ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 12272
ตอบกลับ: 61
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ เจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ วัดเทพศิรินทร์ ~

[คัดลอกลิงก์]

เจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ
โดย นิโรธ เกสรศิริ
รวบรวมจากหนังสือ ภาพพระเครื่อง และประวัติท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ ซึ่งเขียนโดย คุณการุณย์ เหมวนิช และคุณเสทื้อน ศุภโสภณ


คึกฤทธิ์สดุดี

ผมเพิ่งได้ทราบข่าวเดี๋ยวนี้เองว่า พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ได้มรณภาพเสียแล้วที่ วัดเทพศิรินทร์ เมื่อวันที่ 8 ม.ค 14 เมื่อเวลาหลังเพลแล้วเล็กน้อย

นามฉายาของท่านคือ ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ ความจริงพระภิกษุมรณภาพเพียงรูปเดียวเมื่ออายุท่านได้ 74 ปี ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นอะไรนัก แต่บังเอิญชีวิตของท่าน และการปฏิบัติธรรมของท่านในภิกขุภาวะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นธรรมอันดีที่ควรส่งเสริมบางอย่าง ผมจึงเขียนถึงท่านไว้ในที่นี้ ผมเคยรู้จักเจ้าคุณนรรัตนฯ เมื่อผมยังเป็นเด็กเล็กคิดดูเดี๋ยวนี้ก็เห็นจะห้าสิบกว่าปีมาแล้ว

ตอนนั้นท่านอายุ 20 กว่า เป็นพระยาและได้สายสะพายแล้วด้วย

ท่านรับราชการมหาดเล็กหลวง และมีตำแหน่งเป็นต้นห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

หน้าที่ของท่านคืออยู่รับใช้ ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐาน และเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กห้องพระบรรทมคนอื่น ๆ ซึ่งมีอยู่หลายคน

เจ้าคุณนรรัตนฯ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนที่หอวัง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเรียนสำเร็จแล้วก็ต้องไปรับราชการในกรมมหาดเล็กเพื่อศึกษาราชการตามระเบียบ ก่อนที่จะไปรับราชการกรมกองอื่น ๆ

แต่เจ้าคุณนรรัตนฯ ติดอยู่ที่กรมมหาดเล็กและอยู่ที่ห้องพระบรรทมอยู่จนตลอดรัชกาล

ความจำของเด็ก ๆ ซึ่งบัดนี้แก่แล้วจะต้องกระจัดกระจาย เป็นธรรมดา ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมนึกออกเกี่ยวกับเจ้าคุณนรรัตน ฯ

ครั้งหนึ่งเห็นท่านกำลังติดพระตรากับฉลองพระองค์ ซึ่งสวมไว้กับหุ่นช่างตัดเสื้อ ท่านติดจนเสร็จแล้วท่านก็ถอยออกมา นั่งดูอยู่นาน ไม่พูดจากับใคร

อีกครั้งหนึ่งเห็นท่านนั่งชุนกางเกงจีนเก่า ๆ ของใครอยู่  เสือกเข้าไปถามท่านตามวิสัยของเด็กทะลึ่งว่า ท่านชุนกางเกงของท่านเองหรือ

ท่านบอกให้ผมลงกราบกางเกงที่ท่านกำลังชุนอยู่นั่น แล้ว บอกว่าเป็นพระสนับเพลาจีนของพระเจ้าอยู่หัว

แล้วท่านก็บ่นอุบอิบอยู่ในคอว่า

“เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่ก็ชอบนุ่งกางเกงขาด ๆ เก่า ๆ  หาใหม่ให้ก็ไม่เอา ครั้นจะปล่อยให้นุ่งกางเกงขาด ก็ขายหน้าเขา”

จำได้ว่าเวลาท่านพูดกับเด็ก อย่างผมแล้วท่านใช้วาจาหยาบคายสิ้นดี พูดมึงกูไม่เว้นแต่ละคำ

แต่ท่านมีทอฟฟี่แจก เด็กก็เมียงเข้าไปบ่อย ๆ

เด็กที่วิ่งอยู่ๆ อยู่ในวังสมัยนั้นมีมาก และบางคน (อย่างผม) ก็เป็นเด็กที่ซุกซนขนาดเหลือขอจริง ๆ ทีเดียว

บางครั้งเข้าไปซุกซนใกล้ที่ประทับจนถูกกริ้วต้องพระราชอาญา มีรับสั่งให้เจ้าคุณนรรัตนฯ เอาไปตีเสียให้เข็ด

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 17:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ลากตัวเข้าไปในห้องซึ่งอยู่ใกล้ที่ประทับ แล้วเอาไม้เรียวซึ่งเตรียมไว้ มาหวดซ้ายป่ายขวาลงไปกับเก้าอี้บ้าง กระดานบ้างให้มีเสียงดัง

เด็กที่ไม่รู้เคล็ดก็อ้าปากค้าง นั่งดูเฉย ท่านก็ชี้หน้าบอกว่า

“ร้องไห้ดัง ๆ นะมึง ไม่ร้อง พ่อตีตายจริง ๆ ด้วยเอ้า”

เด็กก็ร้องจ้าขึ้นมา

และก็จะได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากที่ประทับทันที

“พอที ข้าสั่งให้ตีสั่งสอนมันเพียงหลาบจำ เอ็งตีลูกเขาอย่างกับตีวัวตีควาย ลูกเขาตายไปข้าจะเอาที่ไหนไปใช้เขา”

เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็กระซิบบอกเด็กว่า

“ไหมล่ะ!”

เด็กก็พ้นพระราชอาญาเพียงแค่นี้ และความรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาก็จะติดอยู่ในตัวในใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีวันที่จะลืมเลือนได้

ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าคุณนรรัตนฯ ได้อุปสมบทหน้าพระเพลิง อย่างที่สามัญชนเรียกว่า บวชหน้าไฟ

และท่านได้ครองสมณเพศ ตลอดมาจนถึงมรณภาพ

เป็นเวลา 46 ปีเต็ม

สี่สิบหกปีแห่งความกตัญญู อันมั่นคงหาที่เปรียบได้ยาก

ความจริงเมื่อเสด็จสวรรคตนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ มีทั้งฐานะ ทั้งทรัพย์ และโอกาสที่จะหาความเจริญในโลกต่อไปอย่างพร้อมมูล

ในทางชีวิตครอบครัวท่านก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว

แต่ท่านก็ได้สละสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดออกอุปสมบท และอยู่ในสมณเพศตลอดชีวิตเพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งมีพระคุณแก่ท่าน

นับวาเป็นตัวอย่างแห่งความกตัญญูซึ่งควรจะจารึกไว้
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 17:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่ออยู่ในสมณเพศนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ ฉันอาหารวันละหนเท่านั้น

อาหารที่ท่านฉัน มีข้าวสุก มะพร้าว กล้วย เกลือ มะนาว และ ใบฝรั่ง

ท่านลงไปโบสถ์ทำวัตรเช้าและเย็น วันละสองครั้ง ไม่เคยขาด จนมรณภาพ

ดูเหมือนจะขาดอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถระ ขณะที่ท่านยังมีชีวิตและเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์อยู่สั่งให้อยู่ที่กฏิ เพราะท่านอาพาธ

ท่านเป็นพระที่สงบสงัดจากโลกแล้ว ไม่เคยโด่งดัง

แม้แต่ธรรมที่ท่านได้แสดงไว้ เมื่อพิมพ์แล้ว ได้เป็นสมุดเล่มเล็ก ๆ มีความเพียง 22 หน้ากระดาษ และแบ่งออกเป็นเรื่องรู้น ๆ ได้เพียง 8 บท

บทที่ 7 นั้นมีเพียงเท่านี้ แต่ก็ขอให้ท่านอ่านเอาเองเถิดว่า เป็นความจริงเพียงไร และน่าประทับใจเพียงไร

อานุภาพไตรสิกขา

คือ

ศีล สมาธิ ปัญญา

ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แล จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และ อย่างละเอียด

ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกาย วาจาได้ด้วยศีล

ชนะความยินดียินร้ายและ หลงรัก หลงชังเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ

ชนะความเข้าใจ รู้ผิด เห็น ผิดจากความเป็นจริงของสังขาร ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ด้วยปัญญา

ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตาม ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้โดยพร้อมมูล บริบูรณ์สมบูรณ์ แล้ว ผู้นำจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ ทั้งปวงได้เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย!

เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญานี้ ทุกเมื่อเทอญ


ครั้งหนึ่งผู้คนเขาไปลือว่า ท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว

ผมพบท่านโดยบังเอิญที่วัดเทพศิรินทร์ก็เข้าไปกราบท่าน แล้วกราบเรียนถามท่านว่า

เขาลือกันว่าได้เท้าสำเร็จ เป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือครับ

ท่านดึงหูผมเข้าไปใกล้ ๆ แล้ว กระซิบว่า

“ไอ้บ้า”
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 17:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อริยสงฆ์

ทุกวันนี้เมื่อเอ่ยถึง “เจ้าคุณนรรัตน์” หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “เจ้าคุณนรฯ” ซึ่งมีนามฉายา ว่า “ธมฺมวิตกฺโก” แล้ว

วงการพุทธศาสนิกชนในเมืองไทยยอมรับกันว่าท่านเป็น ”สงฆ์” อย่างแท้จริง “อริยสงฆ์” ด้วย มิใช่เป็นแต่เพียง “สมมติสงฆ์” อย่างที่เห็นกันอยู่ ดาษดื่นทั่วไปในยุคนี้

จนถึงกับมีบุคคลมากมาย เชื่อกันอย่างสนิทใจว่าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์

ปฏิปทาและการปฏิบัติของท่านนั้น มั่นคงและเด็ดเดี่ยวเป็นยิ่งนัก ท่านเป็น “สมณะ” ที่เคร่งครัดต่อศีลาจารวัตรเป็นอย่างยิ่ง

เป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ปราศจากมลทินด่างพร้อยด้วยประการทั้งปวง ทั้งกายและใจ ทั้งภายในและภายนอก

เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง และปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นผู้ควรแก่การเคารพนบไหว้อย่างแท้จริงของสาธุชนทั้งหลาย

เป็นการยากที่จะหาพระ ภิกษุรูปใด ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ไม่ว่าในอาณาจักรสงฆ์ไทยเรา หรือในวงการสงฆ์นานาประเทศ

ที่จะปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ครบถ้วนตามวินัยบัญญัติอย่างเคร่งครัด เด็ดเดี่ยวเสมอต้นเสมอปลายอย่างท่านได้

วัตรปฏิบัติ ทั้งหลายทั้งปวงของท่านนั้น ล้วนเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจาก “โลกียะ" มุ่งตรงต่อ “โลกุตตระ” อย่างแท้จริง

ซึ่งแตกต่างห่างไกลจากการประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์ทั่วไปในยุคนี้โดยสิ้นเชิง นับว่าท่านเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในโลก

ท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเคยบวชอยู่ในวัดเทพศิรินทราวาส และเคยอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าคุณนรรัตน์มาพอสมควร ถึงกับกล่าวว่า

ถ้าหากพระพุทธองค์ยังทรงดำรงพระชนม์อยู่มาจนถึงบัดนี้ ก็คงจะต้องประทานประกาศนียบัตรในการประพฤติปฏิบัติเป็นเอก ให้แก่ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ เป็นแน่แท้

ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ เป็นอัจฉริยบุคคล ผู้ทรงไว้ซึ่งความเป็นอัจฉริยภาพอย่างแท้จริง นอกเหนือไปจากการประพฤติปฏิบัติที่มั่นคงเด็ดเดี่ยวสม่ำเสมอ และมีความทรงจำที่แม่นยำอย่างน่ามหัศจรรย์แล้ว ยังมีดวงจิตที่ ทรงพลังอย่างมหาศาลอีกด้วย

ดังจะเห็นได้จากท่านใช้อำนาจจิตต่อสู้ผจญกับอสรพิษ และโรคร้าย โดยมิต้องใช้หยูกยาใด ๆ ดังเช่นคนทั้งหลาย จนปรากฏผลเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ จักเป็นที่กึกก้องขจรไกล เป็นที่กล่าวขวัญสรรเสริญติดปากชาวพุทธในเมืองไทยอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน

ตราบใดที่พระพุทธศาสนายังสถิตสถาพรดำรงคงอยู่คู่ไทย ตราบนั้นนาม “เจ้าคุณนรรัตน์ฯ” อันเป็นมหามงคลนาม

ก็จักยังคงความศักดิ์สิทธิ์ ติดตรึงอยู่ในดวงใจของชาวพุทธในเมืองไทย ตราบชั่วนิรันดร์กาล

ไม่แพ้พระเถระผู้ทรงวิทยาคมและทรงคุณธรรมเป็นพิเศษรูปใด ๆ ในอดีต เป็นต้นว่าสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หลวงพ่อสุข วัดมะขามเฒ่า ฯลฯ
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 17:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มงคลสูตร

พระเถระผู้ทรงคุณธรรมเป็นพิเศษในอดีตส่วนใหญ่ เมื่อจะถือกำหนดในครรภ์โยมมารดานั้น มักจะสำแดงนิมิตให้ปรากฏแก่โยมบิดาและโยมมารดาต่าง ๆ กัน

เป็นต้นว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเถระ) อดีต เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส องค์สำคัญยิ่ง ซึ่งเป็นสมเด็จอุปัชฌาย์ของท่านธมฺมวิตกฺโก และเชื่อกันว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลรูปหนึ่งนั้น เมื่อปีที่ท่านจะเกิด โยมบิดาก็ฝันไปว่ามีผู้นำช้างเผือกมาให้

หรือเมื่อตอนที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แต่ครั้งยังเป็นสามเณร จะย้ายเข้าไปอยู่วัดระฆังโฆสิตาราม เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมนั้น

ก็เล่ากันว่าพระอาจารย์ของท่านฝันในคืนวันที่ท่านจะไปถึง ว่ามีช้างเผือกเชือกหนึ่งเข้าไปกินคัมภีร์พระไตรปิฎกในดู้จนหมด ฯลฯ

โดยเหตุที่เคยมีเรื่องราวเล่ากันมาดังกล่าวนี้ จึงทำให้ผู้เขียนสนใจสืบถามนิมิตเมื่อตอนที่ท่านธมมฺวิตกฺโกจะถือกำเนิดอยู่เหมือนกัน เพื่อจะได้ “เกร็ด” ประวัติตอนสำคัญของท่านมาเผยแพร่ แต่ก็มิได้ความกระจ่างแต่อย่างใด

เคยมีผู้สนใจซักถามโยมบิดาของท่าน (พระนรราชภักดี ตรอง จินตยานนท์) ว่าประพฤติตนเช่นไร สวดมนต์อย่างไร ท่องคาถาบทไหน ฯลฯ จึงได้มีบุตรที่ดี (หมายถึงท่านธมฺมวิตกฺโก) เช่นนี้ โยมบิดาของท่านก็ได้ตอบไปว่า เห็นจะเป็นด้วยเหตุที่ท่านได้ใส่ใจภาวนา สวดพระคาถามงคลสูตรอยู่เสมอนั่นเอง

อันพระคาถามงคลสูตรนี้ ตัวท่านธมฺมวิตกฺโกเอง ก็นิยมท่องบ่นเจริญภาวนาอยู่เสมอเช่นกัน ตลอดทั้งได้แนะนำผู้ใกล้ชิดบางคน เช่น คู่หมั้นของท่าน ให้หมั่นสวดภาวนาทุกวัน ทั้งเวลาเช้าตื่นนอน และเวลาค่ำก่อนเข้านอน

โดยท่านได้ให้อรรถาธิบายว่า

“มงคลคาถานี้ เป็นพระสูตรที่คัดมาจากพระไตรปิฎก ผู้ใด เล่าบ่นหรือสวดและปฏิบัติตาม ย่อมเป็นสิริมงคลอันประเสริฐ จึงเรียกว่า คาถามงคลสูตร”
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 17:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กำเนิด

ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุ หรือ พระยานรรัตนราชมานิต มีนาม เดิมว่า ตรึก จินตยานนท์

ท่านเกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2440 ตรงกับวันเสาร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีระกา

ซึ่งวันนั้นเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา คือ เป็นวันมาฆบูชา ท่านเกิดเมื่อเวลา 07.40 น.

ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนที่ท่านจะเกิด โยมแม่ของท่านได้ออกมาตักบาตรตามปกติ

พอตักบาตรพระองค์สุดท้ายเสร็จ ก็เริ่มเจ็บท้องจึงกลับขึ้นบ้าน สักครู่ก็คลอด และเป็นการคลอดง่ายมากทั้งที่ท่านเป็นบุตรคนแรกของโยมแม่

ท่านบอกอย่างขำ ๆ ว่า “อาตมาไม่ได้ทำให้โยมแม่เจ็บนาน” ท่านเกิดที่บ้านใกล้วัดโสมนัส

ท่านเป็นบุตรคนแรกของ พระนรราชภักดี (ตรอง จินตยานนท์) และนางนรราชภักดี (พุก จินตยานนท์)

ท่านมีน้องเป็นชาย 2 คน และหญิง 2 คน น้องของท่านถึงแก่กรรมเมื่อยังเยาว์สองคน เป็น 1 และหญิง 1
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 17:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วัยศึกษา

เมื่อโตขึ้นก็ได้เข้าเรียนชั้นประถมที่วัดโสมนัส และมาต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร เมื่อตอนจะจบชั้นมัธยม ท่านสอบได้ที่ 1 ของสนามสอบ

การสอบในสนามสอบนี้เป็นการสอบรวมกันหลายโรงเรียน โดยข้อสอบเดียวกัน

ฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่าท่านสอบได้เป็นที่ 1 ของประเทศไทยในสมัยของท่าน

เมื่อท่านจบจากโรงเรียนมัธยมแล้ว ท่านตั้งใจจะเรียนวิชาแพทย์ต่อเพราะท่านสนใจวิชานี้มาก เห็นว่าเป็นประโยชน์ที่จะเกื้อกูลต่อผู้ที่ต้องทุกขเวทนา เกี่ยวกับการป่วยเจ็บ

แต่โยมพ่อเป็นนักปกครอง อยากจะให้ท่านได้เป็นนักปกครองตาม จึงให้ท่านเรียนวิชาการปกครองเพื่อจะสืบตระกูล ต่อไป

เมื่อโยมพ่อปรารถนาเช่นนั้นท่านก็ตามใจโดยไปเข้าเรียน โรงเรียนข้าราชการพลเรือน ในสมัยนั้น โรงเรียนนี้ท่านเล่าว่า อยู่ในวังหลวง

ท่านได้เรียนวิชารัฐประศาสนศาสตร์ เมื่อท่านเรียนอยู่ปีสุดท้าย โรงเรียนนี้ย้ายมาอยู่ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปัจจุบัน

และท่านก็จบในปีนั้น นับเป็นบัณฑิตจุฬารุ่นแรก และดูเหมือนท่านจะสอบได้ที่ 1 อีกด้วย

ท่านนิยมความเป็นหนึ่ง ท่านบอกว่าในชีวิตของคนเรา ถ้าทำอะไรให้เป็นหนึ่งแล้วมักจะดีเสมอ

เมื่อจะทำการงาน หรือทำสิ่งใดก็ต้องทำใจให้เป็นหนึ่งมุ่งอยู่ในงานนั้นจนสำเร็จ

แม้การทำสมาธิ ก็คือการทำจิตให้เป็นหนึ่ง คือเอกัคตา
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 17:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สู่ราชสำนัก


ถ่ายกับล้นเกล้า รัชกาลที่ 6 ในชุดร่วมฝึกเสือป่า
พระยานรรัตนราชมานิต (คนที่ 4 จากขวา)


เมื่อท่านจบการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ได้รับประกาศนียบัตรในวิชารัฐประศาสนศาสตร์ในสมัยนั้นแล้ว

ได้มีการซ้อมรบเสือป่าที่ค่ายหลวงอำเภอบ้านโป่ง จังหวัด ราชบุรี (ท่านบอกว่าเมื่อสมัยนั้นเป็นเขตจังหวัดกาญจนบุรี)

ท่านในฐานะเสือป่าได้เข้าร่วมซ้อมรบครั้งนี้ด้วย ท่านได้รับหน้าที่ให้เป็นคนส่งข่าว โดยมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ

และการซ้อมรบครั้งนี้เอง ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านอย่างมากมาย จากความตั้งใจที่จะเป็นข้าราชการฝ่ายปกครอง มาเป็นข้าราชสำนัก โดยที่ท่านไม่เคยนึกฝันมาก่อน

เนื่องจากขณะนั้นท่านมีรูปร่างแบบบาง ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 จึงได้รับสั่งถามว่า ตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ถ้านำข่าวไปแล้วถูกข้าศึกดักทำร้ายจะสู้ไหวหรือ ซึ่งท่านก็กราบบังคมทูลว่า ต้องลองสู้กันดูก่อน ส่วนจะสู้ไหวหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

จากคำกราบบังคมทูลนี้ ปรากฏว่าล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ทรงพอพระราชหฤทัยมาก

เมื่อซ้อมรบเสร็จได้มีการเลี้ยงเนื่องในการซ้อมรบครั้งนี้ และล้นเกล้าฯ ได้โปรดให้รับใช้ใกล้เคียง และได้รับสั่งชวนให้ไปรับราชการในวังก่อน เมื่ออายุมากกว่านี้ จะออกมารับราชการฝ่ายปกครองก็จะโปรดให้เป็นเทศาฯ เสียทีเดียว

เมื่อท่านเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้โอกาสเช่นนี้แล้ว จึงกราบบังคมทูลว่า แล้วแต่จะทรงโปรด ฉะนั้น เมื่อเสร็จการซ้อมรบท่านก็ตามเสด็จเข้าไปอยู่ในวังเลย

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 17:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อภัยทาน

ท่านเล่าว่าชีวิตของท่าน ระยะแรกที่เข้าไปอยู่ในวังนั้น ท่านถูกตั้งข้อรังเกียจจากชาววังสมัยนั้น

ใคร ๆ ก็ว่า พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเด็กเลี้ยงควาย ถึงกับให้มารับใช้อย่างใกล้ชิด เป็นเหตุให้ถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานา

เช่น เมื่อเข้าเวรก็มีคนเอาน้ำมาราดที่นอนของท่าน เมื่อกลับมาท่านก็นอนไม่ได้เพราะที่นอนชุ่มน้ำหมด

ท่านก็อดทนไม่ปริปากบ่น หรือบอกกับใครถึงการที่ถูกกลั่นแกล้งนี้ แต่การกลั่นแกล้งเช่นนี้ก็ไม่หยุด ท่านจึงหาวิธีแก้ไข โดยไม่นอนบนที่นอน รื้อที่นอนทิ้ง แล้วนอนบนเหล็กแทน

ที่ว่านอนบนเหล็กนี้ เพราะเตียงที่ใช้นอนทำด้วยเหล็กและที่ พื้นเตียงก็เป็นเหล็กเส้นพาดไปมา ส่วนหมอนก็ไม่ใช้ เมื่อท่านทำเช่นนี้ก็ไม่มีใครมาแกล้งได้

ท่านบอกว่าท่านรู้ว่าใครมาแกล้ง แต่ท่านก็ไม่ว่ากระไร แม้เมื่อท่านขึ้นมาเป็นเจ้ากรมห้องพระบรรทม กลุ่มที่แกล้งท่านกลับมาอยู่ใต้บังคับบัญชา

ท่านก็ไม่เคยคิดจะแก้แค้นแต่อย่างใด ท่านให้อภัยทุกคน การให้อภัยทานนี้ ทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นการทำทานอย่างสูงสุด
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-4 17:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แตกฉาน

เมื่อท่านธมฺมวิตกฺโก ได้เข้ารับราชการแล้ว ท่านก็ขวนขวายหาวิชาความรู้เพิ่มเติม เพื่อจะได้รับราชการสนองคุณได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง

ท่านได้จ้างครูสอนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส จนสามารถใช้ภาษาทั้งสองนี้ได้ดี

ท่านได้เรียนวิชามวยไทย ฟันดาบ และยูโด โดยท่านจ้างครูที่ชำนาญในวิชานี้มาสอนแต่ละวิชาเลยทีเดียว และท่านได้ศึกษาวิชาต่อสู้นี้จนแคล่วคล่อง ในกระบวนการต่อสู้ต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา

นอกจากนี้ท่านยังสนใจวิชาโหราศาสตร์ โดยเฉพาะการดูลายมือ การดูลักษณะ ซึ่งปรากฏว่าท่านสามารถทายลายมือได้แม่นยำมาก

ด้วยความสนใจในวิชานี้ ท่านเคยขอเจ้าคุณพัสดีฯ เข้าไปดูลายมือนักโทษที่จะถูกประหารชีวิต เพื่อเป็นการศึกษาและยืนยันความมีอยู่จริงของวิชานี้

ยังมีอีกวิชาหนึ่งที่ท่านสนใจเป็นพิเศษเช่นกัน คือวิชาโยคศาสตร์ และด้วยวิชานี้สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายท่านจากแบบบางมาเป็นล่ำสันแข็งแรง

เนื่องจากท่านสนใจวิชาแพทย์มาแต่เด็ก เมื่อมารับราชการท่านก็มิได้ละทิ้งความสนใจนี้ ท่านเล่าว่าท่านได้ขอท่านเจ้าคุณแพทย์พงศาฯ ผ่าศพดูด้วยตนเองเพื่อการศึกษา จนกระทั่งเจ้าคุณแพทย์พงศาฯ มอบกุญแจห้องเก็บศพให้

จากการผ่าศพนี้ ทำให้ท่านมีความรู้ทางกายวิภาคอย่างแตกฉาน และด้วยความรู้นี้ท่านสามารถบรรเทาอาการทุกขเวทนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้

ท่านได้เล่าให้ฟังว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประ ชวรและได้รับการผ่าตัดพระอันตะ (ลำไส้) และหลังจากการผ่าตัดนั้นแล้ว เมื่อเสร็จจากการเสวยพระกระยาหารเกือบทุกครั้งจะปรากฏว่า พระกระยาหารที่เสวยนั้นจะไปติดพระอันตะตรงที่ผ่าตัดนั้น ทำให้ประชวรทรมานมาก

ท่านต้องช่วยด้วยการเอามือนวดไปตามพระอันตะ และค่อย ๆ ดันให้พระกระยาหารที่ติดอยู่ตรงช่วงนั้นเลื่อนเลยไปก็จะหายประชวร ซึ่งไม่มีใครทำถวายได้เลย นอกจากท่านเพียงคนเดียว
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้