ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี(วัดภูจ้อก้อ) ~

[คัดลอกลิงก์]
151#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้จะพ้นทุกข์ในปัจจุบัน

จำพวกที่ปรารถนาพระปัจเจกภูมิ ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะเหล่านี้ก็มีมากมายนัก ได้รับลัทธพยากรณ์แล้วก็มี ไม่ทันได้รับลัทธพยากรณ์ก็มี ตามความยิ่งและหย่อนที่ได้ลงทุนลงแรงที่แสวงมา จำพวกที่ปรารถนาเป็นสาวกซ้ายขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอนาคตก็ยังมีมากมายนัก จำพวกปรารถนาสาวกฝ่ายเอตทัคคะและสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโตก็ยังมีมากมายเป็นอเนกอนันต์หาประมาณมิได้ ทุก ๆ จำพวกที่ปรารถนาโลกิยสมบัติก็ดี หรือยังไม่รู้จักปรารถนาอะไรก็ดี ทำดีเรื่อยไป ทำตัวเรื่อยไป ก็ไม่สามารถจะพรรณนาได้

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องส่งนอก วิจัยท่านผู้อื่นทั้งนั้น ไม่ถือว่าเป็นของจำเป็นสำคัญอะไรนัก ถ้าไม่เขียนก็คะนองมือเพื่อแก้ง่วง ท่านผู้อ่านอ่านมาพบเข้า ขี้เกียจอ่านก็เปิดข้ามไปซะ หรือไม่อ่านเลยสักวรรคสักตอนก็ได้ เพราะมันไม่มีรูปเหมือนหนังสือพิมพ์ประจำวันประจำสัปดาห์ การอ่านการเขียนการนึกการคิดก็อยู่ในวิธีของกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร เกิดแล้วแปรดับไปเป็นระยะ ๆ ติดต่ออยู่ ต้องขึ้นอยู่กับผู้รู้ตามเป็นจริง หรือไม่รู้ตามเป็นจริงเท่านั้น

จำพวกที่เจตนาพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติและก็ไม่แอบกินอยู่แต่ความปรารถนาและเจตนาอย่างเดียว เตือนคนด้วยตนเอง ปลุกตนด้วยตนเอง อยู่ในข้อวัตรปฏิบัติไม่ปีนเกลียว เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุขภายนอกหรือคราวเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญเยินยอ เสื่อมสุขอิงอามิสภายนอกไม่ถือว่าเป็นเสี้ยนเป็นหนามต่อเจตนาที่ตั้งไว้ ไม่เสียหายและไม่อาลัยว่าจะพลิกเจตนาและปรารถนาใหม่ ท่านจำพวกนั้นสร้างบารมีเต็มตื้นมาแล้ว และบางท่านก็พ้นไปแล้วจากบ่วงทั้งปวงสิ้นเชิง

และบางท่านก็โชกโชนถ่อ พาย แจวอยู่ภายในด้านจิตใจด้วยสติปัญญาอยู่ ไม่ได้ไว้ใจไม่ร้อนใจเลย แม้กายจะนอนอยู่ก็ตาม ยังไม่หลับเพียงไรก็มีสมถะและวิปัสสนากลมกลืนกันอยู่เพียงนั้น ไม่เรียงแบบไม่ส่งส่ายไม่สงสัย มีสติปัญญาเป็นกุญแจอยู่ในมือสติ มือปัญญา เปิดประตูข้ามหลงอยู่ในตัวแล้ว

มรรคจิต มรรคใจ มรรคสติ มรรคปัญญารวมพลเข้าเป็นเกลียวเดียวกัน ไม่มีอันใดก่อนไม่มีอันใดหลัง ผลจิต ผลใจ ผลสติ ผลปัญญาก็รวมพลกันในขณะเดียวกันไม่มีอันใดก่อน ไม่มีอันใดหลังพร้อมกันทันกาล ย่อมดับความหลงในสงสารเฉพาะส่วนตัวได้ไม่ขบถคืน ไม่ขบถตนคืนมาหลงอีก

ข้ามห้วยหนองคลองบึงบาง ทะเลมหาสมุทรภายนอกได้ตลอดถึงข้ามประเทศนอกได้ล้าน ๆ มหาประเทศ ล้าน ๆ มหาสมุทรก็ดี ด้วยเครื่องยนต์กลไกภายนอกไม่เท่าข้ามความหลงของตนได้ด้วยพระมหาปัญญาญาณอันถ่องแท้อันทรงสัมมาญาณบริบูรณ์ในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมซึ่งหน้าแลนา

หน้าสติปัญญา กับหน้าหนังหุ้มหน้าผาก เป็นคนละวัตถุต่างกัน แต่ถ้าไม่หลงหนังหุ้มหน้าผาก ก็กลายเป็นหน้าสู้ หน้าปัญญา อยู่ในตัวอีกแล้ว เรียกว่าข้ามทะเลหลงหนังทั้งปวงได้แล้ว ทั้งทะเลหนังอดีต ทั้งทะเลหนังอนาคต ทั้งทะเลหนังปัจจุบันด้วยวัตถุอันอื่น ๆ ไม่กล่าวอีกก็ได้ไม่เป็นไร
152#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิญญาณมีจริงหรือ

ต่อไปมีเรื่องอะไรก็เขียนลงไปก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ตามประสาของกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารเพราะพระนิพพานมิได้มาเขียนมาอ่านด้วย

บาลีท่านถามว่า วิญญาณมีจริงหรือ

ผู้เขียนก็ต้องตอบว่า ผู้ถามก็เอามโนวิญญาณถาม ผู้ตอบก็เอามโนวิญญาณตอบ ผู้เป็นกรรมการก็เอามโนวิญญาณเป็นกรรมการ ผู้ถามก็ไม่ควรถาม ผู้ตอบก็ไม่ควรตอบ ผู้กรรมการก็ไม่ควรเป็นกรรมการ เพราะคล้าย ๆ กับคนขี้เมาสุราถามและตอบกัน คล้าย ๆ กับคนขี้เมาสุรามาเป็นกรรมการอีก จะกลายเป็นสภานกเค้าแมว เพราะมีลูกตาโตเสมอกันแล้ว

และก็ จักขุวิญญาณ วิญญาณทางดวงตา โสตวิญญาณ วิญญาณทางหู ฆานวิญญาณ วิญญาณทางจมูก ชิวหาวิญญาณ วิญญาณทางลิ้น กายวิญญาณ วิญญาณทางกาย มโนวิญญาณ วิญญาณทางใจ วิญญาณทั้งหลายเป็นเมืองขึ้นของมโนวิญญาณ แล้วโทรเลขด่วน หรือโทรศัพท์ด่วนลงถึงมโนวิญญาณ แล้วทั้งอดีตที่ล่วงไปแล้วด้วย ทั้งอนาคตที่ยังไม่มาถึงด้วย ทั้งปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ซึ่งหน้าด้วย ถ้าหากว่าไม่รู้เท่าวิญญาณแล้วก็เป็นวิญญาณปฏิสนธิตะพึดตะพือ เป็นอนันตรปัจจัย เป็นอนันตรเหตุ เป็นอนันตรผล เป็นอนันตรกิเลส เป็นอนันตรกรรม เป็นอนันตรวิบาก เป็นอนันตรชาติ เป็นอนันตรภพ หรือจะว่าเป็นอนันตรภพ อนันตรชาติ ก็ได้

ในห้วงของปัจยาการปฏิจจสมุปบาทที่เกี่ยวข้องกันเป็นสายโซ่, โลภ โกรธ หลง เป็นสายโซ่หรือไม่ และต่างกันอย่างไรกับปัจยาการ

ตอบว่าเป็นสายโซ่อยู่โดยตรง ๆ แล้วและไม่ต่างกันกับปัจยาการเลย มีความหมายอันเดียวกัน ผู้ที่ไม่รู้เท่าปัจยาการ ก็มีความหมายอันเดียวกัน ผู้ไม่รู้เท่า โลภ โกรธ หลง ก็มีความหมายอันเดียวกัน ไม่แปลกเลย ผู้ไม่รู้เท่าอดีต อนาคตและปัจจุบัน ก็มีความหมายอันเดียวกัน ผู้ไม่รู้เท่ากองนามรูป ก็มีความหมายอันเดียวกันนั้นแล ผู้ไม่รู้เท่าไตรลักษณ์ก็มีความหมายอันเดียวกันอีก

คำว่ารู้เท่าในที่นี้มิได้หมายความว่า รู้ตามสัญญาความจำมา เคยหูก็หันปากว่าไปเหมือน แก้วเจ้าขา กินข้าวกับกล้วย เลย หมายความว่ารู้ตามเป็นจริงแห่งความหลุดพ้นโดยถ่องแท้ เป็นสัมมาวิมุตติ เป็นสัมมาญาณะ มิใช่มิจฉาวิมุตติ มิใช่มิจฉาญาณะ
153#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผลย่อมสมควรแก่เหตุ

จะขอถามสักคำว่า ผู้เขียนอยู่เดี๋ยวนี้ล่ะ อยู่ระดับใดเล่า

ตอบว่า ไม่เป็นฐานะจะทุ่มเถียงกันก่อนศาลธรรมอันเป็นปัจจัตตัง และศาลธรรมสันทิฏฐิโก อันเป็นสิทธิท่านผู้พ้นและไม่พ้นแต่ละรายจะรู้ตัวเองเอาเทอญ จึงเป็นธรรมอันไม่นอกเหนือ ถ้านอกเหนือไปกว่านี้แล้ว คงเป็นธรรมย้อมแฝงแปลงมายา จะเอาเป็นประมาณมิได้

สันทิฏฐิโกและปัจจัตตังในทางพระพุทธศาสนาคงจะมีขอบเขต คงหมายเอาแต่พรหมจรรย์เบื้องต้นไป คือ พระโสดาบัน ไปจนถึงพระอรหันต์ มิฉะนั้นแล้วจะฟั่นเฝือเอาเป็นกฎเกณฑ์ไม่ได้ จะกล่าวให้พิสดารแล้ว โลกิยวิสัยผู้เขาทำดีทำชั่วตอนไหน ๆ เขาก็รู้เขาอยู่ เว้นไว้แต่ผู้ไม่รู้จักดีจักชั่วเอาเสียเลย แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นปัจจัตตังและสันทิฏฐิโกอีก เพราะเหตุว่า จำพวกที่เขาถือว่าไม่มีบาปไม่มีบุญ เขาก็รู้ตัวเขาว่า เราถือว่าไม่มีบาปไม่มีบุญเลยดังนี้ ฉะนั้นจึงตีความหมายได้ทั้งโลกิยะและโลกุตระ ได้มอบไว้เป็นสิทธิของเจ้าตัวแต่ละรายเท่านั้นเอง

คิดเห็นอะไรก็เขียนไปก๊อกแก๊ก ตามประสาผู้ล้าสมัย แต่ แก่เจ็บ ตาย มิได้ล้าสมัยไปทางใดเลย มีอยู่ทุกกาล

สังขารธรรมทั้งปวงก็ทรงอยู่ทุกกาล

ธรรมอันปราศจากสังขารก็ทรงอยู่ทุกกาล

หนทางปฏิบัติเพื่อพ้นไปจากสังขารธรรมก็มีอยู่ทรงอยู่ทุกกาล

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งที่ล้าสมัย ไม่ว่าทางดีหรือทางชั่ว ทำเอาเวลาใดได้ทั้งนั้น ขอแต่เหตุวางลงไป ผลแม้ไม่ประสงค์ ก็ได้รับตามส่วนควรค่าแก่เหตุที่สร้างขึ้นน้อยและมาก จะไปทางดีทางชั่วแล้วแต่เหตุเป็นเกณฑ์ เจ้าเหตุเจ้าผลก็คือใจ (ยกเว้นพระอรหันต์เสีย) เพราะพระอรหันต์ไม่มีอุปาทานจะมาคอยรับได้รับเสียกับเหตุกับผล มิได้เป็นเจ้าเหตุเจ้าผลหรืออะไร ๆ ทั้งนั้น เพราะได้ส่งเหตุส่งผลคืนให้สังขารทั้งปวงแล้ว มิได้กลับมาจี้ปล้นอีก เป็นธรรมทรงอยู่เหนือเหตุเหนือผลไปแล้ว

เหตุใจ ผลใจ เหตุธรรม ผลธรรม ก็มีความหมายและรสชาติอันเดียวกัน พระอรหันต์มิได้ติดอยู่ในรสใจส่วนนี้ และก็มิได้ติดอยู่ในรสธรรมส่วนนี้ด้วย เพราะใจส่วนอาศัยเหตุ ๆ ผล ๆ ก็ดี ธรรมอันอาศัยเหตุ ๆ ผล ๆ ก็ดี เป็นใจเป็นธรรมอันยังไม่ทันหลุดพ้นจากความหลงโดยสิ้นเชิง ใจที่ยังอาศัยหลักเหตุ ๆ ผล ๆ อยู่ก็ดี ธรรมที่ยังอาศัยหลักเหตุ ๆ ผล ๆ อยู่ก็ดี อย่างสูงก็เพียงพระอนาคามีเท่านั้น นัยนี้มิได้ปรารภข่มขี่พระอนาคามีแต่ประการใดเลย ปรารภตามธรรมชั้นสูง

เหตุใจผลใจอยู่ที่ไหน เหตุธรรมผลธรรมก็อยู่ที่นั้น สัมปยุตกันอยู่เกือบจะแยกไม่ออกได้ ไม่มีอันใดก่อน อันใดหลัง เปรียบเหมือนของหยาบ ๆ เช่น หลับตาและลืมตา ผลของมืดและผลของสว่างย่อมมีในขณะเดียวกันกับหลับและลืมตา โยงถึงกันไปเป็นระยะ ๆ ถี่ยิบ แม้เหตุของเจตสิกที่นึกคิดของจิตเล่า โยงถึงกันถี่ยิบไปเป็นซ้อน ๆ เป็นสันตติ ติดต่ออยู่ไม่ขาดวรรคไม่ขาดตอน เกิดดับเร็วอีกด้วย เมื่อมีผู้เข้าไปสอดแทรกยึดถือเอาเป็นเจ้าของแล้วยิ่งไม่มีเงื่อนต้น ยิ่งไม่มีเงื่อนปลาย เป็นมหาสังสารจักร เป็นมหาสังสารวัฏ เป็นมหาอนันตรปัจจัย เป็นมหาอนันตรเหตุ เป็นมหาอนันตรผล เป็นมหาอนันตรภพ เป็นมหาอนันตรชาติ เป็นมหาอนันตรอวิชชา ไม่มีที่สิ้นสุดลงได้ง่าย ๆ และไม่พ้นความสงสัยในธรรมตอนนี้อีกด้วย และก็ไม่เห็นชัดแจ้งในไตรลักษณ์อีกด้วย จะเห็นได้บ้างก็ในกายหยาบ ๆ เท่านั้น

แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่เห็นกายบ้างเสียเลย เมื่อรู้ตามเป็นจริงของกายชัดแล้ว สิ่งอื่น ๆ ก็พลอยรู้ตามเป็นจริงไปเอง แต่ต้องเข้าใจ ว่ากายมิได้เป็นเจ้าเหตุเจ้าผลของบาปบุญคุณโทษ อยู่ต้นเหตุต้นผล เป็นเพียงรับใช้จิตเจตสิกและกิเลสเท่านั้น (ยกเว้นพระอรหันต์เสียเพราะไม่มีกิเลสจะมาปลอมแอบใช้ด้วย)
154#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จิตที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว

ท่านผู้ต้องการพ้นทุกข์โดยด่วนในปัจจุบันชาติ ปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรมแล้ว จะไม่เอื้อเฟื้อ ไม่อาลัย ไม่รัก ไม่ปฏิบัติเนือง ๆ ยิ่ง ๆ ในพระอานาปานสติลมหายใจออกเข้า แล้วนั่งคอยนอนคอยปรารถนาอยู่เฉย ๆ ย่อมเป็นไปได้ยาก และลมออกเข้ายาวหรือสั้นจะไม่ใช่กายอย่างไร ก็กายานุปัสสนานั่นเอง และก็ธาตุดินน้ำไฟลมที่สมดุลกันอยู่นั้นเอง จึงพอหายใจออกเข้าได้

ลมหายใจออกเข้า บางทีเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อุเบกขาบ้าง ก็เวทนานุปัสสนานั้นเอง

ลมหายใจออกเข้า เห็นจิตที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้วหรือกลาง ๆ ก็จิตตานุปัสสนานั้นเอง

ลมหายใจออกเข้า เห็นความไม่เที่ยงแห่งกายสังขาร จิตสังขารก็ธรรมานุปัสสนานั้นเอง

(ไม่เรียงแบบก็ได้ไม่เป็นไรดอก )

แล้วกายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ยกขึ้นสู่เมืองขึ้นของไตรลักษณ์ให้กลมกลืนกันเป็นเชือกสามเกลียว เป็นเป้าอันเดียวกันไม่ต้องแยก ไม่ต้องเรียง ไม่ต้องขยาย เห็นอยู่ ณ ซึ่งหน้าสติ ซึ่งหน้าปัญญา พร้อมกับลมออกเข้า ไม่มีอันใดก่อน ไม่มีอันใดหลัง ติดต่ออยู่ พิจารณาอยู่ไม่ขาดสาย

ความเพลินความเมาความดิ้นรนในโลกทั้งปวง ทั้งอดีตอนาคตมันจะรวมพลมาจากประตูใด เพราะปัจจุบันมีอำนาจเหนือโลกอดีต เหนือโลกอนาคตแล้ว มิหนำซ้ำจะได้โต้ตอบกับปัจจุบันว่า ปัจจุบันเป็นเมืองขึ้นของใคร และใครมายึดถือเอาเป็นเจ้าของ จะได้ตะลุมบอนหั่นแหลกกันในปัจจุบันนั้น แต่อย่าได้ลืมลมออกเข้า เพราะลมออกเข้าเป็นแม่เหล็กอาจารย์เดิม ลมจะละเอียดสักเพียงใดอย่าได้ลืมเลย เพราะจิตจะฟุ้งซ่านเป็นว่าวเชือกขาด จะเป็นช่างเหล็กที่ตีเหล็กไม่ถูกทั่ง เหล็กจะกระเด็นใส่หน้า ข้อนี้สำคัญมากนักหนา
155#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นักหลบมิใช่นักรบ

แต่นักภาวนากำหนดลมออกเข้า มักจะไปเสวยอยู่แต่ลมละเอียดเข้า ละเอียดแล้ว ลมหายไป ไม่ปรากฏว่ามีลมเลย เมื่อหมดกำลังแล้วถอนออกมาไม่ค่อยจะได้ความอะไรเฉพาะตน ได้ความแค่เพียงว่าสบายกายสบายใจชั่วคราว เลยกลายเป็นนักหลบมิใช่นักรบ ปัญหาของจิตใจยังค้างแขวนอยู่อักโข

แท้จริง(การ)เข้าไปแบบนั้น(ก็)เพียงให้รู้รสชาติเท่านั้น จะติดอยู่เพียงแค่นั้น ก็ไปไม่รอดอีก ถ้าไม่พักแบบนั้นก็ไม่ได้ แต่หมั่นพักบ่อยก็ไม่ได้งานอีก เพราะงานยังไม่เสร็จ และเวลาของชีวาแต่ละชาติละชาติก็มีน้อย และคำว่าชาติใหญ่ ๆ หมายถึงชั่วขณะลมออกเป็นชาติหนึ่ง ลมเข้าเป็นชาติหนึ่ง ๆ ของส่วนกายสังขาร ส่วนจิตสังขารนั้นเป็นชาติอันละเอียด เร็วนัก เกิดดับติดต่อกันเร็วนัก

อนิจจาอันละเอียดมากมายแท้ ๆ เมื่ออนิจจาละเอียดเข้าสักเพียงไรก็ดี ทุกขา อนัตตา ก็ละเอียดเข้าเป้าเดียวกัน ขณะเดียวกัน ถ้าส่งส่ายไปทางอื่น ก็ยิ่งตื่น ไม่เห็นชัดได้ เชื่อตนเองไม่สนิทได้ ย่อมขบถตนคืนอีก

ผู้ที่ทิ้งกรรมฐานเดิมที่ตนตั้งไว้ ย่อมไปตามนิมิตภายนอกต่าง ๆ นานา นิมิต แปลว่าเครื่องหมาย สารพัดจะรู้ จะหมายไป

หมายกับเหมือนก็พอเหมือน ๆ หมาย ๆ นี้เอง มิใช่ตัวจริงดอก ได้เพียงแค่นั้นแหละ และผู้ติดนิมิต อิงกับอุปจารภาวนาไม่ค่อยลงคนได้ง่าย ๆ นะ มิหนำซ้ำกล่าวตู่ในใจให้ผู้เทศน์ว่า คนภาวนาไม่ดีเท่าเขาแล้วมากุมเทศน์เขา อ้ายที่แท้นั้น เขาได้ตกนรกมาก่อนในตอนนี้แล้วและได้พ้นไปแล้ว และไม่ว่าใคร ๆ ในโลกถ้าไปติดอยู่ในชั้นใด ๆ แล้วแกะยาก เพราะเป็นของบ่งให้กันไม่ได้เหมือนหนาม เว้นไว้แต่เห็นโทษตนเองในชั้นนั้น จึงจะกลับตัวได้เอง บางรายพอกลับตัวได้ก็บ่ายค่ำไปเสีย บ่ายก็คือแก่มากไปแล้ว ค่ำก็คือตายไปเสียแล้วแต่เนิ่นนานวัน

อานาปานสติเป็นกรรมฐานในพระพุทธศาสนาชั้นที่หนึ่ง เป็นยอดแห่งกรรมฐานทั้งปวงด้วย ผู้เจริญชำนาญแล้ว จะดึงกรรมฐานและวิปัสสนาภาวนาปัญญามารวมเข้าก็ได้ ไม่ขัดข้อง ไม่แสลงเลย เช่น นิโรธความดับตัณหา เป็นธรรมอันละเอียด จะดึงเข้ามาให้เห็นพร้อมกับลมออกเข้าก็ได้ทั้งนั้น

ยาขนานเดียวแก้โรคได้ทั้งล้าน ๆ อย่าง ก็คือพระอานาปานสตินี้ สามารถบรรเทาและแก้สรรพกิเลส สรรพตัณหาได้ ตามเหตุผลของท่านผู้เจริญน้อยและมากได้โดยตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมเลย ขอแต่ทุ่มเท ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาลง ให้สมดุลกันติดต่อไม่ขาดสาย นิพพิทาความเบื่อหน่ายคลายเมาในความหลง อันดองขันธสันดานมานมนาน ก็จะปรากฏเป็นสัมมาวิมุตติ เป็นสัมมาญาณะโดยแน่แท้ ไม่ต้องสงสัยเลย อย่าตีตนตายก่อนไข้ก็แล้วกัน อย่ากล่าวตู่ตนว่ามรรคผลนิพพานหมดไปแล้ว มุ่งกล่าวตู่พระพุทธศาสนา แต่ถูกกล่าวตู่ตนไม่รู้ตัวอีกด้วย

ผู้ไม่แยบคายในอานาปานสติแล้ว ไฉนจะเห็นเจตสิกที่เกิดดับได้ง่าย ๆ เล่า เพราะตามลมเข้าออกไม่ถึงจิตและเจตสิก เมื่อไม่เห็นความเกิดดับได้ละเอียด ไฉนจะเห็นไตรลักษณ์ละเอียดเล่า นิพพิทาความเบื่อหน่ายคลายหลงจะเปิดประตูและหน้าต่างช่องใดให้ปรากฏแก่ตา ปัญญาญาณเล่าย่อมเป็นไปไม่ได้ ทั้งโลกอดีต ทั้งโลกอนาคต ทั้งโลกปัจจุบันด้วย พระบรมศาสดาเทศนาสั่งสอนด้วยทรงพระมหากรุณาธิคุณอันหาประมาณมิได้ จนครบ ๔๕ พระพรรษา ก็หนักเน้นลงในไตรลักษณ์มากกว่าพระพุทธภาษิตอื่น ๆ เพราะเป็นธรรมอันจะหลุดพ้นได้ง่าย

เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นล่ำไม่เป็นสันและก็เป็นเรื่องที่ควรเขียนบ้าง บางทีมีผู้ชอบอ่านการขีดเขียนในสำนักปฏิบัติและก็เป็นหัวหน้าด้วยในสำนัก ก็ต้องได้สนใจอยู่มิใช่น้อยเลย บรรดาภิกษุสามเณรผู้มาอาศัยอยู่ด้วยเพื่อปฏิบัติธรรม ต่างก็มีสิทธิสังเกตทุกแง่ทุกมุมในสำนักนั้น ๆ สิ่งที่ไม่เหมาะสมอันเกินพอดี แม้จะไม่จับเอาไปพระนิพพานด้วยก็จริง แต่ก็ต้องได้พิจารณาอยู่นั้นเอง เพราะคนแต่ละคนย่อมมีอิสระพิจารณาทุก ๆ ด้าน มิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นคนฉลาดไม่ได้
156#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หัวหน้าของหมู่ในสังคมหนึ่ง ๆ เป็นของสำคัญมาก ย่อมเป็นเป้าสายตาของคนทั่วไปอยู่โดยตรง ๆ การติชมกาเลเทน้ำเป็นของมีอยู่ประจำโลกก็จริง แต่ก็ต้องรักษาในสิ่งที่ไม่เหลือวิสัย การรักษากับการปฏิบัติก็คงมีความหมายอันเดียวกัน เพราะรักษาในสิ่งที่ควรรักษา ปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติ เว้นในสิ่งที่ควรเว้น ตรงต่อเวลาในสิ่งที่ควรตรงต่อเวลา ปฏิบัติบรรจงในสิ่งที่ควรปฏิบัติบรรจง ทรงตัวและก้าวหน้าหาธรรมชั้นสูง

ใคร่ครวญใจ ใคร่ครวญธรรม

การปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อทดสอบให้ตนและอนุชนรุ่นหลังนี้ ย่อมไม่นิยมกาลเวลาของวัยอ่อน ปานกลาง หรือแก่ชรา แม้ถึงจะเดินไม่ได้ ไปไม่เป็น นอนคาที่ ก็ต้องมีธรรมเป็นเครื่องคำนึง ด้วยใจอันพอพึงเท่าที่ควรแก่ตน

ข้อวัตรของใจภายใน กับธรรมภายในนี้ ถ้าห่างเหินกันแล้วย่อมเหลิงเจิ้ง เวลาของกายเป็นเวลาภายนอกก็ว่าได้ไม่ผิด เวลาของใจกับธรรมเป็นเวลาภายใน สังสรรค์กันอยู่อย่างละเอียดลึกซึ้ง สติปัญญาแก่กล้าจึงจะมองตามเห็นได้ จึงจะรู้จักเลือกเฟ้นสิ่งที่ควรและไม่ควรอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนได้ สติปัญญาอันชอบจึงจะเลือกใจเลือกธรรมที่ชอบได้ โดยเฉพาะของส่วนใจ ของส่วนกรรมที่ชอบ มิฉะนั้นแล้วก็จะกลืนทั้งกระดูกและก้างแบบไม่มีการเลือก

การเฟ้นและการใคร่ครวญ ก็มีความหมายอันเดียวกัน คือเลือกเฟ้นใจ เลือกเฟ้นธรรม ใคร่ครวญใจ ใคร่ครวญธรรม ไม่ว่าสิ่งใด ๆ ในโลก หรือในธรรม ถ้าเอาธรรมเป็นแว่นใคร่ครวญลงมิให้ ปีนเกลียวของธรรมหลาย ๆ รอบแล้ว ไม่ค่อยผิดพลาดในตอนนั้น ๆ แม้จะผิดพลาดบ้างก็มีประตูแก้

ที่ผิดไม่มีประตูแก้นั้น เพราะขาดการพิจารณาก่อนลงมือทำ การลงมือทำมิได้หมายแต่เฉพาะมือภายนอก อันเป็นมือเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น หนัง หมายเอามือสติปัญญา อันสมดุลกับใจกับธรรม การพิจารณา จะตัดสินใจเอาตามอัตโนมติไป โดยไม่มองดูธรรมแท้ของพระองค์ที่กล่าวไว้ดีแล้วก็ไม่ได้ ถ้ากิเลสเจ้าตัวยังหนาแน่นอยู่ ความตกลงใจจะตัดสินเอาเองก็เข้าข้างกิเลสอีกไม่รู้ตัวด้วย
157#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แว่นส่องทางส่องใจ

ผู้ที่จะใคร่ครวญตัดสินใจ ตัดสินธรรม ส่วนตัวเองได้ ไม่ค่อยจะพลาดมาก ก็คือท่านผู้มีกิเลสขาดจากสันดานไปโดยเอกเทศ ในเบื้องต้นของพรหมจรรย์ในทางพระพุทธศาสนา มีพระโสดาบันเป็นเกณฑ์ขึ้นไป ต่ำกว่านั้นลงมาย่อมสุ่มสี่สุ่มห้า และก็มักจะตีตนสูงเกินภูมิจิต เกินภูมิธรรมของตน เท่าที่มีอยู่ ทรงอยู่

ในปัจจุบันทันตามักจะเป็นจิต (ของ) กาธรรมดา ที่ไปเก็บเอาขนหางและขนหงอนของนกยูงที่ร่วงหล่นอยู่ตามป่า มาแทรกแซงขนของตัว เพื่อให้วิเศษกว่ากาทั้งหลาย ย่อมเป็นของเทียม ของแท้ยังไม่ได้ เป็นเพียงของปลอมอยู่โดยตรง ๆ นั้นเอง

แม้สมัยโลกปัจจุบันเขาทำดาวเทียมได้ แต่เขาก็บอกล่วงหน้าอยู่แล้วว่า ดาวเทียม มิใช่ดาวจริง เขาเอาโขนสวมหัวเขาพอดีพองาม พอเหมาะกับหัวเขาอยู่แล้ว และก็ จะเป็นดาวเทียม ดาวจริงก็ตาม มันมิใช่กิเลสดอก ผู้ไม่รู้เท่าดาวเทียมดาวจริงแล้วติดอยู่ในคำว่าดาว ๆ นั้นจึงเป็นกิเลสเพราะติดสมมุติอันนอก ๆ

มันนอกออกจากใจแท้ ออกมาจากสังขารธรรมแท้ฝ่ายวัตถุ ที่จิตปรุงแต่งขึ้น เพื่อเป็นเครื่องสังเวยบูชาพระอนิจจัง สรรพไตรโลกธาตุเป็นเมืองขึ้นของธรรมอนิจจัง ธรรมฝ่ายสังขารก็หมายอันเดียวกัน เมื่อสังขารเต็ม ยัดเยียด เบียดเสียด อยู่ในสรรพไตรโลกธาตุ ก็เป็นหน้าที่จะได้อาศัยปุญญาภิสังขารเป็นปัจจัย อาศัยปฏิบัติเพื่อเป็นเสบียงเดินทาง

คือคำว่าบุญ ๆ ในเบื้องต้นของพรหมจรรย์แห่งพุทธศาสนา อันเป็นโลกุตรบุญที่มีขอบเขตกฎเกณฑ์ มีโสดาบันบุญเป็นต้นไป บุญต่ำกว่านั้นลงมาเป็นโลกิยบุญ เป็นบุญที่ไม่แน่นอน เพราะมีหลายบางที บางทีก็ก้าวหน้า บางทีก็ทรงตัว บางทีก็ต่ำลง

ไม่เหมือน ภูมิบุญ ภูมิใจ ของพระโสดาบัน ภูมิจิต ภูมิใจ ภูมิบุญ ภูมิธรรม ของพระโสดาบัน เป็นมหาภูมิที่ก้าวหน้าโดยถ่ายเดียว ไม่มีคติภูมิจะตกต่ำเลย ข้ามปุถุชนคนหนาไปแล้ว ปิดอบายภูมิทั้ง ๔ มีนรกเปรตทุก ๆ จำพวก พร้อมทั้งสัตว์เดรัจฉานทุก ๆ จำพวกแล้ว สุปฏิปันโน ปฏิบัติดี เว้นส่วนหยาบ ๆ เหล่านี้ไปโดยสวัสดิภาพแล้ว ไม่เสียหาย ไม่อาลัยว่าจะล่วงละเมิด เป็นผู้มีแว่นส่องทางส่องใจแบบไม่มัว มองเห็นความสุขอันแท้จริงได้ อันตั้งอยู่ข้างหน้าเป็นระยะ ๆ จึงมีเงื่อนไขไม่เสียดาย ไม่อาลัยว่าจะถอยหลัง
158#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โสวนโสเวียนในโลกสงสาร

บางท่านศีล ๕ ยังไม่บริบูรณ์เลย การเลี้ยงชีวิตก็ยังสุ่มสี่สุ่มห้า ยังขายรูปขายเหรียญถือวันจมวันฟู ตลอดถึงอบายมุขทุก ๆ ประเภทไม่ละเว้น

การค้าขายก็ค้าขายเครื่องประหัตประหาร ค้าขายสัตว์เป็น และเนื้อสัตว์ที่ตัวฆ่าเพื่อเป็นอาหาร ค้าขายน้ำเมา ค้าขายยาพิษบ้าง

และยังถือมงคลตื่นข่าวนานาอเนก เช่น ตื่นข่าวว่าเลขจะออกตัวนั้นตัวนี้ วิชาไสยศาสตร์ต่าง ๆ

คบปาปมิตร คบมิตรปฏิรูป คนเทียมมิตรมิใช่มิตรแท้ คบมิตรชักชวนในทางฉิบหาย คบมิตรชักชวนดื่มน้ำเมา ชักชวนเที่ยวกลางคืน ชักชวนเที่ยวดูการเล่นและให้มัวเมาในการเล่น ชักชวนเล่นการพนัน

ไม่ถึงพร้อมด้วยศรัทธาในพุทธ ธรรม สงฆ์พอ ไม่เชื่อผลศีลผลทานพอ พร้อมทั้งสติปัญญาก็ยังอ่อนอยู่มาก บางคราวบวงสรวงผีสางเทวดา มีใจอาฆาตพยาบาทผูกเวร ด่าแช่งสัตว์ให้ถึงความพินาศ นึกในใจ หรือจนออกปาก ขี้หึงหรือริษยาทั้งหลายเหล่านี้เป็นต้น

แต่...แต่...แต่...สำคัญตนว่าเป็นพระโสดาบัน

ความสำคัญอันนั้นก็เป็นโมฆะโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย พระโสดาบันแบบนี้ควรให้คะแนนว่า พระโสเดา โสดัน โสเมา โสมัว โสขุ่นจนเป็นตม โสวนโสเวียนในโลกสงสาร ไม่มีคิวเลย

ผู้เขียนเองปล่อยความฟุ้งซ่านออกไปถวายต่อพระอนิจจัง ผู้ท่านนั่งบัลลังก์เฝ้าสรรพไตรโลกาอันเป็นนายหน้าของกองพลไตรลักษณ์ ถ้ารู้ประจักษ์แจ้งอยู่บ้างแล้วคงไม่คลาดแคล้วในธรรม
159#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความดีมิใช่มาจาก ดิน ฟ้า อากาศ

การขีด ๆ เขียน ๆ เป็นเอกสารและตำรา ดีหรือชั่วขึ้นอยู่กับท่านผู้เลือกเฟ้นพิจารณาเอง กฎของการข่มเหงให้ยอมเชื่อไม่มีในทางธรรมของพระพุทธศาสนา แม้จะยอมเชื่อด้วยการแก้รำคาญก็ไม่นานย่อมขบถคืน จิตใจก็ไม่ชื่นเหมือนศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาอันเป็นเอง

มนุษย์จะเป็นผู้บริสุทธิ์เป็นชั้น ๆ ของจิตใจได้ก็ด้วยใจอันเห็นชอบ ปฏิบัติชอบ ประกอบกรรมอันดีเป็นลำดับ สูงส่งขึ้นไป ความดีและไม่ดี ไม่มาจากดินฟ้าอากาศภายนอกที่ชาวโลกแสวง ถ้าหากว่า มาจากดินฟ้าอากาศภายนอกแล้ว ปีไหนฟ้าฝนแล้งหรือท่วม พระอริยเจ้าก็ต้องลดตำแหน่งมาเป็นปุถุชนคนหนาก่อน ปีไหนฟ้าดีฝนดี จึงสวมมงกุฎเป็นพระอริยเจ้า

เมื่อไม่เล่าไม่ว่ากลอนกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขารก็พาไป พาเขียน วน ๆ เวียน ๆ กันอยู่อย่างนี้ ท่านผู้ที่ทรงพระสติปัญญาย่อมสนุกดื่มอุเบกขา แต่ถ้าติดอยู่แต่อุเบกขาในขั้นต่ำหรือชั้นวิปัสสนาแล้ว ก็จะกลายเป็นอุเบกขวาง เพราะจะขวางทางอุเบกขาของอรหันต์ ย่อมเป็นหน้าที่ของท่านผู้ต้องการเรียนจบ ปฏิบัติจบ พ้นจบจะโอปนยิโก-ยิกะทั้งนั้น

ปรารภเรื่องใหม่ต่อไป แต่ก็เป็นเรื่องเก่า เพราะจิตสังขารอันเก่า ธรรมก็อันเก่า มิได้อันใหม่มาจากไหน ๆ เอส ธัมโม สนันตโน พระธรรมเป็นของเก่า คำว่าของเก่า มีทั้งดีทั้งชั่วปะปนกันอยู่ ต้องขึ้นอยู่กับท่านผู้เลือกเฟ้นเอา แต่บางท่านว่าจะเลือกเอาทองดีไปถูกทองเก๊ก็มี เลือกเอาผักดี แต่ไปถูกผักมีตัวบุ้งก็มี เลือกเอาของดีไปถูกของดีก็มีมากมาย และคำว่าอรหันต์ก็เป็นศัพท์เก่า คำว่าปุถุชนก็เป็นศัพท์เก่า มืดกับสว่างก็เป็นของเก่า ผู้ดื่มสุราก็มีมาแต่เก่าแก่ผู้เว้นจากสุราก็มีมาแต่เก่าแก่ ก็หายโต้แย้งในที่ว่าของเก่าแล้วละ

เมื่อหายโต้แย้งในเรื่องของเก่าแล้ว ก็หายโต้แย้งในเรื่องของใหม่ การยืนยันว่าเป็นของเก่า เป็นฝ่ายธรรมปรมัตถ์ การยืนยันว่ามีทั้งเก่าทั้งใหม่ เป็นฝ่ายสมมุติ เพราะสมมุติมีการหมายความตื้นกว่าปรมัตถ์ (คล้ายกับน้ำลึกตื้นและใสสะอาด และจืดและเย็นดีต่างกันไป) ถ้าหากจะโต้แย้งได้ แต่ไม่มีประโยชน์ แย้งว่าถ้าไม่มีของเก่า ของใหม่แล้ว ทำไมจึงไม่ไปกินอาหารที่บูดราเสียเล่า ทำไมจึงไม่ไปเอาผ้าขี้ริ้วมาปะกันนุ่งห่มเล่า เอาผ้าใหม่มาใช้ทำไม และผู้กล่าวว่าเป็นของเก่านั้น เป็นธรรมอันลุ่มลึกมาก ไม่ใช่ว่าผู้ยืนยันว่าของเก่านั้นเขาจะไม่รู้ของใหม่ตามสมมุติเลย พูดเพื่อให้ชวนสำเหนียกด้านปัญญาเป็นอุบายเพื่อมิให้หลงของใหม่และของเก่าอยู่ในตัว

ธรรมดาคนมีกิเลสมาก ชอบจะตั้งอยู่ในของที่สมมุติว่าใหม่ ๆ ล้าน ๆ เปอร์เซ็นต์ เมื่อหลงและติดของใหม่ ก็หลงและติดของเก่าอยู่ในตัว เมื่อหลงสมมุติ ก็ต้องหลงวิมุตติ เมื่อหลงได้ก็ต้องหลงเสีย เมื่อหลงหนังก็ต้องหลงกระดูก เมื่อไม่หลงหนัง ก็ไม่หลงกระดูกเลย ไม่ต้องกล่าวไปไยในตอนนี้ก็ได้ เรื่องหลง ๆ ใหล ๆ หลำ ๆ นี้ย่อมไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายอวิชชา ถ้าหากข้ามทะเลหลงด้วยพระสติพระปัญญาอันถ่องแท้โดยสิ้นเชิงได้แล้ว ชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็ข้ามโลกได้ จะเอาเครื่องยนต์กลไก หรือเหาะไป บินไป ภายนอกเร็วเท่าใด สิ้นเวลาล้าน ๆ ปีก็ข้ามโลกไม่ได้เลย
160#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 19:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้หลงผู้รู้

มีคำถามว่า การข้ามหลงจะข้ามด้วยวิธีไหนได้หนอ

ตอบย่อ ๆ พอฟังได้ง่าย ๆว่า

ข้ามผู้รู้รู้ได้โดยมิได้ยึดถือว่า ผู้รู้เป็นเรา เขา สัตว์ บุคคล ตัวตนในขณะจิตใด ๆ เลย แล้วได้เรียกว่าเราข้ามความหลงได้โดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง

ถามต่อไปว่า ผู้รู้รู้ กับสังขารต่างกันอย่างไร

ผู้รู้รู้ ก็คือสังขาร อันละเอียด อันประณีตนั้นเอง เพราะเกิดอย่างละเอียด ดับอย่างละเอียดมาก เกิดขึ้นแปรดับพร้อมกันในขณะเดียวกัน ไม่มีอันใดก่อน ไม่มีอันใดหลังเลย ติดต่อกันเป็นพืด (ถ้า)สติปัญญาไม่แนบสนิทอยู่กับผู้รู้รู้แล้ว ก็ยากจะรู้ได้โดยถ่องแท้ว่าเกิดดับเป็น เมื่อผู้รู้รู้เกิดดับเป็นอย่างว่องไวละเอียดลออแล้ว จะไปเป็นทิฏฐิบัญญัติว่าผู้รู้เป็นพระนิพพานนั้น ก็ย่อมเป็นงูกินหางตนอยู่นั้นเอง ย่อมเป็นไปไม่ได้ พระนิพพานมิได้มาเป็นลูกน้องของผู้รู้ มิได้มาสังสรรค์กับผู้รู้อีกด้วย และมิได้มาบัญญัติว่าสูญหรือไม่สูญ เอาโขนสวมหัวใส่ตนอันใดเลย เป็นเรื่องของผู้รู้ไม่รู้เท่าเงาของตัวต่างหาก จึงกล่าวเป็นภพเป็นชาติอย่างละเอียดไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ธรรมที่ถูกถามตอบกัน เป็นธรรมหมู่ ธรรมคู่ ที่สังสรรค์ต่างหาก มีรสชาติอันอิงผู้รู้อยู่เป็นเครื่องหมาย มิฉะนั้นก็ไม่มีเงื่อนไขจะอธิบายโต้ตอบและถามได้ ต้องอาศัยขันธวิบากและผู้รู้ตอบถามกันเป็นธรรมาสน์ พระนิพพานแท้มิได้มาตอบถามกับท่านผู้ใด ยกอุทาหรณ์หยาบ ๆ ดินฟ้าอากาศมิได้มาตอบถามกับผู้รู้และไม่รู้ฉันใด พระนิพพานก็ฉันนั้น พระนิพพาน มิได้มากล่าวชีวประวัติตนเองและผู้อื่นให้เป็นคัมภีร์อะไรเลย ผู้รู้เมื่อรู้ถูก ปฏิบัติถูก ก็เป็นเพียงทางเดินเข้าไปสู่พระนิพพานเท่านั้น มิได้เป็นเนื้อธรรมนิพพานแท้

ถ้าหากว่าตายคาผู้รู้รู้ มีอุปาทานอยู่ในผู้รู้และจิตใจอันเด่นดวง ก็ไปเกิดในพรหมโลกที่ไม่มีรูป ยังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะได้แท้ นักปฏิบัติในพระพุทธศาสนาผู้หวังพ้นทุกข์ในสงสารโดยด่วนแน่แท้ มักจะคาอยู่ที่นี้เป็นส่วนมากนัก แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าไม่มีท่านผู้พ้นไปจากนี้ได้ เป็นเพียงมีมากน้อยกว่ากันเท่านั้น เขาโคกับขนโคแม้อรหันตาขีณาสวา เข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว มากกว่าเม็ดหินเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร ๔ หรือ ๕ มหาสมุทร หรือมากกว่านั้นก็จริง บรรดาที่ยังเหลืออยู่นั้น จะกี่อสงไขยมหาสมุทรเล่า เพราะเขาโคกับขนโคดังปรารภมาแล้วนั้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้