ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8953
ตอบกลับ: 44
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เจ้าอธิการอุดร เหมวณฺโณ (โทน)

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Metha เมื่อ 2015-3-20 06:22



เจ้าอธิการอุดร  เหมวณฺโณ  (โทน) ๑๐ มกราคม ๒๕๔๑  
เจริญพร  ท่านขจิต   มหานีลานนท์
การที่ท่านขอร้องให้อาตมาภาพ เขียนประวัติตัวเอง   บอกตรงๆว่าหนักใจมิใช้น้อย แต่เมื่อท่านกล้าขอ ก็จำต้องกล้าให้  และกล้ารับรองว่าเขียนได้ แต่ไม่กล้ารับรองว่าเขียนดี เรียนเชิญท่านอ่านและพิจารณาเอาเอง     เจริญพร
อาตมาภาพเกิดเมื่อ วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ.2503   ที่บ้านวังโพรงเข้   ตำบลเกาะแก้ว อำเภอโคกสำโรง จังหวัลพบุรี
          อุปสมบท เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2523   ที่พัทธสีมาวัดวังหัวแหวน    ตำบลเกาะแก้ว อำเภอโคกสำโรงจังหวัดลพบุรี เจ้าอธิการหอม เขมิโย วัดหนองชนะชัย เป็นพระอุปัฌชาย์ พระหนูอาน ติสสะเทโว วัดหนองชนะชัยเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสวาท  สาทโร วัดวังหัวแหวนเป็นพระอนุสาวนาจารย์
          การศึกษาด้านคันถธุระ        พ.ศ.2525จบนักธรรมชั้นเอก           
          การศึกษาด้านวิปัสสนาธุระ   
        ปี 2524 ออกธุดงควัตรเจริญรอยตามพระอุปัฌชาย์ (หลวงปู่หอม)และศึกษาวิปัสสนา                        ธุระกับหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล
         ปี 2526 ศึกษาวิปัสสนาธุระกับพระสุพรมญาณเถระ วัดพระพุทธบาทตากผ้า
         ปี 2526 ศึกษาวิปัสสนาธุระกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี  วัดถ้ำขาม
         ปี 2528 ศึกษาวิปัสสนาธุระกับหวลงปู่ชา สุภัทโธ วัดหนองป่าพงษ์
         ปี 2531 ศึกษาวิปัสสนาธุระกับหลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง
         ปี 2535 ศึกษาวิปัสสนาเชิงปรัชญากับท่านพุทธทาสภิกขุ วัดสวนโมกข์
ธุดงควัตรนาน 16 ปีจาริกสัญจรไปทั่วทุกภาคของประเทศไทยและจาริกไปยังต่างประเทศมีลาว เขมร พม่า จีน  อินเดีย เนปาล หยุดสร้างวัดเมื่อปี 2541 ตามคำขอร้องของญาติโยม

ที่มา http://www.webwat.in.th/wangpongke/data-14502/

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-20 06:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตำแหน่งทางการปกครอง
        เป็นเจ้าอาวาสวัดวังโพรงเข้ เมื่อปี 2528     (เป็นเจ้าคณะตำบลเกาะแก้วสืบต่อจาก        หลวงปู่หอมปี 2546)
สมณศักดิ์     เพื่อนสหธัมมิกะ ยัดเยียดพระครูฐานาให้ เมื่อ 2546  ที่พระครูวินัยธร
อุปนิสัย    ชอบอยู่ในที่สงบ ท่องไปในโลกกว้างคนเดียว ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ                   เสร็จภาระกิจสร้างวัดให้สมบูรณ์ตามที่ญาติโยมขอร้องแล้ว   ยังปรารถนาที่จะ                ท่องไปในโลกกว้างเหมือนเช่นที่ผ่านมา
คติธรรมประจำใจ  ช่างกะลาหัวมัน ใครจักใคร่ดี ดีไป ใครจักใคร่เลว เลวไป  อุปนิสัยจริงๆชอบความเป็นปัจเจก แต่เมื่ออยู่ในสังคมเขตคามวาสี ก็จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้  ทำเป็นทุกอย่างที่พระ คามวาสีเขาทำ เช่น แสดงธรรม บรรยายธรรม ปาฐกถา ดูหมอ ต่อชะตา เจิมรถ รดน้ำมนต์ ทำเครื่องรางสร้างวัตถุ ฯลฯ
โอวาทประทับใจ
พระศาสดา              ผู้ใดมีสติสำรวมระวังจิตอยู่เสมอ ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงแห่งมาร
พระอุปัฌชาย์           ทำอะไรให้ก้าวไปข้างหน้า ล้าให้หยุดอยู่กับที่ ถ้าถอยหลับเมื่อไหรjทำครั้งใหม่ก็ถอยอีก ไม่มีวันสำเร็จ
หลวงปู่ขาว อนาลโย   มองให้เห็นตัวเจ้าของก่อน (ตัวเอง) ค่อยไปมองให้เห็นตัวคนอื่น
ครูบาพรมจักร           ทำจริง เห็นของจริง รู้ของจริง ได้ของจริง พบความจริง                               ทำเล่น เห็นของเล่น รู้ของเล่น ได้พบของลวง เป็นคนลวง
หลวงปู่เทสก์  เทสรังสี  ไม่มีคำว่าเปล่าประโยชน์  สำรับผู้ที่ทำจริง  ทำถูกต้อง   โทษภัยทั้งหลายทำอันตราย ผู้ที่ทำจริงทำถูกต้องไม่ได้ ถ้าโทษภัยยังทำอันตรายได้อยู่ แสดงว่าทำจริง  แต่ทำไม่ถูก  ความถูกต้องอยู่ที่ไม่มีโทษ ไม่ใช้อยู่ที่คิดเอา  เข้าข้างตัวเอง
หลวงปู่ชา สุภัทโธ      กายอยู่ที่ใหนใจต้องอยู่ที่นั้น อย่าเอาใจไปไว้กับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสอารมย์ หรือวัตถุสิ่งของ ใจกับกายอยู่ด้วยกันตลอดเวลานาทีเมื่อไหร่ พ้นทุกข์เมื่อนั้น
หลวงพ่อฤษีลิงดำ      คนคือสัตว์ประเสริฐ พระคือผู้ประเสริฐสุด จงทำตัวให้ประเสริฐสมกับที่เกิดมาเป็นคนเป็นพระ
ท่านพุทธทาสภิกขุ     จงยึดในสิ่งที่ควรยึด จงวางในสิ่งที่ควรวาง เกิดเป็นคนมีการศึกษา คงไม่โง่ขนาดไม่รู้ว่าอะไรควรยึด อะไรควรวาง ปล่อยวางธุระภาระ แต่อย่าปล่อยประ ภาระธุระ        (ทำไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่อย่ายึดมั่นถือมั่น คนไม่มีภารธุระไม่มีในโลก แม้พระอรหันต์ท่านก็มีภาระธุระแต่ท่านไม่ยึดติด )

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-20 06:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ประวัติการเดินธุดงค์พระอาจารย์โทน   
หลังจากที่อาตมาธุดงค์จาริกจากวัดพระพุทธบาทตากผ้า มุ่งหน้าสู่ถ้ำขามเพื่อกราบนมัสการ  หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และได้อยู่ศึกษาวิปัสสนาธุระกับหลวงปู่เทส เป็นเวลาเดือนเศษ ก็กราบลาหลวงปู่เทสก์   ออกธุดงค์จาริกต่อ  ก่อนไปหลวงเทสให้สมุดเล็กๆเล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นรูปดาราพิสมัย วิไลศักดิ์  ยื่นให้แล้วท่านก็พูดว่า   ใบผ่านแดน  รับสมุดจากหลวงปู่แบบงงๆ แล้วก็ออกเดินธุดงค์จาริกมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ   เดินไปเรื่อยๆไม่มีจุดหมายปลาย ทางใดๆทั้งสิ้น  ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั้น  จึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่นอน ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเวลา      เดินอยู่เกือบสองเดือนก็เจอด่าน  จากการแต่งตัวของนายด่าน ก็ทำให้รู้ว่าเป็นด่านเขตแดนของประเทศจีน  ส่งภาษาใบ้กับนายด่านครู่หนึ่งก็รู้ว่าเขาไม่ให้เข้า  จึงต้องเดินย้อน กลับหลัง  ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่าหลวงปู่เทสก์   ให้สมุดมาเล่มหนึ่งซึ่งท่านบอกว่า เป็นใบผ่านแดน  แสดงว่าสมุดเล่มนี้ต้องไม่ธรรมดา  จึงเดินย้อนกลับมายื่นสมุดให้นายด่าน เขารับไปเปิด ดูทำหน้างงๆ   แล้วส่งให้เพื่อนดูต่อสองสามคน      เขามองหน้ากันแล้วก็ส่งภาษาใบ้ให้อาตมา   เข้าไปในดินแดน ประเทศ จีนได้  จึงได้มีโอกาสธุดงค์จาริกในแผ่นดินใหญ่   ด้วยอำนาจจิตญาณของหลวงปู่เทสก์     กว่าสิบวันบนแผ่นดินจีน ธุดงค์ผ่านไปหลายหมู่บ้าน จนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นมีธงชาติไทยติดอยู่ที่หน้าบ้าน    รู้สึกแปลกใจมาก เมื่อมีคนเดินส่วนทางมาจึงถามว่า  โยมฟังภาษาไทยรู้เรื่องไหม     แทนที่เขาจะตอบเขากลับหันไปตะโกนบอกคนอื่นๆ   ยิ๊ว ตุ๊เจ๊าไตยลังๆๆ  (เฮ้ย ตุ๊เจ้าไทยล่าง)   ฟังดูก็รู้ว่าเป็นสำเนียงไทยภาคเหนือ     จากการได้สนทนากับชาวบ้านแห่งนั้น  จึงได้รู้ว่าเป็นชนชาติไทยที่ตกค้างเมื่อกว่าพันปีที่ผ่านมา สนทนาอยู่กับชาวบ้านหลายชั่วโมง จึงขอตัวหาที่พักปักกรด  ชาวบ้านจึงพาไปที่ถ้ำอรหันอัลไต ที่ภูเขาอัลไตมลฑณยูนนานประเทศจีน     อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณสี่กิโลเมตร ภายในถ้ำสะอาดกว้างขวาง  มีพระพุทธรูปศิลปะจีนกว่าสิบองค์     เมื่อชาวบ้านกลับ ไปแล้วก็จัดการกับสถานที่อยู่พักหนึ่งจึงเข้าที่เจริญภาวนาบำเพ็ญเพียรทางจิต      เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางเอาไว้  เวลาผ่านไปพักใหญ่ก็รู้สึกว่ามีแสงสว่างวาบขึ้นภายในถ้ำผ่านม่านตาเข้ามา ไม่มีเสียง มีแต่แสง    รู้สึกประหลาดใจจึงลืมตาขึ้นดู  เห็นแสงมาจากขวดน้ำผึ้งที่ชาวบ้านถวายไว้เมื่อตอนเย็น เห็นมีก้อนสีดำๆ    ประมาณนิ้วหัวแม่มือ ดูมันวาววับเรืองแสงประกาย สี่ห้าก้อน อยู่ในขวดน้ำผึ้ง  มันตัวอะไร (..)   ด้วยความสงสัยจึงลุกขึ้นจะไปดูใกล้ๆ  แต่พอมองเห็นฝาขวดที่ยังปิดสนิทแน่นอยู่    ขนก็ลุกไปทั้งตัวจนก้าวขาไม่ออก  เข้าไปได้ยังไง (...) จ้องมองวัตถุประหลาดตาไม่กระ พริบ และเห็นน้ำผึ้งในขวดยุบลงๆจนหมดขวด  พอน้ำผึ่งหมดขวด เจ้าวัตถุประหลาดก็ลอยวาบหายเข้าไปในผนังถ้ำ พอตั้งสติได้ ก็จุดเทียนส่องดูที่ผนังถ้ำตรงวัตถุประหลาด ลอยหายเข้าไป   ก็ไม่เห็นมีรูมีโพงอะไรเลย    ขนลุกซู่อีกครั้ง  จนต้องเดินถือเทียนมานั่งข้างๆพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ด้วยความหวาดกลัว  นั่งคิดสับสนวนเวียนไปมาอยู่นานแค่ไหนประมาณไม่ถูก จนรู้สึกอ่อนล้า     ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะ หึๆ   ตกใจขยับตัวจนเบียดพระพุทธรูปอย่างลืมตัว   พลันหูก็แว่วได้ยินเสียงคนหัวเราะ หึๆ อีก      ที่นี้จำได้ว่าเป็นเสียงหัวเราะของหลวงปู่เทสก์  ขนที่ลุกพองด้วยความตกใจกลัว   ก็กลายเป็นขนพองด้วยความปิติอบอุ่นใจ   จึงยกมือประนมขึ้นเหนือหัวรำลึกถึงคุณหลวงปู่เทสก์  สุดลมหายใจเข้าออกจนเต็มปอด แล้วเอื้อมมือไปลูบคลำพระพุทธ รูป  ทันใดนั้นพลังแห่งพุทธานุภาพ  ก็แผ่ซาบซ่านส์เข้าสู่ดวงจิต    ก้มกราบองค์ปฏิมากรสามครั้ง  แล้วลุกขึ้นยืนอย่างทระนง  แล้วเดินกลับมาเข้าที่เจริญภาวนา พร้อมที่จะปะทะเผชิญหน้ากับทุกรูปทุกนามทุกพลังงาน ที่มีอยู่ในถ้ำแห่งนี้  นั่งภาวนาไปได้พักหนึ่ง    จิตก็หลับนิ่งสนิทแล้วนิมิตฝันไปว่า



4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-20 06:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่ออดีตกาลนานนับประมาณไม่ได้  มีนักพรตสี่ตน เป็นสหธรรม  ร่วมบำเพ็ญเพียรหลีกออกจากความวุ่น วายขวนขวายแสวงหาซึ่งสันติสุข  ขอเรียกนักพรตเหล่านี้ว่า ฤาษี ตามคำนิยม    ฤษีทั้งสี่ตนฝึกฝนอบรมจิตจน บรรลุรูปฌานสี่ มองเห็นสภาวะจิตเป็นสิ่งที่ดิ้นรนเร้าร้อนกระสับกระส่าย     เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ฤาษีทั้งสี่ตนเกิดความเบื่อหน่ายในสภาวะจิตอย่างแรงกล้า  จึงใช้กำลังแห่งองค์จตุตถฌาณ    ประหารเสียซึ่งจิตตะ สังขาร  ดับเจตสิกที่คอยปรุงแต่งจิตให้สิ้นไป  เวทนาทั้งหลายที่เป็นสายแห่งความสุข    และเวทนาที่เป็นกองแห่งความทุกข์  ทั้งเวทนาที่เป็นกลางคืออุเบกขาพลอยดับไปด้วย เพราะขาดการปรุงแต่งของจิตเจตสิก     แม้ดับจิตตะสังขารสิ้นแล้ว ฤษีทั้งสี่ตน   ยังกังวลวุ่นวายหน่ายในสัญญา  คือความจำได้หมายรู้      จึงกำจัดเสียซึ่ง จิตตะสัญญา  เป็นวิธีการดับทุกข์ที่ไม่ถูกทาง   เป็นความผิดพลาดที่ไม่ มีโอกาสแก้ตัวเลยก็ว่าได้    เพราะการดับจิตตะสังขาร ก็เหมือนรถยนต์ที่สตาร์ทเครื่องปลดเกียร์ว่างไว้ ไม่มีคนขับ การดับจิตตะสัญญาก็เหมือนรถยนต์ที่ดับเครื่อง รถยนต์ที่ไม่มีคนขับ แถมดับเครื่อง กลไกต่างๆของรถจึงหยุดการทำงาน     กลไกของชีวิต เมื่อจิตตะ สังขารและจิตตะสัญญาดับ การงานทางกาย  การงานทางใจ  จึงหยุดนิ่ง  เหมือนรถที่ไม่มีคนขับแถมดับเครื่องฉันนั้น      เมื่อการงานทางใจหยุดนิ่ง  การบำเพ็ญเพียรเพื่อยกระดับจิตให้สูงขึ้นจึงไม่มี  เมื่อการงานทางกายหยุดนิ่ง  การบริหารร่างกายด้วยอิริยาบถ ด้วยน้ำ ด้วยอาหารจึงไม่มี  ไม่นานกายสังขารของฤษีทั้งสี่ตน  ก็ดับสลายเพราะขาดปัจจัยไปหล่อเลี้ยง  จิตวิญญาณที่เหลืออยู่  จึงจุติสู่ภูมิใหม่ต่อไปในรูปภพ    และมีรูปกายผิดแผกแตกต่าง จากสัตว์เหล่าอื่นที่จุติในรูปภพเหมือนกันอย่างสิ้นเชิง
            เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นโลกวิทู  ผู้รู้แจ้งโลก อุบัติขึ้น  ทรงเห็นสัตว์เหล่านี้         มีเพียงรูปขันธ์และวิญญาณขันธ์เท่านั้น ไม่มีเวทนาขันธ์  สัญญาขันธ์  สังขารขันธ์ เหมือนสัตว์เหล่าอื่น      จึงทรงเรียกสัตว์เหล่านี้ว่า อสัญญีสัตว์  คือสัตว์ที่ไม่มีสัญญาความจำ   ต่อมาพระสาวกรุ่นหลัง ผู้ได้นามว่าพระอรรถกถาจารย์     ตามดูรู้เห็นสัตว์เหล่านี้มีรูปร่างคล้ายฟัก จึงเรียกสัตว์เหล่านี้ว่า พรหมลูกฟัก  (คนไทยที่พบเห็นสัตว์เหล่านี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งมี  ชีวิต  จึงรู้จักสัตว์เหล่านี้ในนามโลหะที่มีฤทธิ์มากชนิดหนึ่งเท่านั้น)  ฤทธิ์หรือกำลังฌานของอสัญญีสัตว์ อยู่เหนือสิ่งทำลายล้างทั้งหลายในรูปภพ  ไม่มีอาวุธ  ไม่มีเครื่องจักรกล  ไม่มีเคมี  ไม่มี ไวรัส ชนิดใดจะทำลายล้างรูปกายอสัญญีสัตว์ได้  อสัญญีสัตว์จึงมีชีวิตที่ยืนยาว นานกว่ากัลป์ นานกว่าอสงไขย (อสงไขยแปลว่านับไม่ได้)   จึงเป็นชีวิต อจิณไตยที่พุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ ว่าจะถึงที่สุดของชีวิตเมื่อได
            พอรุ่งอรุณวันใหม่  จึงคิดทบทวนความฝัน  และสำรวจหาร่องรอยฤษีทั้งสี่ตน    ก็มีเหตุ การณ์หนึ่งที่น่าจะมีร่องรอยให้เห็น คือที่ทิ้งเศษอาหาร บริเวณหน้าปากถ้ำ  เมื่อเดินออกมาสำรวจดู ตรงที่หมายในฝัน ก็เห็นหินกลุ่มหนึ่งมีลักษณะเหมือนเศษผลไม้นานาชนิดชัดเจน ว่างเรียงอัดทับช้อนกันอยู่แน่นหนา พอเอื้อมมือไปจับดูก็สัมผัส ถึงพลังฌานอันมหาศาลของฤษีทั้งสี่ตน   จึงเดินจงกรมในบริเวณหินกลุ่มนั้น    เพื่อสัมผัสอุ่นไออดีตอันไกลโพ้นของนักพรตฤษีฎาบสทั้งสี่ตนนั้น  เดินจงกรมอยู่พักใหญ่ก็มีรถวิ่งเข้ามาสองคัน เป็นรถชาวบ้านที่นำภัตตามาถวายจึงบอกให้เขาจัดถวายตรงนี้  โดยให้เหตุผลเป็นนัยๆว่าตรงนี้มีอาหารทิพย์  อาตมาอยากจะฉันตรงนี้  ชาวบ้านเขาก็จัดถวายตามใจประสงค์  เมื่อเขาถวายแล้วก่อนลงมือฉันก็บอกให้ชาวบ้าน พิจารณาดูหินกลุ่มนี้ เขาก็พากันดูและพูดคุยกันโขมงโฉงเฉง  รู้เรื่องบางไม่รู้เรื่องบาง   แต่ก็พอจับใจ ความได้ว่า ทุกคนก็เห็นเป็นรูปเศษผลไม้นานาชนิดเหมือนกัน  เมื่อฉันภัตตาหารให้พรเสร็จ   ก็บอกชาวบ้านว่า พรุ่งนี้เมื่อมาถวายบิณฑบาตรอีก ก็ให้เอาเครื่องมือสกัดหินมาด้วย อาตมาอยากได้หินผลไม้กลุ่มนี้ เขาถามว่าจะเอาไปทำไม  ก็บอกเขาว่าเป็นหินวิเศษ  อธิฏฐานให้ดีเป็นยารักษาโรคได้  ป้องกันอันตรายได้ หากเดินทางไกลไม่มีอาหารกินอม หินนี้ไว้ จะไม่หิวไม่เมื่อย จนกว่าจะถึงบ้านหรือจนกว่าจะถึงทีมีอาหาร      (ครั้งที่อาตมา ธุดงค์ไปอินเดีย ก็ได้เศษอาหารล้านปีของฤษีนี้แหละ  เพราะไม่มีอาหารฉันถึง 13 วัน)        เขาทำหน้างงๆเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงบอกเขาว่า  ลองน้อมจิตระลึกนึกถึงคุณของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ  เศษอาหารล้านปีนี้ดูซิ  แล้วค่อยจับดู  ทุกคนทำตามที่บอก แล้วจับดู  บางคนก็บอกว่าร้อน  บางคนก็บอกว่าเย็น  บางคนบอกว่าดูดเหมือนแม่เหล็ก   บางคนบอกว่าเฉยๆไม่รู้ สึกอะไรเลย  พอเห็นปรากฎการณ์เช่นนั้น      ชายเจ้าของรถกับพวกอีกสองคนก็ขึ้นรถกลับไปเอาเครื่องมือที่บ้าน โดยไม่รอวันพรุ่งนี้ตามที่อาตมาสั่ง  สักพักก็กลับมาพร้อมเครื่องมือสกัดหิน   วันนั้นทั้งวันเลยไม่เป็นอันทำสมาธิเพราะเสียงชาวบ้านสกัดหินรบกวน และมีคนในหมู่บ้านดังกล่าวตามมาอีกหลายสิบคน พอใกล้ค่ำเศษอาหารล้านปีก็หมดเกลี้ยง  ก่อนชาวบ้านเขากลับไปก็สั่งให้เขาบดหินนั้นไว้ให้ พอกลับประเทศไทยจะแวะไปเอา

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-20 06:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาตมาบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่ที่ถ้ำอรหันต์อัลไตเป็นเวลา ๗ วัน     เหตุที่อยู่กับที่ถึง ๗ วัน ก็เพราะอยากจะช่วยฤาษีทั้งสี่ตน ให้วกกลับเข้าสู่เส้นทางพระนิพพาน   เพราะการดับได้แล้วซึ่งเวทนาสัญญาสังขาร ก็น่าจะวกเข้าสู่พระนิพพานในชั้นสุทธาวาสได้ พยายามอยู่ ๗ วัน  ก็รู้ด้วยใจว่าสัตว์เหล่านี้แม้พระพุทธเจ้าก็โปรดไม่ได้  เพราะสัญญาความจำเขาดับสนิทแล้ว   ไม่เหมือนวิสัญญีสัตว์ที่เข้าอนุบุพพวิหารสมาบัติ      หรือสัตว์ที่ถูกวิสัญญีแพทย์วางยา  ก็ยังมีกำหนดเวลาที่สัญญาจะกลับคืนมา  ส่วนอสัญญีไม่มีโอกาสที่สัญญาจะกลับมาได้อีกแล้ว      แต่สัตว์เหล่านี้ก็มีกำลังฌานที่เป็นอัตโนมัติ หากดีดตัวไปที่ไดก็จะดีดตัวกลับมาที่เดิม    หรือบุคคลไดได้ครอบครองสัตว์ เหล่านี้  หากมีบุคคลอื่นมานำสัตว์นี้ไปที่ไหนก็ตาม         สัตว์นั้นก็จะดีดตัว กลับมาหาบุคคลเดิมได้โดยอัตโนมัติ อีกประการหนึ่งหากอสัญญีสัตว์ ตนไดบำเพ็ญกสิณไฟ หากนำธาตุที่เป็นฟอสฟอรัสเข้าใกล้     ก็จะถูกกำลังเตโชกสิณฌานของอสัญญีสัตว์ดึงดูดไปร่วมตัวเป็นหนึ่งเดียวจนหมดสิ้น      หรืออสัญญีสัตว์ตนไดบำเพ็ญ อาโบกสิณ รูปกายจะคล้ายหยดน้ำ หากเอารูปกายสัตว์นั้นใส่ในน้ำที่กำลังเดือด   น้ำนั้นก็จะหยุดเดือด      และเย็นปานน้ำแข็งทันที่ อีกประการหนึ่งเป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่จุติในในรูปภพ ระดับชั้นแห่งมนุษภูมิ หรือระดับ ชั้นที่เป็นกลางระหว่างมนุษย์ภูมิและเทวะภูมิย่อมจะดื่มกินอาหาร ทั้งหยาบและละเอียด (ทิพย์)  เช่นรุกขะเทวะ ภุมมะเทวะ  คันธรรพเทวะ อากาสะเทวะ   ก็ยังพอใจดื่มกินอาหารหยาบที่มนุษย์จัดพลีสังเวย     อสัญญีสัตว์ก็เช่นกัน ดึงดูดอาหารที่เป็นโลหะธาตุ ฟอสฟอรัส   และรสหวานเกสรดอกไม้   แล้วขับของเสียที่เป็นอณูเล็กๆละเอียดออกมาที่ละนิดจนรวมตัวเป็น อะตอม และเพิ่มมากขึ้นจนเป็นกลุ่มก้อน ห้อยย้อยอยู่ตามผนังถ้ำ เหล่าจอมขมังเวทย์ไปพบเข้า  ก็ตัดเอามาทำเครื่องรางของขลัง ก็ใช้ได้ผลเหมือนกัน   ส่วนจะขลังมากขลังน้อยก็ขึ้น อยู่กับจอมขมังเวทย์แต่ละท่าน ว่าจะมีพลังจิตจูนเข้าหาพลังเดิม แล้วดึงพลังเดิมที่เป็นต้นกำเนิดมาสถิตยังวัตถุนั้นได้มากน้อยแค่ไหน จูนแล้วดึงได้มากก็ขลังมาก จูนดึงได้น้อยก็ขลังน้อย  แม้แต่เศษอาหารของอสัญญีสัตว์ ที่ผ่านเวลากาลมาไม่รู้กี่ล้านปี ก็ยังมีพลังมหาศาล ของเสียที่อสัญญีสัตว์ขับออกมาก็เช่นกัน หากผู้มีพลังจิตสัมผัสดู   ก็จะรับรู้ถึงพลังแห่งรูปฌานสี่ที่มีอยู่ในวัตถุของเสียเหล่านั้น  อีกประการหนึ่ง แม้ว่าสัตว์เหล่านี้จะมีชีวิตที่ยาวนานเกือบจะเรียกว่านิรันดรได้ก็ตาม แต่ก็ หนีความเป็นอนิจจังไปไม่พ้น  ก็ต้องดับไปตามกฏเกณฑ์ของสัจธรรม ทิ้งรูปกายที่เป็นโลหะธาตุ คล้ายลูกฟักบ้าง คล้ายหยดน้ำบ้าง และมีสีสันต่างๆที่เป็นไปตามอารมณ์ของกัมมัฏฐาน ที่เคยบำเพ็ญมาเมื่อสมัยเป็นมนุษย์ เช่นตนที่บำเพ็ญกสิณไฟ สีกายก็จะออกแดงเรื่อๆจางๆ  ตนที่บำเพ็ญปฐวีกสิณ  สีกายจะดำมันวาววับ   ตนที่บำเพ็ญอาโบ กสิน สีกายจะออกสีเงินยวง  ตนที่บำเพ็ญวาโยกสิน สีกายจะออกเงินยวงวาวใส     ผู้ที่ไปพบรูปกายอสัญญีสัตว์ที่จุติแล้ว นำมาทำเครื่องราง จึงไม่มีอนุภาพไดๆทั้งสิ้น เพราะวิญญาณนั้นจุติไปสู่ภูมิอื่นแล้ว  ส่วนจะไปสู่ภพภูมิไดไม่มีใครรู้เพราะพระพุทธเจ้าไม้ได้ทรงพยากรณ์ไว้
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-20 06:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-20 06:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-20 06:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-23 12:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อโทน อธิฐานจิต พระศรีราม

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-23 13:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Metha เมื่อ 2015-3-23 13:05

หลวงพ่อโทน อธิฐานจิต หุงสีผึ้งสามพันตึง

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้