24. พระอ.จวน กุลเชฏฺโฐ - วัดเจติยาคีริวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล หนองคาย พระอริยเจ้าผู้มีกายและจิตสมควรแก่วิมุตติธรรม - ท่านมีนิสัยโน้มน้อมมาทางพระธรรมตั้งแต่เยาว์วัย, เมื่อได้ฟังธรรมจากพระกรรมฐาน จิตสงบรวมเป็นหนึ่ง สามารถแยกกายและจิตได้ ท่านจึงได้สละทรัพย์และบ้านเรือนอกบวช ท่านมีความเพียรพยายามเป็นเลิศ, มีสติในการแก้ไขกิเลสเฉียบพลัน, อุบายธรรมและปฏิปทาเป็นปัจเจก แปลกจากครูบาอาจารย์รูปอื่น -2493 ท่านจำพรรษาที่ถ้ำพวง อ.ส่องดาว สกลนคร ได้เกิดจิตปฏิพัทธ์หญิงสาวคนหนึ่ง จึงคิดหาอุบายแก้ไข โดยยกภาษิต "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังเอากระดูกมาแขวนคอ" ท่านจึงดัดนิสัยตนเองที่ไปหลงรักผู้หญิงเข้า โดยเอากระดูกช้างมาแขวนคอห้อยต่องแต่ง ท่านตั้งใจมั่นว่า "ตราบใดที่ใจยังตัดใจอาลัยรักในสตรีไม่ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน ออกบิณฑบาตร ฉันข้าว ก็จะเอากระดูกช้างแขวนคอไว้ตราบนั้น" ไม่ว่าท่านจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือรับกิจนิมนต์ไปในหมู่บ้านก็ตาม ท่านเอากระดูกช้างแขวนคอไว้ตลอด จนชาวบ้านเล่าลือกันว่า "ท่านเป็นบ้า" - เมื่อท่านทำปฏิบัติอย่างนี้ เกิดความละอายใจ เห็นโทษภัยในความลุ่มหลง จิตก็คลายกำหนัดรักใคร่ในหญิงนั้น เมื่อหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้ถามถึงเหตุที่ท่านทำเช่นนั้น ท่านได้กราบเรียนดังที่กล่าว หลวงปู่ขาวชมว่า "อุบายนี้ดีนักแล" ท่านชอบท่องเที่ยวแสวงหาครูบาอาจารย์ที่อยู่ตามป่าเขาลึกๆ เช่น เข้าไปศึกษากับพระอ.หล้า ขนฺติโก พระอริยเจ้าผู้อยู่แต่เพียงโดดเดี่ยวบนสันเทือนเขาภูพาน ท่านมีสหธรรมิกคือ พระอ.สิงห์ทอง ธมฺมวโร ได้รับอบรมจากพระอ.มั่นและหลวงปู่ขาว พระอ.มั่นยกย่องท่านว่า "กาเยนะ วาจายะ วะเจตวิทธิยา ท่านจวน! เป็นผู้มีกายและจิตสมควรแก่ข้อปฏิบัติธรรม เป็นผู้สามารถรวมจิตทีเดียวถึงฐีติจิต" - เกิดวันเสาร์ 10 กค.2463 - แรม 10 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก บ้านเหล่ามันแกว ต.ดงมะยาง อำนาจเจริญ - อายุ 14-15 ปี ได้พบพระธุดงค์มาปักกลดใกล้บ้าน ก็บังเกิดความเลื่อมใส ตั้งปณิธานว่าต่อไปจะบวชอย่างท่านบ้าง พระธุดงค์ได้มอบหนังสือ "ไตรสรณคมน์" ของพระอ.สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ไว้ให้ ท่านได้อ่านจึงปฏิบัติตาม เริ่มสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ บริกรรมภาวนาจิตรวมเป็นหนึ่ง จิตอยู่เฉพาะจิต กายอยู่เฉพาะกาย เวทนาใดก็ไม่มีปรากฎเลย - หลังจบป.6 อายุย่าง 18 ท่านได้เข้าทำราชการกรมทางหลวงแผ่นดินอยู่ 4 ปี ภายหลังได้รับหนังสือ "จตุราลักษณ์" ของพระอ.เสาร์ กนฺตสีโล เมื่อท่านอ่านถึงบทมรณานุสติ จิตก็สลดสังเวชว่า "เราก็ต้องตาย" - อายุ 20 ปี ท่านสละเงินที่เก็บหอมรอมริบทั้งหมด เป็นเจ้าภาพสร้างมหากฐินคนเดียว, สร้างพระประธาน, สร้างห้องน้ำถวายสงฆ์จนเงินหมด - อายุ 21ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุมหานิกาย สอบได้นักธรรมตรีพรรษานั้น และต่อมาลาสิกขา หลังสึกเป็นฆราวาส ท่านเดินทางไปแสวงหาอาจารย์กรรมฐานธรรมยุต และได้อุปสมบทเป็นพระธรรมยุต 24 มีค.2486 - อุปสมบทแล้ว ท่านได้ท่องปาฏิโมกข์และ 7 ตำนานจบภายใน 1 เดือน - 2488 พรรษาที่ 3 ท่านอธิษฐานทำความเพียรจะไม่นอนและไม่ฉันตลอดพรรษา ท่านอธิษฐานว่า "ถ้ายังมีบุญวาสนาอยู่พรหมจรรย์แล้ว ขอให้ได้นิมิตเห็นพระอ.มั่น ภูริทตฺโต" หลังจากนั้น 3 วัน ท่านได้นิมิตว่า ได้เดินทางไปสำนักพระอ.มั่น เห็นท่านกวานลานวัดอยู่ พอเห็นก็รู้ว่านี่คือท่านพระอ.มั่น ท่านเหลือบมาเห็นเข้าก็ทักพระอ.จวนอย่างดีใจว่า "อ้อ ท่านจวนมาแล้ว ท่านจวนมาแล้ว" มีความรู้สึกคล้ายพ่อเห็นลูก ลูกเห็นพ่อ พอท่านตรงเข้าไปจะกราบนมัสการ พระอ.มั่นก็โก่งหลัง บอกให้ท่านขึ้นขี่หลังเหมือนขี่ม้า แล้วท่านจึงพาเหาะขึ้นบนอากาศจนลิบเมฆ แล้วมาลงที่กลางภูเขาลูกหนึ่ง แล้วบอกว่า "เอาละ ลงนี่แหละ พอดีพอควรแล้ว" ท่านพิจารณาเกิดปีติยินดีว่า คงจะมีวาสนาบารมีอยู่ในเพศพรหมจรรย์ จึงเร่งทำความเพียรต่อไป - 2489 พรรษาที่ 4 ท่านได้ติดตาม พระอริยคุณาธาร (มหาเส็ง ปุสฺโส) ไปอยู่กับพระอ.มั่น วัดป่าบ้านหนองผือ สกล - ขณะที่ท่านอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือใหม่ๆ ใจก็อดคิดตามประสาปุถุชนไม่ได้ว่า "เขาเล่าลือกันว่า ท่านพระอาจารย์ใหญ่เป็นพระอรหันต์ เราก็ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ ถ้าเป็นอรหันต์จริง คืนนี้ก็ให้มีปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฎด้วย" - คืนวันนั้น พอท่านภาวนา ก็ปรากฎนิมิตเห็นท่านพระอ.มั่นเดินจงกรมอยู่บนอากาศ และเหาะขึ้นลงตลอดเวลา และเวลานอนหลับก็ยังฝันเห็นนท่านเดินอยู่บนอากาศเช่นเดียวกัน - ท่านจึงยกมือไหว้ และกล่าวขอขมาว่าเชื่อแล้ว - หลังจากนั้น ท่านก็เกิดคิดขึ้นมาอีกว่า "เอ เขาว่าท่านอาจารย์ใหญ่รู้วาระจิตของลูกศิษย์ทุกคน จริงไหมหนอ เราน่าจะทดลองดู ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่รู้วาระจิตของเรา ขอให้ท่านอาจารย์ใหญ่มาหาเรา ที่กุฏิคืนวันนี้เถอะ" - พอท่านคิดได้ประเดี๋ยวเดียว ก็ได้ยินเสียงไม้เท้าเคาะใกล้เข้ามา และกระแทกเปรี้ยงเข้าที่ฝากุฏิของท่าน พร้อมกับเสียงพระอ.มั่นเอ็ดลั่นว่า "ท่านจวน ทำไมจึงไปคิดอย่างนั้น นั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ รำคาญเรานี่" - พรรษาที่ 5-6 ปี2490-2491 จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ คืนหนึ่ง ขณะนั่งภาวนาในโบสถ์มีนิมิตว่า มีพระเถระรูปหนึ่งได้มาให้โอวาทตักเตือนว่า "ท่านจวน ท่านอย่าวางแผ่นดิน เพราะความประพฤติของท่านยังไม่สม่ำเสมอ" - ท่านได้มาพิจารณาดู - แผ่นดินแปลว่า ให้มีความหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน - เมื่อถูกกระทบกระเทือนจากอารมณ์ ก็อย่าวอกแวกตั้งใจให้เป็นสมาธิ ไม่หวั่นไหวฟุ้งซ่าน - ท่านจึงได้เขียนจดหมายกราบเรียนถามพระอ.มั่นถึงนิมิตนี้ - พระอ.มั่นได้ตอบจดหมายว่า "ถึงท่านจวนที่อาลัยยิ่ง ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้แนะนำให้ท่านนั้น ขอให้ท่านจงตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติดำเนินไปตามคำที่ผมแนะนำ อย่าได้ประมาท เพื่อจะได้เป็นเกียรติยศแก่พระพุทธศาสนาต่อไป" - หลังจากนั้นท่านออกวิเวกอยู่บนดอยกับชาวเขาทางเหนือติดพม่า เข้าเชียงตุง พม่า แล้วกลับอีสาน- เมื่อกราบนมัสการพระอ.มั่นที่วัดบ้านหนองผือ พระอ.มั่นได้ถามว่าการภาวนาเป็นอย่างไรบ้าง ท่านกราบเรียนว่า "ไม่ดีเหมือนอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์" พระอ.มั่นจึงบอกว่า "ต่อไปนี้ให้ภาวนาอยู่ทางภาคอีสานนี้แหละ อย่าไปที่อื่นอีกเลย" - จากนั้นท่านธุดงค์อยู่ป่าเขาถ้ำอีสานมาตลอด - พรรษา 27-38 พ.ศ.2512-2523 ท่านสร้างวัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล หนองคาย ให้เป็นศาสนสถานที่สำคัญสำหรับผู้มุ่งปฏิบัติธรรม เมื่อใครไปแล้วต่างเกิดซาบซึ้งศรัทธาถ้วนหน้า - อนุปาทิเสสนิพพานวันอาทิตย์ที่ 27 เมย.2523 - ด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก ณ ท้องนาทุ่งรังสิต อ.คลองหลวง ปทุมธานี พร้อมกับพระอ.บุญมา ฐิตเปโม, พระอ.วัน อุตฺตโม, พระอ.สิงห์ทอง ธมฺมวโร, พระอ.สุพัฒน์ สุขกาโม 59 ปี 38 พรรษา
|