รู้จักผู้กำกับการตำรวจจังหวัดเชียงราย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปจังหวัดลำปาง ผู้กำกับการก็ยินดีต้อนรับช่วยเหลือเต็มที่ ได้พาไปฝากกับรถยนต์โดยสาร จึงได้ขึ้นรถยนต์โดยสารเดินทางต่อไปถึง อ.พะเยา ได้ลงรถยนต์ที่ อ.พะเยา แล้วออกเดินทางต่อไปเดินผ่านถ้ำผาไท ทางรกมาก จนทะลุเข้าเขตจังหวัดลำปาง ได้ไปพักอยู่ในวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสถานีลำปาง ๑ คืน รุ่งขึ้นได้ออกเดินทางต่อไปตามทางรถไฟ ไปถึงถ้ำแห่งหนึ่งที่เขาเรียกว่า ถ้ำแก่งหลวง ได้พักอยู่ที่ถ้ำนี้เป็นเวลา ๓ คืน รู้สึกสบายเพราะเป็นสถานที่สงบสงัดดี ได้ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ก็ไม่มีใครสนใจใส่บาตร ต้องฉันข้าวเปล่าอยู่ ๒ วัน เกลือแม้แต่ก้อนเดียวก็ไม่มี
30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ถึงวันที่สามก่อนออกไปบิณฑบาตได้ตั้งอธิษฐานไว้ในใจว่า วันนี้ถ้าไม่มีกับข้าวตกลงในบาตร เราจะไม่ฉัน ในที่สุดก็ไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่ก้อนข้าวเหนียว เมื่อกลับมาถึงที่พัก ก็มานั่งคิดพิจารณาดูถึงการที่จะเดินทางต่อไปข้างหน้า จึงได้พูดกับพระภิกษุเขียนว่า วันนี้ผมจะเอาข้าว (ให้เป็น) ทานปลา ผมจะไม่ฉันจังหัน จะมีคนเอามาถวายมากเท่าไรผมก็ไม่ฉัน ท่านเขียนจะว่าอย่างไร จะยอมทำอย่างผมไหม พระภิกษุเขียนตอบว่า ผมทำอย่างท่านไม่ได้ เพราะฉันข้าวเปล่ามา ๒ วันแล้วชักจะอ่อนเพลีย จึงพูดว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องออกเดินทางก่อน ท่านอยากฉัน ท่านก็ต้องอยู่ก่อน บางทีอาจมีคนเอามาถวาย พูดแล้วก็จัดเตรียมบริขารออกเดินทาง

นึกในใจว่า วันนี้จะไม่ขอข้าวใครกินโดยการเข้าไปบิณฑบาตและโดยการพูด ถ้ามีใครมาไหว้แล้วนิมนต์ให้ฉัน จึงจะฉัน ออกเดินทางไปได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็มีโยมหญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีประมาณ ๓ หลังคาเรือน ยกมือไหว้ขอนิมนต์ไปฉันอาหารในบ้าน แล้วก็พูดว่า เมื่อวานนี้สามีของดิฉันไปยิงเก้งได้มาตัวหนึ่ง นึกกลัวบาปจึงอยากทำบุญกับพระ ฉะนั้นขอนิมนต์ท่านไปให้ได้ เราเองก็รู้สึกหิวอยู่บ้าง เพราะฉันข้าวเปล่าๆ มา ๒ วันแล้ว ซ้ำวันนี้ก็ยังไม่ได้ฉันเลย จึงนึกว่า ฉันอีเก้งเสียบ้างเถอะ จึงรับนิมนต์ เดินจากทางรถไฟไปนั่งพักอยู่ในป่าเบญจมาสใกล้ๆ บ้าน โยมนิมนต์ขึ้นบ้านก็ไม่ไปพูดว่า นั่งตรงไหนฉันตรงนั้น โยมจึงได้ยกอาหารมาให้ ๒ สำรับ พร้อมด้วยข้าว ๑ กล่อง เมื่อรับประเคนแล้วก็นั่งฉันเสียเต็มอิ่ม ฉันเสร็จยถาสัพพีให้แล้วก็ลาโยมเดินทางมาตามทางรถไฟอีก ๒ คืน จึงถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ ในจังหวัดนี้มีลูกศิษย์อยู่หลายคนแต่ไม่ยอมบอกให้ใครทราบ ได้เดินทางผ่านตลาดไปพักอยู่ที่ป่าช้าแห่งหนึ่งใกล้วัดท่าโพธิ์ แล้วได้ไปนอนคอยพระภิกษุเขียนอยู่ที่วัดท่าเสา ๒ คืน ก็ไม่เห็นมา จึงตัดสินใจว่าเราจากกัน ต่างคนต่างไป ไม่ต้องห่วงกัน
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้