ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อพิบูลย์ ปู่ฤาษีผมยาว วัดพระแท่น บ้านแดง

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 07:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บทสรุปที่พระครูมัญจาภิรักษ์ได้ทำไว้ในเชิงบันทึก เกี่ยวกับอภินิหารของพ่อผมยาวนั้นให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้อีกมาก เป็นรายละเอียดที่ภาคประวัติของพ่อผมยาวไม่ได้ให้ไว้ จึงกล่าวได้ว่าบทสรุปนี้จะทำให้เรื่องของพ่อผมยาวชัดเจนขึ้น ทำให้นึกเชื่อว่าพระครูมัญจาภิรักษ์จะเป็นอีกผู้หนึ่งที่เลื่อมใสพ่อผมยาว ไม่น้อยกว่าคนอื่น

บทสรุปนี้มีว่า

1.ในสมัยที่พ่อผมยาวได้ไปเรียนธรรมจากฤษี พอเรียนจบแล้วจะต้องถือข้อปฏิบัติไม่พูดกับใครเป็นเวลา 10 ปี
ตอนที่อยู่วัดนอก (วัดสามัคคีบำเพ็ญผล) หนองหาน มีประชาชนบางกลุ่ม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าใจว่าท่านบ้า เอาก้อนหินและท่อนไม้ขว้างปาท่าน บางครั้งศีรษะแตก ท่านจะถุยน้ำลายใส่ฝ่ามือป้ายแผลเลือดก็หยุด แผลก็หายทันที บางคนเอารังมดแดงเคาะใส่มดก็ไม่กัด

2.เมื่อมาอยู่บ้านแดง หลวงพ่อพิบูลย์แต่งคนไปโกนผมให้ท่าน ปรากฏว่าใครก็โกนไม่เข้า ( เส้นผมไม่ขาด ) ท่านบอกว่าถ้าอยากจะโกนจริงๆต้องใช้มีดของท่านเองจึงจะสำเร็จ

หลังจากโกนผมแล้ว ก็เริ่มด่าทอผู้คนว่า “ห่ากินผี ผีกินห่า” อยู่หลายวัน ปรากฏว่า วัวควายชาวบ้านล้มตาย เพราะโรคห่าทุกครัวเรือน ชาวบ้านมาคารวะท่านแล้ววัวควายที่เหลือจึงรอด

3.เขียนคาถาพันขาเหยี่ยว ปืนหน้าไม้ยิงไม่ถูกเหยี่ยว

4.จมน้ำนาน 1 ชั่วโมงไม่ตาย

5.ชอบจุดไฟเผากองฟางหรือกอไผ่ พอเผาแล้วจะไปยืนขวางไฟไว้ไม่ให้ลุกลามไปไหม้อย่างอื่น แม้ไฟจะลุกท่วมตัวท่านก็ไม่เป็นไร

6.เครื่องรางของขลังที่ท่านทำให้ ปรากฏมีอานุภาพอยู่ยงคงกระพัน และถือไปที่ไหนคำว่า ผี ไม่มีที่นั่น

7.ตอนฌาปนกิจศพท่านจุดไฟไม่ไหม้ ไฟดับหมดแล้วศพท่านกลับยังอยู่เป็นปกติ หลวงพ่อพระครูอมร ธมฺโมภาส(อาจารย์ชม) ต้องทำพิธีตัดร่างกายของท่านเป็นชิ้นๆแล้วโยนเข้ากองไฟทีละชิ้นจึงเผาสำเร็จ

บทสรุปนี้ชี้ให้เห็นว่า พ่อผมยาวไม่ธรรมดา บางทีจะเป็นดั่งผู้วิเศษอีกประเภทหนึ่ง ที่ซ่อนตัวตนที่แท้จริงไว้จนมิดชิด แต่กลับเผยส่วนที่จอมปลอมลวงคนให้เข้าใจผิด

คนจึงเห็นว่าท่านคือคนบ้า และเห็นเช่นนี้จนตลอดอายุขัยของท่าน

ดีหน่อยก็ตอนช่วงหลังของชีวิต ได้รับความเลื่อมใสจากผู้คนจนเปลี่ยนก้อนหินท่อนไม้และรังมดแดง มาเป็นความยำเกรงนับถือ ราวกับพลิกฝ่ามือ

เรื่องราวที่เป็นความอัศจรรย์ของพ่อผมยาวปรากฏตั้งแต่ก่อนพ.ศ. 2500 ซึ่งในยุคนั้นจำได้ว่าเคยเห็นคนบ้าเพ่นพ่านอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้เกิดความลังเลในขณะนี้ว่าจะเป็นคนบ้าจริงๆ หรือยอดคนงำประกายมิดชิดก็ไม่ทราบ

ในอำเภอของผมสมัยปี 2500 กว่าๆ มีคนบ้า 2 คนอาศัยอยู่คนละเขต คล้ายๆกับนักเลง 2 ถิ่น ใครข้ามเขตไม่ได้จะต้องตีกันทันที ตีกันชนิดไม่รู้ผลแพ้ชนะ ไม่เลิก แต่ผลแพ้ชนะไม่เคยปรากฏสักที เห็นแต่ชาวบ้านทนความรำคาญไม่ไหวก็แจ้งตำรวจให้มาแยก พอตำรวจมาคนบ้า 2 คนก็หายบ้า วิ่งหนีตำรวจไปคนละทิศละทาง ตำรวจสมัยนั้นก็เห็นขำ ไม่เคยจับคนบ้าทั้ง 2 สักที ชาวบ้านก็อาศัยเล่นสนุกอ้างตำรวจไว้แกล้งคนบ้า คนบ้าก็จะยอมรับฟังอย่างชนิดที่เรียกว่าอยู่ในโอวาท จะให้ทำอะไรก็ทำ

ต่อมาคนบ้าทั้ง 2 ก็หายสาบสูญไปเอง ไม่มีใครทราบว่านัดกันหายไปหรืออย่างไร

คนบ้า 2 คนนี้ คนหนึ่งสูงใหญ่ผมยาว น้ำท่าก็ไม่อาบ ไม่พูดไม่จากับใคร ชอบเดินเก็บกระดาษและขยะที่คนทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าเอาไว้ เก็บแล้วก็เอาไปทิ้งเป็นที่เป็นทางเรียบร้อยกว่าคนไม่บ้า คนบ้าคนนี้ชื่อว่า “บักหลอด” อยู่อำเภอผมนานเน จนเกิดบทกลอนร้องเล่นสำหรับเด็กๆว่า “บักหลอดปอดป่องไผมาวันพระ ฝนตกยะบักหลอดปอดป่อง” ร้องกันอย่างนี้ทั้งอำเภอ

อีกคนชื่อ “บักกืก” ไม่พูดไม่จากับใครเหมือนกัน คือใครพูดด้วยก็จะมีอาการแบบคนใบ้ ทำเสียงอือๆ แบ๊ะๆไปตามเรื่อง ถ้าอยากจะสื่อสารกับคนจะใช้ภาษามือ ซึ่งต่างจากบักหลอดทั้งไม่พูด ทั้งไม่สื่อสารกับใคร

คิดเล่นๆ 2 คนจะเป็น 1 ใน 7 คนที่ไปเรียนวิชาธรรมใหญ่ห้าร้อยชาติ ร่วมกับพ่อผมยาวหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ถือว่าคนทั้งอำเภอมีตาที่ไร้แวว ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป ถือว่าเป็นคนบ้าจริงๆก็แล้วกัน

มีเรื่องแปลกเท่าที่เด็กอย่างผมจะจำได้คือ บักหลอดกับบักกืกตีกันเมื่อไร ไม่ค่อยได้เห็นเลือด ครั้งหนึ่งเห็นบักกืกมีเลือดออก มันก็เอาน้ำลายป้ายแผลเหมือนกัน แต่นึกไม่ออกว่าแผลหายทันทีหรือเปล่า

จะว่าไปจริงแล้ว ผมรับว่าในขณะนี้ผมยังนึกว่า 2 คนนี้เป็นคนบ้าแน่ๆ นึกเตลิดมาปานนี้ก็เพราะพ่อผมยาวเป็นเหตุนั่นแหละครับ

ยังมีคนบ้าอีกคนหนึ่งปรากฏตัวและเรื่องราวน่าอัศจรรย์อยู่แถวๆเขาหินซ้อน ระหว่างแปดริ้วไปปราจีนบุรี เรื่องคนบ้าคนนี้น่าสนใจ แต่ก็ไม่มีใครทราบประวัติความเป็นมา ได้ยินแต่เพียงว่า คนบ้าคนนี้แขวนประคำอยู่สายหนึ่ง และชอบกระโดดใส่รถที่กำลังวิ่งอยู่บนถนน เพื่อให้รถชนจนกระเด็น ยิ่งเป็นสิบล้อยิ่งชอบ

คนชนก็ตกใจ แต่คนถูกชนกลับหัวเราะชอบใจ ลุกขึ้นหน้าตาเฉยแล้วเดินหนีไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขาลือกันว่า น่าจะเป็นเพราะประคำที่แขวนคอคนบ้าคนนี้ จึงปรากฏอภินิหารมาเล่าสู่กันฟัง

เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยินว่ามีใครพบเห็นคนบ้าคนนี้อีกแล้ว หายสาบสูญไปตั้งแต่ราวๆปี 2520 กว่าๆ

อีกคนหนึ่งผมเคยได้พบตัว เมื่อพบแล้วผมก็เห็นว่าเป็นคนบ้าแน่ๆ แต่คนอื่นเขาเห็นว่าท่านเป็นฤษี เลยเรียกชื่อว่า ฤษีคำปุ่น อยู่ในเขตนครพนม

ฤษีคำปุ่น หรือที่ผมเห็นว่าเป็นคนบ้านี้ แม้หลวงปู่พรหมา เขมจาโรยังนับถือ แต่ผมกลับทำใจไม่ได้ เพราะเชื่อว่าบ้าจริงๆ และพาลนึกประมาทหลวงปู่พรหมาอีกด้วยว่า

พ่อพรหมาของกูนี่เห็นจะวิปริตเป็นแน่

ครั้งหลวงปู่พรหมาได้มาพักที่วัดป่าแสนอุดมในตัวเมืองอุบลฯและให้คนไปรับตัวพ่อคำปุ่นมาหาที่วัด จะพาไปวัดผานางคอยด้วยกัน

ระหว่างที่หลวงปู่พรหมากำลังฉันภัตตาหารเช้า คะเนว่าเป็นเวลา 8 โมง พ่อคำปุ่นก็เดินลงจากศาลาแล้วหายตัวไป ไม่มีใครทราบว่าไปไหน

ปรากฏว่าท่านไปโผล่ที่วัดผานางคอยในเวลา 8 โมงเหมือนกัน ลูกศิษย์ที่วัดผานางคอยยืนยันกับผมว่า พ่อคำปุ่นเดินมาที่วัดในเวลานั้นจริงๆ

ครั้นตกบ่ายแก่ๆหลวงปู่พรหมาจึงเดินทางกลับวัดผานางคอย ก็พบว่าพ่อคำปุ่นอยู่ที่นั่นแล้วอย่างน่าอัศจรรย์

ลูกศิษย์หลวงปู่พรหมาที่ได้เห็นอภินิหารของพ่อคำปุ่นนี้ชื่อว่า “พ่อนก” และเรื่องราวต่อไปนี้ก็เกิดขึ้นก่อนสมัยที่หลวงปู่พรหมาจะมีชื่อเสียงโด่ง ดังคือราวๆปี 2520 กว่าๆ

12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 07:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พ่อนกเล่าว่า หลวงปู่พรหมามอบหมายให้ตัวแกเป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อคำปุ่นระหว่างพำนัก อยู่วัดผานางคอย จึงมีความใกล้ชิดพ่อคำปุ่นมากกว่าใคร

ครั้งหนึ่งในแสงเทียนกลางมืด พ่อคำปุ่นนั่งสูบยาเส้นมวนเองอยู่เงียบๆ พ่อนกก็นั่งเฝ้าอยู่ห่างๆ รอว่าพ่อคำปุ่นจะเรียกใช้อะไรหรือเปล่า ทุกครั้งที่มองดูพ่อคำปุ่นก็เห็นแปลก คือมองครั้งหนึ่งเห็นเป็นคนแก่หง่อมหลังโกง มองอีกครั้งเห็นเป็นคนหนุ่ม 20 กว่าปี ทั้งๆที่พ่อคำปุ่นในตอนนั้นน่าจะมีอายุประมาณ 80 ปี และยังหลังตรงแข็งแรงมากเกินวัย

คราวหนึ่งพ่อคำปุ่นบอกว่าอยากกินเหล้า ให้พ่อนกไปหาเหล้ามา พ่อนกได้เหล้าเถื่อนมา 1 ไห ก็เอามารินใส่จอกถวาย พ่อคำปุ่นก็กินเอาๆ คือรินให้ก็ซดรวดเดียวหมดไปหลายจอก สักพักก็ถามพ่อนกว่าจะกินมั่งไหม พ่อนกก็บอกว่าเอาครับ เพราะว่าน้ำลายเหนียวมาตั้งแต่เห็นพ่อคำปุ่นยกซดจอกแรกแล้ว

จอกที่พ่อคำปุ่นส่งให้พ่อนกกินนั้น ท่านเอานิ้วชี้จุ่มลงไปในจอกเหล้าก่อนส่งให้ พอพ่อนกยกจอกนั้นกรอกปากก็ตกใจ เพราะว่ามันเป็นน้ำเปล่า

พ่อคำปุ่นหัวเราะชอบใจ

แต่พ่อนกไม่เห็นขำ คิดแต่ว่าได้เจออาจารย์ผู้วิเศษเข้าแล้ว

เหล้าแท้ๆยังทำให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้

แต่ผมเห็นว่าเสกเหล้าให้เป็นน้ำนั้นไม่เข้าท่าหรอกครับ ไม่มีทางรวย

เสกน้ำให้กลายเป็นเหล้าสิครับ รวยแน่

สักครู่หนึ่งพ่อคำปุ่นบอกว่าอยากดื่มน้ำ พ่อนกก็ไปตักน้ำในตุ่มมาถวาย ท่านเอานิ้วชี้จุ่มลงไปในจอกน้ำแล้วไม่ดื่ม แต่ส่งให้พ่อนกแล้วพยักหน้าทำนองว่า “เอ้า ดื่มซะสิ” พ่อนกก็เลยดื่ม ปรากฏว่าคราวนี้ตกใจกว่าเก่าเพราะว่า น้ำเปล่ากลายเป็นเหล้าได้ยังไง

พ่อคำปุ่นหัวเราะชอบใจอีกที แล้วขว้างไหเหล้าลงพื้นจนแตกและไล่พ่อนกกลับไปนอน



ถึงคราวที่ผมได้เจอพ่อคำปุ่นด้วยตัวเอง ก็พ่อนกนี่แหละ ครับเป็นคนพาไป ท่านอาศัยอยู่นครพนมในหมู่บ้านที่ผมจำชื่อไม่ได้ หมู่บ้านนี้หาไม่ยาก ผมยังจำได้ สามารถไปได้อีก เสียแต่ลืมชื่อไปเท่านั้น

ผมเห็นท่านทีแรกก็เห็นว่าท่านคือ คนบ้า อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็สงสัยอยู่ว่าทั้งพ่อนกและคนอื่นที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันอีก 7 – 8 คน จะบ้ากว่าหรือเปล่า

ไม่อยากเข้าใกล้เลยครับ สารรูปอย่างนั้น เสื้อผ้าอย่างนั้น แต่ขัดพ่อนกไม่ได้ ต้องเข้าไปกราบใกล้ๆตักท่าน

แปลกครับคิดว่าจะได้กลิ่นเหม็นหึ่ง กลับไม่มีกลิ่นอะไรเลย

ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะจมูกดีกว่าผม คือพาลได้กลิ่นหอมประหลาดไป

เป็นกลิ่นที่ไม่เคยหอมอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยซ้ำ

สำหรับผมไม่ต้องหอมก็ได้ แค่ไม่เหม็นผมก็เห็นประหลาดแล้ว

ยายอะไรไม่ทราบ (ลืมชื่อ)เจ้าของบ้าน และเป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อคำปุ่นบอกว่า ท่านไม่เคยอาบน้ำเลย เสื้อผ้าก็นานๆเปลี่ยนที ยิ่งทำให้แปลกใจกว่าเก่า

พ่อคำปุ่นทำด้ายผูกข้อมือให้ผมแล้วก็เป่าหัว สวดคาถาที่ฟังไม่รู้เรื่อง ได้ยินแต่เสียง พิง พิง พิง แค่นั้น

ด้ายผูกข้อมือนี้ ต่อมาได้เอาไปให้คนที่ชอบจับพลังพระลองจับดู คนแรกบอกว่าพลังสูงอย่างน่าเลื่อมใส อีกคนตรวจแล้วทำหน้างงๆ บอกว่าไม่เห็นมีพลังอะไร

คนที่งงหนักคือผม พองงหนักแล้วก็เลยเอาด้ายผูกข้อมือนั้นมาตัดเป็นท่อนๆ ฝังในพระฤษีที่ทำถวายหลวงปู่พรหมา แต่จำไม่ได้ว่าเป็นรุ่นไหน ใครเห็นว่ามีพระฤษีอยู่ในมือของตนเอง และพบว่าที่ใต้ฐานมีด้ายคล้ายๆสายสิญจน์ฝังอยู่ ก็เข้าใจเถิดว่า บางทีจะเป็นด้ายผูกข้อมือเส้นนั้นของผมเองที่พ่อคำปุ่นทำให้

ต่อมาพวกที่ไปด้วยก็บังอาจขอหวยกับพ่อคำปุ่น ท่านก็เมตตาเขียนรูปดาว 4 ดวงและ 5 ดวงให้ดูปรากฏว่างวดนั้นหวยออก 45 ตรงๆจริงๆ

นี่คือเรื่องพ่อคำปุ่นที่ผมเห็นว่าท่านเป็นคนบ้า แต่คนอื่นเห็นท่านเป็นฤษี

อย่าคิดไปหาท่านเลยครับ ไปก็ไม่เจอ เพราะว่าท่านเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 10 กว่าปี

อย่างไรก็ตาม ต้องนับว่าเป็นวาสนาของผม ที่ได้มีโอกาสพบคนบ้าคนหนึ่ง ที่มีอภินิหารแปลกประหลาด เหมือนพ่อผมยาวไม่มีผิด

ถึงตรงนี้ก็ช่างเหมือนการเดินทางไกล แล้วแวะลงข้างทางซดกาแฟสด เถลไถลคุยเรื่องอื่นจนพอใจ จึงกลับเข้ามาตั้งต้นเดินทางกันใหม่อีกครั้งในช่วงสุดท้าย

กลับเข้ามาเรื่องหลวงพ่อพิบูลย์อีกวาระหนึ่ง

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า หลวงพ่อพิบูลย์ถูกควบคุมตัวอยู่ วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี 15 ปี และหลวงพ่อโชติได้ติดตามไปปรนนิบัติตลอดเวลา โดยเดินทางไปๆมาๆระหว่างบ้านแดงกับวัดโพธิสมภรณ์

หลวงพ่อโชติเล่าว่า ระหว่างที่หลวงพ่อพิบูลย์อยู่วัดโพธิสมภรณ์นั้น เกิดสงครามอินโดจีน และหลวงพ่อพิบูลย์หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า คือสามารถบอกได้ว่าฝรั่งจะมาทิ้งระเบิดที่บ้านนาเกลือ ระเบิดจะลงตรงไหน กี่ลูก บอกได้ถูกต้องหมด และยังบอกอีกว่าไม่ต้องตกใจ เพราะจะไม่มีระเบิดลูกไหนระเบิดเลย

ต่อมาฝรั่งก็มาทิ้งระเบิดจริงๆที่บ้านนาเกลือ และระเบิดทุกลูกก็ด้านหมด
หลวงพ่อโชติได้เล่าเสริมไว้อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่บ้านกุดแห่นางหงส์ เกิดมีฝูงจระเข้มาอาศัยอยู่มาก จนชาวบ้านไม่กล้าลงน้ำหาปลา จึงมานิมนต์หลวงพ่อพิบูลย์ไปปราบ และท่านได้ประกอบพิธีกรรมเหมือนครั้งปราบจระเข้ที่ลำน้ำปาว โดยถือเทียนและไม้เรียวลงไปใต้น้ำนาน 1 ชั่วโมง พอกลับขึ้นมาปรากฏว่า เทียนไม่ดับ จีวรไม่เปียก และอีก 7 วันชาวบ้านก็ลงน้ำหาปลาได้
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-5 07:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อภินิหารเหล่านี้ยืนยันว่าพลังเหนือโลก ที่มนุษย์คนหนึ่งในพระพุทธศาสนา สามารถมีและทำได้

เป็นพลังที่มีอยู่ทุกยุคทุกสมัยต่อเนื่องมานาน นับแต่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นอุบัติขึ้นในโลก เมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้ว

เป็นเรื่องนอกเหตุเหนือผลอีกแนวหนึ่งที่อธิบายไม่ได้ว่า มี และเกิดขึ้นได้อย่างไร

ดีใจครับ ที่เกิดมาในพระพุทธศาสนา

หลวงพ่อพิบูลย์ใช้ชีวิตช่วงปลายอย่างสงบอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ จนกระทั่งถึงปี 2489 หลวงพ่ออาพาธหนักด้วยโรคชรา

ตอนที่ท่านใกล้จะมรณภาพนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว ท่านไล่ลูกศิษย์ให้ออกไปนอกห้อง และให้ปิดประตูไว้ จนกระทั่งประมาณ 5 ทุ่ม ปรากฏว่ามีแสงสว่างลุกโพลงขึ้นเหนือกุฏิ ลูกศิษย์จึงเปิดประตูเข้าไปดู และพบว่าท่านมรณภาพแล้ว ในท่าสีหไสยาสน์สิริรวมอายุได้ 135 ปี

ศพของหลวงพ่อพิบูลย์เก็บรักษาไว้ในวัดโพธิสมภรณ์หลายปี จึงได้นำกลับมาไว้ที่วัดพระแท่น โดยชาวบ้านนำเกวียน 100 เล่ม มาเป็นขบวนแห่ศพ และเก็บท่านไว้ต่อมาจนปี 2504 เจ้าอธิการคำพันธ์ คนฺธโร ได้พาชาวบ้านสร้างเจดีย์และทำพิธีฌาปนกิจศพหลวงพ่อพิบูลย์

ส่วนหลวงพ่อโชติ ก็ได้อยู่ครองวัดพระแท่นสืบต่อจากหลวงพ่อพิบูลย์ จนกระทั่งถึงกาลมรณภาพ ในวันที่ 14 มกราคม 2540 สิริรวมอายุได้ 100 ปี

ร่องรอยของหลวงพ่อโชติยังพอสืบค้นได้ไม่ยาก เพราะว่าท่านเพิ่งจากไปแค่ 9 ปีเอง แต่ร่องรอยครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆอาจยากสักหน่อย

ใครเลื่อมใสศรัทธาก็สะกดรอยไปกราบสถานที่บรรจุอัฐิของทุกท่านที่ยังคงปรากฏอยู่ จนทุกวันนี้ได้ทุกเวลา

ปัจจุบันเหรียญหลวงพ่อพิบูลย์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยมีประสบการณ์ชัดเจนไปในทางป้องกันตัว และมีชื่อเสียงเลื่องลือจากการทดลองยิงด้วยปืน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น

เหรียญหลวงพ่อพิบูลย์ทราบว่าเนื้อทองเหลืองคนจะนิยมมากกว่าเนื้อทองแดง

แม้เป็นเหรียญไม่ทันชีวิตท่าน ก็ยังเป็นที่นิยมเสมือนเป็นเหรียญทันชีวิตท่านปานนั้น

จบเรื่องหลวงพ่อพิบูลย์ วัดพระแท่นแต่เพียงเท่านี้

เครดิสเขียนโดย อำพล เจน                          

                                                                                อ้างอิงข้อความ                                                                              

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้