ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4065
ตอบกลับ: 12
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ลพ.โต. บางกระทิง

[คัดลอกลิงก์]

http://www.pralanna.com/boardpage.php?topicid=58969

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
เมื่อกล่าวถึงพระหลวงพ่อโต บางกระทิง  อยุธยา นักนิยมพระรุ่นเก่า ร้องอ๋อ  พระนักเลงได้น้อง ห้อยแล้วชอบมีเรื่อง   สำหรับนักเลงโดยเฉพาะ หรือสำหรับคนนิยมของแรง ๆ  พุทธคุณทางอยู่ยงคงกระพัน เลือกพระกรุนี้ไว้ใช้ไม่ผิดหวัง          ย้อนไปเมื่อประมาณ 11 ปี ก่อนครั้งแรกที่ผมเริ่มจะเช่าพระ  พระองค์แรก คือพระวัดปากน้ำ รุ่น  6 องค์ละ 300 บาท เช่ามาห้อยอย่างหรูเลย แต่เป็นอย่างไรไม่ทราบรู้สึกถูกชะตากับพระหลวงพ่อโต บางกระทิง  ทั้งพิมพ์ทรงประสบการณ์  ตอนนั้นเรียนอยู่ มัธยมปีที่ 5 ศรัธทาพระหลวงพ่อโต มาก เก็บเงินค่าขนมได้ อยู่ 700 บาท ก็ตั้งใจว่าจะฝากพ่อไปเช่าพระหลวงพ่อโต ซักองค์ ฝากไปทีไร เวลาพ่อผมเข้าท่าพระจันทร์ ก็ไม่เห็นเช่ามาให้ซักที ตอนหลังมารู้ว่าแกเก็บแต่พระเกจิอาจารย์ พระกรุดุไม่เป็น  
           ถึงขนาดผมไปด้วยที่วัดราชนัดดา  พบเซียนพระแต่ไม่ค่อยมีขื่อเสียงเท่าไร แต่เล่นพระดี ซื่อตรง  พอบอกว่าผมอยากได้พระหลวงพ่อโต ครับ  ลุงมีอยู่หรือเปล่า  จะเช่ามีงบ 700 บาท แกส่ายหัวไปมา พร้อมมองหน้าพ่อผม  แล้วพูดว่า  " อย่าเอาไปเลยหนุ่ม  ลุงปล่อยไปให้แต่ละคน นำไปใช้ นำมาขายคืนทุกที  "  เพราะเอาไปห้อย แล้วมีเรื่องตีกับเขาอยู่เรื่อย  เจ็บตัวเปล่า หาอย่างอื่น ซิ นี้หลวงพ่อโตเหมือนกัน

พอเห็นพระองค์ที่แกเสนอให้   ผมบอก " โฮ้พระอะไรครับลุง น่ารักเชียว  ทรงหลวงพ่อโต บางกระทิง ซะด้วยแต่ทำไมไม่ดุ เลย ดูน่ารัก "  แกบอก เฮ้อ ๆ  นี่แหละน้องน่าเอาไปห้อยมากกว่า หลวงพ่อโตหลวงปู่นาค วัดระฆังสร้าง  เนื้อผงพุทธคุณร้อยแปด  เมตตาดี ไม่มีบู๊  ห้อยแล้วปลอดภัยหายห่วง "  ตกลงก็วันนั้นเช่าหมด  4 องค์ ๆ ละ 150 บาท ยืมเงินพ่อเช่าด้วย   เอามาเก็บไว้ตอนหลังก็ปล่อยไป องค์ละ 600 บาท หมดเหมือนกัน  
           ผ่านมาหลายปี ผมเล่นพระเจอหลวงพ่อโต หลายสภาพทั้งสึก ทั้งสวย ทั้งเก๊ มีหมด โดนหมด เพราะเล่นแบบแลกหมัดกันเลย ไม่ต้องมีครูโดน เป็นโดน  บางองค์ที่ผมโดนมาแสบ ขนาดหนังสือพระบางเล่มเอาไปลงเป็นองค์ครู เปรียบเทียบเก๊แท้กันเลย แล้วอย่างนี้คนเล่นพระรุ่นหลังจะเป็นไหมเนี่ย  ก็คิดดูถ้าดูแต่รูปตำหนิต่าง ๆ  องค์ที่ผมโดนเก๊ คนต้องชอบแน่นอน ธรรมชาติดีมาก ๆ  แต่เก๊คือเก๊ ครับ เซียนรุ่นเก่าชั้นเซียน ปรมาจารย์ เขาเห็นเยอะตั้งกะองค์ละ 5 บาท  เห็นปั๊บ เก๊นะไอ้น้อง

    ก็ไม่เป็นไร เก๊ก็เอาไว้เป็นครู เราเกิดไม่ทันช่วงพระออกจากกรุ ซะนี้ ต่อมาเห็นหนังสือพระเขียน ว่าพระหลวงพ่อโต แม้จริงไม้ได้เป็นพระนักเลง อะไรทั้งนั้นคิดกันไปเองทั้งสิ้น   ผมก็เห็นด้วย  คงไม่ใช้อย่างนั้นหรอก แหมพระอะไรห้อยแล้วร้อน ชอบมีเรื่อง    ผมจึงปล่อยพระหลวงพ่อโต ให้กับคนรู้จักแถวบ้าน แกก็ชอบ บอกพระประสบการณ์ดี  คนใช้มาเยอะ โม้แหลก แกบอกหยุดไม่ต้องโม้มาก พระนี้แกเคยเห็นในหนังสือมาแล้ว  เป็นพระนิยมจริง เช่าไว้ 1 องค์สภาพสึก 1200 บาทเอง
           หายไปประมาณ 1 อาทิตย์ แกกลับมาหาผมอีก ผมเห็นแกมาก็เตรียมเสนอพระอีกคราวนี้ว่าจะเอาพระหูยานชินเขียวเลย จะได้เอาไปคู่กันกับหลวงพ่อโต จะได้นำไปรบกันให้สุดใจไปเลย  ผมเชื่อว่าปล่อยพระให้เฮียคนนี้ให้ตายอย่างไร ก็ไม่มีเรื่อง  เพราะอุปนิสัย ของเฮียคนที่เช่าพระกับผมนี้เป็นคนเรียบง่าย  พูดจานิ่มนวล บางคนดูแกเป็นเกย์ด้วยซ้ำ  คำพูดแรกที่แกพูด "  เฮ็ฮ......ชื่อผม... เห็นเขาว่าห้อยพระหลวงพ่อโต  แล้วชอบมีเรื่อง จริงหรือ "  สิ้นคำพูดนี้  ผมหน้าเสีย ก็สังเกตุดูหน้าตาแกทันทีว่า มีบาดแผลหรือเปล่าก็ไม่มีนี้  เลยถามว่า ทำไมเหรอครับเฮีย ๆ  ไปมีเรื่องกับใครมาเหรอครับ แกบอกเกือบตาย หลังจากแกเช่าพระกับผมไปห้อย มีอยู่วันหนึ่งแกต้องไปพบเพื่อนเที่ยว ที่ผับตะวันแดง  ด้วนกัน ให้น้องชายไปส่ง พอถึง แกก็ลงจากรถมอเตอร์ไซด์ ตามปรกติ   มีชายหลายคนเดินเข้ามาหาเลย ประมาณ 10 คน  พร้อมถาม  " เฮ้ย ไอ้น้อง มึงใหญ่มาจากไหนวะ  ทำไมมาขับมอเตอร์ไซด์ เสียงดังอย่างนี้  อยากมีปัญหาหรือไง "


    ขณะนั้นเฮียแกไม่เข้าใจ ว่าแกไปทำอะไรให้พวกมันหรือ มันถึงตรงดิ่งเข้ามาอย่างนี้    แต่ใจหึกเหิม อาจหาญพร้อมที่จะสู้แบบไว้ลาย แต่ 1 ต่อ 10 แบบนี้จะตายแทนมากกว่า เลยคิดแก้ปัญหา ใช้สติ ใช้ความอ่อนน้อมสยบความแข๊งกร้าว  ดังนั้น จึงไห้วพวกมัน และบอกว่าผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งไจไม่ทราบว่าจะดังมากรบกวนพวกพี่ ๆ    ฝ่ายนักเลง ก็มีน้ำใจ เอ้อ ไม่เป็นไร แต่คราวหน้าอย่าดังอย่างนี้อีก  แล้วก็เลิกกันไป           
           จบเรื่องที่แกเล่า ผมวูบทันที กลัวโดนด่า หาว่าไม่บอกก่อน ว่าห้อยพระหลวงพ่อโต แล้วชอบมีเรื่อง ก็หนังสือพระเขาบอกเองว่าคิดกันไปเอง ทั้งนั้น แล้วทำไมเป็นอย่างนี้หว่า  สุดท้ายนอกจากแกไม่โกรธผมแล้ว  ยังเช่าเพิ่มอีก 2 องค์เพราะเชื่อในพระพุทธคุณแล้ว ว่า มีเรื่องจริง มาเองเลยแบบดิลิเวอรี่ พิซซ่า  มาหาเอง
           ปัจจุบันบางครั้งผมห้อยพระหลวงพ่อโต บ้างบางครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ห้อยไปทานข้าวต้มแถวบ้าน ห้อยไปก็พะวง ไปด้วยว่าท่านจะแสดงปฏิหาริย์  อย่างที่ลูกค้าผมโดนหรือเปล่า คือรีบกินรีบกลับ ดีกว่า จะได้ปลอดภัย เพราะยังอยากอยู่ดูพระต่อไปอีกนาน ๆ  ครับ  
           เพื่อน ๆ ฟังเรื่องนี้แล้ว ก็อย่าเชื่อผมมาก  เพราะหนังสือเขาบอกแล้วว่าห้อยแล้วปรกติ  ที่มีเรื่องนะคิดกันไปเองทั้งนั้น ครับ    สวัสดี

http://forum.uamulet.com/view_topic.aspx?bid=2&qid=727


อันว่าพุทธศาสนิกชนและพวกนักอนุรักษ์ที่นิยมการสะสมพระเครื่องอย่างพวกเรา ๆ ทั้งหลายนั้นมีความเชื่อสืบต่อกันมาเนิ่นนานแล้ว ว่าพุทธคุณของพระเครื่องที่นิยมเล่นหาสะสมกันนั้นมีอยู่จริง

          เริ่มต้นจากคนตั้งกระทู้ Jorawis เองนั้น รู้จักพุทธคุณและชื่อเสียงเรียงนามของพระเครื่องครั้งแรกจากหนังสือจ้า ในหัสนิยายชุดสามเกลอ หรือพล นิกร กิมหงวน ของสุดยอดนักประพันธ์ อย่างท่าน ป. อินทรปาลิตร ที่เขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2483 เป็นต้นมา ( ไม่ได้อ่านในการพิมพ์ครั้งแรกนะ เดี๋ยวจะหาว่าJorawis แก่ขนาด !!! มาได้อ่านตอนพิมพ์ครั้งหลัง ๆ โดยมีการพิมพ์ต่อเนื่องอีกหลายครั้ง โดยสำนักพิมพ์ผดุงสาส์นจ้า)  อ่านตั้งแต่เด็กจนจำได้ว่า ตัวละครในเรื่องนี้หลายคนมีพระยอดนิยมประจำกาย เช่น เจ้าคุณปัจจนึกฯ มีพระกริ่งปวเรศฯ และพระปิดตาแร่บางไผ่  อาเสี่ยกิมหงวน ไทยเทียม มีพระสมเด็จวัดระฆังฯ พล  พัชราภรณ์  มีพระปิดตาท้ายย่าน ที่เช่ามาจากคนรับใช้ประจำตัวจอมแสบอย่างเจ้าแห้ว โหระพากุล ในราคาแพงมาก(ในสมัยนั้น) ถึง 30 ห่อ (มาตรการแลกเปลี่ยนพระในสมัยนั้น เทียบจากมูลค่าของใบชาจากต่างประเทศอย่างดี ที่ห่อด้วยแผ่นดีบุกห่อละ 1 ชั่ง ห่อละ 1 บาท ซึ่งต่อมาแผ่นดีบุกผสมตะกั่วนี้เองที่กลับกลายมาเป็นวัสดุหาได้ง่ายตามวัดทั่วไป ที่พระเกจิอาคมขลังมากมายในยุคก่อนใช้เป็นวัสดุหลักในการสร้างตะกรุด หรือพระเครื่องในยุคแรกที่เริ่มสร้างหรือลองพิมพ์พระที่เรามาเรียกกันว่าพระเนื้อตะกั่วยุคต้นนั่นเอง)

ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้Jorawis เริ่มสนใจใฝ่รู้ถึงขนาดยืนแอบอ่านหนังสือพระยอดนิยมในยุคนั้น อันได้แก่ ลานโพธิ์ พระเครื่องปริทรรศน์ หรือแม้กระทั่งหนังสือยอดนิยมปกแข็งเล่มค่อนข้างหนาที่ลงภาพสีสันสดสวยคมชัดที่สุดในยุคนั้น คือ ชาตรีในร้านแพร่พิทยา ที่วังบูรพา หรือ ตามแผงหนังสือเก่าแถวหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม เป็นชั่วโมง ๆ หนักเข้าถึงขนาดครึ่งค่อนวัน หรือทั้งวันก็เคย แทนที่จะไปเช่าจักรยานหัดขี่เหมือนเด็กทั่วไปที่นิยมไปสนามหลวงกัน เพื่อหัดขี่จักรยาน วิ่งว่าว หรือ เล่นกีฬากลางแจ้งออกกำลังกายกัน

ผลก็คือ ตัวยิ่งเล็กจิ๋ว ผอมหัวโต  ยิ่งได้ดูหนังเรื่องเสาร์5 ที่สร้างและเข้าฉายใน พ.ศ. 2519 ที่พระเอกแต่ละคนมีพระเครื่องประจำตัว ทำให้คงกระพันยิงไม่ออกฟันไมเข้า เท่าที่พอจำได้ก็มี
  • เทิด  ยอดธง (กรุง  ศรีวิไล)มีพระยอดธง(เข้าใจว่าน่าจะหมายถึง พระยอดธง กรุวัดไก่เตี้ย พระยอดฮิตในยุคนั้น)
  • กริ่ง  คลองตะเคียน (สรพงษ์ ชาตรี) มีพระกริ่งคลองตะเคียน สุดยอดพระคงกระพันแห่งเมืองกรุงเก่า
  • เดี่ยว  สมเด็จ ( ไพโรจน์  ใจสิงห์ ) มีพระสมเด็จ (น่าจะหมายถึงพระสมเด็จวัดระฆังฯ เนื่องจากในยุคนั้น พระสมเด็จบางขุนพรหม ยังเป็นพระที่นิยมเฉพาะกลุ่มอยู่
  • ดอน  ท่ากระดาน ( นิรุตติ์  ศิริจรรยา) มีพระท่ากระดาน ที่ยังคงดังอยู่ในยุคนั้น จากข่าวนายตำรวจหนังเหนียว ดวลปืนกับคนร้าย
  • ยอด  นางพญา (สิงหา  สุริยง) มีพระนางพญา พิษณุโลก

ด้วยความเป็นเด็ก จำได้ว่าหลังจากดูหนังเรื่องนี้ Jorawis เริ่มต้นเข้าห้องพระรื้อหาพระที่เห็นในหนังมาห้อย คว้าได้พระนางพญามาองค์นึง นำไปเลี่ยมชูคอด้วยความภูมิใจอยู่นาน จนมารู้ภายหลังว่า เป็นพระแจกกฐิน ผ้าป่า จ้า 5555


ต่อมาโตขึ้นมาอีกหน่อยตอนเรียนชั้นมัธยม(ที่สมัยนั้นเรียกกันว่า ม.ศ – มัธยมศึกษาปีที่ 1-5 ที่โดนยกเลิกและเปลี่ยนเป็น ม.1-6 แทน โดยชั้น ม.ศ.5 รุ่นสุดท้ายจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2525)  เนื่องจากในละแวกโรงเรียนที่ Jorawis เรียนอยู่นั้น มีแหล่งชุมนุมนักสะสมพระอยู่ 2 แห่ง ที่อยู่ใกล้กัน

จุดแรกได้แก่ ร้านกาแฟ ออน ล็อก หยุ่น  ทุกเช้าไปจนสาย ๆ จะมีเซียนพระรุ่นใหญ่(ในสมัยนั้น) มานั่งส่องพระจิบกาแฟกัน ไอ้เรามันเด็กนักเรียน ก็เลยนั่งกินขนมปังปิ้ง กับนมชงชนิดใส่น้ำแดงที่เรียกว่านมเย็น ตามแบบวายร้ายในหนังไทย ตอนนั้นได้แต่นั่ง อ้าปากฟังท่านผู้อาวุโสเหล่านั้นคุยเรื่องพระและประสบการณ์มากมาย   แต่ที่มีโอกาสซักถามและท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังชนิดตัวต่อ ด้วยความเอ็นดูด้วยเห็นว่าเป็นเด็กน้อย แต่ช่างซักช่างถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็คือเซียนพระอาวุโสท่านนึง ที่มีนิวาสสถานอยู่แถว เชิงสะพานพุทธ ฝั่งธนบุรี ที่ปัจจุบันถึงแก่กรรมไปแล้ว ท่านได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของพระหลวงพ่อโต  กรุบางกระทิง เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่ร้านของท่านว่าวันหนึ่งช่วงบ่าย ๆ มีคนอยู่ในร้านหลายคน  มีเด็กวัยรุ่นคนนึงถือพระหลวงพ่อโตบางกระทิง เข้ามาปล่อยให้เช่า ขณะที่กำลังรุมส่องพระกันอยู่ เกิดมีคู่อริของเด็กนั้น เดินผ่านมาแล้วจำได้ จึงวิ่งเข้ามาในร้านพร้อมกับชักมีดจ้วงแทงไม่นับ  แล้วหนีไป เล่นเอาวงพระที่กำลังส่องพระกันอย่างเพลิดเพลินแตกกระเจิงกันเลยทีเดียว หลังจากเหตุการณ์สงบ วงพรี่แตกกระจายจึงกลับมารวมตัวกัน และมีผู้เข้าไปดูอาการของผู้ถูกแทง ที่นอนแน่นิ่งไป น่าแปลกที่ไม่มีบาดแผลให้เห็น แต่เสื้อกลับขาดกระจุย เรื่องนี้เป็นที่ร่ำลือกันอยู่นานทีเดียวในครั้งนั้น จนทำให้หลายต่อหลายคนยอมรับในพุทธคุณของพระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิงว่าสุดยอดคงกระพันสมคำร่ำลือเพียงใด และอยู่ในความทรงจำของJorawis มาจนทุกวันนี้ และพระหลวงพ่อโต  กรุบางกระทิงนี้เอง ที่Jorawis เก็บเงินเช่ามาเป็นพระองค์แรกในชีวิตจนกระทั่งได้เจอประสบการณ์จริงกับตัวเองในเวลาต่อมาจ้า  


ย้อนกลับมาถึงแหล่งชุมนุมเซียนพระอีกแห่งนึงในละแวกเดียวกัน สถานที่แห่งนี้เรียกกันว่า “มะขามแสควร์” อยู่บริเวณด้านหลังโรงหนังเฉลิมกรุง นับเป็นที่ชุมนุมเจ้ายุทธจักร  หลากหลายสาขาทั้งสาขาการแสดง ตั้งแต่ คนเขียนบท ผู้กำกับ(ภาพยนตร์) ผู้อำนวยการสร้าง(นั่งรอนายทุน) ดารา ตัวประกอบ ที่หน้าตาคุ้น ๆ กันในจอภาพยนตร์ ไปจนถึงนักพากย์ และคนฉายหนัง และที่ขาดไม่ได้ก็คือแผงพระ  เซียนพระใน มะขามแสควร์ จะเป็นคนละกลุ่มกับที่ร้าน ออน ล็อก หยุ่น ในสายตาเด็กนักเรียนของ Jorawis ในยุคนั้น เซียนพระที่นี่ แต่งตัวแปลกตา บางคนดูสง่าสุขุมนุ่มลึก มาดหรูดูน่าเกรงขาม  ราคาเช่าหาของพระ ณ ที่นี้สูงมาก เป็นหลักหมื่นหลักแสนแทบทุกองค์ ก็ได้แค่ดูห่าง ๆ เวลาเค้าเปิดกล่องเปิดราคาเช่าพระกัน  แต่ก็มีหลายครั้งที่ได้เห็นเค้าตุ๊งพระหลัก ๆ ชุดเบญจภาคีกัน โห!!!!ตื่นเต้นมาก เปิดราคาที่ 3 องค์ เกือบ 1 ล้านบาท ยืนแอบ ๆเมียง ๆ มองๆ ดูอยู่ห่าง ๆ กลัวจะไปแกะกะเค้า  ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ จนได้รู้ว่าจบในราคา 3 องค์ ราคาเช่า 850 บาทถ้วน พร้อมตลับเสตนเลส อย่างดีทุกองค์!!!!!!5555555
หลังจากนั้นก็ยังแวะเวียนไปอยู่บ่อย ๆ จนมีผู้ใหญ่ใจดีท่านนึง มาชี้ทางสว่างให้ ว่าถ้าสนใจใฝ่รู้ในศาสตร์พระเครื่องนี้จริง ๆ  ให้เปลี่ยนแหล่งหาพระชมเถิด ไอ้หนูเอ๋ย  อยู่แถวนี้เดี๋ยวจะเข้ารกเข้าพง  ชะดีชะร้ายเกิดไปพบอาจารย์ผู้ทรงคุณเข้า จะพากันกระโดดลงเหว ทั้งศิษย์และอาจารย์จะเป็นบาปเป็นกรรมเสียเปล่า ๆ สมัยนั้นผู้คนในสังคมยังตราหน้าพวกวงการพระอยู่ว่าเป็นพวก “ขายพระกิน”  ไม่ได้เป็น  “นักอนุรักษ์” อันเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสังคมแบบในปัจจุบัน

ภาพประกอบศาลาเฉลิมกรุง ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ แทบไม่แตกต่างกับสภาพปัจจุบัน  
(ภาพ: ศูนย์ข้อมูล เมืองโบราณ / ประเวช ตันตราภิรมย์)

ในยุคนั้นยังมีอีกแหล่งที่มีผู้คนนิยมไปเช่าหาแลกเปลี่ยนพระจนกลายเป็นแหล่งรวมแผงพระขนาดใหญ่ ซึ่งJorawis ค้นพบเข้าโดยบังเอิญจากความตะกละ คือ สนามบริเวณลานโพธิ์ภายในวัดมหาธาตุ  เหตุจากการพบนั้นเกิดจากมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า มีร้านข้าวแช่ อร่อยมากอยู่ร้านนึง อยู่บริเวณลานโพธิ์ วัดมหาธาตุ ตรงข้ามกับท่าพระจันทร์นี้เอง

เมื่อไปถึงจึงพบว่าในบริเวณเดียวกันนี้มีแผงพระมากมาย ทั้งยังมีเซียนพระอาวุโส รุ่นเก่า ๆ หลายต่อหลายท่าน  ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าสนามนี้มากมาย เท่าที่พอจำได้ ว่าเคยได้พูดคุยขอความรู้จากท่านเหล่านี้ ก็มีน้าลิ(ไม่แน่ใจว่าในวงการเรียกลิใหญ่หรือลิเล็ก เพราะมีอยู่ด้วยกันทั้งสองลิในยุคเดียวกัน)   อาจารย์เภา ศกุนตะสุต ปรมาจารย์เหรียญผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น หรือแม้กระทั่ง อาจารย์ปรีชา  ดวงวิชัย Jorawis ก็เคยได้ขอความรู้จากท่านเหล่านี้  อีกทั้งหลายท่านได้เมตตาสั่งสอนมารยาทในการขอชมพระ และการจับต้ององค์พระอย่างทนุถนอมให้ถูกวิธีอีกด้วย  ซึ่งJorawis ก็นำมาปฎิบัติจนกระทั่งปัจจุบัน

ตอนนั้นนอกจากสนามพระวัดมหาธาตุและบริเวณท้องสนามหลวงในวันมีตลาดนัดเสาร์อาทิตย์แล้ว    ยังมีอีกสนามหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เรียกว่าไม่ขึ้นรถให้เสียสตางค์ก็พอเดินถึง ขนาดแค่เหงื่อซึมแผ่นหลัง ได้แก่ย่านบางลำพู  ที่มีแผงเล็กแผงน้อยอยู่รวมกับร้านเลี่ยมและซ่อมพระแถวริมถนนสิบสามห้างข้างวัดบวรฯ และที่จัดว่าเป็นแหล่ง “ไฮโซ” ของยุคก็มีในร้านทองริมถนนพระสุเมรุอีกหนึ่ง และติดกับโรงแรมเวียงใต้ในถนนตะนาว ศูนย์นี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์พระเครื่องแห่งแรก ๆ ที่มีร้านตั้งอยู่เป็นที่เป็นทางเป็นหลักเป็นฐาน  ถ้าจำไม่ผิด น่าจะมีร้านของเจ้าพ่อเครื่องราง น้าเชาว์ หนองแขม(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) และคุณระวิ  เลิศนานาวงศ์ อยู่ที่นี่ด้วย



อ่านมาถึงตอนนี้ หลายคนคงสงสัยแล้วว่า แล้วสนามท่าพระจันทร์ ไปไหนทำไมไม่เห็นพูดถึง???  ก็ต้องเล่าแจ้งแถลงไขกันว่า ในตอนนั้น สนามท่าพระจันทร์ยังมีสภาพเป็นตลาดสด และเพิ่งจะมาเป็นศูนย์รวมร้านพระเครื่องยอดนิยม ก็เมื่อหลังจากที่ทางวัดมหาธาตุต้องการปรับสภาพภูมิทัศน์ ให้เรียบร้อยสง่างาม  ให้เหมาะสมกับเป็นพระอารามหลวงและสมกับที่เป็นสนามสอบบาลีของสมณะรูปจากภูมิภาคต่างๆ งานนี้งานช้างขนาดเป็นเรื่องใหญ่ เป็นรองแค่ข่าวการย้ายตลาดนัดสนามหลวงไปอยู่ชานเมือง(ตอนนั้น)เท่านั้น บรรดาแผงพระซึ่งมีจำนวนร้อยในยุคนั้นไม่ยอมออกไป  ร้อนถึงโปลิศ ที่ได้รับแจ้งความจากทางวัด ต้องเข้ามากระชับพื้นที่ และรื้อถอนบรรดาสิ่งปลูกสร้างจนเป็นข่าวเกรียวกราวกันพักนึงในยุคนั้น  จนกระทั่งมีการย้ายที่ไปจับจองแผงกันใหม่ในตลาดท่าพระจันทร์ ซึ่งเฟื่องฟูหรูหราขนาดถนนเส้นทางพระทุกสายมุ่งสู่ท่าพระจันทร์ โดยถ้าจำไม่ผิดมีแผงเสี่ยใบแดง เป็นแผงหมายเลข1 และสาวสวย(ในยุคนั้น) อันได้แก่ เจ๊ติ๋ม ที่ยังยืนยงและคงใช้ฉายาเดิมจนปัจจุบัน และ เจ๊น้อย ขายอาหารตามสั่ง และเจ๊แก้วที่ขายข้ามต้ม เป็นดาวประดับสนาม และที่สนามท่าพระจันทร์นี้เอง ใครที่เคยไปเดินยุคนั้นคงจะจำชุดโต๊ะหินอ่อนท้ายสนาม ที่ใช้เป็นที่สำหรับขาใหญ่ และบรรดาเซียนใหญ่( จริงๆ ) ตุ๊งพระหลักมูลค่าสูงกันได้  แต่ก็มีแผงพระบางส่วนที่แยกไปอยู่ในบริเวณ วัดราชนัดดา หรือแยกย้ายกันไปตั้งศูนย์พระเครื่องตามภูมิลำเนาถิ่นที่อยู่ของตน

และในช่วงดังกล่าวนี้เอง บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ Jorawis เดินเล่นอยู่แถวห้างแก้วฟ้าพลาซ่า ในละแวกบางลำพู  กำลังจด ๆจ้อง ๆ จะข้ามถนน พลันก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด ทำให้รถที่ผ่านมาเบรกไม่ทันชนเข้าเต็มแรงจน เสียงดังสนั่น หมอนั่นกระเด็นไปกองอยู่ริมทางแน่นิ่งไป  จากที่เห็นคิดว่าตายแล้วแน่นอน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงวิ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ น่าแปลกที่ไม่มีเลือดออกซักหยดทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้าขาดเพราะแรงชน  จนหายจุกนายคนนั้นจึงลุกขึ้นนั่ง  พร้อมกับยกมือท่วมหัว  เห็นในมือมีสร้อยที่ขาดและพระเนื้อผงสีขาวองค์เล็ก ๆ  รูปห้าเหลี่ยมที่หักไปครึ่งองค์อยู่ในกรอบ  ด้วยความอยากรู้จึงถามพวกไทยมุงที่รุมล้อมกันอยู่ จนได้คำตอบว่า พระองค์ที่หักนั้น คือ  “พระหลวงปู่ภู วัดอินทร์ ”
ครั้งนั้นนับเป็นครั้งแรก ที่Jorawis ได้ประจักษ์แจ้งในพุทธานุภาพของพระเครื่อง ชนิด “เต็ม 2 ตา”!!!!

เมื่อมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อไป ครั้งหลังนี้เกิดขึ้นหลังจากครั้งแรกหลายสิบปีอยู่จำได้ว่าตอนนั้นทำงานแล้ว กำลังเฟื่อง เพิ่งจะมีรถ ทั้งที่เริ่มทำงานได้ไม่กี่ปี ตอนนั้นอยู่ในช่วงบอลโลกฟีเวอร์ ปีอะไรจำไม่ได้รู้แต่ว่า ปีนั้นจัดที่อิตาลี ขณะนั้นถนนสุวินทวงศ์กำลังก่อสร้าง รถวิ่งผ่านออกไปถึงบางปะกงได้แล้วแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ตอนนั้นแต่งตัวเนี๊ยบใส่สูทผูกเน็กไท ใส่สแล็คเป็นหนุ่มออฟฟิต  เรื่องพระเพลาลงแยะเพราะมีกิเลสอื่นมาบังตามากมายไปหมด ค่านิยมในการคล้องพระหลายองค์หมดไป ในคอจึงมีเพียงสร้อยทองเคเส้นเล็ก ๆ ตามสมัยนิยม และพระแก้วมรกต แบบพระฉีดลอยองค์ทรงเครื่องฤดูร้อน ลงสีเขียวบนผิวพระแบบที่พบเห็นตามร้านพระนับร้อยในท่าพระจันทร์หรือร้านทองทั่วไป ขนาดองค์เล็ก ๆ ตามขนาดของสร้อยพร้อมเลี่ยมจับขอบทองอยู่หนึ่งองค์
อันพระแก้วองค์นี้ Jorawis จำได้ว่าได้รับจากมือของหลวงพ่อขอม แห่งวัดไผ่โรงวัว เมื่อครั้งนั่งเรือไปเที่ยวที่วัดไผ่โรงวัว (ในช่วงนั้นจะไปเที่ยววัดไผ่โรงวัว จะต้องนั่งเรือไปแต่เช้าจาก ท่าช้าง โดยผ่านประตูน้ำ และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเช่น แวะดูนกปากห่าง ที่วัดไผ่ล้อม ในจังหวัดปทุมธานี ) โดยก่อนหน้าที่จะไปกราบหลวงพ่อขอมนั้น Jorawis ไม่ได้ห้อยพระ แต่ห้อยจี้ขนาดเล็กรูปบ้องกัญชาขนาดเล็กทำด้วยเงิน ที่มีเพื่อนคนนึงซื้อมาฝาก ไอ้เจ้าจี้บ้องกัญชาเจ้ากรรมดันแลบออกนอกคอเสื้อ ตอนที่ไปก้มลงกราบหลวงพ่อท่านจึงถามด้วยความเมตตาว่า

“เอ็งคล้องพระอะไรหรือลูก ไหนขอหลวงพ่อดูหน่อยซิ???”


เวรกรรมจริง ๆ ตอนนั้นยังเด็ก ๆ ไปเที่ยวกับครอบครัว หันมามองตาผู้ใหญ่แล้วไม่กล้าขัด จึงจำใจถอดสร้อยพร้อมจี้อันนั้น ส่งให้หลวงพ่อท่านไป

          “ มันเป็นอะไรหรือลูก ไอ้ที่ห้อยอยู่เนี่ย หน้าตาพิกล?”


เมื่อโดนถามหนัก ๆ เข้า ก็ต้องกราบเรียนท่านไปตามตรง ท่านจึงบอกว่า

      “อย่าไปคล้องคอเลยลูก มันเป็นของไม่ดี??”      


                พอพูดจบเท่านั้นท่านก็ยึดไว้แล้วพูดต่อว่า

“เอาแบบนี้ไปคล้องดีกว่า หลวงพ่อให้ แล้วขอแลกสร้อยเก่าที่ลูกคล้องมาก็แล้วกัน”


ว่าแล้วท่านก็ส่งพระองค์เล็ก ๆ เลี่ยมพลาสติกไว้ มีสร้อยคอ สเตนเลส ขนาดเล็ก ๆ มาให้พร้อมกันเสร็จสรรพ
เสียดายของก็เสียดาย ของรักของหวงซะด้วยไอ้ครั้นจะไม่ยอมแลก ก็เกรงใจผู้ใหญ่ที่ตั้งตนเป็นกองเชียร์อยู่รอบข้างก็เลยต้องยอมแลกไปในที่สุด
และพระองค์นี้เมื่อกลับมาจากวัดจึงนำไปเลี่ยมทองจับขอบไว้ เก็บลืมไปนานหลายปี เมื่อถึงยุคใส่สร้อยทองเส้นเล็ก สั้นติดคอจึงนำมาใส่ด้วยขนาดที่เล็ก และเป็นพระเลี่ยมทองอยู่แล้วจึงเข้าชุดกันพอดี

วันที่จะเกิดเรื่อง Jorawis มีธุระด่วนต้องขับรถกระบะไปตามถนนสุวินทวงศ์ กลางดึก ในช่วงเวลานั้นถนนเส้นที่ว่านี้ตลอดสานมีหลายช่วงหลายตอนที่มีการซ่อมสร้างผิวจราจรต้องขับเปลี่ยนเลนไปมาตลอด ก่อนเข้าช่วงโค้งใหญ่สุดท้ายก่อนเข้าเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา มีฝนตกพรำๆ ทางข้างหน้ามีดสนิท ไม่มีรถ  ส่วนด้านหลังมีรถบรรทุกแบบพ่วงขับตามกันมา ทิ้งระยะห่างพอสมควร เนื่องจากผิวทางด้านซ้ายค่อนข้างขรุขระ จึงเปลี่ยนเลนมาขับในช่องทางด้านขวาแทน ช่วงนั้นเองเป็นจังหวะที่รถพ่วงด้านหลังกำลังจะเร่งแซง เมื่อJorawis เปลี่ยนเลนมาทางขวา จึงต้องแซงทางด้านซ้ายแทน แต่ทางข้างหน้ากำลังจะเข้าทางโค้งด้านขวา  เมื่อรถพ่วงเร่งแซงแล้วจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนมาทางขวาทันที เมื่อรถเปลี่ยนเลนกะทันหันทำให้ช่วงท้ายของรถตัวพ่วงฟาดเข้ากับ ประตูด้านข้างคนขับของรถกระบะที่Jorawis ขับอยู่   เสียงดังสนั่นจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ  แรงปะทะทำให้รถกระบะเสียหลัก พลิกคว่ำหลายสิบตลบไปอยู่ในถนนฝั่งตรงข้าม ที่มีคูร่องน้ำกั้นอยู่ตรงกลาง ประตูด้านคนขับฉีกขาดออกด้วยแรงอัดจากแรงปะทะของประตูฝั่งตรงข้าม ตัวของJorawis ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยจึงกระเด็นออกจากในรถพร้อมกันกับประตู กระเด็นไปคนละทาง ห่างจากจุดที่รถหยุดเกือบ 70 เมตร  เมื่อหายจุกJorawis  จึงลุกมาสำรวจบาดแผลตามร่างกายของตัวเอง น่าแปลกที่มีแค่เพียงบาดแผลเหนือหัวคิ้วด้านขวาเป็นรอยเล็กๆ ความยาวไม่ถึง 2 ซ.ม และแผลฉีกขาดไม่ใหญ่นัก จากเศษโลหะมีคมของประตูที่ฉีกขาดออกมาจากแรงปะทะ ที่บริเวณเหนือเข่าด้านซ้าย และที่เหลือเชื่อกว่านั้นก็คือ !!!! สร้อยทองเคเส้นบางๆ ขนาดน้ำหนักไม่เกิน 3 กรัม และพระแก้วเลี่ยมจับขอบทององค์นั้น ยังอยู่เป็นปกติในคอเหมือนเดิม หลังจากนั้นอีกไม่นานนัก ก็มีรถกู้ภัยของมูลนิธิร่มไทร เจ้าของพื้นที่ก็มาถึงก่อนเพื่อน และมีอีก  มูลนิธิตามมาติด ๆ  ส่วนไอ้เจ้ารถพ่วงคู่กรณีนั้น ไม่ต้องพูดถึง ห้อตะบึงหนีไปตามระเบียบ ( ไม่รู้ว่าใคร??? เกิดอุบัติเหตุทีไรก็หนีไปตามตาคนนี้ทุกที) เมื่อเห็นสภาพรถที่เหมือนกระดาษโดนขยำจนไม่เหลือสภาพรถในที่เกิดเหตุแล้วต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

“คนขับไม่น่ารอด สงสัยต้องเดินตามเก็บชิ้นส่วนกันอีกแล้ว”


  ทั้ง ๆ ที่คนขับก็ยืนหมดสภาพอยู่ข้าง ๆ นั่นเอง!!!!

ที่ว่าสภาพรถเละไม่ต่างจากกระดาษที่โดนขยำนั้น ไม่เกินความจริงไปจนโอเวอร์หรอกจ้า เพราะหลังจากนั้น Jorawis  ต้องไปเคลียร์เรื่องรถกับบริษัทประกัน ตามกรมธรรม์คุ้มครอง เป็นประกันชั้น1 ซ่อมห้าง บริษัทตีมูลค่าการซ่อมรถที่เละเทะขนาดเครื่องยนต์ทะลักออกมานอกฝากระโปรงถึง 250,000 บาท(ราคาเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว) เลยกัดฟันขายคืนซากรถไปแค่ 75,000 บาท

น่าเสียดายว่าต่อมา อีก 2-3 ปีหลังจากเกิดอุบัติครั้งนั้น พระแก้วเลี่ยมทององค์นั้น ได้หายไปไม่แน่ใจว่าตกหล่นหรือโดนขโมยไป จนบัดนี้ยังหาไม่พบเลยจ้า

                    
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้