ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย morntanti เมื่อ 2015-7-13 10:44

ใช้แล้ว! กม.ปราบโกงเพิ่มโทษขรก.รับสินบน หนักสุดสั่ง ‘ประหาร

บังคับใช้แล้ว! พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพิ่มโทษเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตรับสินบน จําคุก 5-20 ปี หรือจําคุกตลอดชีวิต หนักสุดถึงขั้นประหารชีวิต

วันที่ 12 ก.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 ลงวันที่ 9 ก.ค.2558



โดยมีสาระสำคัญในมาตรา 13 ให้เพิ่มบทบัญญัติการลงโทษแก่เจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทำความผิด ตามมาตรา 123/2 มาตรา 123/3 มาตรา 123/4 มาตรา 123/5 มาตรา 123/6 มาตรา 123/7 และมาตรา 123/8 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542

ทั้งนี้มีประเด็นที่สำคัญคือ มาตรา 123/2 บัญญัติว่าผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาท หรือประหารชีวิต

และในมาตรา 123/3 บัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ กระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งในตําแหน่งนั้น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจําคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาท


ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่ news.mthai.com

MThai News

ปล.ขอแสดงความเห็นส่วนตัวกับกฎหมายนี้ถ้าผู้ตัดสินยุติธรรม ( ยุติโดยธรรม ) กฎหมายข้อนี้จะไม่น่ากลัวเลยสำหรับทุกฝ่ายแต่ถ้าไม่ นี่คือกฎหมายที่ออกมาเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเนียนๆด้วยข้อกล่าวหา สั้นๆง่ายๆ รับสินบน ...ก็ล้างบางฝ่ายที่คิดเห็นต่างได้แล้ว...เฉกเช่นรัญบาลจีนใช้กำจัดพรรคการเมืองคู่แข่ง....



ชาวบ้านแตกตื่น! แห่ตักน้ำบ่อศักดิ์สิทธิ์ เชื่อรักษาโรคได้                                                           
                           
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/511332


                                                            ชาวบ้าน จ.สตูล และอำเภอใกล้เคียง แห่ตักน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปดื่ม - ลูบตามตัว เพราะเชื่อว่ารักษาโรคได้ เจ้าของบ่อเผย ลูกสาว และพี่ชายได้ยินเสียงปริศนาคล้ายฟ้าร้องดังสนั่น ก่อนเอาไฟฉายไปส่อง พบน้ำใสเห็นก้นบ่อสีเขียวมรกต

หลังจากที่มีข่าวว่า ชาวบ้านจำนวนมากไปตักน้ำจากบ่อ ที่เชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของ นางสารีเฝ๊าะ งะหวัง อายุ 45 ปี ชาวบ้าน ม.9 ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล จากนั้นเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 13 ก.ค. 58 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านดังกล่าว พบชาวบ้านที่เดินทางมาจากพื้นที่ อ.ละงู บางคนเดินทางมาจากพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง เช่น จ.ตรัง จ.สงขลา ไปตักน้ำจากบ่อน้ำดังกล่าวเพื่อนำไปอาบ ล้างมือ ล้างหน้า ไปดื่ม เพราะเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้

นางสารีเฝ๊าะ งะหวัง เจ้าของบ่อดังกล่าว เปิดเผยว่า เมื่อตอนตี 2 ของ วันที่ 10 ก.ค. 58 ขณะที่ลูกสาวนอนอยู่ในบ้านก็ได้ยินเสียงคล้ายคนจำนวนมากเดินบริเวณรอบบ้าน แต่ไม่กล้าลุกขึ้นมาดู จากนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวมาจากบ่อ ซึ่งพี่ชายที่อยู่บ้านใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงคล้ายคนอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน เสียงดังมาจากที่ไกล และยังได้ยินเสียงดังครืนเหมือนกับที่ลูกสาวตนได้ยินในเวลาเดียวกัน จนกระทั่งวันที่ 11 ก.ค. 58 นางสารีเฝ๊าะ สังเกตเห็นว่าที่บ่อน้ำมีน้ำไหลทะลักล้นปากบ่อทั้งที่ฝนไม่ตก จึงได้เอาไฟฉายไปส่องดู ปรากฏว่าน้ำเป็นสีเขียวใสมรกต และสามารถมองเห็นไปถึงก้นบ่อ

นางสารีเฝ๊าะ งะหวัง เผยต่อว่า พอชาวบ้านทราบข่าวว่าเกิดเหตุประหลาดที่บ่อน้ำของตน ต่างก็แห่ไปตักน้ำนำไปดื่ม บางรายก็เอาลูบตามตัว เพื่อรักษาโรคต่างๆ โดยบางคนเป็นโรคเจ็บคอ หืดหอบ พอเอาน้ำไปทา ไปดื่มก็หาย โดยมีคนมาตักน้ำที่บ่อวันละนับร้อยคน ตนเองก็ยินดีบริจาคให้ทุกคน                                                                        
                                                            

14ก.ค.นี้ให้สำรองน้ำไว้ใช้ ประปาเมืองกรุงไหลอ่อน                                                            
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.dailynews.co.th/bangkok/334529


                                                            เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประปานครหลวง (กปน.) ได้แจ้งเตือนประชาชนชาวกรุงเทพฯในหลายพื้นที่ให้เตรียมสำรองน้ำประปาไว้ใช้ เพราะน้ำประปาจะไหลอ่อนในวันอังคารที่ 14 ก.ค.นี้ โดย กปน. จะดำเนินการบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าของโรงงานผลิตน้ำสามเสน เพื่อให้การสูบจ่ายน้ำของ กปน. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพสูงสุด ดังนั้นในคืนวันอังคารที่ 14 ก.ค. 2558 ตั้งแต่เวลา 23.00-05.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ส่งผลให้น้ำประปาไหลอ่อน ในพื้นที่ดังต่อไปนี้

-สำนักงานประปาสาขาแม้นศรีทั้งหมด
-สำนักงานประปาสาขาทุ่งมหาเมฆ ในถนนพระราม 4
-สำนักงานประปาสาขาพญาไท

ในถนนประดิพัทธ์ ตั้งแต่แยกประดิพัทธ์ ถึงแยกสะพานควาย ถนนพหลโยธิน ตั้งแต่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถึงแยกสะพานควาย ถนนดินแดง จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว โปรดสำรองน้ำประปาไว้ใช้ล่วงหน้าในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้หากประสบข้อขัดข้องกรุณาแจ้ง “ศูนย์บริการประชาชน” โทร. 1125 ตลอด 24 ชั่วโมง“                                                                        
                                                            

งวดนี้พี่ขอ!!! โคตรฮือฮา! พบต้นตะเคียนทองยักษ์ 1000 ปี เผยอักขระที่เขียนติดไว้ พออ่านใกล้ๆชาวบ้านถึงกับตะลึง!!!
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 13 ก.ค. ผู้สื่อข่าวข่าวสดรับแจ้งจากประชาชนว่า พบต้นตะเคียนทองยักษ์มีขนาดใหญ่และยาวมาก ในพื้นที่ตำบลธำมรงค์ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร จึงรุดไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทุ่งนาและบ่อดินขนาดใหญ่ มีรถประชาชนจอดเรียงรายหลายสิบคัน และพบประชาชนนับร้อยคนจับกลุ่มอยู่บริเวณบ่อน้ำที่ขุดใหม่ๆ ขนาดของบ่อกว้าง 20 เมตร ยาวประมาณ 50 เมตร ลึก 5 เมตร ภายในบ่อมีรถเครนขนาดใหญ่กำลังยกท่อนไม้ตะเคียนที่อยู่ก้นสระ วัดความยาวหัวปลายจนถึงโคนต้นยาว 37 เมตร วัดรอบต้นขนาด 2.89 เมตร โดยบ่อน้ำดังกล่าว มีนายกฤศณัฏฐ์ ชินวัชร์ชยางกูร หรือ กอล์ฟ อายุ 48 ปี และ นางพิสมัย ชินวัชร์ชยังกูร หรือ พิศ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99/1 หมู่ 3 ตำบลธำมรงค์ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร เป็นเจ้าของบ้าน นอกจากนี้ บริเวณหน้าบ้าน มีการกางเต็นท์ให้ชาวบ้านได้นั่งพัก นำเศษของต้นตะเคียนใส่ภาชนะ ให้ชาวบ้านจุดธูปขอโชคขอลาภ โดยมีตู้รับบริจาคเพื่อร่วมสร้างศาลาครอบต้นตะเคียนที่พบไว้ให้ชาวบ้านได้ศึกษาอีกด้วย

นายกฤศณัฏฐ์ เปิดเผยว่า ตนฝันว่าเห็นต้นตะเคียนทองในที่ดินหลังบ้าน และได้เสี่ยงโชคถูกหวยได้เงินมาจำนวนหนึ่ง จึงจ้างรถแบคโฮมาขุดบ่อน้ำ เมื่อขุดไปลึก 4 เมตรก็พบต้นตะเคียน จึงให้ช่างขุดด้วยความระมัดระวัง จนเห็นเป็นต้นตะเคียนทั้งต้นดังกล่าว และในวันนี้ได้ให้ร่างทรงของ “แม่ศรีประไพร” มาประกอบพิธี ขออัญเชิญขึ้นจากสระ ซึ่งร่างทรงบอกว่า ต้นตะเคียนชื่อ “แม่สร้อยสุวรรณ” อายุ 1,012 ปี ชาวบ้านมองดูอักขระจางๆแล้วตีเป็นเลข 31 ไว้เสี่ยงโชค อีกด้วย

จึงได้จ้างเหมารถเครนในราคา 9,000 บาท มายกต้นตะเคียนขึ้นจากสระ ซึ่งลักษณะของไม้ตะเคียนมีสีดำเข้มแข็งเหมือนจะกลายเป็นหินแล้ว เมื่อยกขึ้นต้นตะเคียนแตกเป็นท่อนๆ จำนวน 9 ท่อน ยังเหลือเศษเล็กน้อยอีกจำนวนหนึ่ง และนำขึ้นมาไว้บนริมสระข้างบ้านที่ถมดินไว้รอก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อจะสร้างศาลาให้ต้นตะเคียนต้นนี้ต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศโดยทั่วไปหลังชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ทราบถึงการตะเคียนทองดังกล่าว ก็เริ่มทยอยเข้ามาดูเป็นจำนวนมากไม่ขาดสาย อีกทั้งใกล้วันหวยออกด้วย และมีการประทับทรงเจ้าเพิ่มขึ้นอีกหลายองค์ พ่อค้าแม่ค้าเริ่มนำสินค้าประเภทน้ำและอาหารมาขายจำนวนมาก โดยชาวบ้านต่างพากันจุดธูปจุดเทียน ดอกไม้บูชากราบไหว้กัน และใจจดใจจ่อหาเลขเด็ด เพื่อตีเป็นเลขตามความเชื่อถือศรัทธา



ประเภท : วาไรตี้
ที่มา : khaosod.co.th




แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2015-7-15 06:05






บังกลาฯ ร้องให้ประหาร -
กลุ่มผู้ใหญ่รุมตีเด็กชายวัย 13 ดับอนาถ ถ่ายคลิปด้วย







เอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ว่า เกิดเหตุประท้วงขึ้นอีกครั้งหลายแห่งทั่วประเทศบังกลาเทศ เมื่อเกิดคดีกลุ่มผู้ใหญ่รุมทุบตีเด็กชาย อายุ 13 ปีจนเด็กเสียชีวิต ทั้งมีคลิปสะเทือนขวัญที่เด็กชายถูกมัดไว้กับเสาและถูกทุบตีด้วยท่อนเหล็กอย่างทารุณ แม้เด็กจะวิงวอนขอชีวิตและยืนยันว่าตนไม่ได้ขโมยจักรยานตามที่ถูกสงสัย

คดีดังกล่าวทำให้ชาวบังกลาเทศโกรธแค้นและเดินขบวนเรียกร้องต่อเนื่องหลายวันให้ทางการประหารชีวิตผู้ก่อเหตุทั้งหมดด้วยการแขวนคอในทันที












ประชาชนในเมืองซีลเฮต บ้านเกิดของเหยื่อ ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ทางการนำตัวผู้ทำร้ายเด็กมาประหารชีวิต ส่วนที่กรุงธากา เมืองหลวง ฝูงชนพากันเดินขบวนหน้าสโมสรผู้สื่อข่าวพร้อมตะโกนว่า “แขวนคอ แขวนคอ”











เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. ผู้ต้องหาร่วมแก๊งดังกล่าวถ่ายคลิปความยาว 28 นาที และนำไปเผยแพร่ในโลกออนไลน์

ในคลิปดังกล่าวยังเผยให้เห็นช่วงหนึ่งที่กลุ่มผู้ก่อเหตุแกล้งปล่อยเด็กไป ก่อนตะโกนขึ้นว่า “เฮ้ย กระดูกมันยังดี ตีมันอีก" พร้อมหัวเราะด้วยความสะใจ


ขณะที่ผลการชันสูตรพลิกศพเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายทราบชื่อภายหลังว่า ด.ช.ซามิอุล อลาม ราจอง เสียชีวิต เนื่องจากถูกทุบตีด้วยขอแข็ง พบรอยแผลทั้งหมด 64 แผล


ต่อมาตำรวจจับกุมผู้ร่วมก่อเหตุไว้ได้อีก 5 คน ในจำนวนนี้รวม 2 คนที่หนีไปซาอุดีอาระเบีย โดยรายหนึ่งชื่อนายคัมรูล อิสลาม ถูกควบคุมตัวที่ซาอุดีอาระเบียแล้ว พร้อมให้ปากคำว่า เข้าใจผิดว่าเด็กคนดังกล่าวขโมยจักรยาน จึงทุบตีและบีบบังคับให้สารภาพ ก่อนขอโทษต่อสังคมทั้งน้ำตา ว่าตัวเองผิดไปแล้ว

นอกจากนี้ตำรวจยังตามล่าหัวโจกอีก 2 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่ที่น่าสะเทือนใจเพิ่มขึ้นไปอีกคือ มีคนเห็นนาทีดังกล่าวอยู่ราว 20-25 คน แต่กลับนิ่งดูดาย ไม่คิดช่วยหรือแจ้งความ  


http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1436876965

สุดสลด! ตำรวจอินเดียใช้ผู้เสียหายคดี "ข่มขืน"
เป็นเหยื่อล่อจนโดน "ข่มขืนซ้ำสอง"



NDTV (New Delhi Television)  สื่ออินเดียรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐมหาราษฎระ ของอินเดียได้ยืนยันว่า เหยื่อคดีข่มขืนวัย 17 ปี  ในเมืองจัลนา ถูกข่มขืนซ้ำอีกรอบ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้เธอเป็นเหยื่อล่อเพื่อจับตัวคนร้าย  โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่งเธอไปให้คนร้ายถูกนำตัวมาสอบสวนแล้ว




จากข้อกล่าวหา เหยื่อรายนี้ถูกข่มขืนครั้งแรกในวันที่ 7 กรกฎาคม  ขณะที่เธอเดินทางออกไปหาเพื่อนชายก่อนถูกคนร้ายใช้มีดจี้บังคับขืนใจ  โดยคนร้ายถูกกล่าวหาว่าใช้มือถือถ่ายคลิปขณะร่วมเพศไว้เพื่อนำมาข่มขู่เหยื่อด้วย

ทั้งนี้รายงานมิได้ระบุว่าคนร้ายมีความเชื่อมโยงประการใดกับเพื่อนชายที่เหยื่อสาวเดินทางไปพบ

วันต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อไปยังจุดเกิดเหตุอีกครั้งแต่ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้เนื่องจากรถของเจ้าหน้าที่อยู่ใกล้จุดดังกล่าวเกินไปทำให้คนร้ายไหวตัวและวันถัดมาตำรวจยังส่งตัวไปเป็นเหยื่อล่ออีกครั้งและด้วยการสื่อสารที่ผิดพลาดทำให้เหยื่อต้องถูกข่มขืนซ้ำอีกครั้ง ซึ่ง วิชวาส ปาติล ผู้บังคับบัญชาตำรวจเขตออรังกาบัดกล่าวว่า  การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดโดยเฉพาะการใช้เยาวชนเป็นเหยื่อ

เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในปฏิบัติการครั้งดังกล่าวอ้างว่าเหยื่อสาวได้เดินทางออกไปหาคนร้ายโดยไม่ได้แจ้งพวกเขาก่อนโดยคิดเอาเองว่ารถตำรวจกำลังติดตามเธอไป ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสามารถจับกุมคนร้ายได้ภายหลังที่สถานีรถไฟหลังได้ทราบเบาะแสการหลบหนีของคนร้าย

ด้านวินอดเอจจัปวาร์เจ้าหน้าที่ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นำในการปฏิบัติการโดยใช้ผู้เสียหายเป็นเหยื่อล่อได้ถูกสั่งพักราชการแล้วโดยรายงานการสอบสวนการปฏิบัติหน้าที่ของเขาคาดว่าจะใช้เวลาในการประเมินราว20 วัน



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1436847074

สุดสลด อดีตหญิงบำเรอกามคับแค้น "ชีวิตนรก"
ถูกทหารญี่ปุ่น 50 นาย ขืนใจทุกวัน-ทุกวันนี้อยากตาย!












สำนักข่าวต่างประเทศเดลี เมล์ รายงานว่า  นางลี อ๊ก ซอน อดีตหญิงบำเรอกองทัพญี่ปุ่นหรือ "Comfort Woman" ชาวเกาหลีใต้ วัย 87  ปีได้ออกมาฟ้องร้องรัฐบาลญี่ปุ่นและเรียกเงินชดเชยจำนวน 16 ล้านยูโร หรือราว 604 ล้านบาท  สำหรับความทุกข์ทรมานที่ได้รับจากการถูกบังคับให้เป็นหญิงบำเรอของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่  2





ภายหลังที่ญี่ปุ่นออกมากล่าวว่าผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้ถูกบังคับและขายร่างกายของพวกเธอเองเพื่อเงินนอกจากนี้อดีตหญิงบำเรอคนอื่นๆอีก11คนก็ออกมาร่วมฟ้องเรียกเงินชดเชยเป็นเงิน1.3 ล้านยูโรอีกด้วย

รายงานระบุว่า นางลี อ๊ก ซอน ได้เล่าถึงอดีตของเธอว่า  เธอถูกฉุดและถูกบังคับให้เป็นหญิงบำเรอกองทัพเมื่อตอนอายุ 15 ปี  โดยถูกคุมตัวให้อยู่ในค่ายทหารที่เมืองเยี่ยนจิง ประเทศจีน ซึ่งอยู่ใกล้กับพรมแดนเกาหลีเหนือ  ซึ่งที่นั่นนางลีได้พบกับเด็กสาวๆมากมายที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกทารุณกรรม  โดยนางลีต้องรับใช้ทหารญี่ปุ่นถึง 50 นายต่อวันเป็นเวลาถึง 3 ปี เธอกล่าวว่า "มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากและลำบากมากๆ ที่ต้องยืนหยัดมีชีวิตอยู่  ขณะที่หลายต่อหลายคนฆ่าตัวตาย  ทั้งกระโดดน้ำตายและไปที่ภูเขาเพื่อแขวนคอ"

นอกจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้วนางลียังเล่าว่าเธอยังโดนทหารญี่ปุ่นตบตีโดยเธอกล่าวว่า"พวกเขาบอกกับฉันว่าฉันเป็นผู้หญิงอวดดีและเขาก็จะฆ่าฉันพวกเขาตบเตะและทุบตีฉันยิ่งเป็นทหารยศสูงเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งอำมหิตมากเท่านั้น"โดยครั้งหนึ่งนางลีเคยพยายามที่จะหนีออกจากค่ายแต่เธอถูกจับได้และผู้คุมค่ายก็ใช้มีดฟันที่แขนของเธอซึ่งได้กลายเป็นแผลเป็นติดตัว

นอกจากนี้การถูกทารุณที่ค่ายนั้นมีผลกระทบต่อสุขภาพของเธอไปทั้งชีวิตโดยเธอสูญเสียประสาทการรับรู้ต่างๆและยังไม่สามารถมีลูกได้อีกด้วย เธอกล่าวว่า "ฉันสูญเสียการมองเห็น การได้ยิน  รวมถึงฟันที่หลุดออกไปตอนโดนซ้อม" ปัจจุบัน นางลีอาศัยอยู่ใน "บ้านแห่งการแบ่งปัน" หรือ "House of Sharing" ซึ่งเป็นศูนย์พิเศษสำหรับหญิงบำเรอทหารที่รอดชีวิต




รายงานระบุว่า  ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาหลังสงครามสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นได้ออกมาตระหนักถึงความทุกข์ทรมานของผู้หญิงกลุ่มนี้  และในปี 1993 เลขานุการหัวหน้าคณะรัฐมนตรี นายโยเฮอิ โคโน  ได้แถลงการณ์ขออภัยสำหรับความทุกข์ทรมานและบาดแผลทางใจที่พวกเธอได้รับ  

แต่เมื่อปีที่แล้วรัฐบาลชินโซะ อาเบะ กล่าวว่าพวกเขาจะพิจารณาการแถลงการณ์ขออภัยใหม่  โดยชี้ว่ารัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับตัวหญิงสาวและบังคับให้เป็นหญิงรับใช้ในค่าย  อีกทั้งยังอ้างว่าเงินชดเชยนั้นถูกจ่ายให้เกาหลีใต้ไปแล้วในปี 1965  โดยเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลี  แต่เกาหลีใช้เงินส่วนใหญ่ที่ได้รับไปในโครงการขั้นพื้นฐานต่างๆ  มากกว่าให้เป็นเงินชดเชยแก่หญิงบำเรอที่รอดชีวิต




โดยนางยู ฮีนัม วัย 88 ปี   อดีตหญิงบำเรออีกคนหนึ่งที่อาศัยในบ้านแห่งการแบ่งปันได้ออกมาวิพากษ์ทัศนคติของญี่ปุ่นที่มีต่ออดีตหญิงบำเรอเธอกล่าวว่า "อาเบะไม่ได้ตระหนักเลยว่าพวกเราถูกบังคับให้มาเป็นทาสกามเขาบอกว่าพวกเราได้เงินและทำอย่างเต็มใจพวกเราโกรธมากจริงๆคำพูดของเรากลายเป็นคำโกหกเพราะพวกเขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลยดังนั้นเราจะทำการฟ้องร้อง"

นอกจากนี้นางยูยังได้เล่าประสบการณ์อันเศร้าสลดของเธออีกว่า"มันเป็นเรื่องเจ็บปวดใจมากจริงๆ พวกเขาทุบตีเรา มันน่าอนาถใจมาก  ผู้หญิงเกาหลีได้รับการปฏิบัติเหมือนพวกเราไม่ใช่มนุษย์  พวกเขาปฏิบัติกับเราเหมือนเราเป็นเพียงสุนัข"

เช่นเดียวกับหญิงคนอื่นๆ ยู ปกปิดอดีตอันน่าอับอายของเธอกับครอบครัว แต่หลังจากที่เธอได้พูดความจริงออกไปแล้ว เธอกล่าวว่า "ลูกๆ ของฉันบอกว่าพวกเขารู้สึกอับอาย ดังนั้น ตอนนี้ฉันอยากจะตายๆ  ไปเร็วๆ"

ทั้งนี้ เวลาสำหรับอดีตหญิงรับใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  ที่จะเรียกร้องความยุติธรรมกำลังจะหมดไป เพราะตอนนี้มีเพียง 49 คนที่รอดชีวิตเท่านั้น  และอายุเฉลี่ยของพวกเธอนั้นก็เกือบๆ 90 ปี ดังนั้น เวลาของพวกเธอจึงเหลือน้อยเต็มที

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435731110

แสดงความคิดเห็น

สงครามไม่ว่ายุคใดสมัยใดย่อมฝากความทรงจำอันเลวร้ายไว้ตลอดไป...  โพสต์ 2015-7-15 10:27
ว่อนเน็ต ! ประกาศ รับซื้อเหรียญ 5 ปี 2540                                                            
                                                                                       
                            ที่มา : http://news.mthai.com/hot-news/social-news/453622.html


                                                            แฟนเพจ ร้านปาหนัน จิวเวลรี่ ประกาศรับซื้อเหรียญ5 ปี 2540 ในราคาพันห้า รับไม่มีอั้น!!

วันนี้ (16 ก. ค.) เป็นกระแสฮือฮาบนโลกออนไลน์ขึ้นมาทันที หลังจากแฟนเพจ ร้านปาหนัน จิวเวลรี่ ได้มีการโพสต์ภาพเหรียญ 5 พร้อมระบุคำบรรยายภาพว่า

“รับซื้อเหรียญ 5 บาท ปี 2540 ในราคาเริ่มต้นที่ 1,500 บาท รับไม่อั้น รับตลอด ติดต่อมาได้เรื่อย ๆ สนใจขาย โพสต์รูปทาง inbox มาคุยครับ รอบนี้ไม่ขอแจกเบอร์ เพราะบางคนชอบถามว่า ปีนี้เอาไหม ปีนั้นเอาไหม วุ่นวายมากครับ

ย้ำเอาแค่ 2 ปี 2540 และ 2546 ปีอื่นไม่เอา ย้ำไม่เอาปีอื่น ไม่ต้องเสนอมา กราบละครับ อ่านบ้างไม่เอาปีอื่น เหรียญ 1 บาท 10 บาท ปีที่ว่าก็ไม่เอา อย่าปล่อยให้โชคหลุดมือไปง่าย ๆ  กดlike กดแชร์ไว้เลย ยังมีรับซื้ออีกมากมายครับ ค่อย ๆ บอกกันไป”

ทั้งนี้เมื่อปีที่ผ่านมา ทางร้าน ปาหนัน จิวเวลรี่ ยังเคย ประกาศตามหาเหรียญ 10 บาท ที่ผลิตขึ้น ในปี 2533 ในราคา 100,000 บาทอีกด้วย                                                                        
                                                            

ชาวนาเร่งสูบน้ำตุน หลังเขื่อนเจ้าพระยา ปรับลดระบายน้ำ                                                            
                                                                                       
                            ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/512056


                                                            ชาวนา เร่งสูบน้ำตุน ครวญตั้งแต่ทำนา ไม่เคยเจอสภาวะแล้งขนาดนี้ หลัง ผอ.เขื่อนเจ้าพระยา เตือน ปรับลดการจ่ายน้ำเพื่อการเกษตร วอนชาวนาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 16 ก.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระดับน้ำที่จุดวัดน้ำ C13 เหนือเขื่อนปัจจุบัน อยู่ที่ 13.13 ทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาวันนี้ ต่ำกว่าตลิ่งถึง 3.21 เมตร โดยระดับน้ำท้ายเขื่อนอยู่ที่ระดับ 9.09 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งระดับน้ำในเขื่อนเจ้าพระยานั้น ลดลงอยู่อย่างต่อเนื่องในทุกๆ วัน

นายเอกสิทธิ์ ศักดีธนาภรณ์ ผู้อำนวยการเขื่อนเจ้าพระยา กล่าวว่า นโยบายช่วงวิกฤติ 20 วัน ต่อจากนี้ จากการประชุมทางผู้บริหารระดับสูง ได้กำหนดเป้าหมายหลักจะเน้นไปที่การอุปโภค-บริโภค การประปา เป็นหลัก ดังนั้นเกษตรกรต้องใช้น้ำอย่างประหยัดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ได้มีการหมุนเวียนน้ำไปตามลำคลอง และแหล่งกักเก็บน้ำ เพื่อการเกษตรแล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งหลังจากนี้อีก 20 วัน ที่คาดการณ์ว่า ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ช่วยบรรเทาวิกฤติภัยแล้งของเกษตรกรได้ในระดับหนึ่ง ส่วนในเรื่องการจัดสรรน้ำตามแผนในอีก 2-3 วัน ต่อจากนี้เขื่อนเจ้าพระยาช่วงนี้จำเป็นต้องค่อยๆ ปรับลดการจ่ายน้ำ ในพื้นที่ทำการเกษตรลงจากเดิม จึงอยากวอนขอให้เกษตรกร ชาวนาในพื้นที่ ที่ต้องรับการจัดสรรน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา คอยติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่า ประโยชน์ส่วนตน

ด้านนายพรชัย อ่ำตุ้ย อายุ 50 ปี ชาวนา ต.บางหลวง อ.สรรพยา กล่าวว่า หลังจากติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องของน้ำในเขื่อนเจ้าพระยา พร้อมฟังประกาศจากกรมชลประทานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำการลดการจัดสรรน้ำให้แก่ชาวนาในพื้นที่ ทำให้ตนและชาวนาบริเวณข้างเคียง เร่งสูบน้ำเข้าไปยังที่นาของตน เพื่อกักตุนไว้ก่อนที่น้ำจะแล้ง เนื่องจากข้าวในนาของแต่ละคน อยู่ในช่วงตั้งท้องขอให้มีน้ำหล่อเลี้ยง ไปจนถึงสิ้นเดือนเท่านั้น หากขาดน้ำช่วงนี้อาจทำให้ข้าวเน่าตาย ขาดทุนกันไปตามๆ กัน

"ตั้งแต่ตนยึดอาชีพทำนามากว่า 35 กว่าปี ไม่เคยเจอสภาวะน้ำแล้งขนาดนี้ แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ชาวนาทุกคนประสบอยู่ในขณะนี้ เป็นปัญหาที่คนในชาติต้องเผชิญร่วมกัน ทำให้ตนไม่คิดว่า จะต้องเอาตนเองเป็นที่ตั้ง ทุกวันนี้ตนและพวกได้แต่ภาวนาขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลเท่านั้น หากไม่มีน้ำฝนมาตามที่คาดการณ์ไว้ ก็ต้องก้มหน้าทำใจยอมรับกับการขาดทุนครั้งยิ่งใหญ่" นายพรชัย กล่าว.                                                                        
                                                            

บ.ซัมซุงในโคราชปิดกิจการ ปลดพนักงานกว่า 1,400 คน                                                            
                                                                                       
                            ที่มา : http://money.sanook.com/296277/


                                                            พิษส่งออกทรุด! บ.ซัมซุง ในเขตอุสาหกรรมโคราชประกาศปิดกิจการ ปลดพนักงานออกกว่า 1,400 คน เริ่มทยอยลงทะเบียนว่างงานต่อเนื่อง

วันนี้ (17 ก.ค. 58) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานจัดหางาน จ.นครราชสีมา นายพงศวัฒน์ เพชรวิเชียร จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ได้จัดเตรียมสถานที่ และเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง เพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่มายื่นแบบฟอร์มรายงานตัวเพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน โดยเฉพาะพนักงานจาก บริษัทซัมซุงอิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ภายใน จ.นครราชสีมา ที่เดินทางมายื่นแบบฟอร์มดังกล่าว กว่า 300 คน หลังจากที่บริษัทฯ ได้มีการประกาศปิดกิจการ และเริ่มมีการทยอยเลิกจ้างพนักงาน ทั้งนี้ ได้มีการจัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่


โดยนายอาทิตย์ เรไร อายุ 28 ปี อดีตช่างเทคนิค ของบริษัท ซัมซุง อิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า โรงงานแห่งนี้ เป็นโรงงานผลิตมอเตอร์ฮาร์ดดิสก์ คอมพิวเตอร์ เพื่อป้อนส่งโรงงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา ยอดการสั่งผลิต มีจำนวนลดลงเกือบหมด ทำให้ทางผู้บริหารโรงงาน ประกาศปิดกิจการ และมีการลดจำนวนพนักงานลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนทำงานที่โรงงานแห่งนี้มานานกว่า 8 ปี เมื่อถูกเลิกจ้าง ก็ได้รับค่าชดเชยจากโรงงานตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้พนักงานส่วนใหญ่พอใจกับการชดเชยหลังถูกเลิกจ้าง ส่วนหลังจากนี้ ตนคงจะต้องหาสมัครงานกับบริษัทอื่นๆ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวต่อไป

ด้านนายพงศวัฒน์ เพชรวิเชียร จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้รับหนังสือชี้แจงจาก บริษัท ซัมซุง อิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ จำกัด ว่าจะมีการประกาศปิดกิจการ โดยช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ก็ได้มีการให้พนักงานสมัครใจลาออก ซึ่งมีจำนวนกว่า 600 คน โดยทั้ง 600 คนนั้น ได้มีการมายื่นแบบฟอร์มเพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานไปจนเสร็จสิ้นแล้ว


ส่วนในรอบนี้ เป็นรอบที่ 2 ที่ทาง บริษัทฯ ประกาศเลิกจ้างไปเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 โดยมีจำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างประมาณ 1,400 คน จึงเริ่มมีพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทยอยมายื่นแบบฟอร์มเพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานแล้วเกือบ 500 คน และคาดว่าจะเริ่มเดินทางมายื่นภายในสัปดาห์หน้า

ดังนั้น หากพนักงานที่ถูกเลิกจ้างแล้ว ขอให้มายื่นแบบฟอร์มเพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ถูกเลิกจ้าง เพื่อขอรับสิทธิชดเชยตามกฎหมาย หรือจะสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานในประเทศ สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา โทร.044-355-266 ต่อ 104 ได้ในวันและเวลาราชการ                                                                        
                                                            

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้