ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม ~

[คัดลอกลิงก์]
31#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พอดีปีนั้นได้เดินทางมาถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ พักอยู่ที่วัดเก่าๆ ข้างสถานีชุมทางบ้านดารา ต่อมาไม่กี่วันได้ไปนั่งพักเล่นอยู่ที่ศาลา เวลาประมาณบ่าย ๒ โมงเศษได้มีโยมคนหนึ่งกับพระองค์หนึ่งเดินเข้ามาพักร้อนในศาลานั้นด้วย จึงได้สนทนากัน ต่างได้ทราบเรื่องของกันและกัน คือพระกับโยมสองคนนี้มีหนังสือลายแทง ออกเดินทางเที่ยวหาขุดทรัพย์ตามสถานที่ปรากฏในลายแทง จะเดินทางไปขุดที่จังหวัดพิษณุโลก โยมผู้ชายคนนั้นชื่อ พ.ท.สุดใจ เป็นนายทหารนอกราชการ พอตอนเย็นๆ เขาก็ออกเดินทางไป จะไปพักที่ไหนไม่ทราบ

ตอนเช้ามืดในคืนนั้นเวลาจวนสว่างได้ยินเสียงคนมาเรียกเราแต่ดึก นึกในใจว่า เอ ใครวะมาเรียก จึงลุกออกดู มองเห็น พ.ท.สุดใจ คนที่ได้พบกันเมื่อวานนี้เอง จึงถามว่า โยมมีธุระอะไร เขาตอบว่า ผมนอนไม่หลับตลอดคืน ในเวลานอนมันให้คิดถึงหน้าท่านเสมอๆ ว่าท่านจะไปอย่างไรคนเดียว จะไปถึงเมืองโคราชโน้นนึกแล้วก็อดสงสารท่านไม่ได้ ฉะนั้น ผมขอถวายค่ารถท่านเพื่อเดินทางไปโคราช ๑๐ บาท เราก็แสดงความยินดีรับไว้ โดยได้เรียกโยมวัดนั้นมารับแทนและเก็บไว้ให้ พอตกเวลากลางคืนได้เกิดมีความคิดขึ้นมาว่า เขาจะมาหลอกเราเสียละกระมัง นึกถึงธนบัตรที่เขามาถวายคงจะเป็นธนบัตรปลอมกระมัง พอคิดได้ดังนี้ จึงเรียกโยมให้เอาธนบัตรที่คนถวายไว้มาดูว่ามันปลอมหรือเปล่า โยมก็รับรองว่าไม่ปลอม

รุ่งขึ้นคืนที่สอง พ.ท.สุดใจ ได้มาอีก แล้วพูดว่า ผมใจไม่ดี กลัวว่าค่ารถที่ถวายท่านไว้จะไม่พอ แล้วเขาได้ถามว่า “ท่านจะไปเมื่อไร” จึงตอบเขาว่า “ไปพรุ่งนี้” เขาตอบว่า “ผมจะจัดการซื้อตั๋วให้และไปส่งที่สถานี” แล้วเขาก็ลากลับ พอวันรุ่งขึ้นเขาก็ได้ไปจัดการซื้อตั๋วเป็นเงิน ๑๑ บาท เดินทางได้ถึงโคราช และจัดการส่งขึ้นรถไฟโดยเรียบร้อย ได้เดินทางโดยทางรถไฟมาสถานีนครสวรรค์ เมื่อถึงสถานีนครสวรรค์ก็เป็นเวลากลางคืน หาที่พักก็ลำบาก มองเห็นศาลาหลังหนึ่งว่างๆ อยู่ก็ได้เข้าไปพักที่นั่น ผูกกลดวางบาตรแล้วก็นั่งพักผ่อน มีโยมผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณกลางคนได้มาขอพักเป็นเพื่อน เราก็นึกว่า คืนนี้ถ้าเขาเป็นขโมย บาตรและบริขารของเราคงหมด เพราะรู้สึกเหนื่อยมาก คงนอนหลับสนิท แต่เอาละ ช่างมันเถอะ ในที่สุดก็มิได้มีเหตุการณ์อะไร กลับไปได้ประโยชน์จากแกเสียอีก คือพอรุ่งเช้าแกได้จัดซื้ออาหารมาถวายเสียด้วยซ้ำ เวลาประมาณ ๑ โมงเช้าก็ได้รีบขึ้นรถไฟพร้อมกับโยมคนนั้นเพื่อเดินทางต่อไป โยมคนนี้แกอยู่ที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี แกได้เดินทางขึ้นไปเยี่ยมลูกสาวของแกที่จังหวัดพิจิตร

เมื่อรถไฟถึงสถานีชุมทางบ้านภาชี เราได้จับรถขบวนใหม่ไปจังหวัดนครราชสีมา เดินทางถึงจังหวัดนครราชสีมา เป็นเวลาประมาณ ๖ โมงเย็น ได้ไปพักกับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งได้มาตั้งสำนักอยู่ในจังหวัดนี้เป็นเวลา ๓ ปีแล้ว ครั้นได้สนทนากันก็มิได้ทราบข่าวท่านพระอาจารย์มั่นเลยว่าท่านไปทางไหน ตกลงก็ต้องจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดนี้ จวนๆ เข้าพรรษาได้มีโยมทางอำเภอกระโทก (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอโชคชัย) มานิมนต์พระสงฆ์ไปจำพรรษาในอำเภอนั้น พระอาจารย์สิงห์ได้ขอให้เราไปโปรด โยมคนนี้คือขุนอำนาจอำนวยกิจ นายอำเภอกระโทก จึงได้ตอบตกลงรับไปโปรดโยมตามคำสั่งของพระอาจารย์สิงห์ ได้ไปทำการอบรมสั่งสอนพระเณร ศรัทธาญาติโยม อยู่ที่อำเภอนี้เป็นเวลาสองปี
32#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปีแรกเมื่อออกพรรษาแล้วได้ทราบข่าวว่าโยมผู้ชายป่วยมาก ก็ได้ดำริจะเดินทางกลับไปบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมเยียนโยมผู้ชาย ครั้นเมื่อวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ขุนอำนาจอำนวยกิจ นายอำเภอได้นิมนต์ไปเทศน์ที่บ้าน ก่อนจะออกจากวัดได้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือเวลาประมาณบ่าย ๕ โมงเย็น ได้มีกระรอกฝูงหนึ่งประมาณ ๑๐๐ ตัวเศษ ได้วิ่งขึ้นไปอยู่หน้ากุฏิลูกศิษย์คนหนึ่ง ชื่อพระภิกษุเย็น ตั้งแต่จำพรรษามาจนตลอดพรรษาไม่เคยมีเหตุแปลกประหลาดเหมือนวันนั้น ฉะนั้น ก่อนออกจากวัดเราจึงเรียกพระเณรทั้งหมดมาประชุมกันที่กุฏิ แล้วสั่งว่า คืนนี้ต้องมีเหตุ ขอให้ทุกคนพากันระมัดระวังตัว และให้ปฏิบัติ ดังนี้

๑. เมื่อทำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้ว ให้ทุกคนกลับไปกุฏิของตัวแล้วนั่งสมาธิอย่างสงบ ห้ามคุยกัน ต่างคนต่างอยู่

๒. ใครมีธุระส่วนตัวที่จะต้องปฏิบัติ อาทิเช่น การเย็บจีวรห้ามทำในคืนนี้

สั่งเสร็จแล้วก็เดินทางไปบ้านนายอำเภอ

เวลาประมาณ ๑ ทุ่มได้นั่งเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ แสดงถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และอุปการคุณ ให้นายอำเภอพร้อมทั้งข้าราชการและญาติโยมชาวตลาดฟัง เทศน์ไปได้ประมาณ ๓๐ นาที ก็มีโยมผู้ชายทางวัดวิ่งมาหา ๒ คน ขณะนั้นเราก็มัวหลับตานั่งเทศน์อยู่ โยม ๒ คนไม่กล้าบอก รอจนเทศน์จบเขาก็รายงานนายอำเภอว่า พระเย็นถูกฟันที่คอ แต่ไม่เข้า

เมื่อได้ทราบดังนั้น นายอำเภอจึงได้เรียกปลัดอำเภอพร้อมทั้งตำรวจพากันไปสืบสวนเรื่องราวที่วัดป่าช้าบ้องชี เราเดินตามไปเพื่อกลับวัด เจ้าหน้าที่ได้วิ่งติดตามคนร้ายไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ไปพบนายอินกับเพื่อนของเขาคนหนึ่งนอนยังไม่หลับ นายอำเภอจึงได้จับตัวทั้งสองมาขังไว้ที่สถานีตำรวจ ทางอำเภอได้ทำการสอบสวนอยู่หลายวัน ส่วนทางวัดเราได้สอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงได้ความสรุปได้ว่า การที่เรามาจำพรรษาที่วัดนี้ได้รับการยกย่องในการปฏิบัติจากนายอำเภอ ข้าราชการ ชาวตลาด และคนในหมู่บ้านใกล้เคียงเป็นส่วนมาก วัดต่างๆ จึงเกิดการอิจฉาไม่ปรารถนาให้เราอยู่ จึงวางแผนขู่ขวัญโดยการทำร้ายพระ ฝ่ายตำรวจก็ได้สอบถามนายอินว่าเหตุไรจึงไปฟันพระ ก็ไม่ได้ความเพราะนายอินไม่ยอมรับ

ในที่สุด หัวหน้าสถานีตำรวจได้มาบอกว่า มันจะรับหรือไม่รับก็ตาม ผมต้องขังไว้ก่อน เพราะอยู่ในอำนาจของผม พรุ่งนี้ผมจะนำตัวส่งไปจังหวัด เมื่อได้ทราบเช่นนี้ก็รู้สึกสงสารนายอิน จะว่าไปนายอินผู้นี้เป็นนักเลงโตเก่า แต่เราเคยใช้สอยเขา เช่นให้ช่วยหาฟืนให้วัด จึงเท่ากับเป็นศิษย์ของเราคนหนึ่ง ฉะนั้น จึงขอให้หัวหน้าสถานีตำรวจนำตัวนายอินและเพื่อนของเขามาหาในวันนี้ เวลาประมาณบ่าย ๓ โมง หัวหน้าสถานีตำรวจก็ได้นำคนทั้งสองมาที่วัด จึงได้พูดสอนนายอินว่า เรื่องนี้ถ้าเราทำจริงๆ ต่อไปขออย่าได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ขอให้ละเว้น ถ้าไม่ได้ทำจริงก็นับว่านายอินเป็นคนดี ฉะนั้น วันนี้อาตมาขอบิณฑบาตนายอินจากหัวหน้าสถานีตำรวจ นับแต่วันนี้เป็นต้นไปขออย่าให้นายอินมาสร้างความเดือนร้อนอีก หัวหน้าสถานีตำรวจปล่อยนายอินเสียแต่บัดนี้ ไม่ต้องก่อเวรกันต่อไป เป็นอันว่าเลิกคดีกันไป
33#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นายอินกลายเป็นคนสนิทของวัด ใช้การใช้งานได้ทุกอย่าง ชาวอำเภอโชคชัยที่เคยอิจฉาริษยาต่างพากันหวาดเกรงมาก คือพูดกันว่าลูกศิษย์ท่านพ่อ คือพระเย็นถูกฟันด้วยมีดขอเต็มเหนี่ยวแต่ไม่เข้า มีแผลยาวเป็นรอยลากมีดถึง ๑ คืบเศษ เพียงลูกศิษย์ของท่านยังถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นตัวอาจารย์จะถึงขนาดไหน ความจริงในเรื่องนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ไม่ใช่เกี่ยวกับว่าพระเย็นเหนียวอยู่ยงคงกระพัน แต่เป็นเพราะวันที่จะถูกฟันนั้น พระเย็นได้ยกเก้าอี้และจักรผ้ามาไว้ที่พะไลกุฏิซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร แล้วนั่งเย็บจีวรอยู่บนเก้าอี้ คนร้ายยืนอยู่บนพื้นดิน ใช้มีดขอด้ามยาวฟันไหล่ซ้าย ด้ามมีดไปปะทะเข้ากับเก้าอี้เลยมีแผลเป็นรอยลากมีดเท่านั้นเอง ต่อมาเราได้เรียกพระเณรทั้งวัดมาประชุมอบรมสั่งสอนในเรื่องนี้ว่า “ต่อไปนี้เมื่อมีเหตุอะไรอย่าพากันหวาดเกรง ขอให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป ผมจะลาไปเยี่ยมโยมผู้ชายที่ จ.อุบลฯ”

ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางออกไป จ.อุบลฯ เมื่อเดินทางไปถึงบ้าน พอดีโยมผู้ชายป่วยหนักเป็นโรคชราเพราะอายุได้ ๖๙ ปีเศษแล้ว ได้พยายามดูแลรักษาพยาบาลโยมอย่างใกล้ชิด พอสมควรจวนเวลาจะเข้าพรรษาก็ได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าช้าบ้องชีตามเดิม นับได้เป็นพรรษาที่ ๒ เมื่อกลับมาแล้วได้ทราบว่า โยมถึงแก่อนิจกรรมเมื่อเดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ

เมื่อออกพรรษาแล้ว รู้สึกคิดถึงพระอาจารย์มั่นมากเข้าทุกที จึงคิดแต่ในใจโดยมิได้บอกกับใครๆ ว่าในฤดูแล้งนี้เราจะต้องไปจากที่นี่ จึงได้ออกเดินทางไปที่วัดสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา เพื่อกราบลาพระอาจารย์สิงห์ ท่านก็อนุญาตให้ไปได้ รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เดินทางกลับไปลาพระเณรญาติโยมที่อำเภอโชคชัย มีเพื่อนที่รักกันมากเป็นคนดูแลก่อสร้างวัดอย่างเข้มแข็ง เขาได้พูดกับเราว่า ไปแล้ว ถ้าไม่กลับมาจำพรรษาอีก จะแช่งให้ตายนะ จึงได้ตอบว่า เราได้พูดกันมามากแล้วในเรื่องไม่เที่ยง จะมาเอาอะไรกันอีกเล่า เพื่อนคนนี้คือหมอวาด เป็นหมอประจำอำเภอโชคชัยนั่นเอง

ตั้งแต่บัดนั้นก็ออกเดินทางเข้าป่าลึกในดงอีสาน ผ่านไปทางกิ่งอำเภอนางรอง จนกระทั่งถึงภูเขาพนมรุ้ง ใกล้เขต จ.บุรีรัมย์ได้ขึ้นไปพักวิเวกอยู่บนยอดเขาสูง บนยอดเขาลูกนี้มีปราสาทหลายหลัง มีสระว่ายน้ำใหญ่ๆ อยู่บนยอดเขา เขาลูกนี้อยู่ห่างไกลหมู่บ้านมาก วันหนึ่ง ไม่ได้ฉันจังหันแต่นั่งนอนภาวนาได้ดี ต่อมาวันหลังได้ลงจากยอดเขามาพักอยู่ที่สระใหญ่เชิงเขา ๑ คืน ได้อาศัยบิณฑบาตมาฉัน ต่อจากนี้ได้เดินทางไปอีกหลายคืน จนกระทั่งถึงอำเภอตะลุง จ.บุรีรัมย์ ที่อำเภอนี้ขุนอำนาจอำนวยกิจได้ถูกย้ายมาจากอำเภอโชคชัยมาเป็นนายอำเภอที่นั่นพอดี เมื่อได้พบกันเข้าก็พากันดีใจ ได้พักอยู่พอสมควรแล้วได้ลานายอำเภอ เดินทางไปประเทศเขมร นายอำเภอก็เป็นธุระจัดออกหนังสือเดินทางชั่วคราวให้

ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปทางประเทศเขมรต่ำ ถึงบ้านฉล็อกอำปืน ผ่านดงใหญ่ ถึงอำเภอสวายเจก จากอำเภอสวายเจกเดินต่อไปถึงศรีโสภณ เมื่อถึงได้มีประชาชนมาสนทนาธรรมด้วย ประชาชนเหล่านั้นได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเดินตามเราเป็นฝูงๆ เมื่อได้ลาจากเขา บางคนทั้งหญิงชาย พากันร้องไห้ ที่อำเภอสวายเจกมีโยมคนหนึ่งนับถือเรามาก ได้พาลูกสาวมาคุยด้วยทุกๆ วัน ลูกสาวเขาบอกกับเราว่าเขาไม่เคยมีสามีเลย ฟังดูสำเนียงเขาอยากให้เราอยู่ในเมืองนี้ เขาจะยินดีช่วยเหลือเราทุกๆ อย่าง ขอให้อยู่เถอะ นานวันเข้าก็ชักจะรู้สึกชอบพอกันมากขึ้นทุกที เห็นท่าจะไม่ได้การ เราต้องรีบหนีไปจึงได้ลาเขาออกเดินทางตรงลงมาทิศตะวันตกถึงอำเภอศรีโสภณเดินทางต่อไปถึงจ.พระตะบอง ไปพักอยู่ที่ป่าช้าวัดตะแอก อยู่ห่างจากในเมืองประมาณ ๑ กิโลเมตร ได้ไปพบโยมคนหนึ่งเป็นเพื่อนของขุนอำนาจอำนวยกิจ ได้ทำการต้อนรับอย่างดี แนะนำให้รู้จักใครต่อใครมากมาย เมื่อได้พักอยู่พอสมควรแล้วก็ลาเขาเดินทางต่อไปยัง จ.เสียมราฐ ไปพักอยู่ในดงที่ป่าช้าแห่งหนึ่งได้มีคนมาทำบุญด้วย ต่อจากนั้นได้ออกเดินทางไปพักที่นครวัด ไปเที่ยวดูวัตถุโบราณของเก่าๆ มากมาย
34#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ได้พักอยู่ที่นครวัด ๒ คืน วันแรกได้ฉันจังหัน วันที่สองไม่ได้ฉัน รู้สึกว่าเวลาออกบิณฑบาตไม่ค่อยมีคนใส่บาตร จึงตัดสินใจว่าเราไม่ต้องกินวันนี้ ในการเดินทางไปครั้งนี้ได้มีลูกศิษย์ติดตามไป ๒ คนเป็นเด็ก พระอีกสององค์ รวมเป็น ๕ คนด้วยกัน

ออกจากนครวัดได้เดินทางต่อไปยังเมืองพนมเปญ ได้เดินทางขึ้นไปบนภูเขาลูกหนึ่ง เป็นภูเขาที่ใหญ่โตและสูงมาก มีที่สงัดวิเวกดีน้ำท่าก็บริบูรณ์ เขาเรียกว่า พนมกิเลน บนยอดเขาสูงลูกนี้มีต้นลิ้นจี่ป่ามากมาย มีลูกแดงสุกอร่าม คำว่า พนมกิเลน แปลเป็นภาษาไทยว่า ภูเขาลิ้นจี่ป่า มีหมู่บ้านเล็กๆ ประมาณ ๒๐ หมู่อยู่รอบๆ เขา ได้พักอาศัยอยู่ที่วัดญวนแห่งหนึ่ง มีพระพุทธรูปสลักติดไว้บนเงื้อมผาใหญ่ ได้พักอยู่ที่นี่ประมาณ ๓-๔ คืน ระหว่างพักอยู่ได้ถือโอกาสไปเที่ยวดูถ้ำต่างๆ ใกล้ๆ ที่พักมีบ้านประมาณ ๑๐ กว่าหลังคาเรือน พอได้อาศัยบิณฑบาต ทีวัดญวนนี้มีพระเขมรอายุประมาณ ๕๐ ปี ๑ รูป พระองค์นี้ตาเสีย ๑ ข้าง มีลูกศิษย์อยู่ ๑ คน ว่างๆ ก็นั่งคุยธรรมะกับท่าน ส่วนถ้ำนี้มีอยู่ ๒ ถ้ำ ถ้ำหนึ่งได้พักอาศัยอยู่กับศิษย์ ถ้ำที่ ๒ อยู่ห่างจากถ้ำพระประมาณ ๕ วา มีเสือใหญ่มาอาศัยอยู่ แต่ในขณะนั้นเสือมันได้ออกไปอยู่ป่าต่ำ เพราะเป็นเดือนเมษายน ถึงฤดูเข้าพรรษาจึงกลับมาเข้ามาอยู่ถ้ำตามเคย ตอนบ่ายได้เดินทางออกจากถ้ำไปพักอยู่ที่วัดญวนตามเดิม ได้พักอยู่ประมาณ ๑ อาทิตย์ แล้วได้ออกเดินทางลงจากภูเขาทางด้านทิศตะวันตก ใช้เวลาเดินทางข้ามเขาประมาณ ๑๐ ชั่วโมงเศษจึงถึงที่ราบแล้วได้เดินทางผ่านมาทิศใต้ของภูเขา พักอยู่ในป่าใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีโยมมาเล่าเรื่องแปลกประหลาดต่างๆ ให้ฟัง ก็นึกชอบใจเรื่องที่เขาเล่านั้นมีใจความดังนี้

มีเขา ๓ ลูกอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๘๐ เส้น บนภูเขา ๓ ลูกนี้มีป่าเต็งรัง มีธารน้ำไหลผ่าน เรื่องที่น่าแปลกประหลาด ก็คือถ้าใครไปตัดไม้ในบริเวณภูเขา ๓ ลูกนี้ มักตายโหงหรือมิฉะนั้นก็เจ็บป่วยหรือมีอาการเป็นไปต่างๆ อยู่เสมอๆ ถึงเวลากลางคืนที่เป็นวันธรรมสวนะ ปรากฏมีแสงสว่างพุ่งออกมาจากยอดภูเขาสูงลูกที่ ๓ เคยมีพระสงฆ์ไปจำพรรษาอยู่บนยอดเขาลูกที่ ๓ บางทีก็ต้องหนีไปกลางพรรษา เนื่องด้วยปรากฏมีลม มีฝน มีฟ้าผ่า เมื่อเป็นเช่นนี้จึงอยากนิมนต์เราให้ขึ้นไปพิสูจน์ดูว่ามีอะไรอยู่บนยอดเขานั้น

ในวันรุ่งขึ้นจึงได้ออกเดินทางไปบนภูเขาลูกที่ ๓ เมื่อขึ้นไปถึงแล้วได้ตรวจพิจารณาดูสถานที่ รู้สึกเป็นที่พอใจและน่าอาศัย แต่ศิษย์ที่ติดตามไปต่างคนต่างพากันหวาดกลัวร้องทุกข์ไม่อยากให้เราอยู่ ในที่นั้น ในที่สุดก็ต้องพากันกลับลงมา ขากลับได้เดินทางผ่านเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้วผ่านออกไปพักอยู่ในป่าที่สงัด พอวันรุ่งขึ้นได้ออกบิณฑบาตในหมู่บ้านนั้น ได้มีหญิงแก่คนหนึ่งถือขันข้าววิ่งตามมาข้างหลัง ร้องตะโกนดักหน้าดักหลัง เลยต้องหยุดรอให้แกได้นั่งใส่บาตร เมื่อรับบาตรเสร็จแล้วก็เดินกลับที่พัก แกได้เดินตามมาด้วย เมื่อถึงที่พักแล้วแกได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนนี้จวนสว่างฉันได้ฝันไปว่า มีคนๆ หนึ่งมาบอกว่าให้รีบลุกขึ้นจัดข้าวปลาอาหารเตรียมใส่บาตรพระธุดงค์จะมาโปรด แกจึงได้รีบลุกขึ้นจัดการเตรียมการอย่างแกฝัน พอดีได้พบเราในเวลาบิณฑบาตจริงๆ แกจึงมีความตื่นเต้นมาก แกเล่าได้ให้ฟังอย่างนี้

ถึงเวลาเย็นชาวบ้านได้ป่าวประกาศบอกกล่าวกันให้มาฟังเทศน์ พอตกเวลาค่ำได้มีชาวบ้านพากันมาฟังเทศน์มาก ตัวเองได้เข้าไปวนเวียนอยู่ในประเทศเขมรเป็นเวลาเดือนเศษ จนสามารถแสดงธรรมเป็นภาษาเขมรได้ ฟังรู้เรื่องกันดี อยู่ต่อมาไม่กี่วัน ได้ทราบข่าวจากโยมว่ามีพระเขมรที่เรียนพระไตรปิฏกสามารถแปลภาษาบาลีได้คล่อง อยากจะมาไล่ธรรมะกับเรา จึงได้ตอบกับโยมว่า ไม่เป็นไร ให้เขามาเถอะ
35#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รุ่งขึ้นเวลาบ่ายพระเขมรรูปนั้นก็ได้มาจริง จึงได้ไต่ถามถกเถียงธรรมะกัน ได้ทำความเข้าใจในข้อปฏิบัติของกันและกันเป็นอย่างดี เรื่องเป็นไปด้วยความสงบระงับเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้น ได้พักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน จนเกิดความสนิทสนมกับบรรดาญาติโยมอย่างมากมาย ต่อจากนั้นได้ร่ำลาญาติโยม เพื่อเดินทางกลับไปยังอำเภอศรีโสภณ ญาติโยมหญิงชายก็ได้ทำส่งเสียติดตามกันมาเป็นทอดๆ เมื่อถึงอำเภอศรีโสภณแล้วพักอยู่ ๒ คืน แล้วได้ออกเดินทางไปเยี่ยมถ้ำบนภูเขาแห่งหนึ่ง เป็นที่สงัดวิเวกดี มีพระจีนองค์หนึ่งได้มาอาศัยวิเวกอยู่ในถ้ำนั้น จึงได้สนทนาธรรมะกัน เกิดความชอบพอถูกอกถูกใจกัน แกได้ชวนให้อยู่จำพรรษาด้วยกันในถ้ำนั้น แต่ลูกศิษย์ไม่อยากจะอยู่

ต่อจากนั้นได้เดินทางต่อไปจนถึงเขตแดนอำเภออรัญประเทศเข้าเขตประเทศไทย ได้พักอยู่ที่อำเภออรัญประเทศพอสมควรแล้วก็ออกเดินทางวิเวกไปตามชายเขาบรรทัด ตัดเข้าลึกจะข้ามเข้าเขต จ.นครราชสีมา มาทางช่องบุพราหมณ์ ขณะนั้นเป็นเวลาจวนเข้าพรรษา มีฝนตกมากตลอดทาง ทากชุม การเดินทางไม่ค่อยจะสะดวก จึงพากันเดินวกออกมาทางชายเขาพะงอบ เดินทางเรื่อยไปทาง ช่องวังหอก จนถึงบ้านตะคร้อ อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี เส้นทางช่องวังหอกนี้ ถ้าเดินตรงเรื่อยไปข้ามดงอีกดงหนึ่งก็เข้าเขตอำเภอกิ่งสะแกบ่าง และถึงนครราชสีมา แต่ตกลงใจไม่เดินทางต่อไปเพราะฝนกำลังตกชุกมาก และได้อยู่จำพรรษาในหมู่บ้านตะคร้อนี้ นับเป็นปี พ.ศ. ๒๔๗๗

หมู่บ้านตะคร้อนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขา มีห้วยใหญ่ไหลลงมาอำเภอประจันตคาม ได้พักจำพรรษาอยู่ที่เชิงเขา มีศิษย์องค์หนึ่งชื่อพระภิกษุสนธิ์ไม่ยอมอยู่ด้วย เขาได้เดินทางกลับผ่าน จ.ปราจีนบุรี ไปจำพรรษที่เขาคอก จ.นครนายก ตกลงจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ๒ รูปและลูกศิษย์อีก ๒ คน ได้พักจำพรรษาอยู่ที่ศาลาเก่าๆ หลังหนึ่งริมห้วยใหญ่น้ำลึก ในพรรษานั้นได้ถูกน้ำป่าท่วมถึง ๗ ครั้ง บางครั้งท่วมมากถึงกับต้องขึ้นไปนอนอยู่บนขื่อศาลา รู้สึกว่าได้รับการทรมานอยู่มากในกลางพรรษานี้ หมู่บ้านนี้หนาแน่นด้วยยาเบื่อ ราษฎรนิยมการขโมยวัวขโมยควายมาฆ่า โจรผู้ร้ายก็ชุกชุมได้พยายามอบรมญาติโยมให้ละความชั่ว ประพฤติแต่ความดีจนกระทั่งบางคนถึงกับละทิ้งเรื่องยาเบื่อ และงดเว้นการฆ่าสัตว์ใหญ่ๆ อาทิเช่น วัวควาย ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ได้โด่งดังไปเข้าหูเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี วัดมะกอก

เมื่อออกพรรษาแล้ว เจ้าคณะจังหวัดปราจีนฯ ได้ขึ้นไปติดตามจนพบแล้วได้เรียกให้เราลงมาอยู่ด้วย เพราะท่านต้องการพระกรรมฐาน จึงได้พร้อมกับท่านเดินทางไปยัง จ.ปราจีนบุรี ท่านได้นำไปให้รู้จักกับผู้กำกับการตำรวจปราจีนบุรี ได้นำไปหาผู้ว่าราชการจังหวัด คือ หลวงสินธุสงคราม ซึ่งหลวงสินธุสงครามได้พูดกับเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรีคำหนึ่งว่า ให้ขอร้องให้เราอยู่สั่งสอนปราบคนร้ายตามชายเขาในเขตจังหวัดนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นตัวเองนึกในใจว่า เราต้องรีบหนีออกจากจังหวัดนี้ มิฉะนั้นจะมีข้อผูกมัด เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วก็ได้นมัสการลาเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรีเดินทางไปอยู่ถ้ำหลวงตาเคน เขาอีโต้ แล้วเดินทางไปยังกิ่งอำเภอสระแก้ง อำเภอกบินทร์บุรีได้เดินทางเข้าดงลึก ไปสำรวจที่พักในเขาแห่งหนึ่งชื่อ เขาสิงห์โต เมื่อไปเห็นถ้ำแล้ว ไม่ชอบเพราะเป็นถ้ำทึบ จึงออกเดินทางหันหลังกลับลงมาจากเขา วันนั้นได้เดินลัดตัดดงจะข้ามไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้เดินหลงทางเพราะเป็นเวลากลางคืน ได้เดินอยู่จนกระทั่งเวลาประมาณตี ๔ บุกดงบุกป่าเพื่อมุ่งตรงไปหาหมู่บ้าน แต่กลับวกคืนกลับมาทางเดิม จนเกือบถึงกิ่งอำเภอสระแก้ว
36#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วันรุ่งขึ้นเมื่อฉันจังหันเสร็จแล้ว ได้ออกเดินตัดดงมุ่งไปยังเขาฉกรรจ์ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากกิ่งอำเภอสระแก้วประมาณ ๑๕ กิโลเมตร พอไปถึงหมู่บ้านนี้ก็ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำเขาฉกรรจ์ ภายในถ้ำนี้เป็นสถานที่เงียบสงัดวิเวกไม่มีคนรบกวน เพราะเขาลูกนี้อุดมไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด เช่น เสือ หมี ซึ่งอาศัยอยู่รอบๆ เชิงเขา เวลากลางคืนดึกสงัด ขณะนั่งสมาธิได้ยินเสียงช้างร้องเดินเอางวงหักกิ่งไม้รอบๆ เชิงเขา มีหมู่บ้านตั้งห่างประมาณ ๑ กิโลเมตร ได้พักอยู่เป็นเวลาหลายวัน ต่อจากนั้นได้ออกเดินทางตัดข้ามดงใหญ่ซึ่งไม่มีบ้านคนเลยเป็นระยะทางประมาณ ๗๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ๒ คืน ระหว่างทางต้องพักนอนกลางดงทั้ง ๒ คืนเพราะไม่มีหมู่บ้านเลย

เดินทางเรื่อยมาจนกระทั่งเข้าเขต จ.จันทบุรี เดินทางผ่านบ้านตาเรือง บ้านตามูล แล้วผ่านเข้าเขตอำเภอมะขาม จ.จันทบุรี เดินวกไปตามชายดงหลังเขาสระบาป จนทะลุถึงอำเภอขลุง จ.จันทบุรี เมื่อมาถึงอำเภอขลุงได้ทราบข่าวว่าขุนอำนาจอำนวยกิจได้ลาออกจากราชการ และมาพักอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีแล้ว ก็รู้สึกดีใจมาก จึงได้ออกเดินทางผ่านเข้าไปในเมืองจันทบุรี ได้ออกไปพักอยู่กลางทุ่งตรอกบ้านประดู่ ด้านทิศใต้ของตลาดจันทบุรี แล้วได้เข้าไปเยี่ยมขุนอำนาจฯ ที่บ้าน ท่านได้จัดหาที่พักอันสงัดให้แห่งหนึ่ง เป็นป่าช้าผีดิบ อยู่ห่างจากตลาดประมาณ ๒๐ เส้น สถานที่นี้เป็นป่าไผ่ ป่าไม้แต้ว มีหญ้าขึ้นรกหนาแน่น มีที่ว่างพอจะพักอยู่ ๑ แห่งคือ ที่สำหรับเผาผี ที่นี้เขาเรียกว่า ป่าช้าคลองกุ้ง จึงได้ออกไปจำวัดพักอาศัยอยู่ในป่าช้านี้ ตอนนี้มีพระแก่ติดตามมาจาก จ.ปราจีนบุรี องค์หนึ่งและเด็กลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง นอกจากนั้นขอลากลับบ้านหมด

พอถึงเวลาจวนเข้าพรรษา ญาติโยมชาวจันทบุรีได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาในป่าช้านั้น จึงได้นำเรื่องไปเรียนเจ้าคณะผู้ปกครองท่านก็ไม่รับรอง จึงได้สั่งให้ขุนอำนาจฯ ไปกราบเรียนเจ้าคณะมณฑลที่กรุงเทพฯ คือเจ้าคุณราชกวี วัดเทพศิรินทราวาส ท่านได้มีหนังสือถึงเจ้าคณะผู้ปกครองว่าให้อนุญาตให้เราอยู่จำพรรษาในที่นั้นได้

ในพรรษาที่เดินทางถึง จ.จันทบุรี และได้อยู่ที่ป่าช้าคลองกุ้งนี้ ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๔ พ.ศ. ๒๔๗๘ ในพรรษาแรกชาวจันทบุรีต่างคนต่างพากันตื่นเต้นสนใจปฏิบัติธรรม ในปีแรกนี้มีพระ ๑ องค์ เณร ๑ องค์ได้มาจำพรรษาอยู่ด้วย เมื่อออกพรรษาแล้วได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ได้มีคนสนใจในเรื่องธรรมปฏิบัติกันมากขึ้น ขณะเดียวกับฝ่ายตรงกันข้าม พวกที่อิจฉาริษยาที่เป็นพระก็มี ที่เป็นโยมก็มี ได้เริ่มโจมตีเป็นการใหญ่ บางวันก็ปรากฏมีบัตรสนเท่ห์เขียนปิดไว้ตามป้ายกลางตลาดก่อเรื่องเสียหายหนักขึ้นๆ ทุกที

วันหนึ่งมีผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่ง ได้แสดงตนเป็นลูกศิษย์เราออกไปเที่ยวเรี่ยไรบอกบุญตามตลาด ว่าได้ติดตามเรามาด้วย ขอสตางค์เขาบ้าง ขอข้าวสุกบ้าง ขอข้าวสารบ้าง ได้ตระเวนเดินเที่ยวขอจากชาวตลาดทั่วเมือง จนกระทั่งไปถึงบ้านหม่อมอนุวัตรวรพงศ์ฯ หม่อมฯจึงได้พูดเรียกตัวเข้าไปในบ้าน แล้วเปรียบเปรยมาถึงตัวเรา ทั้งๆ ที่เรายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย หม่อมได้พูดตามข้างถนนบ้าง ตามบ้านร้านตลาดบ้าง ว่าเราเป็นพระเหลวไหล จรจัด ปล่อยให้ศิษย์เที่ยวมาบอกบุญชาวบ้าน...........
37#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรื่องนี้ได้โด่งดังแพร่สะพัดไปทั่วทั้งตลาดจันทบุรี ตัวเองก็ไม่ได้ทราบมูลความจริงเลย เผอิญคุณนายกิมลั้งภริยาขุนอำนายฯ และนางเฟือง ซึ่งเป็นผู้รู้จักเราอย่างดีว่าเป็นอย่างไร ได้ทราบเรื่องกล่าวหานี้ จึงได้ตรงไปถึงบ้านหม่อมอนุวัตรวรพงศ์ฯ ได้ไปพบผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีอยู่ที่บ้านนั้นด้วย จึงได้เอ่ยต่อหม่อมอนุวัตรวรพงศ์ฯ ว่า ท่านได้เที่ยวพูดเหยียดหยามหาเรื่องใส่พระอาจารย์โดยไม่มีมูลความจริง ต่อไปนี้ขออย่าได้พูดอีก จึงได้เกิดการโต้เถียงกันต่อหน้าผู้ว่าราชการจังหวัด

ในที่สุดเมื่อได้สืบสวนแล้วได้ความจริงว่า ยายแก่คนนั้นเป็นคนที่มาอาศัยอยู่กับพระที่วัดใหม่ แกไม่ใช่ศิษย์ของเรา และตัวเราเองจะไปไหนก็ไม่เคยปรากฏว่ามีศิษย์หญิงติดตาม เรื่องจึงได้สงบเงียบไป

ต่อมาถึงพรรษาที่สอง ได้เกิดมีเรื่องอีก ได้มีฆราวาสบางคนนำเรื่องราวของเรามากราบเรียนถวายสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธ (คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (มจ.ภุชงค์ ชุมพูนุท สิริวฑฺฒโน)) โดยกล่าวหาว่าเราเป็นพระหลอกลวง สมเด็จพระสังฆราชจึงได้มีหนังสือสั่งให้พระครูคุรุนาถ วัดจันทนาราม เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี ไปสืบถามเรา จึงได้คัดลอกหลักฐานใบสุทธิส่งไปถวายโดยด่วน ท่านได้รับสั่งว่ารอให้ออกพรรษาเสียก่อนจะไปดูด้วยตนเอง เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็ได้เดินทางไป จ.จันทบุรี พอเราได้ทราบข่าวว่าเรือเมล์ที่ท่านโดยสารมาถึงท่าแฉลบ จึงได้ชักชวนญาติโยมไปทำการต้อนรับท่านได้ไปพักอยู่ที่วัดจันทนาราม ๑ คืน

รุ่งเช้าเมื่อฉันจังหันเสร็จแล้ว ท่านได้มาเยี่ยมเราที่วัดป่าคลองกุ้ง จึงได้นิมนต์ท่านให้แสดงธรรมะแก่บรรดาญาติโยม ท่านรับสั่งตอบว่า เราไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐาน จะให้มาแสดงธรรมะกรรมฐานได้อย่างไร ประการต่อไปท่านได้รับสั่งว่า เราได้ทราบว่า มีคนนิยมเลื่อมใสเธอมาก เรานึกว่าพระอย่างเธอนี้หายาก เมื่อได้รับสั่งเสร็จแล้วก็กลับไปวัดจันทนาราม แล้วเดินทางกลับพระนคร

ต่อมาถึงพรรษาที่สาม ประชาชนชาวจันทบุรียิ่งเกิดความนิยมเลื่อมใสมากขึ้น มีคนในตลาดและตามบ้านมาฟังเทศน์ที่วัดกันมากขึ้น จนกระทั่งนายซองกุ่ยเจ้าของรถยนต์โดยสารเกิดความศรัทธาออกประกาศว่า ถ้าใครนั่งรถยนต์ของเขามาฟังเทศน์พระอาจารย์องค์นี้ (หมายถึงตัวเรา) เขายินดีลดราคาค่าโดยสารให้เป็นพิเศษ สำหรับตัวเราเองตลอดจนกระทั่งพระเณรในวัดจะเดินทางไปไหนมาไหนไม่ต้องเสียค่ารถ นับวันก็มีคนรู้จักมากขึ้นๆ ทุกวัน ตลอดจนกระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอทุกอำเภอ
38#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ได้ออกเดินทางเที่ยวธุดงค์ไปเทศน์สั่งสอนอบรมประชาชนตามตำบลต่างๆ ทุกอำเภอในจังหวัดจันทบุรีเมื่อเดินทางกลับมาถึงจังหวัดแล้วได้เขาไปแสดงธรรมะในเรือนจำเกือบทุกวันอาทิตย์ ในเวลานั้นพระนิกรบดีเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ขุนภูมิประศาสน์เป็นนายอำเภอท่าใหม่ ทั้งสองท่านนี้รู้สึกว่าเป็นผู้ห่วงใยให้ความสะดวกในการไปมาอยู่เสมอ บางคราวก็ได้นิมนต์ไปเทศน์อบรมนักโทษและผู้ต้องหาที่วัดบ้าง ที่อำเภอบ้าง บางครั้งก็นำไปเทศน์อบรมราษฎรตามตำบลต่างๆ ในเขตอำเภอท่าใหม่ โดยเฉพาะตำบลนายายอามซึ่งเป็นตำบลที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก เพราะพื้นที่เป็นป่าทึบ ได้พยายามติดต่อสั่งสอนอบรมประชาชนอยู่อย่างนี้เสมอมา

เหตุการณ์ต่างๆ และเรื่องราวของบุคคลที่อิจฉาฯ คอยก่อนกวนปั้นข่าวใส่ร้ายต่างๆ นานา ก็ยังคงมีอยู่อย่างหนาแน่นในจังหวัด แต่ไม่เคยรู้สึกหวาดหวั่นเกรงกลัวสิ่งใดๆ ทั้งหมด บางวันคุณนายกิมลั้ง ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากนับถือประดุจมารดาได้มาเตือนว่า เขาจะต้องเล่นงานท่านหลายวิธี ทางผู้หญิงบ้าง ทางนักเลงโตบ้าง ให้คอยจับผิดเพื่อหาโอกาสใส่ร้ายบ้าง ท่านจะสู้เขาไหวไหม ถ้าสู้ไม่ไหว ขอนิมนต์ไปอยู่เสียที่อื่นเถอะ จึงได้ตอบไปว่า ขอให้ยกกันมาอีก ๒ จันทบูรณ์ ฉันก็ไม่หนี แต่ถ้าเรื่องราวต่างๆ สงบลงเมื่อไร ฉันอยากหนีเหมือนกัน หลังจากนั้นก็ได้พยายามสร้างความดีติดต่อกันเรื่อยมา ได้มีบางหมู่บ้านต้องการพระปฏิบัติไปอยู่ประจำ ก็ไม่มีพระจะให้เขา เฉพาะอย่างยิ่งขุนภูมิประศาสน์ นายอำเภอท่าใหม่ต้องการนิมนต์ให้ไปอยู่บ้านนายามอาม เพื่อเป็นการช่วยทางบ้านเมืองปราบปรามโจรผู้ร้าย จึงได้รับปากว่าจะหาพระให้ แล้วได้มีจดหมายไปขอพระจากวัดพระอาจารย์สิงห์ ท่านก็ได้จัดส่งพระมาให้รวม ๕ รูป ได้ไปตั้งสำนักขึ้นที่ตำบลนายามอาม บ้านนี้เป็นบ้านที่อัตคัดขาดแคลนมาก จะหาแม้เพียงเสียมขุดหลุมปักเสากุฏีก็หาไม่ได้

เมื่อได้ส่งพระไปจัดตั้งสำนักเรียบร้อยแล้ว ก็ได้พาญาติโยมไปเยี่ยม อาทิ คุณนายหงส์ ภริยาหลวงอนุทัยฯ คุณนายกิมลั้ง ภริยาขุนอำนาจฯ เป็นหัวหน้าคณะญาติโยม พอไปถึงสำนักที่พักตำบลนายายอาม ได้เห็นภาวะความเป็นอยู่ของชาวบ้านและพระเณรที่ได้ส่งไป อยู่ในฐานะอัตคัดขาดแคลน คุณนายกิมลั้งทำท่าทางโฉงฉางแล้วพูดเอ็ดขึ้นว่า พาเอาพระมาอดๆ อยากๆ ตกระกำลำบาก ขอพวกท่านอย่าอยู่กันเลย กลับไปอยู่ จ.จันทบุรี เสียเถิด พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ซึ่งเป็นหัวหน้าอยู่ที่สำนักพอได้ยินเช่นนี้ก็ใจเสีย คิดกลับจันทบุรีจริงๆ ในที่สุดสำนักนี้ก็เลยร้างไม่มีพระอยู่จำพรรษาต่อไป

ต่อมาได้ออกไปจำพรรษาอยู่บ้านหนองบัว อ.เมืองจันทบุรี ได้อบรมญาติโยมให้ออกไปช่วยกันเผยแผ่ใน จ.จันทบุรี ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่ จ.จันทบุรี นี้ ได้ออกไปเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ หลายจังหวัด ครั้งหนึ่งได้เดินทางไปจังหวัดตราดได้ไปพักอยู่ป่าช้าวัดลำดวน มีญาติโยมพากันมาฟังเทศน์ประมาณ ๒๐๐ คน มีญาติโยมจากจันทบุรี ติดตามไปด้วยอีกประมาณ ๑๐ กว่าคนในคืนวันนั้นเวลาหัวค่ำ กำลังจะแสดงธรรมเทศนา ได้มีเหตุเกิดขึ้นโดยมีคนร้ายขว้างปาอิฐเข้ามาในกลุ่มคน ๓ ก้อนโตๆ ตนเองก็ไม่รู้ความหมายว่าเหตุไรจึงมีคนแกล้งเช่นนั้น พวกญาติโยมก็พากันแตกฮือขึ้น ปีนั้นกำลังเกิดสงครามอินโดจีน เราเองเคยได้ยินเสียงปีนใหญ่ยิงอยู่ในทะเลเสมอๆ พอเกิดเหตุขึ้นก็นึกถึงลูกปืน บางคนลุกขึ้นจะวิ่งตาหาตัวคนร้าย เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงได้กล่าวเตือนญาติโยมว่า โยมอย่างยุ่ง อย่าตาม ถ้าเขาเป็นคนดีควรตาม ถ้าเป็นคนร้าย อย่าตามตามฉันดีกว่า ฉันไม่กลัวอะไรเลย อย่าว่าแต่ก้อนอิฐ ต่อให้เอาปืนมายิงอกฉัน ฉันก็ไม่กลัว ยิงปากก็ออกก้น ไม่ต้องกลัวคน พอได้ฟังเช่นนี้บรรดาญาติโยมก็นิ่งเงียบหมด จึงได้แสดงธรรมให้ฟัง มีใจความโดยย่อว่า การไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก
39#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อได้พักผ่อนพอสมควรแล้ว ได้ออกเดินทางไปอำเภอแหลมงอบเพื่อไปเยี่ยมญาติโยม คือภริยาของนายอำเภอแหลมงอบได้ไปพักอยู่ ๒ วัน แล้วพาญาติโยมลงเรือข้ามทะเลไปพักอยู่ในป่าลึกเงียบสงัดที่เกาะช้างได้เทศน์อบรมญาติโยมพอสมควรแล้วก็เดินทางกลับอำเภอแหลมงอบ ได้พักอยู่ที่ตำบลหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอ มีต้นไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง มีญาติโยมมาพักด้วยเกือบ ๒๐ คน ต่างคนต่างจัดเตรียมที่พักของตน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเวลาประมาณ ๓ โมงรู้สึกเหนื่อยจึงเข้ากลด พักอยู่สักครู่หนึ่งก็ไม่หายเหนื่อย เพราะหนวกหูพวกโยม ก่อไฟบ้าง คุยกันบ้าง หักฟืนเสียงดังบ้าง จึงลุกขึ้นจากกการนั่งสมาธิเปิดกลดออกไปร้องถามว่าเรื่องอะไรกัน พูดได้ไม่กี่คำก็เห็นยุงทะเลบินเป็นกลุ่มมืดมาทางร่มไทรใหญ่ นึกในจิตใจของตนว่า เรามีเมตตาไม่เคยคิดฆ่าสัตว์เลยตั้งแต่บวชมา คิดเช่นนั้นแล้วก็เปิดมุ้งตลบขึ้น ร้องสั่งญาติโยมและพระเณรทุกคนว่า ให้ทุกคนดับไฟเดี๋ยวนี้ จุดธูปแล้วตลบมุ้งขึ้น นั่งสมาธิรวมกันทุกคน ฉันจะภาวนาแผ่เมตตาต่อสู้ยุงโดยไม่ต้องแสดงมารยาท บรรดาสานุศิษย์เมื่อได้ยินดังนั้นก็พากันทำตามทุกคน จึงได้แสดงธรรมะเมตตาอยู่ประมาณ ๕ นาที ยุงก้อนนั้นก็จางหายไปเกือบหมด ไม่ปรากฏว่ากัดหรือตอมผู้ใดแม้แต่ตัวเดียว

คืนนั้นได้พักอยู่ที่นั่น ตอนเย็นได้มีญาติโยม นายอำเภอ พร้อมทั้งข้าราชการ ชาวบ้านร้านตลาดได้พากันมาฟังเทศน์มาก จึงได้แสดงธรรมะให้เขาฟัง เมื่อได้พักอยู่พอสมควรแล้วก็ออกเดินทางผ่านตำบลคลอดใหญ่ ข้ามเขาอีโต้ เผอิญมาพบศิษย์คนหนึ่งที่แหลมยางเขาเอาเรือมาขนไม้หัวหมู (คันไถ) เขาได้นิมนต์ขึ้นเรือของเขาชื่อ กุมารทอง บ้านเขาอยู่ตลาดแหลมสิงห์ใกล้ จ.จันทบุรี ได้เดินทางกลับมาถึงวัดป่าคลองกุ้งตามเคยแล้วได้อยู่จำพรรษาทีนี้

ในพรรษานี้เกิดอาพาธมีอาการปวดท้องเป็นกำลัง ฉันยาอะไรก็ไม่หายเลย นั่งสมาธิจนเกือบสว่าง นั่งไปถึงเวลาประมาณตีสี่ ได้เคลิ้มฝันว่า โรคนี้เป็นโรคกรรม ไม่ต้องกินยา คือมีความรู้สึกเวลานั่งสมาธิแล้วก็เงียบสนิทคล้ายหลับ แล้วเห็นนิมิตปรากฏขึ้นในใจ มองเห็นกรงนกเขากรงหนึ่ง นกเขาที่อยู่ในกรมตัวผอมโซได้ความว่า ครั้งหนึ่งเคยเลี้ยงนกเขาไว้แล้วลืมให้ข้าวให้น้ำแก่นกเป็นเวลาหลายวัน กรรมอันนั้นจึงติดตามมาสนอง ให้ตัวเองเกิดเป็นโรคกระเพาะขึ้นในครั้งนี้ ฉะนั้นมีทางเดียวโรคนี้จะหายขาดคือการทำความดีในทางจิต ด้วยเหตุนี้จึงได้คิดออกเดินทางไปวิเวก

เมื่อออกพรรษาแล้วจึงได้ออกเดินทางไปยังอำเภอท่าใหม่ ได้เทศน์อบรมญาติโยมเรื่อยๆ ไป ได้เดินทางไปจนถึงปากน้ำประแสร์ อำเภอแกลง ได้ไปพักอยู่ข้างตลาดแห่งหนึ่ง มีชาวตลาดเจ๊กจีนมา ทำบุญใส่บาตรกันมากมาย มีหญิงจีนคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปี มาขอโกนผมแล้วพูดว่าจะขอติดตามหลวงพ่อ เขามีบุตรเพิ่งคลอดได้ ๒ เดือน เตรียมตัวบวชนุ่งผ้าขาวมาเสร็จ แต่ได้เกิดมีเรื่องขึ้นคือ มีลูกชายได้ติดตามมาขอร้องให้กลับบ้าน แกก็ไม่ยอมกลับ จึงได้เกิดวุ่นวายกันขึ้น เวลานั้นได้ถูกญาติโยมรบกวนมาก กลางวันไม่มีเวลาพัก กลางคืนเทศน์
40#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อยู่มาวันหนึ่งได้เดินข้ามไปทางทิศตะวันตกของตลาด คือคิดจะหนีผู้หญิงจีนคนนั้น พอดีแกลากลับบ้านไปเก็บของ ลูกชายแกเดินสวนทางมา วันนั้นพอฉันจังหันเสร็จก็หาทางปลีกตัวไปอยู่แต่ลำพังในป่าช้าอันลึก รกด้วยหนาม ได้เข้าพักอยู่ในร่มไม้เตี้ยๆ แห่งหนึ่ง ปูเสื่อกระจูดนั่งนอนพัก ยังไม่ทันได้หลับตา ขณะนั้นได้อธิษฐานใจว่า ถ้าไม่ถึงบ่าย ๒ โมงจะไม่ออกไป สักครู่เดียวได้ยินเสียงซ่าๆ บนยอดไม้เตี้ยๆ มองขึ้นไปเห็นรังมดแดงแตก ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเถาวัลย์พันอยู่ที่รังมดแดง เรานั่งทับโคนเถาวัลย์เข้า มันก็แตกกระจายร่วงหล่นลงมาบนที่นอน รุมกัดเป็นการใหญ่ เราลุกขึ้นนั่ง มดแดงเกาะแข้งขาเต็มไปหมด ได้ตั้งใจแผ่เมตตาจิตอุทิศกุศลให้สัตว์ทั้งปวง ตั้งสัตยาอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าตั้งแต่บวชมาไม่เคยนึกเลยว่าจะฆ่าสัตว์เบียดเบียนสัตว์นี้ข้อหนึ่ง

ข้อสองถ้าชาติก่อนภพก่อนข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนกินท่านทั้งหลายเหล่านี้ ก็ขอให้กัดกินเสียให้พอ แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่เคยเบียดเบียนท่านมาแต่กาลก่อน ขอจงเลิกแล้วต่อกัน อย่ากัดข้าพเจ้าเลย อธิษฐานเสร็จก็นั่งสมาธิ จิตสงบ เงียบสงัด เสียงซู่ๆ ซ่าๆ ของมดแดงก็เงียบหายไป มดแดงแม้แต่ตัวเดียวก็ไม่เกาะติดหนัง รู้สึกเป็นอัศจรรย์ยิ่งในธรรมะ พอลืมตาดูเห็นมดแดงเกาะอยู่ตามริมขอบเสื่ออย่างมากมาย เกาะกันเป็นแถว

พอได้เวลาจวนเพล ได้ยินเสียงมีโยม ๒ คนเดินมาหา เมื่อเข้ามาใกล้ๆ ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเป็นเสียงเจ๊ก ได้ยินเสียงตีพุ่มไม้แล้วร้องดังๆ ไอ๊ย่าๆ เราได้ยินก็นึกขันอยู่ในใจ จึงร้องถามว่า เรื่องอะไรกัน เขาตอบว่า มดแดงกัด ผลที่สุดโยมเจ๊กสองคนนั้นไม่สามารถเข้าไปหาเราได้ ได้เวลาบ่ายสองโมงก็ออกจากที่นั่งพักกลับมาสู่ที่พักข้างนอก จึงได้ความว่าจีนสองคนนั้นเป็นลูกชายของโยมจีนที่จะขอติดตามเราไป จึงได้นั่งสนทนากับเขา ลูกชายพากันร้องไห้ไหว้วอนขอให้หลวงพ่อช่วย ขออย่าให้แม่ติดตามไป เพราะน้องยังเล็กอยู่ พ่อหรือก็แก่แล้ว

ถึงเวลาค่ำหญิงจีนคนนั้นก็มาถึงในมือถือร่ม สะพายย่าม นุ่งขาวห่มขาว แกมาบอกว่า จะติดตามหลวงพ่อ ก็ได้พูดขู่เข็ญแกต่างๆ แกก็พูดอย่างห้าวหาญว่า ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ขอให้ได้ไปด้วยก็แล้วกัน จึงบอกแกว่า ถ้าฉันไม่กินข้าว โยมจะทำอย่างไร แกก็ตอบว่า ไม่กิน ถามว่า ถ้าฉันไม่กินน้ำละ แกตอบว่า ไม่กินเหมือนกัน ยอมตายทุกอย่าง แกพูดต่อไปว่า ฉันทุกข์เรื่องครอบครัวมาหลายปีแล้ว พอได้พบหลวงพ่อรู้สึกใจเย็นเบิกบานกล้าหาญ เวลานี้ฉันสามารถพูดธรรมะให้ญาติโยมฟังแทนหลวงพ่อได้ ทั้งๆ ความจริงแกพูดไทยก็ยังไม่ชัด จึงลองขยับถามเรื่องธรรมะกับแก แกก็ชี้แจงเหตุผลล้วนแต่เป็นธรรมะทั้งสิ้น เป็นการน่าอัศจรรย์ ญาติโยมที่แก่ธรรมะต่างยกมือขึ้นสาธุเมื่อได้ฟังแกพูดจบลง แต่ตนเองหนักใจมาก

ในที่สุดต้องปลอบใจสั่งสอนอบรมว่า เพศหญิงจะไปกับพระไม่ได้ แสดงธรรมะให้แกฟังอยู่เป็นเวลา ๒-๓ วัน ในระยะนั้นในระหว่างเวลาเดินทางเป็นโรคปวดท้องทุกวัน พอได้พบเหตุการณ์นี้เข้าอาการปวดท้องหายไปหมดสิ้น นับตั้งแต่วันออกเดินทางเป็นโรคปวดท้องอยู่รวมทั้งสิ้น ๓๑ วัน

ได้เทศน์อบรมอยู่จนแกยอมปฏิบัติตามคำสอนทุกอย่าง ในที่สุดได้ยอมกลับไปอยู่บ้าน จึงได้พูดบอกกับแกว่า จะหาเวลามาโปรดเสมอๆ ไม่ต้องกลัว ฉันพักอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้งนี่เอง ที่พบกันนั้นเขายังไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน แต่พอเห็นเข้าก็แสดงความยินดีและพอใจ เมื่อได้ทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ออกเดินทางกลับจันทบุรี โรคปวดในท้องก็หายไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้