ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 13647
ตอบกลับ: 12
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อพิบูลย์ ปู่ฤาษีผมยาว วัดพระแท่น บ้านแดง

[คัดลอกลิงก์]
ความขลังและพิสดารของ..
หลวงพ่อพิบูลย์  ปู่ฤาษีผมยาว  วัดพระแท่น บ้านแดง


ตอนที่ 1



เกี่ยวกับหลวงพ่อพิบูลย์นี้ผมไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน เพิ่งมารู้จักท่านก็ตอนที่ได้ข่าวว่ามีการทดลองยิงเหรียญรูปเหมือนของท่าน ที่ จ.อุดรธานี

เขาเอาเหรียญนี้ไปผูกคอวัว แล้วยิงเข้าแสกหน้าวัวด้วยปืน .357แม็กนั่ม

วัวถึงกับทรุด

แต่กระสุนไม่เข้าหนังวัว

เหรียญรุ่นนี้ทราบว่าสร้างเพื่อแจกเป็นที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อพิบูลย์ ที่วัดพระแท่นบ้านแดง กิ่งอำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี เป็นเหรียญของรูปหลวงพ่อยืนถือไม้เท้าเต็มองค์ ทรงสี่เหลี่ยม (ดูภาพประกอบ)สร้างแจกเมื่อปี 2504 ไม่ทันหลวงพ่อพิบูลย์ แต่ก็แสกโดยคณาจารย์สายศิษย์หลวงพ่อพิบูลย์ทั้งหมด


(เหรียญเนื้อทองเหลือง ได้รับความนิยมมากกว่าเนื้อทองแดง)


องค์เสกหลักเขาว่าเป็นหลวงพ่อทอง สุวณฺณสโร วัดบ้านยาง ซึ่งคนในพื้นที่นั้นเชื่อถือว่าเหนียวชนิดสุดโต่งแห่งความเหนียวทั้งปวง

วัวตัวนั้นยืนยันได้

ทราบว่าหลวงพ่อทอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของหลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ มุกดาหาร ซึ่งหลวงปู่หล้าถือท่านเป็นอาจารย์องค์แรกๆก่อนจะรู้จักหลวงปู่มั่นและวัด ที่หลวงปู่หล้าอุปสมบทก็คือวัดบ้านยาง ที่หลวงพ่อทองเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้นด้วย

หลวงพ่อทองเป็นศิษย์ตรงของหลวงพ่อพิบูลย์ มีปฏิปทาโลดแล่นอยู่ฟากอภินิหาร

เรียกว่าเป็นปรมาจารย์สายขลังอีกองค์หนึ่ง

ถ้าจะพูดถึงหลวงพ่อทอง วัดบ้านยาง คนทั้งหลายจะนึกถึงท่านแต่เรื่องขลัง ไม่นึกไปถึงเรื่องอื่น หรือแม้แต่เรื่องประพฤติปฏิบัติที่เคร่งครัด

เรื่องของหลวงพ่อทองเห็นจะเว้นไว้ไม่กล่าวถึง แต่จะไปพูดกันถึงอาจารย์ของท่านคือหลวงพ่อพิบูลย์ ที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดสายขลังสายนี้

แต่เรื่องของหลวงพ่อพิบูลย์นั้นออกจะพิสดารไม่น้อย มีปรากฏเป็นหนังสือที่หาอ่านได้ยากและเป็นประวัติแบบจดบันทึกตามคำบอกเล่า ของผู้ที่รู้จักและนับถือท่าน ซึ่งเมื่ออ่านแล้วจะพบทั้งเรื่องที่ดูจริงจังและดูออกจะเกินธรรมดาอยู่บ้าง

เมื่อจะนำถ่ายทอดสู่กันฟังขอให้ทำใจเป็นกลางๆ

จะได้ไม่ต้องมาต่อว่ากันทีหลังว่าผมกำลังเชียร์ให้ดูหนังอินเดีย

อีกอย่างก็เผื่อเอาไว้ว่าคนเขาจะได้รู้กัน เรื่องที่จะต้องลุกขึ้นมาตะโกนว่า “ผมไม่ได้โม้”นั้นผมก็เขียนเป็น

บางที่คุณอาทิตย์ ประยูรศิริ จะได้ชั่งใจไม่แซวผมอีก

คงจะมีใครพอจำได้ว่า ผมชอบคุณอาทิตย์เป็นอันมากและคุณอาทิตย์ก็เขียนจดหมายถึงผมเมื่อปีใหม่ที่ ผ่านมา แต่ผมยังไม่สะดวกจะตอบจดหมาย แต่อยากให้คุณอาทิตย์โทรฯไปคุยกับผมด้วย คุณอาทิตย์ก็ไม่มีโทรศัพท์ เข้าใจว่ายังอยู่ในยุคจูราสสิค ยังไงก็ขอให้พ้นจากยุคนั้นสัก 2 นาทีโดยโทรฯหาผม จะขอบคุณมาก

รับรองว่าผมจะไม่ก้าวล้ำเข้าไปทำลายไดโนเสาร์จนสูญพันธ์

อย่างไรก็ตามผมบอกได้ว่าเมื่ออ่านประวัติหลวงพ่อพิบูลย์แล้ว ผมอยากเกิดทันท่านจะได้สมัครเป็นศิษย์ คอยปรนนิบัติรับใช้แล้วถือเอาท่านเป็นอาจารย์ตลอดไป

บางทีจะได้มุดน้ำดำดินไปกับท่าน พอให้เป็นวาสนาแก่ตัว


หลวงพ่อพิบูลย์(ไม่ทราบฉายา) มีนามเดิมว่า พิบูลย์ แซ่ตัน เกิดที่บ้านพระเจ้า ตำบลมะอึ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีชื่อใหม่ว่า ตำบลพระเจ้า อยู่ในอำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด วันเกิดและเดือนเกิดไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเกิดปี พ.ศ. 2354 มีบิดาชื่อสา กับมารดาชื่อโสภา มีอาชีพเป็นชาวนาและประกอบการค้าไปด้วย

พิจารณาจากนามสกุลของหลวงพ่อพิบูลย์แล้ว เข้าใจว่าท่านจะสืบเชื้อสายมาจากชาวญวน ผมมีเพื่อนชาวญวนที่มีนามสกุลเดียวกันนี้อยู่คนหนึ่ง แต่สืบสวนแล้วไม่รู้จักหรือมีอะไรพาดพิงไปถึงหลวงพ่อพิบูลย์แม้แต่น้อย คนสกุลแซ่ตันในเมืองอุบลฯก็มีอยู่มากมาย จึงทำให้คล้อยเชื่อว่าท่านควรจะเป็นชาวญวนด้วยเหมือนกัน

ถึงอย่างไรท่านก็ถือสัญชาติไทยอย่างแน่ชัด เนื่องจากว่าท่านได้เข้ารับราชการทหารอยู่หลายปี และก็มีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่หลายปีเช่นกัน เสียแต่ไม่ทราบชื่อและฐานะของภรรยาของท่าน

หลวงพ่อพิบูลย์สมัยครองเรือน ไม่มีบุตรธิดา แต่ขอธิดาของนายจันทีเพื่อนบ้านมาเป็นลูกบุญธรรม และเลี้ยงดูจนเติบใหญ่เป็นสาวออกเรือนแต่งงานกับชายที่มีศักดิ์และฐานะใกล้ เคียงกัน



ทุกวันนี้ได้ยินว่ารัฐบาลลาวไปสร้างแดนสวรรค์ที่ภูเขาควาย คือแหล่งการพนันขนาดใหญ่คล้ายลาสเวกัส แต่สภาพป่าบนภูเขาควายก็ยังสมบูรณ์ดีอยู่ ส่วนจะยังลึกลับแค่ไหนนั้นยังบอกไม่ได้อีกเหมือนกัน

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 06:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความข้อนี้แสดงว่าหลวงพ่อในสมัยเป็นฆราวาสนั้นออกจะมีฐานะดีไม่น้อย

เมื่อมีฐานะดีแล้วมาบวกกับจิตใจของคนที่ต่อไปจะได้บวชเป็นพระก็เลยออกมาเป็นคนชอบทำบุญทำทาน และบริจาคเพื่อส่วนรวมจนเป็นปกติวิสัย

ว่างๆก็ไปวัดฟังธรรม

ฟังจนนิสัยปัจจัยทางพระงอกเงยเต็มหัวใจ

วันหนึ่งได้เรียกภรรยามาปรึกษาอย่างจริงจังว่าอยากจะออกบวช ชีวิตฆราวาสพอสมควรแล้ว ลูกสาวกับลูกเขยก็อยู่กันอย่างเป็นสุขแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องห่วง ภรรยาเห็นว่าสามีจะบวชคนเดียวก็กระไรอยู่ ตนเองจะบวชมั่ง ถือศีลแปดก็เอา ลูกสาวกับลูกเขยก็ไม่ขัดข้อง ไม่คิดจะขวางทางพระนิพพานของพ่อและแม่

ตกลงก็ออกบวชทั้งคู่ไม่ได้บวชที่เดียวกัน ต่างคนต่างบวชกันไปคนละทิศ

เหมือนจะหวังผลในพระนิพพานจริงๆ

เมื่อจะขาดสิ้นทางโลกแล้วก็ต้องให้ขาดสะบั้นในทางธรรม

ทรัพย์สินทั้งหมดยกให้ลูกสาวกับลูกเขย

เป็นอันหมดห่วงในทางโลก

ตอนที่หลวงพ่อพิบูลย์ออกบวชนั้นมีอายุได้ 45 ปี ก็จะตกประมาณพ.ศ. 2399 ไม่ปรากฏสำนักที่บวช ไม่ทราบพระอุปัชฌาย์ พอบวชได้หนึ่งพรรษาก็ออกธุดงค์ ข้ามแม่น้ำโขงไปประเทศลาว เดินตรงไปภูอากและภูเขาควาย แล้วบำเพ็ญสมณธรรมอยู่แถวนั้นหลายพรรษา

เกี่ยวกับการออกบวชของหลวงพ่อพิบูลย์ ทำให้นึกถึงหลวงพ่อพรหม จิรปุญโญ ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มั่นที่ออกบวชคล้ายกันคือ ท่านมีฐานะดีอยู่แล้วในทางโลก และได้สละทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่นจนหมดสิ้น จึงค่อยออกบวชพร้อมกับภรรยา แต่ว่าหลวงปู่พรหมให้ภรรยาบวชชีก่อน 1 ปี ท่านจึงบวชตามทีหลัง

ในขณะที่บวชมีอายุ 37 ปี ได้ใช้ชีวิตทางโลกมาอย่างช่ำชองเหมือนหลวงพ่อพิบูลย์

ผิดแต่ยุคสมัยที่บวชนั้นห่างกัน 70 ปี

หลวงพ่อพิบูลย์จวนจะมรณภาพแล้วนั่นแหละ หลวงปู่พรหมจึงได้บวช

บางทีหลวงปู่พรหมอาจจะได้แบบอย่างจากหลวงพ่อพิบูลย์ก็ได้ใครจะรู้

เป็นคนจังหวัดเดียวกันอีกต่างหาก

ระหว่างที่หลวงพ่อพิบูลย์พำนักอยู่ภูเขาควาย ท่านได้พบอาจารย์องค์สำคัญในชีวิตของท่านโดยบังเอิญ และอาจารย์องค์นี้ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคม และแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติให้หลวงพ่อพิบูลย์ยึดถือต่อมาจนตลอดชีวิต

หลวงพ่อพิบูลย์เรียกชื่ออาจารย์ของท่านว่า “ พระอาจารย์วิเศษ”ผู้มีไม้เท้าหนักหมื่น

หมี่น เป็นมาตราชั่งตวงวัด แบบเทียบเท่า 12 กิโลกรัมลาว

รายละเอียดเกี่ยวกับพระอาจารย์วิเศษ ไม่มีกล่าวถึง ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครดูไปแล้วก็เป็นเช่นเดียวกับที่เคยได้ยินใครๆกล่าวถึง พระแปลกๆลึกลับบนภูเขาควายหลายรูป หลายวาระ ทำให้นึกเชื่อว่าภูเขาควายคงจะเป็นสถานที่แห่งหนึ่งบนโลกอันสับสนวุ่นวายนี้ ที่เป็นแหล่งชุมนุมยอดวิทยายุทธ์ ผู้เร้นกายอันลี้ลับในผาถ้ำกับผืนป่าดงดิบอันยิ่งใหญ่

มิน่าเล่า ใครๆพออกบวชแล้วก็มักจะเดินขึ้นภูเขาควายกันทั้งนั้น

ขึ้นไปแล้วหายสาบสูญก็เยอะ

กลับออกมาก็มาก

เฉพาะที่กลับออกมาก็เห็นว่าเป็นยอดคนทั้งนั้น

ใครอยากเห็นภูเขาควายให้ไปที่ริมแม่น้ำโขงตรงวัดอาฮง ในเขตอำเภอบึงกาฬต่อกับอำเภอปากคาด ภูเขาควายเริ่มต้นจากตรงนั้น

“ภูเขาควาย” เป็นการเรียกเทือกเขาทั้งเทือก ไม่ใช่เรียกแค่ภูเขาลูกเดียว

ดังนั้นเมื่อพูดว่าขึ้นไปภูเขาควาย ก็ยากจะรู้ว่าไปตรงไหน หรือส่วนไหนของภูเขาควาย

สมัยก่อนภูเขาควายเกือบทั้งหมดมีสภาพเป็นป่าดงดิบ กว้างใหญ่ไพศาล บางแห่งมองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน คือมืดอยู่ในเงาป่าตลอดวันและคืน มีสถานที่ลึกลับแปลกประหลาดที่ยังไม่มีใครสำรวจ กระทั่งตัวประหลาดแบบในเทพนิยายก็ยังมีคนเคยเห็น

ตัวเป็นคนแต่มีขาคล้ายๆขาไก่

ไม่รู้โม้หรือเปล่า

คนที่เล่าเรื่องเห็นตัวประหลาดนี้เป็นอดีตนายร้อยเอกของกองทหารลาดตระเวนลาว เล่าว่าเห็นจากกล้องส่องทางไกล พอเข้าไปใกล้ก็วิ่งหนีหายไปหมด ขณะที่เห็นนั้นเห็นเป็นกลุ่มอยู่ประมาณ 7 ตัว

หรือนี่จะเป็นป่าหิมพานต์ก็ไม่รู้

ตัวประหลาดที่เขาเล่าว่าเห็นก็ฟังดูคล้ายๆกินรีทำนองนั้น

เมื่อพูดถึงตัวประหลาดในป่าเมืองลาว จะพบว่ามีเล่าอยู่บ่อยๆในประวัติครูบาอาจารย์ต่างๆที่เคยธุดงค์อยู่ในเมือง ลาวอย่างเช่นหลวงปู่กิ วัดสนามชัย อ. พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นคนลาวแท้ๆ ก็เล่าว่าเคยเห็นตัวประหลาดตัวหนึ่งเรียกว่า “ตะแข่” มีรูปร่างเหมือนลิงใหญ่ แต่ไม่มีหัวเข่า ถ้ายืนอยู่ก็วิ่งได้ ถ้าล้มลงจะลุกขึ้นไม่ได้ต้องกลิ้งตัวไป เมื่อจะลุกต้องอาศัยมือโหนต้นไม้พยุงตัวขึ้น

ตัวตะแข่นี้หลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร จ. อุดรธานี ซึ่งเคยอยู่ปฏิบัติธรรมกับสำเร็จลุนก็เล่าไว้ตรงกัน

ตัวประหลาดที่แก่งหลี่ผีก็มี

หัวเป็นปลาตัวเป็นคน

ตัวเมียจะมีนมเหมือนนมผู้หญิงไม่มีผิด

ตัวประหลาดนี้จะปรากฏตัวเป็นบางฤดูที่แก่งหลี่ผี หรือน้ำตกหลี่ผี จะมาเล่นน้ำตกโดยแหวกว่ายและกระโดดโลดเต้นแถวใต้แก่งน้ำที่มีกระแสเขี่ยวก ราก

เรื่องนี้เขาเล่าให้ฟังบ่อยๆจะจริงเท็จอย่างไรยังบอกไม่ได้

มีบางท่านอธิบายว่าตัวประหลาดนี้ก็คือปลาโลมาน้ำจืด ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเป็นตัวเดียวกันหรือไม่

ผมเคยไปน้ำตกหลี่ผีเมื่อปลายปี 2541 ไม่ทราบว่าตัวประหลาดนี้จะปรากฏตัวบริเวณไหน เพราะว่าน้ำตกหลี่ผีนั้นใหญ่มาก

เห็นแล้วกลัว

ไม่เห็นว่าเป็นน้ำตกสวยงาม

สำหรับผมแล้วนั่งชมน้ำตกหลี่ผีไป หัวใจก็เต้นกระเส่าตึกๆตักๆบอกไม่ถูก นึกแต่ว่าถ้าหล่นลงไป หลวงพ่อหลวงปู่องค์ไหนก็ช่วยไม่ได้

น่ากลัวจริงๆครับ

เพียงแค่หลี่ผียังเท่านี้แล้วภูเขาควายจะเป็นอย่างไร
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 06:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอนที่ 2

พูดถึงภูเขาควายในวันนี้นอกจากจะมีแดนสวรรค์ ซึ่งก็คือแหล่งการพนันขนาดใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีการสร้างสนามบินทหารเอาไว้ด้วย

ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่ไม่น่าจะมีผลทำให้ภูเขาควายสูญเสียตำนานความลี้ลับไปได้
ทั้งแดนสวรรค์ และสนามบินทหารคงเป็นแต่เพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งบนความยิ่งใหญ่ที่ร่ำลือกันมาช้านาน

เรื่องนี้ท่านเมี่ยง วรมัน ซึ่งเคยไปเห็นทั้งแดนสวรรค์และสนามบินทหารมาแล้ว ก็ยืนยันว่าไม่มีปัญหาในตอนนี้ แต่ในภายหน้าไม่แน่ ภูเขาควายส่วนนี้อาจกลายเป็นอะไรก็ได้ที่มันสวนทางกับตำนาน

แต่กับส่วนอื่นๆที่เป็นส่วนใหญ่ของภูเขาควายนั้น เมื่อมองดูแล้วก็จะเห็นว่ายังคงความลี้ลับ และยิ่งใหญ่เกินกว่าความเจริญจะบุกรุกได้ในเร็ววัน

ถ้าเรายืนมองภูเขาควายจากฝั่งไทย คือแถววัดอาฮง เราจะไม่เห็นแดนสวรรค์และสนามบินทหาร ทำให้นึกเชื่อว่าทั้งแดนสวรรค์และสนามบิน ก็คือเม็ดทรายเม็ดเล็กๆในมหาสมุทรเท่านั้น มันถูกกลบจนหายเข้าไปในผืนป่าและเทือกเขาสลับซับซ้อนที่ได้ยินว่าติดต่อกัน เป็นพืด ตั้งแต่ใต้เวียงจันทร์ไปจนถึงภาคเหนือของลาว

อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับอาจารย์วิเศษ ผู้มีไม้เท้าหนักหมื่น ( 12 กิโลกรัม ) ซึ่งหลวงพ่อพิบูลย์ได้ไปศึกษาหาวิชาว่าเป็นใครกันแน่ แต่ว่าท่านอาจารย์ท่านนี้ย่อมไม่ใช่ครูบาอาจารย์ธรรมดา

คนที่จะอยู่บนภูเขาควายได้อย่างเป็นปกติสุขในสมัยนั้นหาได้ยาก หรือแม้แต่ในสมัยนี้ก็แทบจะไม่มีให้เห็น

อุปมาดั่งว่าภูเขาควายคือป่าหิมพานต์ที่ยังมีอยู่ในโลก คนที่อยู่ได้นั้นนับว่าพิเศษกว่าใครอื่น ยากที่จะค้นหาหรือฟันฝ่าความลี้ลับของภูเขาควายเข้าไปพบตัวได้

ไม่แปลกที่อาจารย์วิเศษจะเป็นบุคคลลี้ลับจนไม่มีใครรู้จักท่านอย่างถ่องแท้ ผู้ที่รู้จักท่านอย่างถ่องแท้เห็นจะเป็นบรรดาศิษย์ แต่ก็ไม่มีศิษย์คนไหนพูดถึงท่านให้เข้าใจว่าท่านเป็นใครอย่างไรแม้แต่คน เดียว

หลวงพ่อพิบูลย์ได้อยู่ปฏิบัติธรรม และศึกษาวิชาอาคมกับอาจารย์วิเศษร่วมกับศิษย์อื่นอีก 7 องค์เป็นเวลา 7 ปีเต็ม

วันหนึ่งอาจารย์วิเศษได้เรียกลูกศิษย์ทั้งหมดมาพบ แล้วส่งลูกสมอให้คนละลูก และสั่งให้อมลูกสมอไว้ในปาก

ปรากฏว่ามีอยู่ 3 องค์ที่อมลูกสมอแตก

หลวงพ่อพิบูลย์เป็นหนึ่งในนั้น
ลูกสมอแตกจะมีความหมายอย่างไรไม่ทราบ แต่ดูเหมือนจะเป็นสัญญานบอกความสำเร็จอะไรสักอย่าง

ท่านอาจารย์วิเศษมีบัญชาให้ลูกศิษย์ทั้ง 3 องค์ลงจากภูเขาควาย โดยให้คนหนึ่งไปอยู่ภาคเหนือของประเทศไทย อีกคนให้ไปอยู่ภาคใต้ ส่วนหลวงพ่อพิบูลย์ให้อยู่ภาคอีสาน

ลูกสมอแตกน่าจะเป็นข้อสอบไล่เทอมสุดท้าย
คนที่อมลูกสมอไม่แตกถือว่าสอบตก ต้องอยู่เรียนซ้ำชั้นอีก
คนที่อมลูกสมอแตกคือคนที่สอบไล่ได้ ถือว่าจบการศึกษา

เมื่อกราบลาท่านอาจารย์วิเศษแล้วหลวงพ่อพิบูลย์ได้เดินทางกลับประเทศไทย ข้ามแม่น้ำโขงมาทางนครพนม เพื่อนมัสการพระธาตุพนม จากนั้นเดินทางเข้ากุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี จนบรรลุถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งสอบสวนไม่ได้ว่าเป็นที่ไหน ท่านได้เข้าไปแพ้วถางจนพอจะปักกลดพำนักได้ และเป็นเหตุให้ชาวบ้านแถวนั้นจับตามองด้วยความสงสัย จนในที่สุดบรรดาชาวบ้านทั้งหลายได้เกิดความเลื่อมใส และประหลาดใจว่าท่านอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร

ก็มันเป็นสถานที่อาถรรพณ์พันลึกที่ชาวบ้านหวาดกลัวมาแสนนาน

แถมตรงท่าน้ำนั้นยังมีจระเข้ยักษ์อาศัยอยู่ตัวหนึ่ง

กลุ่มชาวบ้านที่เริ่มคุ้นเคยกับท่านได้รวมตัวเข้าไปกราบนมัสการปรึกษาหารือ ท่านว่าจะทำยังไงดี เรื่องจระเข้ดุร้ายขนาดยักษ์ตัวนั้น ซึ่งชอบอาละวากกัดหมาแถมลากเอาวัวควาย หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆของชาวบ้านไปกินเป็นประจำ จนไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ลำน้ำบริเวณนั้น

หลวงพ่อพิบูลย์บอกว่าไม่ต้องกลัวเอาเทียนเวียนหัวมาคนละเล่มจะทำพิธีให้

เมื่อชาวบ้านเอาเทียนเวียนหัวมาจนครบถ้วนแล้ว หลวงพ่อพิบูลย์ลงนั่งบริกรรมคาถาอยู่พักหนึ่งแล้วลุกขึ้นถือเอาไม้เรียวไว้ ในมือข้างหนึ่งอีกข้างถือเทียนที่จุดไฟแล้วเดินลงน้ำไปจนหายมิดไปทั้งตัว

พวกชาวบ้านเห็นน้ำขุ่นมัวไปหมด

ดูคล้ายกำลังมีเรื่องชุลมุนอยู่ใต้น้ำ

ตอนนี้หนังสือประวัติกล่าวว่า
“น้ำขุ่นมัวอยู่ประมาณชั่วโมงหนึ่งหลวงพ่อจึงกลับขึ้นมาซึ่งเป็นที่น่า อัศจรรย์ที่เทียนในมือท่านไม่ดับ สบงจีวรไม่เปียก หลวงพ่อบอกชาวบ้านว่า มันยอมแพ้แล้วและจะหนีไปภายใน 7 วัน หลวงพ่อจึงเรียกจระเข้ขึ้นมาให้ดู จระเข้ก็ขึ้นมานอนที่ริมฝั่ง หลวงพ่อบอกอีกว่าให้หนีไปจากลำห้วยนี้ภายใน 7 วัน จระเข้ก็คลานลงน้ำไป หลังจากนั้นไม่ปรากฏว่ามีจระเข้อีกเลย จึงยิ่งทำให้ชาวบ้านเลื่อมใสหลวงเป็นอย่างยิ่งทวีคูณ”

ลำห้วยนี้คาดว่าจะเป็นลำน้ำปาวในปัจจุบัน

หลังจากนั้นหลวงพ่อได้สร้างวัดขึ้นตรงนั้นมีชื่อว่า วัดเกาะแก้วเกาะเกด

ทุกวันนี้วัดเกาะแก้วเกาะเกดจะเป็นสถานที่อย่างไรไม่ทราบ

ต่อมาหลวงพ่อพิบูลย์ได้ธุดงค์กลับภูเขาควายไปหาอาจารย์ของท่านอีกครั้งหนึ่ง พอไปถึงอาจารย์วิเศษได้เอะอะว่า วัดที่เจ้าสร้างขึ้นไม่ใช่วัดที่บอกให้ไปอยู่ ส่วนวัดที่บอกไว้ให้ไปอยู่นั้นอยู่ทางทิศเหนือของหนองหานติดกับห้วยหลวง
หลวงพ่อพิบูลย์จึงคิดว่าตัวท่านเองไปอยู่ผิดที่ผิดคำของอาจารย์

หนังสือประวัติบอกว่า
“หลวงพ่อจึงเดินธุดงค์กลับมาเพื่อบอกลาชาวบ้าน พ่ออกแม่ออก(ญาติโยม)ทำให้ทุกคนเสียดายเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นหลวงพ่อก็เดินทางเพื่อหาวัดที่พระอาจารย์บอกให้ไปสร้างต่อ พอมาถึงบ้านเชียงงาม(ปัจจุบันอยู่ติดอำเภอหนองหาน) หลวงพ่อได้พบโยมคนหนึ่งชื่อโยมเวียง จึงถามหาห้วยหลวง โยมเวียงบอกว่าวันนี้คงเดินทางไปไม่ถึงห้วยหลวง ขอให้จำพรรษาที่วัดนี้ก่อน หลวงพ่อจึงรับนิมนต์และจำพรรษาที่วัดเชียงงาม”


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 06:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เกี่ยวกับโยมเวียง ก็มีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง คือเมื่อ 10 ปีก่อนที่จะพบกับหลวงพ่อนั้น มีคนแปลกหน้าเอาไม้เท้ามาฝากไว้กับโยมเวียงสั่งว่าให้รักษาเอาไว้ให้กับคน ผู้หนึ่ง ซึ่งจะมาขอรับเอาไม้เท้านี้เอง โยมเวียงถามว่าจะทราบได้อย่างไรว่าใครจะเป็นคนที่ท่านฝากไม้เท้านี้ไว้ให้ คนแปลกหน้านั้นตอบว่าโยมเวียงจะทราบเอง

หนังสือประวัติกล่าวถึงตอนนี้ว่า
“โยมเวียงพาหลวงพ่อเข้าบ้าน หลวงพ่อถามโยมเวียงว่า มีใครเอาอะไรมาฝากไว้ไหม โยมเวียงบอกว่ามีคนเอาไม้เท้ามาฝากไว้เมื่อ 10 ปีก่อน บอกว่าจะมีคนมาเอาเอง โยมเวียงจึงนำมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อคลี่ผ้าขาวออกดูมีตัวหนังสือเป็นตัวยันต์เต็มไปหมด ใจความว่า หลวงพ่อพิบูลย์ โยมเวียงถามว่า ผู้ที่นำไม้เท้ามาฝากไว้นี้เป็นใคร หลวงพ่อบอกว่าเป็นเทพบุตร อยู่สรวงสวรรค์เป็นผู้นำมาฝากไว้”

ประวัติช่วงนี้มีแต่เนื้อล้วนๆไม่ติดมัน ถ้าจะพิจารณาว่ามีมันติดอยู่ในเนื้อส่วนไหนบ้าง ก็จะพบว่าหลวงพ่อพิบูลย์ไปพบโยมเวียงเป็นเหตุบังเอิญหรือจงใจ

ถ้าเป็นเหตุบังเอิญ ก็บังเอิญไปหมด

บังเอิญพบโยมเวียงเพื่อถามทางไปห้วยหลวง และบังเอิญเป็นวันเข้าพรรษาพอดี ทำให้ไปไหนต่อไม่ได้ จะต้องหาวัดอธิษฐานเข้าพรรษาตามพระวินัย และบังเอิญโยมเวียงก็นิมนต์ท่านให้จำพรรษาเสียอีก

ทีนี้สงสัยว่าทำไมหลวงพ่อบังเอิญถามโยมเวียงว่า มีใครเอาอะไรมาฝากไว้ให้ท่านไหม

บังเอิญมีเสียด้วย

บังเอิญนี้คล้ายจะไม่บังเอิญเสียแล้ว

ไม้เท้าอันนี้จะเป็นอันเดียวกับที่ท่านถือในมือในรูปถ่ายที่ลงพิมพ์ให้ดูหรือไม่ก็สุดจะคาดเดาได้

ในระหว่างที่หลวงพ่อจำพรรษาอยู่วัดเชียงงามนี้ ใครชอบเนื้อติดมันก็จะเห็นว่ามันมาก

คือ มีหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า “เถิก” เป็นคนเก่งวิชาอาคม แต่หัวดื้อชอบเกะกะระรานชาวบ้าน หลวงพ่อเห็นเช่นนั้นจึงเรียกตัวหนุ่มเถิกมาตักเตือน แทนที่หนุ่มเถิกจะเชื่อฟัง กลับโกรธไม่พอใจคิดทำร้ายหลวงพ่อ

คืนหนึ่งหลวงพ่อนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ หนุ่มเถิกก็ปล่อยควายธนูจะฆ่าหลวงพ่อให้ตาย แต่ควายธนูทำอะไรหลวงพ่อไม่ได้ คงเพียงแต่วิ่งวนอยู่รอบๆตัวหลวงพ่อ แถมเป้นควายตัวกระจิดริดเสียอีก หลวงพ่อจึงเอากระโถนครอบควายธนูเอาไว้ ควายธนูก็หมดฤทธิ์

รุ่งเช้าหลวงพ่อได้ออกบิณฑบาตตามปกติ ระหว่างนั้นท่านได้เห็นชาวบ้านทำโลงศพจะใส่ศพหนุ่มเถิก จึงหยุดถามว่าเรื่องเป็นยังไง ชาวบ้านบอกว่าหนุ่มเถิกนอนไหลตายตั้งแต่เมื่อคืนนี้ คะเนว่าประมาณตี 2 หลวงพ่อจึงบอกว่าอย่าเอาศพใส่โลงนะ ให้เอาน้ำมนต์ของหลวงพ่อไปกรอกใส่ปากศพหนุ่มเถิกก็จะฟื้น แต่ว่าต้องรอหลวงพ่อบิณฑบาตและฉันอาหารเสร็จเสียก่อน
แล้วให้แต่งขันธ์ 5 ขันธ์ 8 มาจึงจะทำน้ำมนต์ให้

พอได้น้ำมนต์ก็เอาปำรอกปากศพหนุ่มเถิก เพียงครู่เดียวหนุ่มเถิกก็ฟื้นจากความตายเป็นที่น่าอัศจรรย์

ภายหลังหนุ่มเถิกได้ไปขอขมาลาโทษกับหลวงพ่อและขอบวช แล้วขออาสาจะติดตามรับใช้หลงพ่อจนตลอดชีวิต

เรื่องแบบนี้ถ้านึกให้ดีจะพบว่า เกิดขึ้นกับครูบาอาจารย์ในสมัยก่อนหลายรูป

หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเคยเล่าว่า สมัยท่านยังเป็นพระหนุ่มๆได้ร่วมคณะธุดงค์ไปในพื้นที่เมืองกาญจนบุรี คณะของท่านมีหลวงพ่อสดวัดปากน้ำร่วมด้วย โดยมีหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือเป็นหัวหน้าคณะ

วันหนึ่งธุดงค์ไปถึงบริเวณใกล้ๆวัดที่เกือบจะร้างวัดหนึ่ง หลวงพ่อรุ่งให้ให้ทุกองค์ปักกลดพักแรมที่นั่น พอโพล้เพล้แต่ละองค์ก็มุดเข้ากลดพักผ่อน แต่หลวงพ่อรุ่งองค์เดียวยังนั่งเหลาไม้เรียวอยู่นอกกลด

คืนนั้นมีเสือมาตัวหนึ่ง มาป้วนเปี้ยนอยู่แถวกลดหลวงปู่โต๊ะ ซึ่งท่านถึงกับบอกว่า “ใครไม่กลัวเสือล่ะ อย่าไปเชื่อ ฉันน่ะกลัวขี้หดตดหาย ทำอะไรไม่ถูก”

สักพักเสือก็ตรงไปที่กลดหลวงพ่อรุ่ง เดี๋ยวเดียวได้ยินเสือร้องด้วยความเจ็บปวด เพราะว่าโดนหลวงพ่อรุ่งหวดด้วยไม้เรียว

รุ่งเช้ามีโยมอุปัฏฐากของของเจ้าอาวาสวัดที่อยู่ใกล้ๆมาถามหาคนที่ตีเสือเมื่อคืน บอกว่าเจ้าอาวาสกำลังแย่ ขอให้ช่วยแก้ไขด้วย

หลวงพ่อรุ่งแผดสุระแห่งเสียง

“เป็นพระไม่ชอบอยากเป็นเสือ ต่อจากนี้ไปไม่ต้องเป็นทั้งพระทั้งเสือ”
นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า คนมีวิชาอาคมประเภทนี้ในสมัยก่อนมีมาก พอมาถึงสมัยนี้วิชาอาคมก็เสื่อมสูญไป ที่เหลืออยู่ก็มีแต่ของปลอมไม่จริงสักราย ดีแต่เอาไว้ขู่ให้กลัว แล้วรูดทรัพย์คนที่กลัวเท่านั้น

เคยมีหลวงปู่รูปหนึ่งอายุร้อยกว่าปี เห็นหน้าผมก็ทักว่าชะตาผมขาดจะตายโหง

คำว่าตายโหงนี้ใครได้ยินเข้าเป็นอันเย็นวาบไปถึงไขกระดูกทุกคน

“ผมจะทำยังไงดีหลวงปู่”
“ไปเอาไตรจีวรมาชุดหนึ่ง เอาใส่พานแว่นฟ้ามาหาหลวงปู่ จะทำพิธีแก้ให้”

ผมก็ไม่ทำ

เรื่องนี้ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้ว ผมก็ยังไม่ตาย แต่เชื่อว่าหลวงปู่รูปนั้นคง Pass Away ไปแล้ว

สมัยนี้เป็นสมัยของการข่มขู่ทางพิธีกรรม แล้วเรียกหาผลประโยชน์เข้าตัวทั้งนั้น

อย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆนา

ต้องรู้เห็นด้วยตาด้วยหูตนเองจริงๆค่อยเชื่อ

หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อพิบูลย์ออกเดินทางไปยังทิศเหนือของหนองหาน จนบรรลุถึงห้วยดาน พบโยมคนหนึ่งชื่อว่า จารย์มี กำลังออกตามควายที่หายไปหลายวัน หลวงพ่อจึงบอกว่า ไม่ต้องตามให้เมื่อยหรอก แค่ช่วยถืออัฐบริขารของหลวงพ่อให้หน่อย แล้วช่วยนำทางไปหมู่บ้านไท รับรองว่าควายที่หายจะได้คืน
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 06:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอนที่ 3
เพียงแค่ข้ามห้วยหลวงมาถึงห้วยมันปลา ฝูงควายที่หายไปก็วิ่งตามมาหาจารย์มีเองจริงๆ ได้ควายคืนราวปาฏิหาริย์

จารย์มีเลยนับถือหลวงพ่อมาแต่นั้น

ถึงบ้านไท หลวงพ่อสอบถามชาวบ้านว่ามีวัดร้างหรือวัดเก่าอยู่แถวนี้บ้างไหม ชาวบ้านตอบว่าไม่มี แต่ว่ามีสถานศักดิ์สิทธิ์อยู่แห่งหนึ่ง เฮี้ยนจัดขนาดชาวบ้านจะปัสสาวะยังไม่กล้าหันหน้าไปทางนั้น

สถานที่แห่งนั้นเกลื่อนกล่นไปด้วยดอกไม้สีแดง มีซากปรักหักพังของโบสถ์วิหาร หลวงพ่อเข้าไปดูในวิหารพบว่า มีแท่นประดิษฐานพระพุทธรูปประธานขนาดใหญ่ แต่ก็มีเพียงแท่นเปล่าๆไม่มีพระพุทธรูป

หลังจากพิจารณาสถานที่พอสมควรแล้ว หลวงพ่อตัดสินใจปักหลักที่นี่ จะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ให้เป็นวัด และตั้งชื่อว่า “วัดพระแท่น”ตามแท่นพระที่พบ

ประวัติตอนนี้กล่าวว่า
“ชาวบ้านช่วยกันบริจาคหญ้าคาสำหรับมุงหลังคา เมื่อวันอังคารแรม 8 ค่ำ ปีชวด 2443(ตรวจสอบตามปฏิทิน 100 ปี ตรงกับวันที่ 16 ต.ค. 2443)ด้วยไพหญ้า 34 ไพหลังจากนั้นหลวงพ่อได้พาชาวบ้านพัฒนาวัดพระแท่น และวางผังเมืองใหม่ แล้วชักชวนชาวบ้านไทให้มาอยู่ที่แห่งใหม่นี้ โดยตั้งชื่อว่า หมู่บ้านแดง ตามนามต้นไม้แดงใหญ่ และหนองแดง”

เมื่อหลวงพ่อเข้าอยู่ที่นั่น ท่านกลายเป็นศูนย์กลางที่ชาวบ้านใกล้เคียงรวมใจกันไว้และยึดถือท่านเป็นเสมือนผู้นำ

“ใครมีเรื่องเดือดร้อนอะไร หลวงพ่อช่วยเหลือหมด จนกระทั่งชื่อเสียงของหลวงพ่อเลื่องลือไกล มีราษฎรจากหลายจังหวัดอพยพครัวเรือนมาอยู่กับหลวงพ่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลวงพ่อจึงได้พาชาวบ้านสร้างศาลาใหญ่ โดยเลือกเอาเฉพาะไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้เต็ง สร้างศาลาอยู่กันทั้งวันทั้งคืน โดยกลางวันเป็นผลัดคนแก่ กลางคืนเป็นผลักคนหนุ่ม ให้คนหนุ่มสาวช่วยกันชักลากไม้ โดยหลวงพ่อทำเกวียนหลังใหญ่ให้ลากไม้ได้ทีละ 4 – 5 ท่อน”

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องอภินิหาร

“คราวหนึ่ง หลวงพ่อพาชาวบ้านตัดต้นตะเคียนยักษ์ ที่ริมห้วยหลวง ต้นตะเคียนล้มลงในห้วยหลวงน้ำลึก 3 – 4 เมตร ชาวบ้านไม่กล้าลงไปตัด หลวงพ่อจึงดำน้ำลงไปคนเดียวประมาณ 2 ชั่วโมง ได้ไม้ตะเคียนขนาดวัดรอบ 3 วา 3 ท่อน ยาวท่อนละ 12 ศอก โดยที่ผ้าสบงจีวรไม่เปียกน้ำ”

เรื่องนี้นับว่าแปลกประหลาดที่สุด แต่ก็ได้ยินว่าครูบาอาจารย์สมัยรุ่นเก่าสมัยใกล้เคียงกันนี้ทำได้หลายองค์ คือจุดเทียนดำน้ำลงไปคราวละหลายชั่วโมง โดยที่เทียนไม่ดับ และสบงจีวนไม่เปียก

ที่ขึ้นชื่อเห็นจะเป็น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

สำเร็จลุน ก็อีกองค์หนึ่ง

แต่ว่าสำเร็จลุน ทุกวันนี้ปรากฏอภินิหารมากมายเกินไป จนหลายๆคนเริ่มหมดความสนใจ

ดูๆไปแล้วเคล็ดวิชาอะไรก็ตาม มักจะแพร่หลายเฟื่องฟูเป็นยุคๆ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นจะมีวิชาอะไรโดดเด่น ก็จะมีลักษณะโดดเด่นเหมือนกันหมด

ยุคจุดเทียนดำน้ำ ก็จุดเทียนดำน้ำเป็นว่าเล่น

ยุคยิงไม่ออก ก็ยิงไม่ออกกันทุกวัด

ยุคสำเร็จอรหันต์กระดูกเป็นพระธาตุก็เป็นกันไปหมด ไม่ว่าพระหนุ่มพระแก่ ลุกลามถึงขนาดกลายเป็นเพชรเป็นพลอยเต็มโลงทั้งที่ยังไม่เผา

ทั้งของจริงและไม่จริง เฟื่องจนแยกไม่ออก

อย่างไรก็ตามศาสตร์วิชาที่เป็นของแท้แน่นอนของแต่ละยุคควรจะมีอยู่จริง

พอสิ้นยุคก็สิ้นสูญ

คล้ายๆกับว่า ไร้ทายาทสืบทอด

เช่นเดียวกับสมัยยุคของแม่ทัพธรรม พระอาจารย์มั่น สายวิชาหลุดพ้นของพระป่าก็รุ่งโรจน์อยู่ช่วงหนึ่ง เดี๋ยวนี้ดูเหมือนย่อหย่อนลงไปมาก ภายหน้าจะยิ่งอ่อนล้าลงไป เพราะว่าจะเหลือแต่กรรมมัฏฐานนกแก้วนกขุนทองเท่านั้น

ใครจำขี้ปากครูบาอาจารย์ได้แม่น และถ่ายทอดขี้ปากนั้นได้น่าฟัง ก็จะมีลูกศิษย์มาก

ความรู้ที่เอามาสอนคนนั้น มาจากการท่องจำไม่ได้มาจากความรู้ที่รู้เองเห็นเอง

เรียกว่าเป็นพระนกแก้วนกขุนทอง

แต่นกแก้วนกขุนทองถ้าสอนพูดได้เก่งแล้ว ตัวไหนตัวนั้นคนจะชอบเป็นอันมาก แล้วก็ลืมว่ามันเป็นแค่นกแก้วนกขุนทอง ในที่สุดก็นึกว่ามันเป้นพระอรหันต์ไปจริงๆ

สิ้นครูบาอาจารย์แต่ละรุ่น จะหาใครมาเทียบเคียงหรือแทนที่ได้ยากเย็นแสนเข็ญแท้ๆ

สิ้นปู่มั่น, ปู่แหวน, ปู่ขาว, ปู่ดูลย์, ปู่ฝั้น, ปู่ชา ฯลฯก็ยังหาใครมาแทนไม่ได้

ปฏิบัติแบบเอาชีวิตเข้าแลกก็หมดสมัย

เดี๋ยวนี้ติดสบายกันเป็นแถว

เรียกว่าเป็นรุ่นเสวยสุข

คือรุ่นที่ลูกมีพ่อแม่สร้างไว้ให้เยอะแยะ แล้วก็ใช้ทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้อย่างสุขสบาย

ลูกที่รู้จักความก็ยังพอจะรักษาทรัพย์ที่พ่อแม่หาไว้ให้ได้ตลอดไป

ลูกหลานล้างผลาญก็จะเสวยสุขได้ไม่นาน

ตัวอย่างมีเยอะแยะ

อย่าถึงกับต้องยกตัวอย่างเลยครับ
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 06:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คราวที่แล้วมีเรื่องเกี่ยวกับการดำน้ำของหลวงพ่อพิบูลย์ 2 ครั้ง คือลงไปปราบจระเข้และลงไปตัดไม้ที่จมน้ำ

ครั้งแรกดำลงไปนาน 1 ชั่วโมง ครั้งที่ 2 ดำลงไปนาน 2 ชั่วโมง

ไม่มีทางรู้จริงๆว่า ทำได้อย่างไร

โดยปกติคนเราจะมีความสามารถกลั้นลมหายใจอยู่ใต้น้ำได้นานราว 1 นาที หรือนานกว่านั้นนิดหน่อย ถ้าเกินกว่านี้จะเกิดสถานการณ์อันตรายถึงชีวิตได้

เคยมีฝรั่งคนหนึ่ง(จำไม่ได้ว่าเป็นใคร)ทำสถิติดำน้ำโดยไม่มีเครื่องช่วย หายใจได้นานถึง 17 นาที โดยมีเคล็ดลับว่า ต้องสูดเอาออกซิเจนบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างเต็มที่เสียก่อนจึงดำน้ำลงไป

ออกซิเจนบริสุทธิ์จะช่วยยืดเวลาให้กลั้นลมหานใจได้นานขึ้น แต่จะกลั้นไว้จนถึงชั่วโมงไม่เคยปรากฏ

ครูบาอาจารย์รุ่นโบราณกาลไม่รู้ทำได้อย่างไร เวลาโผล่ขึ้นมาจากน้ำจีวรไม่เปียกอีกด้วย

เหมือนเล่นกล

เท่าที่ได้สังเกตดูเรื่องการดำน้ำของครูบาอาจารย์ท่าน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องลงไปใต้น้ำเพื่อประกอบพิธีกรรมอะไรสักอย่าง ไม่ค่อยปรากฏว่าดำน้ำลงไปเล่นเอาสนุก

โดยมากจะได้ยินว่า ลงไปใต้น้ำเพื่อทำตะกรุด ว่ากันว่าการทำเช่นนั้นเพื่อเอาเคล็ด คือเอาน้ำดับไฟ( ปืน )

ครูบาอาจารย์รุ่นหลังๆดำน้ำไม่ได้ ก็ทำอาการด้วยการจารตะกรุดในน้ำ คือเอากะละมังใส่น้ำมาและจมมือของตนลงไปจารในน้ำ เห็นว่ามีผู้เลื่อมใสการทำตะกรุดแบบนี้อยู่มาก และมีความนิยมทำกันอยู่สมัยหนึ่ง เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยินว่าใครทำอีกแล้ว เข้าใจว่าหมดสมัยหรือทำไปแล้วไม่มีฤทธิ์จะดับไฟได้จริง เจอไฟเมื่อไรไหม้เป็นจุณทุกที

คนทำตะกรุดเองก็ไม่รับผิดชอบ ถ้าเจอไฟเข้าเองคนทำตะกรุดก็คงเผ่นเหมือนกัน

แต่ว่ามีวิชาทำตะกรุดใต้น้ำอยู่ประการหนึ่งเรียกว่า “ ตะกรุดราหู” คือต้องดำน้ำลงไปจารตะกรุดระหว่างที่เกิด สุริยะคราสหรือจันทรคราส เขาว่าทำแล้วขลังจริง

ตำรับตะกรุดราหูนี้เป็นของ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

เมื่อบอกให้แล้วใครสนใจจะลองไปทำดูก็ไม่มีปัญหา

อย่างแรกต้องรอให้เกิดสุริยะคราสหรือจันทรคราสเสียก่อน ซึ่งทุกวันนี้ไม่ยาก เพราะโทรทัศน์หรือวิทยุหรือหนังสือพิมพ์จะบอกข่าวให้ทราบล่วงหน้า เมื่อทราบแล้วก็เตรียมแผ่นโลหะเอาไว้

จะให้ดีควรซ้อมจารและซ้อมม้วนตะกรุดเอาไว้ก่อน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว

กติกามีอยู่ว่าจะต้องดำน้ำลงไประหว่างเกิดสุริยะคราสและจันทรคราส จะต้องจารตะกรุดใต้น้ำจนเสร็จ และม้วนให้เรียบร้อยแล้วอมไว้ในปากจึงค่อยโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำ

ลมหายใจ 1 กลั้นจะจารและม้วนตะกรุดได้กี่ดอกก็เอาแค่นั้น

ตัวอักขระที่จะจารก็ง่ายๆ เพราะมีแค่ตัวเดียวเรียกว่าตัว “ นะ ตาไก่”

เรื่องยากก็คือต้องจารให้เข้าตาไก่

ถึงบอกให้ซ้อมก่อนไงล่ะ

นะ ตาไก่ คืออย่างนี้  
เจ้าของตำรับวิชานี้ได้บอกว่า ใครจะทำก็ได้รับรองขลังเหมือนกันหมด

เรียกว่าไม่ต้องอาศัยหลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนเลย เราทุกคนสามารถทำได้

เป็นตะกรุด “กูทำเอง” ว่างั้นเถอะ

ข้อแม้ต้องบวงสรวงบอกกล่าวหลวงปู่ศุขเสียก่อน จะบวงสรวงถึงขนาดเอาหัวหมูมาเป็นเครื่องบัดพลีก็ยิ่งดี เพราะว่าหลวงปู่ศุขชอบหัวหมู

เรื่องหลวงปู่ศุขชอบหัวหมู ผมก็ไม่ได้อุตริอวดรู้ แต่หลวงปู่โต๊ะเป็นผู้บอก

ใครจะพึ่งหลวงศุขไม่ว่าเรื่องอะไร คิดถึงหัวหมูไว้ก่อน

หลวงปู่ศุขไม่ใช่พระธรรมดา กระทั่งหลวงปู่โต๊ะก็ยังมีรูปหลวงปู่ศุขไว้บนหัวนอน หลวงปู่เปลี้ย วัดชอนสารเดชก็มี



ทั้งยังเป็นผู้มีความเป็นเลิศในเรื่องดำน้ำ หรือพิธีกรรมใต้น้ำ

คงขลังจริง



อาจารย์เบิ้ม ปากน้ำเคยลองทำดูแล้วครับ ทำได้ 2 ดอก ลูกศิษย์ลูกหาก็ทดลองยิงที่ข้างตลิ่งน้ำทันที ปรากฏว่ายิงออก 1 ดอก ยิงไม่ออก 1 ดอก

ตะกรุดดอกที่ยิงออกเอามาคลี่ดู ปรากฏว่าจารไม่เข้าตาไก่

เพราะฉะนั้นต้องจารให้เข้าตาไก่จึงจะสมบูรณ์แบบ

ใครสนใจเรื่องนี้ลองเลียบๆเคียงๆถามอาจารย์เบิ้มเอง ก็จะได้ความชัดเจนกว่านี้

ผมไม่ได้ความหรอกครับ อย่าไปถาม ผมแค่เล่าต่อเท่านั้น

อย่างไรก็ตามตะกรุดราหูนี้ ผมก็เคยทำ 2 ครั้ง แต่ทำแล้วไม่รู้ว่าขลังจริงหรือไม่ ยังไม่ได้ลองยิงดูเวลาเอามาแขวนก็อธิษฐานว่ายิงไม่ออก หรือยิงไม่เข้าผมไม่เอาด้วย ตั้งใจแค่ว่าจะเอาแคล้วคลาดเป็นหลัก คือถ้าเห็นเขางัดปืนออกมาจะยิงเราเมื่อไร จะใช้วิชาแคล้วคลาดคือ วิ่งหนีทันที


7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 06:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอด (วิ่งหนี)เป็นยอดดี

แคล้วคลาดของผมไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใครเห็นว่าดีจะอาไปใช้ก็ได้

ถ้าจะให้แคล้วคลาดยิ่งขึ้น ต้องวิ่งสลับฟันปลา ทำได้อย่างนี้วิชาแคล้วคลาดยิ่งได้ผลชงัด

วิ่งสลับฟันเป็นไง...?

วิ่งซิกแซ็กสิพ่อคุณเอ๋ย

นี่ก็เถลไถลมาไกลโข เห็นจะต้องกลับเข้าเรื่องกันเสียที



ตอนท้ายของฉบับที่แล้ว เป็นเรื่องลงมือสร้างวัด ซึ่งไม่ได้บอกว่าใช้เวลานานแค่ไหน แต่ก็ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านชาวเมืองทั้งใกล้และไกล จนนึกเชื่อว่าวัดคงจะเป็นวัดในเวลาไม่นานเกินไป

เมื่อสร้างวัดเสร็จหลวงพ่อพิบูลย์ได้ชักชวนชาวบ้านให้มาอยู่รอบๆวัด โดยพยากรณ์ไว้ว่าต่อไปที่นี่จะกลายเป็นเมือง

พยากรณ์แล้วก็วางผังเมืองไว้ด้วย

แบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน ว่าบริเวณไหนจะเป็นส่วนราชการ ตรงไหนเป็นเขตอยู่อาศัยของประชาชน คือแบ่งพื้นที่ออกเป็นคุ้มๆให้อยู่กันอย่างมีระเบียบ ชาวบ้านจากทุกสารทิศก็มากันมากมาย มาอยู่ร่วมกันอย่างกับนัดกันไว้

นี่ทำให้นึกถึงหลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย นครพนม ซึ่งก็สร้างวัดสร้างบ้านในลักษณะเดียวกับหลวงพ่อพิบูลย์ คือท่านมาสร้างวัดธาตุมหาชัยก่อน แล้วจึงชวนญาติๆมาอยู่มาช่วยในระยะแรก ต่อมาก็มีชาวบ้านมาอยู่มากขึ้น จนทุกวันนี้กลายเป็นบ้านใหญ่ขนาดตำบล



เขาเล่าว่าสมัยหลวงปู่คำพันธ์มาสร้างวัดธาตุมหาชัยนั้นยังเป็นป่า และเป็นสมัยของผกค.มีอิทธิพลอยู่มาก เรียกว่าเป็นพื้นที่สีชมพู เกือบจะแดงแจ๋อยู่มะรอมมะร่อ แต่หลวงปู่ก็อยู่ได้ และสร้างวัดสำเร็จในเวลาไม่นาน

ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า กลางวันจะมีทหารหรือตำรวจมาช่วยสร้าง กลางคืนผกค.มาช่วยสร้าง ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่

อุปสรรคของหลวงปู่คำพันธ์ ท่านก็ฟันฝ่ามาได้ไม่ลำบาก แต่กับหลวงพ่อพิบูลย์ อุปสรรคของท่านนั้นแสนเข็ญจริงๆ เป็นอุปสรรคที่แทบจะปรากฏอยู่กับท่านจนตลอดชีวิต

หลวงพ่อพิบูลย์ไม่ได้เป็นแค่พระนักพัฒนา แต่ยังเป็นนักปกครองนักบริหารจัดการที่เหลือเชื่ออีกด้วย

ครั้นสร้างวัดกับบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อพิบูลย์ก็ได้แนวคิดที่น่าสนใจคือ ท่านริเริ่มให้จัดทำธนาคารโคกระบือไว้แจกจ่ายชาวบ้าน ให้ทำมีด ทำจอบและเสียม ไว้แจกจ่ายชาวบ้านที่มาพึ่งใบบุญ และยังทำไปถึงธนาคารข้าวอีกด้วย

แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้สร้างความลำบากแสนสาหัสให้แก่หลวงพ่อพิบูลย์ เพราะเกิดเป็นเรื่องที่ทางราชการสนใจเพ่งเล็ง สงสัยว่าท่านกำลังทำอะไร และทำเพื่ออะไร

ยิ่งการครองผ้าของท่านก็เป็นแบบอย่างพระลาวในสมัยนั้น คือเป็นแบบอย่างการครองผ้าตามแบบของพระอาจารย์วิเศษ ซึ่งแตกต่างจากพระไทย ทำให้คณะสงฆ์ตั้งข้อสังเกตุและสงสัยไปด้วย

ในที่สุดก็ถูกจับ ด้วยข้อหาซ่องสุมอาวุธและผู้คนคิดการกบฏ

ถูกสอบสวน และพิพากษาโทษขั้นประหารชีวิด โดยให้นำตัวหลวงพ่อไปถ่วงน้ำที่เกาะสีชัง

7 วันผ่านไปจึงไปกู้ศพของท่านขึ้นมา ปรากฏว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์

กู้ศพจึงกลายเป็นกู้ปาฏิหาริย์

เล่ากันว่าหลังจากนั้นทุกฝ่ายก็เกิดศรัทธาในตัวท่านอย่างแรงกล้า ถึงกับนิมนต์ให้ท่านพักอยู่ที่เกาะสีชังเป็นเวลา 3 ปี

ตรงนี้ผมสงสัยว่าจะไม่ใช่การนิมนต์ แต่เป็นเรื่องที่ต้องกักขังท่านไว้ไม่ให้มีอิสระ ด้วยแม้ว่าประหารไม่ตาย ท่านยังเป็นนักโทษมีความผิด จำต้องขังเอาไว้ก่อนเพื่อสังเกตพฤติกรรม หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ จนกระทั่ง 3 ปีผ่านไป จึงตัดสินใจปล่อยตัวท่านกลับวัดพระแท่น

เมื่อกลับถึงวัดพระแท่น ชาวบ้านดีอกดีใจกันใหญ่ แห่กันมาสมโภชรับขวัญกันใหญ่โต และพากันตกลงปลงใจร่วมกันบวชชีพราหมณ์ ถวายหลวงพ่อพิบูลย์เป็นจำนวนมาก

เป็นเรื่องอีกแล้วครับ

คณะสงฆ์บอกว่า บวชชีพราหมณ์นั้นผิดกฎระเบียบของคณะสงฆ์

ตกลงให้คุมตัวหลวงพ่อพิบูลย์ไปไว้วัดโพธิสมภรณ์ คือเอาไว้กับเจ้าคณะมณฑลอุดรธานี และถูกบังคับให้สึก แต่ท่านไม่ยอมสึก จึงได้แต่ห้ามไม่ให้ท่านออกบิณฑบาต และงดการให้อาหาร ทำนองว่าจะบีบให้ท่านอยู่ไม่ได้ ทว่ากลับกลายเป็นราษฎรแถวนั้นเกิดศรัทธา นำข้าวของเงินทอง รวมทั้งอาหารมาถวายท่านถึงในวัดโพธิสมภรณ์อย่างเนืองแน่น

ท่านจึงอยู่ได้ และคณะสงฆ์ก็จำต้องปล่อยวาง ให้ท่านอยู่ของท่านไปไม่ว่าอะไร

เรื่องของพระกับพระด้วยกัน ยังไงก็ต้องมีวิถีแห่งธรรมมาประสานความแตกแยก แต่เมื่อหลวงพ่อยังถือว่าทำผิดกฎระเบียบ ก็ยังคงต้องกักตัวท่านไว้ตามความผิดที่เชื่อว่าท่านมีต่อไป

หลวงพ่อพิบูลย์ถูกคุมตัวอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ 15 ปี

ระหว่างอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ หลวงพ่อพิบูลย์ได้สร้างกุฏิไว้ที่วัดโพธิสมภรณ์ 55 หลัง ฉางข้าวอีก 2 หลัง( ยุ้งข้าว ) ท่านทำเช่นนี้ได้ก็เนื่องจากว่า มีลาภสักการะมาก จากชาวบ้านแถวนั้นและจากที่อื่นนำมาถวาย จนกระทั่งเหลือปัจจัยพอที่จะส่งไปช่วยวัดพระแท่น และชาวบ้านของท่าน โดยนำไปซื้อโคกระบือนำไปแจกจ่ายชาวบ้านที่วัดพระแท่นตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ถูกคุมตัวไว้ในวัดโพธิสมภรณ์

ดูๆไปแล้วหลวงพ่อพิบูลย์ก็ไม่ได้รับความเดือดร้อนอะไรในการถูกคุมตัว จะขัดข้องอยู่บ้างก็แต่เรื่องออกจากวัดไปไหนมาไหนตามอำเภอใจไม่ได้

การไม่ได้ออกจากวัด ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเดือดร้อนของพระแต่อย่างใด ดูแค่เจ้าคุณนรฯ ท่านคุมตัวท่านเองไว้ในวัดเทพศิรินทราวาสจนมรณภาพ หลวงปู่ดู่ วัดสะแกก็เช่นกัน ไม่ต้องมีความผิดให้ใครมาคุมตัว ท่านก็คุมตัวท่านเอง คุมด้วยธุดงควัตรข้อหนึ่ง

จึงเป็นเหตุให้เชื่อได้ว่า หลวงพ่อพิบูลย์ไม่มีความอึดอัดขัดข้องอะไรเลยตลอดเวลา 15 ปี
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 06:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอนที่ 4
-----------~@~-----------



ตลอดเวลา 15 ปีที่หลวงพ่อพิบูลย์ถูกคุมตัวโดยคณะสงฆ์ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มีศิษย์ของท่านรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อโชติ ได้เดินทางไปมาหาสู่ระหว่างวัดพระแท่นกับวัดโพธิสมภรณ์มิได้ขาด จึงเป็นประหนึ่งสายป่านเชื่อมโยงหลวงพ่อพิบูลย์กับวัดพระแท่น และชาวบ้านแดงไว้ไม่ให้ขาดจากกัน

ปัจจัยทั้งปวงที่หลวงพ่อพิบูลย์ส่งไปช่วยวัดพระแท่นและชาวบ้าน ก็ได้อาศัยหลวงพ่อโชติเป็นผู้นำไปทุกระยะตลอดทั้ง 15 ปี

ในภายหลังหลวงพ่อโชติได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระแท่นสืบต่อจากหลวงพ่อพิบูลย์ และมีสมณศักดิ์เป็น พระครูวิบูลย์สุนทร มีอายุยาวถึง 100 ปีจึงมรณภาพ

ถ้าจะไม่กล่าวถึงหลวงพ่อโชติบ้างเรื่องนี้ก็จะขาดความสมบูรณ์ไป

หลวงพ่อโชติเรียกว่าเป็นศิษย์กตัญญู รู้คุณครูบาอาจารย์อย่างแท้จริง ไม่เคยทอดทิ้งหลวงพ่อพิบูลย์ผู้เป็นอาจารย์ แม้ว่าจะตกระกำลำบากแค่ไหน มีความเสมอต้นเสมอปลายในการอุปถัมภ์อุปัฏฐากครูบาอาจารย์อย่างน่ายกย่อง

หลวงพ่อโชติเดิมชื่อ โชติ ภูเวียงแก้ว เกิดที่บ้านเลิงแฝก อ.บรบือ จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2440 บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 14 ปี ที่วัดบ้านหนองสิมใหญ่ อ.บรบือ อยู่ศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดบ้านเลิงแฝกจนอายุ 20 ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดบ้านเลิงแฝก โดยมีพระอาจารย์ป้องเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่วัดเลิงแฝกอีก 3 ปี จึงย้ายมาอยู่วัดพระแท่นกับหลวงพ่อพิบูลย์

ที่วัดพระแท่นนั้น หลวงพ่อโชติได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อพิบูลย์เป็นที่สุด ถือเป็นศิษย์ใกล้ชิดตัวหลวงพ่อพิบูลย์มากกว่าคนอื่น และเอาจริงเอาจังกับการประพฤติปฏิบัติ จนหลวงพ่อพิบูลย์ถ่ายทอดวิชาอาคมให้อย่างไม่ปิดบังอำพราง

วันหนึ่งหลวงพ่อโชติได้เข้าไปกราบลาหลวงพ่อพิบูลย์จะออกธุดงค์ ซึ่งหลวงพ่อพิบูลย์ก็ไม่ขัดข้อง อนุญาตให้ไปได้ หลวงพ่อโชติจึงออกเดินทางไปถ้ำเขากวางในประเทศลาว ไปอยู่ศึกษาปฏิบัติกับ ญาคูสายบัว ไม่ทราบว่าอยู่นานแค่ไหน เข้าใจว่าน่าจะนานพอสมควร จึงออกธุดงค์ต่อไป

หลวงพ่อโชติได้เล่าว่า ในระหว่างธุดงค์นั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าหลับตาลงเมื่อใด มักนิมิตเห็นหลวงพ่อพิบูลย์มาสอนธรรมให้ จนครั้งหนึ่งระหว่างเดินทางออกจากถ้ำเขากวางไปผากาดกูด มีชาวบ้านบอกว่าเห็นพระเดินทางมา 2 รูป ทั้งๆที่หลวงพ่อโชติเดินทางแค่รูปเดียว

ชาวบ้านยืนยันว่า เห็นพระอีกรูปเดินทางร่วมกับหลวงพ่อโชติจริงๆ

พระอีกรูปนั้นเป็นพระผู้เฒ่า มีไม้เท้าในมือ พร้อมทั้งอธิบายรูปลักษณ์ จนหลวงพ่อโชติเกิดสำนึกว่า พระผู้เฒ่านั้นน่าจะเป็นหลวงพ่อพิบูลย์

ระหว่างนั้นหลวงพ่อโชติได้ข่าวว่า ญาคูสายบัวได้เดินทางไปบ้านแดงเพื่อนมัสการหลวงพ่อพิบูลย์ ท่านจึงตัดสินใจเดินทางกลับวัดพระแท่น และได้พบกับญาคูสายบัวพำนักอยู่วัดพระแท่นกับหลวงพ่อพิบูลย์แล้ว จึงเลิกกิจธุดงค์ในครานั้นทันที

เกี่ยวกับเรื่องธุดงค์ของหลวงพ่อโชตินั้น นึกดูแล้วก็จะเห็นแปลก และน่าคิดอยู่ไม่น้อย

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องธุดงค์เลย เพราะว่ายังไงก็ควรอยู่ เพราะเป็นการฝึกจิตฝึกกาย ที่พระควรทำอย่างน้อยครั้งหนึ่ง

เรื่องน่าคิดคือ หลวงพ่อโชติมีหลวงพ่อพิบูลย์ที่ถือว่าเป็นยอดครูบาอาจารย์อยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหาอาจารย์เพิ่มเติมอีก

การเดินทางไปหาญาคูสายบัว อาจเป็นได้ทั้ง 2 อย่าง คือไปแสวงหาครูบาอาจารย์ หรืออาจเพียงถือเป็นที่หมายสุดท้ายปลายทางธุดงค์

แต่ในที่สุดหลวงพ่อโชติก็กลับเป็นเหมือนสะพานเชื่อมโยงให้ญาคูสายบัวเดิน ทางออกจากถ้ำเขากวางมาอยู่กับหลวงพ่อพิบูลย์ที่วัดพระแท่น และกลายเป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับหลวงพ่อพิบูลย์จนตลอดชีวิต

ร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างไร จะกล่าวถึงต่อไปในภายหน้า

ขอให้เข้าใจด้วยว่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ เป็นช่วงก่อนที่หลวงพ่อพิบูลย์จะถูกจับครั้งแรกแล้วต้องโทษประหาร คือเป็นช่วงแรกของการสร้างวัดพระแท่น และบุกเบิกพัฒนาบ้านแดง จนเกิดเป็นบ้านใหญ่ ที่ต่อมากลายเป็นเมือง สมดังที่หลวงพ่อพิบูลย์พยากรณ์ไว้

ระหว่างนี้มีลูกศิษย์ลูกหามาอยู่ร่วมกันที่วัดพระแท่นหลายคน เช่น อาจารย์คุ้ม, อาจารย์โชติ( หลวงพ่อโชติ), อาจารย์สายบัว(ญาคูสายบัว), อาจารย์เขียน, อาจารย์ทายกสีสุพันธ์, สามเณรอ่อนสี, ตาปะขาวพรหมา, และพ่อผมยาว

หลวงพ่อโชติเล่าว่า การเป็นอยู่ของพระเณรในวัดพระแท่นสมัยนั้นลำบากมาก ทั้งยุ่งยากใจอย่างที่สุด เนื่องจากทางราชการไม่เข้าใจแนวทางการปฏิบัติและพัฒนาของหลวงพ่อพิบูลย์ จึงเป็นเหตุให้หลวงพ่อพิบูลย์ต้องถูกจับถึง 2 ครั้ง ตัวหลวงพ่อโชติเองก็ต้องหลบไปจำพรรษาที่อื่นบ้างเพื่อให้พ้นภัย

ในบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อพิบูลย์นั้น “พ่อผมยาว” ออกจะพิสดารที่สุด

ถ้าไม่เล่าเรื่องพ่อผมยาว เรื่องนี้ก็จะขาดความสมบูรณ์เหมือนกัน

พ่อผมยาวท่านนี้เป็นผู้ทึ่มีบุคลิกพิสดาร ไม่ใช่พระภิกษุ ไม่ใช่คนปกติอย่างเราท่าน จะเรียกว่าเป็นคนที่อยู่ในจำพวกฤาษี ก็ดูจะพอเป็นไปได้มาก

พ่อผมยาวมาอยู่กับหลวงพ่อพิบูลย์ในสมัยที่หลวงพ่อพิบูลย์ยังไม่ถูกคุมตัวไป พิจารณาสอบสวนเอาโทษ จะเข้ามาก่อนหรือหลังคนอื่นไม่ทราบ แต่ถือว่าเข้ามาอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกัน

พ่อผมยาวมีพฤติกรรมแปลกๆน่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งมีอภินิหารจนชาวบ้านออกจะเกรงใจไม่น้อย การมาอยู่วัดพระแท่นนั้น ปรากฏในหนังสือประวัติว่า หลวงพ่อพิบูลย์ให้คนไปตามตัวมาอยู่ด้วย ดูๆไปคล้ายกับว่าวัดพระแท่นจะเป็นสถานที่อีกแห่งที่รวบรวมเอายอดวิทยายุทธ์ มาอยู่ด้วยกัน

เป็นเสี้ยวลิ้มยี่ในยุคนั้นว่างั้นเถิด

พ่อผมยาวมีนามเดิมว่า ติ่ง อยู่บ้านหนองลี่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี บิดาชื่อแถว มารดาชื่อ คำภา ไม่ทราบนามสกุล ครอบครัวพ่อผมยาวอพยพมาอยู่บ้านตาลศาลจอด ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนครราวๆปี 2450 อยู่ที่นี่ปีเดียวก็ย้ายมาอยู่บ้านเพียปู่ ตำบลไชยวาน อำเภอหนองหาร จังหวัดอุดรธานี

บ้านเพียปู่ ปี 2462

พ่อผมยาวอายุ 20 ถ้วน

ระหว่างงานบุญฉลองหมู่บ้าน ทุกคนกำลังมีความสุขสนุกสนานเบิกบานกันเต็มที่

มิคาด, ไฟเกิดลุกไหม้เรือนราษฎรในหมู่บ้านหลังหนึ่ง

ความสุขสนุกสนานของผู้คนมลายพลัน ทุกคนหันหน้าเข้าหาเรือนไฟ และประสานมือกันดับไฟก่อนจะลามไหม้ไปทั้งหมู่บ้าน

ไฟดับแล้ว

ความรื่นเริงย่อมดับไปด้วย

ไฟเกิดขึ้นเองได้หรือไม่

ย่อมไม่

ไฟย่อมมีผู้จุด

ผู้ใดจุดเล่า

บุรุษผู้กำลังเมามายผู้นี้เป็นผู้จุด

บุรุษผู้นี้เป็นผู้ใด

เป็นพ่อผมยาว

“หา ! ไอ้บ้านี่อีกเองแล้วหรือ”

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 06:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นั่นแหละครับ พ่อผมยาวที่เริ่มแผลงฤทธิ์ ด้วยการจุดไฟเผาบ้านเรือนชาวบ้านเพียปู่ โชคดีที่ดับได้ทัน ก่อนจะลามไปบ้านเรือนข้างเคียง

พ่อผมยาวถูกจับทำโทษ โดยมัดไว้กับเสารั้วจนงานบุญเสร็จจึงได้ปล่อยตัว

ต่อมาก็หนีเกณฑ์ทหาร โดยหนีย้อนกลับไปทางบ้านเกิดที่ปราจีนบุรีแล้วหายตัวไป ไม่มีใครทราบข่าวคราว

ระหว่างที่หายไปนี้ พ่อผมยาวกับพวกพ้องอีก 7 คน ชวนกันไปเรียนวิชากับฤษีองค์หนึ่ง อยู่เขตกบินจันทคาม เมืองสมังกันผี วิชาที่เรียนเรียกว่า “ธรรมใหญ่ ห้าร้อยชาติ” เรียนอยู่ 7 วัน ก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ในที่สุดก็หายสูญจากกันทั้งหมด

เมืองสมังกันผี อยู่ที่ไหนไม่ทราบ แต่ฟังชื่อแล้วออกจะเป็นเขมรยังไงชอบกล

นานพอสมควรพ่อผมยาวมาโผล่ที่วัดนอก หรือวัดสามัคคีบำเพ็ญบุญในปัจจุบัน วัดนี้อยู่ในเขตบ้านหนองหาน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี

อยู่วัดนอกสมัยแรกๆไม่พูดไม่จา ใครคุยด้วยไม่คุย ผมเผ้ายาวรุงรังเลยเป็นที่กำเนิดชื่อ พ่อผมยาวอยู่ที่นี่เอง

เพราะไม่พูดคนก็นึกว่าบ้า เด็กๆพากันล้อเล่นเห็นสนุก บางทีก็ขว้างปาด้วยก้อนหินมั่ง ท่อนไม้มั่ง ได้รับความลำบากมาก กระทั่งมีคนๆหนึ่งชื่อ ธรรมสุข ทนสมเพชสงสารไม่ไหว จึงเอาตัวพ่อผมยาวออกจากที่นั่น มาอยู่ที่ริมหนองเจ้าฟ้าหวังจะให้พ้นทุกข์จากคนกลั่นแกล้ง

แต่ไม่พ้น

คนกลับตามากลั่นแกล้งถนัดขึ้น เพราะพ่อผมยาวออกมาอยู่ไกลตาผู้คน ยิ่งกลั่นแกล้งได้ถนัดกว่าเก่า

นึกว่าจะดี กลับแย่กว่าเดิม

กลายเป็นคนบ้าที่ใครอยากจะแกล้งก็เอา เพราะว่าพ่อผมยาวไม่เคยสู้

ต่อมามีคนจากบ้านไชยวานผ่านมาทำธุระแถวนี้ ได้ยินเรื่องพ่อผมยาวก็สนใจมาดู พอเห็นหน้าเกิดจำได้ว่าเป็นนายติ่ง คนบ้านเพียปู่ที่หลบหนีเกณฑ์ทหารคราวนั้น

คนบ้านไชยวานเข้าไปสนทนาซักถามในฐานที่เคยรู้จักกัน พ่อผมยาวก็ไม่พูดด้วย ครั้นโดนซักถามหนักๆเข้าก็หันหลังให้เลย

ทีนี้คนหวังดีจะพากลับบ้าน ก็เลยกลายเป็นหวังร้าย คว้าก้อนหินไล่ขว้างผสมโรงกับเด็กๆที่จ้องจะแกล้งไปด้วยกัน

ได้รังมดแดงมา ก็เอามาเคาะใส่หัว ให้มดแดงรุมกัด



พ่อผมยาวก็ไม่สู้เหมือนเดิม

เรื่องคนรังแกพ่อผมยาวนี้ร้อนไปถึงหลวงพ่อพิบูลย์ ท่านได้บัญชาให้นายจันดีไปเอาตัวพ่อผมยาวมาอยู่วัดพระแท่น และยกกุฏิให้อยู่ต่างหากหลังหนึ่ง

พ่อผมยาวจึงพ้นเคราะห์

ต่อมาหลวงพ่อพิบูลย์ถูกคณะสงฆ์ และทางราชการจับตัวไป ลูกศิษย์ทุกคนก็แตกฉานส่านกระเซ็นไปคนละทิศละทาง แต่ว่ามีพ่อผมยาวผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่หนีไปไหน ยังคงพำนักอยู่วัดพระแท่นตามลำพัง

ในการถูกจับกุมครั้งแรกนี้ ญาคูสายบัวได้ถูกจับกุมด้วย โดยถูกทำโทษคุมตัวอยู่วัดกู่บ้านจีต ส่วนหลวงพ่อพิบูลย์อยู่เกาะสีชัง 3 ปี

ครั้นเหตุการณ์ร้ายคลี่คลายลง หลวงพ่อพิบูลย์กลับมาอยู่วัดพระแท่น ลูกศิษย์ลูกหาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งญาคูสายบัวซึ่งพ้นโทษแล้วก็กลับมาด้วย แต่ไม่ได้เป็นพระภิกษุเหมือนเดิม กลายเป็นฆราวาสที่ยังไม่ทิ้งสายรัดปะคดเอว คือใช้รัดปะคดแทนเข็มขัดนั่นเอง

ในที่สุดการจับกุมตัวหลวงพ่อพิบูลย์ครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้น ลูกศิษย์ลูกหาแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางอีกครั้งหนึ่ง คงมีแต่พ่อผมยาวผู้เดียวที่อยู่วัดพระแท่นเหมือนเก่า

การจับกุมตัวครั้งที่ 2 ยาวนานกว่าครั้งแรกคือ 15 ปี ระหว่างนี้พ่อผมยาวจะเริ่มพูดเริ่มจาบ้างแล้วครับ

ถึงบทพ่อผมยาวพูด คนที่ได้ยินก็แตกหนีหมด เพราะเหตุว่าทุกคำพูดที่เริ่มออกจากปากพ่อผมยาว ล้วนเป็นคำด่าทั้งสิ้น

“ห่ากินผี ผีกินห่า”

นี่เป็นคำพูดประจำปากพ่อผมยาว

ใครเข้ามาใกล้ เป็นอันว่าได้รับแจกคำด่าแบบไม่จำกัดจำนวน

วัดพระแท่นตอนนั้นเหมือนบ้านแตกสาแหรกขาด แต่ก็ยังมีพ่อผมยาวอยู่โยงเฝ้าวัด ในที่สุดก็แทบจะกลายเป็นวัดร้าง เพราะว่ามีแต่เสียงด่าของพ่อผมยาว คนก็เผ่นหนีกันหมด

ร้อนถึงสามเณรอ่อนสี ซึ่งหนีภัยไปอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งในเขตบ้านคำเก่า ต.ไชยวาน ได้ย้อนกลับมาเอาตัวพ่อผมยาวไปอยู่ด้วย ปรากฏว่าเดี๋ยวเดียวก็ทนเสียงด่าของพ่อผมยาวไม่ไหว จึงพามาอยู่ศาลาที่พักคนเดินทางที่บ้านคำหล่ม ซึ่งเป็นศาลาโดดเดี่ยวระหว่างบ้านท่ากบิน อ.สว่างแดนดิน กับบ้านปะยาว อ.กุมภวาปี ปัจจุบันคืออำเภอวังสามหมอ ศาลานี้เป็นศาลาที่อาจารย์คุ้มสร้างไว้เป็นที่พักคนเดินทาง

ต้องเข้าใจนะครับว่าสมัยนั้นเป็นป่าดงดิบ เส้นทางที่มีนั้นไม่ใช่ซุปเปอร์ไฮเวย์อย่างทุกวันนี้

อยู่ศาลาบ้านคำหล่มอีกเดี๋ยวเดียว สามเณรอ่อนสีก็เผ่นออกมา ปล่อยพ่อผมยาวอยู่คนเดียวที่ศาลานั้นเป็นเวลา 3 ปี

ต่อมาสามเณรอ่อนสีก็สึกออกมาเป็นฆราวาส ภายหลังได้เป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านคำ ก็เลยไปรับพ่อผมยาวมาอยู่วัดเก่า(วัดร้างเดิม)บ.คำเก่า เป็นครั้งที่ 2 อยู่ได้เพียง 1 ปีก็ส่งไปอยู่บ้านดอนหัน ตำบลบงเหนือ อำเภอสว่างแดนดินอยู่ได้แค่ปีเดียว ชาวบ้านที่นั่นก็เฉดหัวพ่อผมยาวกลับมาอยู่วัดเก่าอีกเป็นคำรบ 3 คราวนี้ก็เลยได้อยู่ประจำไม่ไปไหน ชะรอยชาวบ้านคำเก่า จะเริ่มชินกับพฤติกรรมพ่อผมยาว และคงเห็นว่าคนบ้าคนนี้ไม่มีอันตรายอะไรแค่ด่าเก่งไฟแล่บเท่านั้น

พ่อผมยาวอยู่ที่นี่นานเน จนกระทั่งคนแถวนั้นเริ่มรู้จักเล่นหวยเล่นเบอร์

พ่อผมยาวจึงเริ่มแผลงฤทธิ์

ให้เลขเด็ดชาวบ้านจนเจ้ามือระเนระนาดกันไป

กิตติศัพท์เลื่องลือจนบังเกิดลาภสักการะ มีผู้คนนำข้าวปลาอาหาร ของใช้ไม้สอยมาถวายแทบทุกวันมิได้ขาด

พลิกสถานภาพคนบ้าผู้อดอยากปากแห้ง มาเป็นคนบ้าที่อยู่ดีกินดี แถมมีสมบัติมั่งคั่งอย่างที่ใครก็ไม่อยากจะเชื่อ

ต่อจากนั้นก็เริ่มมีอภินิหารแปลกๆปรากฏขึ้น จนในที่สุดคนเริ่มไม่เห็นว่าพ่อผมยาวเป็นคนบ้าอีกต่อไป

ผู้เล่าเรื่องอภินิหารพ่อผมยาวคือ นายอ่อนสี ผันผ่อน อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านคำ หรืออดีตสามเณรอ่อนสีนั่นเอง

คราวหนึ่งพ่อผมยาวสมัยยังพำนักอยู่วัดเก่าบ้านคำเก่า เกิดฝนตกหนัก น้ำหลากแรงจนแทบล้นห้วยสงคราม พ่อผมยาวชวนนายอ่อนสีไปใส่โต่งในลำห้วยห่างที่พักราว 3 เส้น

“โต่ง” เป็นเครื่องมือดักปลาชนิดหนึ่งของชาวอีสาน บางทีก็เรียกว่า “ต่ง” ใช้ปอหรือป่านสานเป็นตาข่ายเหมือนแห ตากว้าง 5 นิ้วลงมาเรียกว่า”โต่ง”แต่ถ้าตากว้าง 5 นิ้วขึ้นไปเรียกว่า “นาม”

ถ้าใครรู้จัก “มอง” ซึ่งก็คือเครื่องมือหาปลาชนิดใกล้เคียงกับโต่งก็จะเข้าใจ แต่มองนั้นไม่ปล่อยลงน้ำลึก ส่วนโต่งปล่อยลงจนถึงพื้นดินก้นน้ำ

วิธีปล่อยก็ใช้เรือลำเดียวก็พอ คน 2 คนนั่งหัวเรือและท้ายเรือหย่อนโต่งลงน้ำแล้วเอาเรือทวนกระแสน้ำขึ้นไป

เรียกอย่างคุ้นปากคนอีสานก็จะว่า “ล่องโต่ง ล่องนาม”

“ มอง” กับ “โต่ง” คล้ายกัน, มอง ดักปลาเล็ก แต่โต่งดักปลาใหญ่

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 07:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลังจากปล่อยโต่งแล้ว พอถึงตอนจะกู้โต่งเอาปลา ปรากฏว่าก้นโต่งติดอะไรไม่ทราบ ดึงอย่างไรไม่ขึ้น พ่อผมยาวจึงกระโดลงไปในน้ำ มุดลงไปปลดโต่ง ผมที่ยาวของท่านเกิดไปพันกับโต่ง ทั้งยังสวะขุยไผ่ หนักหนาสาหัสขนาดดิ้นไม่หลุดอยู่ใต้น้ำ

นายอ่อนสีจะลงไปช่วยก็ไม่ได้ คะเนความสามารถของตนแล้วว่ามีไม่พอ เพราะว่าน้ำเชี่ยวมาก จึงเอาเรือเข้าฝั่งวิ่งไปตามชาวบ้านมาช่วย ได้นายมาก โภคสมบูรณ์ซึ่งเป็นคนเฝ้าวัดมาเพียงคนเดียว ตกลงก็ทำอะไรไม่ได้ นายอ่อนสีจึงตัดใจลงน้ำมุดไปช่วยพ่อผมยาว โดยให้นายมากคอยสังเกตการณ์อยู่บนฝั่ง

นายอ่อนสีเล่าว่า พอดำน้ำลงไปคลำเจอขาพ่อผมยาว ก็คืบเข้าไปจนพบว่าผมของท่านติดอยู่กับโต่งและสวะขุยไผ่ แต่ไม่สามารถจะปลดได้ จึงกลับขึ้นบนผิวน้ำ ขึ้นฝั่งหามีดได้เล่มหนึ่งแล้วกลับลงไปใหม่ ค่อยตัดสวะขุยไผ่ได้ และปลดเอาตัวพ่อผมยาวออกมา แต่ความที่น้ำแรงกราก จึงซัดเอาทั้งคู่ไหลไปตามลำห้วยอีก 2 – 3 เส้น นายอ่อนสีขึ้นฝั่งตะวันออก พ่อผมยาวขึ้นฝั่งตะวันตก แล้วก็เป็นลมล้มพับอยู่ริมฝั่งนั้น จนนายอ่อนสีและนายมากไปช่วยพยาบาลจึงฟื้นขึ้นมาในสภาพอิดโรยมาก ถามอะไรก็ไม่ตอบ เอาแต่สั่นหัว

เรื่องแปลกก็คือพ่อผมยาวจมอยู่ในน้ำราวๆ 1 ชั่วโมงน่าจะตายไปแล้วกลับไม่ตาย

ที่ปล่อยให้พ่อผมยาวจมน้ำอยู่เป็นชั่วโมงนั้นก็คิดว่าพ่อผมยาวตายไปแล้ว ตั้งแต่ลงน้ำไปปลดโต่งทีแรก และที่ลงไปช่วยก็ไม่ได้หมายว่าจะช่วยให้รอดชีวิต แต่คิดว่าลงไปช่วยกู้เอาศพพ่อผมยาวขึ้นมาเท่านั้น แต่ท่านกลับรอfมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

อีกครั้งหนึ่งพ่อผมยาวชวนนายอ่อนสีไปดักจับเหยี่ยว ได้ทั้งเหยี่ยวแม่ลูกอย่างละตัว ลูกเหยี่ยวได้เลี้ยงไว้จนโต พ่อผมยาวได้เขียนคาถาพันขาเหยี่ยวไว้ แล้วปล่อยให้หากินโดยอิสระ

เหยี่ยวตัวนั้นคนดักยิงด้วยปืน หรือหน้าไม้ไม่ถูกจนเป็นที่เลื่องลือ

จนในที่สุดนายวิชัย ธานันโทดักจับเหยี่ยวได้ทั้งเป็น จึงเห็นว่าที่ขาเหยี่ยวมีแผ่นคาถาพันไว้ นายวิชัยจึงเก็บรักษาแผ่นคาถานั้นไว้กับตัว ได้นำไปทดลองยิงจนเห็นผลหลายครั้ง ภายหลังฮึกเหิมนำเอาแผ่นคาถาไปใช้ในทางมิจฉาชีพ เที่ยวปล้นวัวควายชาวบ้านจนที่สุดถูกตำรวจยิงตาย

ช่วงปลายชีวิตพ่อผมยาว กลับมาพำนักอยู่ที่บ้านแดง จนตลอดอายุขัยไม่ยอมย้ายไปไหนอีก แม้คนบ้านคำจะรวมตัวกันมารับพ่อผมยาวกลับ ก็ยอมแค่ขึ้นรถไปด้วยจนถึงบ้านคำแต่ไม่ยอมลงจากรถ ต้องนำท่านกลับไปส่งบ้านแดงเหมือนเดิม

ตลอดเวลาที่อยู่บ้านแดงมีผู้เลื่อมใสนับถือเดินทางมาทั้งจากบ้านใกล้บ้านไกล มาหาท่านมิได้ขาด ท่านมักจะทำด้ายผูกแขนให้ทุกคน แล้วก็เขียนตะกรุดให้คนละดอก

คนบ้านแดงเล่าว่า ถ้าเห็นพ่อผมยาวเอะอะด่าทอสารพัดทั้งวันทั้งคืน ประดุจว่าโกรธใครถึงขั้นจะฆ่าใครสักคนให้ระวังตัวให้ดี เพราะว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีในหมู่บ้านเสมอ

ร่ำลือกันว่า ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไรในหมู่บ้านแดง ท่านรู้หมด

พ่อผมยาวมีชีวิตยืนยาวมาจนปี 2522 ได้ป่วยเป็นโรคเท้าบวมทั้ง 2 ข้าง(สงสัยว่าจะเป็นโรคเท้าช้างหรือโรคไตไม่ทราบ)ไม่ยอมไปหาหมอ ไม่ยอมรับยา โดยบอกว่าถึงเวลาที่จะต้องคายแล้ว ในที่สุดพ่อผมยาวก็ถึงแก่กรรมหลังจากป่วยได้ 1 เดือนมีอายุ 82 ปี

ลูกศิษย์ลูกหาที่นับถือท่าน เก็บศพเอาไว้จนปี 2524 จึงฌาปนกิจศพและพระครูมัญจาภิรักษ์ ได้เก็บกระดูกพ่อผมยาวไว้จนปี 2531 จึงมีนายหล่อ มัสยานนท์พร้อมด้วยเพื่อนฝูงเดินทางมาหา โดยเล่าว่าฝันเห็นพ่อผมยาวจึงเดินทางมาตามความฝัน และพบว่าที่ตนฝันเห็นพ่อผมยาวนั้น กลับเป็นฝันที่มีตัวตนจริง ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักพ่อผมยาวมาก่อน

ครั้นสอบถามเกี่ยวกับพ่อผมยาวว่าท่านเป็นอย่างไรก็เกิดความเลื่อมใส และได้รับเป็นเจ้าภาพสร้างวิหารเพื่อเป็นที่เก็บกระดูกพ่อผมยาว และสร้างรูปเหมือนพ่อผมยาวไว้ด้วย

กระดูกพ่อผมยาวก็อยู่ในรูปเหมือนเท่าตัวจริงนั่นแหละครับ

ในโอกาสเดียวกันนายหล่อได้สร้างเหรียญรูปพระพุทธคู่บารมีไว้อีกรุ่นหนึ่งด้วย เสียดายที่ผมไม่ทราบว่าเป็นเหรียญรูปลักษณ์อย่างใด

เกี่ยวกับอภินิหารของพ่อผมยาวนั้น พระครูมัญจาภิรักษ์ได้สรุปเอาไว้อย่างน่าฟังดังต่อไปนี้

เห็นจะต้องไว้คราวหน้าแล้วล่ะครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้