ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ เจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ วัดเทพศิรินทร์ ~

[คัดลอกลิงก์]
41#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บรรดาเพื่อนฝูงของนายพิทักษ์จึงเชื่อตามคำบอกเล่ากล่าวหาโดยสนิทใจว่า ท่านธมฺมวิตกฺโกจะต้องมีจริตไม่ปกติเป็นแน่ ถึงกับปัสสาวะของท่านเองมาสรงต่างน้ำ

พอวันรุ่งขึ้น เข้าใจว่าตอนสาย นายพิทักษ์มีเหตจะต้องเดินผ่านไปทางกฏิท่าน เพื่อไปโรงเรียนตามปกติ

ทันทีที่ท่านเห็นหน้านายพิทักษ์ ท่านก็กวักมือเรียกให้เข้าไปหาท่าน ท่านพาเข้าไปในกุฏิ ให้นั่งลง แล้วท่านก็กล่าวขึ้นว่า

“ที่เธอนินทาฉันเมื่อคืนนี้น่ะ ไม่จริงหรอกนะ เธอเข้าใจฉันผิด ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น.....”

ทำเอานายพิทักษ์ พยุงธรรมถึงกับสะดุ้ง และงุนงงอย่างที่สุด จนด้วยเกล้าจริง ๆ ไม่รู้ว่าท่านทราบเรื่องได้อย่างไร

จากนั้นท่านก็สั่งสอนหลักธรรมที่มีคติเตือนใจหลายประการ เสร็จแล้วจึงให้เขากลับออกมา

นับแต่วันนั้นมานายพิทักษ์ พยุงธรรม ก็บังเกิดความกลัวเกรงในท่านธมฺมวิตกฺโกเป็นที่สุด เพราะตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเจออภินิหารพระดี แสดงทีเด็ดให้เขาต้องเข็ดขยาดหลาบจำเป็นครั้งแรกนี่แหละ ทำให้เขาไม่กล้าจาบจ้วงล่วงเกินใด ๆ ต่อท่านธมฺมวิตกฺโกตลอดไปจนชั่วชีวิตเลยทีเดียว

“พระองค์นี้เอ็งอย่าไปทำเล่น ๆ กับท่านนะ....”

เขาเตือนเพื่อนฝูงเช่นนี้อยู่เสมอ และทุกครั้งที่เล่าเรื่องนี้ นายพิทักษ์จะมีอาการขนลุกขนพองอย่างเห็นได้ชัด

เขาเชื่อตลอดมาว่าท่านธมฺมวิตกฺโกนี้ ต้องมีหูทิพย์หรือตาทิพย์อย่างเด็ดขาด จึงสามารถล่วงรู้คำนินทากล่าวหาของเขาในครั้ง นั้นได้

จากพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว และประสบการณ์ต่าง ๆ จากที่อื่นอีกหลายครั้งหลายบุคคล จึงทำให้เชื่อแน่ว่าท่านธมฺมวิตกฺโกนี้จะต้องมีญาณวิเศษ มีทิพยจักขุญาณหรือทิพยโสต สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ หมดสิ้น
42#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รู้ปัจจุบัน

วันหนึ่งมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ได้มาเคาะประตูห้องท่านธมฺมวิตกฺโก ทางประตูหลังและตะโกนเรียกท่านว่า“ ท่านครับ ท่านครับ” ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบจะเพลแล้ว

พระภิกษุที่อยู่ใกล้กันได้ออกมาดูและบอกพระรูปนั้นว่า “นี่เป็นประตูหลังถ้าอยากจะพบ ต้องไปประตูด้านหน้า

แต่พระภิกษุรูปนั้นไม่ฟัง พอดีมีชายหญิงมีอายุสองคนเดิน ตามพระภิกษุรูปนั้นมาด้วย ท่านจึงได้บอกว่า ให้นำพระรูปนั้นไปด้านหน้า ชายมีอายุนั้นจึงเข้าจับแขนพระภิกษุรูปนั้นดึงออกมา เพื่อไปด้านหน้า

พอเดินมาถึง ปรากฏว่า ท่านธมฺมวิตกฺโกซึ่งปกติไม่รับแขก ไม่เปิดกุฏิ ได้เปิดประตูหน้า และยืนคอยอยู่ พอพระภิกษุรูปนั้นเห็นก็เข้าไปกราบและพูดจาฟังไม่ได้ศัพท์เสียงอย่างคนจะร้องไห้

ชายหญิงที่มาด้วยจึงได้เล่าให้พระภิกษุที่อยู่กุฏิใกล้กับท่านธมฺมวิตกฺโกฟังว่า พระภิกษุรูปนั้นเป็นพระลูกชายอยู่กาญจนบุรี เมื่อบวชแล้วก็ฝึกกรรมฐาน จะด้วยเหตุใดไม่ทราบ เกิดเสียสติจนคลุ้มคลั่งบางวันต้องล่ามเอาไว้

มาสองวันนี้รบเร้าจะไปหาพระที่วัดเทพศิรินทร์ ทั้งที่พระลูกชายไม่เคยมากรุงเทพฯ และไม่รู้จักพระที่วัดเทพศิรินทร์เลย เมื่อถูกรบเร้าก็เลยพามา

พอมาถึงลงจากรถก็เดินมา ที่กุฏิท่านธมฺมวิตกฺโก โดยไม่มี ใครบอกและไม่เคยมา เมื่อพระ ภิกษุรูปนั้นมากราบท่านธมฺมวิตกฺโก ท่านก็บอกว่าไม่เป็น อะไรให้กลับไปวัดแล้วจะหาย สักครู่พระองค์นั้นก็สงบลงและยอมกลับ

ประมาณครึ่งเดือน พระภิกษุรูปนั้นได้กลับมาหาท่านอีกครั้ง คราวนี้สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ได้มาเรียนท่านว่าหายเป็นปกติดีแล้ว

ท่านธมฺมวิตกฺโกได้ถามว่า แล้วจะสึกหรือไม่ พระภิกษุรูปนั้นตอบว่า ถ้าสบายดีก็ไม่สึก ท่านจึงให้พระกลับไปและบอกว่า สบายดีแล้ว ไม่ต้องมาหาอีก
43#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รู้อนาคต

ก่อนที่ประเทศเขมรจะมีการปฏิวัติขับไล่เจ้านโรดมสีหนุนั้น ผมได้พบท่านธมฺมวิตกฺโก หลังจากได้สนทนากันในเรื่องอื่น ๆ แล้ว ท่านได้ปรารภถึงบ้าน เมืองว่าต่อไปนี้คนจนจะยิ่งลำบากมากขึ้น

และได้ถามผมว่า รู้ไหมที่เขมรน่ะเขาจะปฏิวัติกันวันสองวันนี้แล้วนะ ผมได้เรียนท่านว่า ผมไม่เคยทราบเรื่องนี้เลย เพราะไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้

หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่า ประเทศเขมรเกิดการปฏิวัติขึ้น จริง ๆ

นอกจากนี้แล้วท่านธมฺมวิตกฺโกบอกว่าสงครามโลกเกิดขึ้นทางยุโรปก่อนมา 2 ครั้งแล้ว แต่สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดทางเอเชีย ท่านบอกว่าตอนที่สงครามเกิด สังขารของธมฺมวิตกฺโกคงไม่มีแล้ว

ก็เป็นเรื่องที่เราจะคอยดูกันต่อไป ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ ที่ว่าเอเชียจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 ส่วนสังขารของท่าน ธมฺมวิตกฺโกก็ไม่มีแล้ว

น้ำมนต์

การรดน้ำมนต์ของท่านธมฺมวิตกฺโก เท่าที่เคยทราบมา ปรากฏว่าไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเหมือน ไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า เคยมีพระอาจารย์องค์ใดปฏิบัติดังที่ท่านเคยได้กระทำมา

ปกติการรดน้ำมนต์โดยทั่วๆ ไปนั้น จะต้องมีการตักน้ำใส่บาตร ใส่ขันใหญ่หรือบางแห่งก็ใช้ถัง เอาไปตั้งหน้าพระอาจารย์ มีการจุดเทียนบริกรรมหยดน้ำตาเทียนลงไปในน้ำด้วย พอเสร็จจะมีการรด

ผู้ที่จะรดต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เช่นผู้ชายก็นิยมนุ่งผ้าขาวม้า ผู้หญิงนุ่งผ้ากระโจมอก ออกไปนั่งพ้นชายคา ให้พระอาจารย์ท่านรดน้ำมนต์ให้จนร่างกายเปียกโชกไปหมด จึงจะเรียกกันว่า รดน้ำมนต์

แต่วิธีการรดน้ำมนต์ของ ท่านธมฺมวิตกฺโก ไม่ซ้ำแบบใคร

โดยผู้ที่ประสงค์จะให้ท่านรดน้ำมนต์ต้องเอาแก้วหรือปกติเคยมีถ้วยพลาสติกใบหนึ่ง ประจำอยู่ที่ตุ่มน้ำมนต์ ไปตักน้ำมนต์จากตุ่มลายมังกรที่ตั้งอยู่หน้ารูปหล่อของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของพระประธานในพระอุโบสถแล้วเอามาประเคนถวายท่าน ท่านจะบริกรรมอธิษฐานจิตด้วยพระคาถาต่อไปนี้ 1 จบ

“สิทฺธมตฺถุ สิทฺธิมตฺถุ สิทฺธิมตฺถุ อิทํพลํเอตสฺมึ รตนตฺตยสฺมึ สมฺปสาทนเจตโส”

เสร็จแล้ว ท่านจะเรียกให้เข้าไปนั่งคุกเข่าพนมมือ อ้าปากอยู่ตรงหน้าท่าน จากนั้นท่านก็จะเทน้ำมนต์กรอกใส่ปากเลย ซึ่งปรากฏว่าท่านกรอกได้แม่นยำมาก ไม่เคยมีน้ำมนต์หกเรี่ยราด พลาดจากปากใครได้เลย
44#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หากมีคนเข้าไปขอรดน้ำมนต์จากท่านเป็นหมู่จำนวนหลายคนด้วยกันแล้ว ท่านจะ เรียกผู้ที่มีอาวุโสสูงสุด เข้าไปรดก่อน แล้วคนอื่นจึงค่อยตามกันเข้าไปเป็นลำดับ เมื่อน้ำมนต์หมดก็ไปตักแก้วใหม่ มาถวายให้ท่านอธิษฐานจิตใหม่ ใช้รดคนต่อ ๆ ไป จนหมด

พ.อ.จิตต์ ธนะโชติ อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระหว่างที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ได้เคยเข้าไปขอให้ท่านช่วยรดน้ำมนต์ให้ เมื่อปลายปี 2513 รวม 4 ครั้งนี้ได้บรรยายถึงการเข้ารับน้ำมนต์จากท่านครั้งแรกไว้ดังนี้

“.....คล้าย ๆ กับว่าท่านเจ้าคุณนรฯ จะรู้ใจข้าพเจ้าจึงหยิบแก้วน้ำเปล่าใบหนึ่ง สั่งให้ไปตักน้ำมนต์ในโอ่งลายมังกรที่ตั้งอยู่หน้ารูปหล่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถระ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของพระประธานในโบสถ์

แล้วก็นำแก้วน้ำมนต์มาถวายท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านรับแล้วก็ตั้งบริกรรมสักครู่นานเท่าใด ข้าพเจ้าก็ลืมไปเสียแล้ว จำได้แต่ว่านั่งพนมมือหลับตาภาวนาตามไปกับท่าน

โดยขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย คุณบิดามารดา ปู่ย่าตายายและทวด ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พร้อมกับขอให้บารมีของท่านเจ้าคุณนรฯ ช่วยคุ้มครองรักษาด้วย

เมื่อท่านเรียกก็ลืมตาขึ้น แล้วก็คลานเข้าไปหา ท่านสั่งให้นั่งตัวตรง อ้าปากเงยหน้าขึ้นดูเพดานโบสถ์ ท่านก็กรอกน้ำมนต์ในแก้วด้วยมือของท่านเอง โดยไม่ให้ข้าพเจ้าจับแก้วน้ำมนต์นั้นเลย ”

ผู้ที่เคยเข้าขอรดน้ำมนต์ครั้งแรก ๆ จากท่านนั้น มักได้รับคำแนะนำวิธีการปฏิบัติดังกล่าวนี้ จากท่านพระครูปัญญาภรณโสภณ (พระมหาอำพัน บุญหลง) ช่วยชี้ทางให้

นอกจากการเข้ารับการรดน้ำมนต์จากท่านโดยตรง ด้วยวิธีการดังกล่าว ซึ่งน้อยคนจะมีโอกาสได้รับแล้ว

ยังมีการรดน้ำมนต์อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งทุกคนสามารถปฏิบัติได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ซึ่งท่านบอกว่ามีผลเท่ากับท่านรดน้ำมนต์ให้เองเหมือนกัน

วิธีที่ว่านี้ก็คือ เมื่อเวลามีฝนตกพรำ ๆ ผู้ที่ประสงค์จะรับการรดน้ำมนต์ ให้ออกไปเดินกรำฝน แล้วบริกรรมภาวนาด้วยพระคาถาสั้น ๆ แบบหัวใจคาถาโบราณทั้งหลาย จากนามฉายาของท่านที่ว่า

“ธมฺมวิตกฺโก ๆ ๆ ๆ”

ให้บริกรรมเช่นนี้เรื่อยไป ก็จะมีผลเท่ากับท่านรดน้ำมนต์ให้เหมือนกัน
45#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านได้อรรถาธิบายว่า “ธมฺมวิตกฺโก” นั้น แปลว่าผู้ตรึกธรรม หรือผู้พิจารณาธรรม ผู้คิดถึงธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้นั้น

ก่อนนี้ท่านธมฺมวิตกฺโกมีตุ่มเล็กใบหนึ่งแต่งไว้ตรงประตูจะ เข้ากุฏิด้านข้าง ท่านใช้สำหรับใส่น้ำไว้ข้างเท้าก่อนเข้ากุฏิ

วันหนึ่งมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาพบท่าน และบอกว่าสะใภ้ได้ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล นอนฝันร้ายมาตลอด เห็นผีปีศาจมารบกวนตลอดเวลา ฉะนั้นจึงมาขอน้ำมนต์จากท่านเพื่อไปให้สะใภ้

ท่านได้ปฏิเสธว่าท่านไม่มีน้ำมนต์ และท่านก็ไม่ใช่อาจารย์ไล่ผี ท่านไม่สามารถจะให้ได้ ขอให้ไปหาผู้อื่นที่เขาทำได้

นายตำรวจผู้นั้นก็ยังยืนกรานจะขอให้ได้ โดยบอกว่านับถือแต่ท่านธมฺมวิตกฺโกเท่านั้น ไม่ได้นับถืออาจารย์อื่นใดอีก ท่านธมฺมวิตกฺโกก็ปฏิเสธเช่นเดิม และเข้ากุฏิไป

นายตำรวจผู้นั้นจึงตกเอาน้ำล้างเท้าของท่านไปให้สะใภ้ โดยบอกว่าเป็นน้ำมนต์ของท่านธมฺมวิตกฺโก

เป็นเรื่องน่าประหลาดที่คืนนั้นสะใภ้ของนายตำรวจได้เห็นท่านธมฺมวิตกฺโก ไปยืนที่หัวเตียง และไม่นอนฝันร้ายหรือผีปีศาจ ใด ๆ อีก

พอข่าวนี้แพร่ออกไป ก็มีคนมาตักน้ำล้างเท้าท่านเสมอ จนภายหลังท่านต้องเอาตุ่มน้ำนี้ไว้ในกุฏิ ท่านบอกว่ามีคนเอาน้ำไป กลัวเขาจะเอาไปกินแล้วเป็นอหิวาตกโรคตาย

http://www.dharma-gateway.com/mo ... -nor-hist-08-03.htm
46#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้อดทน

ท่านธมฺมวิตกฺโก เป็นผู้อดทน มีความเพียร เมื่อทำสิ่งใดก็ทำสม่ำเสมอ อย่างการทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น ท่านก็ทำโดยตลอดไม่เคยขาด

มีงดอยู่วันเดียว วันนั้นท่านอาพาธเพราะถูกงูกัด สมเด็จอุปัชฌาย์ได้มาบอกว่า ให้งดสักวันเถิด ท่านก็งดวันนั้นหนึ่งวัน ตลอดเวลา 40 ปีกว่า ท่านงดทำวัตรเพียงหนึ่งวัน

ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าท่านมีความอดทนและความเพียรเพียงใด คนที่ทำอะไรได้ทุกวัน โดยสม่ำเสมอเป็นเวลา 40 กว่าปีนี้ เป็นเรื่องน่าคิดและน่าสรรเสริญ เพราะยากนักจะทำได้

และตลอดเวลา 40 กว่าปี มิใช่ว่าท่านจะแข็งแรงมีสุขภาพดีมาโดยตลอดก็หาไม่ ท่านก็ป่วยเจ็บเช่นคนทั้งหลาย แต่ด้วยความอดทน ท่านก็พยายามทำไม่ยอมขาด

และการป่วยเจ็บของท่านนี้ ท่านบอกว่าเมื่อตัดสินใจจะปฏิบัติทางจิตแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ โดยอาศัยอำนาจจิตมารักษา เมื่อรักษาไม่ได้ก็ตายไป ไม่ขออาศัยยาแก้เจ็บแก้ไข้

ท่านบอกว่าคนที่ปฏิบัติทางจิตนี้ ต้องการสังขารเพียงเพื่อจะได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมวินัยต่อไปเท่านั้น ไม่ต้องการสังขารที่สุกใสเปล่งปลั่ง

ท่านพูดเสมอว่า ช้างพี ฤๅษีผอม หมายถึงช้างที่ดีควรจะ อ้วน ส่วนฤๅษีอันหมายถึงผู้ปฏิบัติธรรมควรจะผอม.

ต่อมาท่านได้ถูกคางคกไฟกัดอีก แต่ครั้งหลังนี้ท่านไม่ได้ขาดทำวัตร

เรื่องคางคกไฟนี้เป็นเรื่องแปลก ท่านเองก็บอกว่าไม่เคยมีใครพบในกรุงเทพฯ ทราบแต่ว่ามีทางปักษ์ใต้ ทำไมจึงมากัดท่านได้ ท่านชี้ตำแหน่งให้ดูที่หลังเท้าว่า กัดจนจมสองเขี้ยว และท่านเห็นตัวด้วยว่าตัวใหญ่กว่าคางคกธรรมดาและสีแดง
47#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านบอกว่าคืนนั้นบวมมาก และค่อย ๆ ปวดขึ้นมาจนเข้าหัวใจ ท่านพยายามอดทน และขับไล่ความเจ็บปวดนั้น

จนรุ่งเช้าบวมเฉพาะขาทั้งท่อนล่างและท่อนบน แม้อย่างนั้น ท่านก็ยังไม่ยอมขาดทำวัตร

นอกจากนี้ท่านยังป่วยเป็นโรคมะเร็งกรามช้าง ฉันอาหาร ไม่ได้เกือบเดือน นอนก็ไม่ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ท่านต้องนั่งก้มหน้าเอากระโถนมารองไว้ ให้น้ำหนองไหล และพอฟันซี่ใดหลุด ท่านก็จดวันที่และเวลาที่ฟันหลุดไว้ จนกระทั่งฟันหลุดหมดปาก

นอกจากนี้ท่านยังเป็นอมพาตอีก โดยเป็นที่ขาของท่านเป็นข้างขวามากกว่าข้างซ้าย ทำให้เดินไม่ไหว

เวลาไปลงโบสถ์ท่าวัตรต้องใช้มือช่วยยกเท้าเดินไป ต่อมา เป็นมากท่านใช้ไม้ผูกเชือกตอนปลายแล้วไปผูกกับนิ้วหัวแม่เท้า แล้วใช้มือช่วยยกเท้าไปลงทำวัตรจนได้ ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า ท่านอดทนเพียงไร เพื่อที่จะไม่ขาดทำวัตร

ต่อมาภายหลัง ท่านก็หายจากอัมพาต แต่เวลาเดินเท้าข้างขวายกสูงไม่ได้ จนกระทั่งมรณภาพ ทำให้ท่านเดินหกล้มบ่อย หากเดินไปสะดุดอะไรเข้า เพราะยกเท้าไม่พ้น

และการที่ท่านหายนี้ด้วยบุญบารมีของท่านเอง ไม่เคยฉันยาเลย ดังที่ท่านบอกว่าตั้งแต่บวชมาไม่เคยฉันยาแม้สักครึ่งเม็ด

นอกจากการลงโบสถ์เพื่อทำวัตรเช้าและเย็นแล้ว ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเช่น วันมาฆบูชาและวิสาขบูชา เป็นต้นนี้ ทางวัดจะมีเทศน์ตลอดคืน ให้พระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกาฟัง

ท่านธมฺมวิตกฺโกก็จะมาฟังเทศน์ด้วย และท่านจะฟังตลอดคืนจนรุ่งเช้า โดยนั่งพับเพียบพนมมือตลอดจะพลิกเปลี่ยนข้างก็เพียงหนึ่งครั้ง

ผมเคยถามท่านถึงเรื่องนี้ ท่านบอกว่าไม่ยาก อยู่ที่การฝึก นี่เป็นเครื่องแสดงว่าท่านได้ฝึกตนเองมาอย่างดีแล้ว

และท่านยังบอกอีกว่า ท่านนั่งฝึกสมาธิ ถ้าจะเริ่มหัดท่านั่งพับเพียบนี้เป็นท่านั่งที่ดีที่สุด เหมาะแก่ผู้ที่จะเริ่มนั่ง แม้ท่านเองก็หัดนั่งสมาธิจากท่านั่งพับเพียบ ต่อมาจึงค่อยเปลี่ยนเป็นท่านั่งขัดสมาธิ

นอกจากนั่งฟังเทศน์โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถแล้ว ท่านผู้อ่านก็ทราบแล้วว่า นครหลวงของเรายุงชุมเพียงไร

ครั้งแรกผมคิดว่ายุงคงไม่กัดท่าน ท่านจึงนั่งอยู่ได้โดยไม่ต้องไล่ยุง ผมเลยเข้าไปดูท่านใกล้ ๆ ปรากฏว่ายุงก็กัดท่านแล้วตกอยู่รอบตัวท่านเต็มไปหมด คงจะบินไม่ไหวเพราะกินอิ่มก็เป็นได้

แต่ไม่เห็นท่านจะรู้สึกเจ็บ หรือคันแต่อย่างใด ท่านเป็นผู้มีความอดทนอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นผู้ที่ฝึกตัวเองไว้แล้วอย่างดีเลิศ
48#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สติสัมปชัญญะ

ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อ สำคัญอยู่ที่สติถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะ จะทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ

คือ เผลอ เหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิด พลาด จนนึกถึงคติพจน์ว่า “กุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้ว กลางสนาม”

ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้ง มนุษย์และสัตว์ตลอดทั้งพืชพันธุ์พฤกษาชาติ เป็นอยู่ได้ด้วยการต่อสู้ ตรงกับคำว่า “ชีวิตคือการต่อสู้”

เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใด ก็ต้องถึงที่สุดแห่งชีวิต คือ ความตาย เพราะฉะนั้นยังมีสติอยู่ตราบใด ถึงตายก็ตายแต่กาย

เช่นกับชีวิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือธรรมที่ไม่ตาย จึงเรียกว่า พระนิพพาน คือนามรูปสังขารร่างกายที่เรียกว่า เบญจขันธ์ ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเท่านั้น

กฎแห่งกรรม

ในสมัยพุทธกาล พระที่ใกล้จะสำเร็จอรหันต์มักจะได้รับเคราะห์กรรมแปลก ๆ อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะท่านก็ได้บำเพ็ญแต่ความดีมา ไม่น่าจะได้เคราะห์กรรมอีก

ในเรื่องนี้ได้มีอธิบายไว้ว่า เพราะใกล้จะสำเร็จพระอรหันต์ จึงต้องได้รับกรรมให้หมดไป เรียกว่าสิ้นกรรมกัน

ท่านธมฺมวิตกฺโกก็เช่นกัน ท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ หรือไม่ผมไม่ทราบ เพราะผมไม่มีคุณธรรมใดจะไปหยั่งรู้ได้

แต่ท่านไม่น่าจะถูกคางคกไฟกัด ซึ่งไม่เคยปรากฏว่ามีในนครหลวง มีแต่ทางปักษ์ได้ แต่ท่านก็บอกว่า

ลักษณะเป็นคางคกไฟและมากัดท่านจนบวมไปทั้งขา ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้ไปไหน เดินจากกฏิไปทำวัตรแล้วก็กลับ ตอนขากลับก็ปรากฏว่าคางคกรอท่านอยู่แล้ว และกัดท่านพอดี
49#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ในบั้นปลายของชีวิต ท่านธมฺมวิตกฺโก อาพาธด้วยมะเร็งที่ลำคอ การอาพาธของท่านนี้พูดตามที่บุคคลธรรมดาพึงเห็น

แต่สำหรับท่านธมฺมวิตกฺโกแล้ว ท่านเป็นปกติธรรมดาไม่เคยแสดงอาการใดว่าท่านได้อาพาธ ท่านปกติธรรมดาจนทุกคนที่พบเห็นท่าน คล้ายจะลืมว่าท่านอาพาธ ถ้ามีใครถามถึง ท่านจะเล่าให้ฟังว่า

ตั้งแต่เริ่มเป็น เมื่อปี พ.ศ. 2509 มีขนาดเท่าไข่จิ้งจก และโต ต่อมาเรื่อย ๆ จนมีขนาดเท่าลูกพุทรา เท่าไข่เต่า และท่านจะบอกว่าตอนนี้เท่าไข่เป็ดแล้ว

เมื่อถามถึงความเจ็บปวด ท่านจะบอกว่าไม่เจ็บปวดมากนัก จะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมคิดว่าถ้าเป็นอย่างเราก็คงจะลุกเดินไม่ไหวเพราะความเจ็บปวดแล้ว แต่ท่านธมฺมวิตกฺโกท่านกลับเป็นปกติทุกอย่าง สมมติว่าแผลมะเร็งนี้เกิดขึ้นกับอวัยวะภายใน ไม่มีใครมองเห็นแล้ว ก็จะไม่มีใครรู้ว่าท่านอาพาธเลย

ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนจะเป็น ท่านมีความรู้สึกว่าจะเป็นที่ตับ เพราะมีอาการบางอย่างที่นั่น ท่านเล่าว่าเหมือนกับมีอะไรวิ่งกันอยู่เป็นริ้ว ๆ ที่บริเวณนั้น ท่านได้อธิษฐานว่าหากจะป่วยเป็นโรคใดแล้วขอให้ปรากฏออกมา ขอให้เป็นภายนอกเถิดจะได้มองเห็นและเป็นตัวอย่างให้ศึกษา

หลังจากท่านอธิษฐานแล้ว ท่านรู้สึกว่าสิ่งที่วิ่งกันอยู่นั้นได้ย้ายวิ่งมาที่ลำคอและปรากฏเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ที่แรงอธิษฐานของท่านเป็นไปตามที่ท่านอธิษฐาน เห็นจะเป็นด้วยบุญบารมีที่ท่านบำเพ็ญมา

และท่านจะยกเอาอาการอาพาธของท่านเป็นตัวอย่างสอนคนที่ไปพบท่านว่า ร่างกายเป็นรังของโรค ต้องป่วยเจ็บอยู่เสมอเป็นธรรมดา เป็นเรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่าเศร้าหมองตามการป่วยเจ็บนั้น ทำใจให้ปลอดโปร่ง

และให้นึกเสมอว่า การเจ็บ การตายไม่แน่นอน จะมาถึงเมื่อใดก็ได้ อย่าประมาท อย่ารั้งรอต่อการทำความดี ในขณะที่ยังมีโอกาสทำความดี จะได้ไม่ต้องเสียใจ แม้ความตายจะมาถึงในวินาทีใดก็ตาม

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
50#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 18:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มหากรุณาธิคุณ



เมื่อท่านธมฺมวิตกฺโกอาพาธ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จไปเยี่ยมอาการของท่านที่พระอุโบสถ วัดเทพศิรินทราวาสถึงสองครั้ง เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อท่านธมฺมวิตกฺโก

การเสด็จไปของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแต่ละครั้ง ทรงรับสั่งถามปัญหาธรรมต่าง ๆ กะท่านธมฺมวิตกฺโก ทุกครั้ง ท่านธมฺมวิตกฺโก ได้วิสัชนาถวายในปัญหาธรรมต่าง ๆ อย่างชัดเจนหมดจดทุกปัญหา

จากการที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงสนพระทัยในธรรมนี้ ท่านธมฺมวิตกฺโกได้เคยบอกว่า ขอให้ประชาชนทุกคนยึดถือเป็นตัวอย่างที่ควรสนใจ และศึกษาธรรมเช่นเดียวกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

เพราะธรรมจะทำให้ประเทศอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ทำให้ชนในชาติสามัคคีกลมเกลียวกัน มีความขยันหมั่นเพียรในทางที่ถูกต้อง ไม่แก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน

และในชั้นสูงขึ้นไปของการปฏิบัติธรรม ก็จะทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติไปสู่พระนิพพาน ซึ่งควรจะเป็นความหวังของทุกคน ขอให้ทุกคนอย่าลืมหน้าที่อันนี้ คือหน้าที่ที่จะทำให้ตนเองพ้นทุกข์

การทำให้ตนเองพ้นทุกข์ เป็นหน้าที่ของทุกคนที่เกิดมา แต่พากันลืมเสีย ไปไขว่คว้าแต่หน้าที่อื่นกันเสียหมด จะทำให้เสียแรงที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่สอนให้ทุกคนพ้นทุกข์ด้วยตนเอง

พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่มีต่อท่านธมฺมวิตกฺโกนี้ แม้เมื่อท่านมรณภาพแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าชาย ก็ได้เสด็จบำเพ็ญอุทิศส่วนพระราชกุศลถวายแด่ท่านธมฺมวิตกฺโกที่วัดเทพศิรินทราวาส ขณะตั้งศพบำเพ็ญกุศล

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้