ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เรื่องเล่า อ่านสนุก ^^

[คัดลอกลิงก์]
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-29 16:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตัดเหล็กไหล
หลังจากบอกกล่าวเหล่าเทพาอารักษ์ที่ปกปักรักษาถ้ำอาถรรพ์เสร็จแล้ว พระอาจารย์เสาร์ผู้เป็นอาจารย์
หน้า 6
ใหญ่ก็บัญชามอบหมายหน้าที่ต่างๆให้เหล่าอริยะศิษย์ พระอาจารย์สิงห์รับหน้าที่ถือขันบรรจุน้ำผึ้ง พระอาจารย์มั่นรับหน้าที่เป็นผู้ตัดเหล็กกายสิทธิ์ เณรน้อยผู้ติดตามดูแลเทียนไม่ให้ดับ พระอาจารย์ใหญ่เริ่มกล่าวสัคเคอัญเชิญเทวดามาร่วมประชุมฟังพระธรรม แล้วจากนั้นก็เริ่มสาธยายพุทธมนต์บทต่างๆ เป็นลำดับๆ ไป   จากน้ำเสียงและท่วงทำนองที่เรียบๆ เบาๆ ก็ค่อยๆ ดังขึ้นๆ แล้วสลับเป็นเสียงหนักเสียงเบา เสียงสวดนั้นดังก้องกังวานสะท้อนสะเทือนไปทั่วถ้ำ ฟังแล้วชวนให้ขนพองสยองเกล้า เสียงสวดของหลวงพ่อช่างมีพลังมีความขลังอย่างน่าพิศวง
        เวลาผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูป ก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ชวนให้ขนลุกชูชัน บนผนังถ้ำที่แสงเทียนส่องกระทบมองเห็นหัวตะปุ่มตะป่ำคล้ายผนังถ้ำมันเป็นโรคขึ้นตุ่มตาเต็มไปทั่วผิวมีมากมายมหาศาล เป็นพืดกระจายเต็มไปทั่วบริเวณผนังถ้ำที่อยู่เบื้องหน้ามันลามเข้าไปในถ้ำชั้นในสุดสายตาที่มองเห็น ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้นแน่ มันส่องประกายแพรวพรายมะเมื่อม มันค่อยๆ ขยับตัวเคลื่อนไหวดูน่าสะพรึงกลัวจับขั้วหัวใจ เณรน้อยรู้สึกกระสับกระส่ายหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด หวาดหวั่นพรั่นพรึงจนแทบจะควบคุมสติไม่อยู่เหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลอาบหน้าและเปียกชุ่มจีวรไปทั้งตัว  อากาศภายในถ้ำมันทั้งอบทั้งอ้าวเหม็นกลิ่นสาบสางแทบจะสำลักตาย เจ้าเณรน้อยรู้สึกหนาวสะท้านเหมือนจะเป็นไข้ ขากรรไกรกระทบกันเบาๆ ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้เกิดเสียงดังเกรงจะรบกวนการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ใจหนึ่งก็กลัวจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนวันก่อน ใจหนึ่งก็มั่นใจในกิตติศัพท์ชื่อเสียงของหลวงพ่อทั้งสาม พระอาจารย์ใหญ่ผู้รู้สภาวะหันไปยิ้มปลอบโยน พร้อมยกมือขึ้นตบศีรษะเณรหนุ่มน้อยเบาๆ ทำให้กำลังใจกลับคืนมาเกือบเต็มร้อย แต่ก็ยังหวาดๆ กับภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาในขณะนี้  
        ตุ่มแร่เหล็กมรณะอันใหญ่ที่สุดกว่าเพื่อนดูท่าจะเป็นหัวหน้า มันส่ายหัวไปมาแล้วก็ค่อยๆ ยืดตัวออกจากผนังถ้ำมองดูลักษณะไม่ผิดไปจากลำตัวและหัวของอสรพิษร้ายเลย มันส่ายหัวไปมาเพื่อมองหาเหยื่อ กลัวมันจะฉกพระอาจารย์มั่นและพระอาจารย์สิงห์ก็ปานนั้น เพราะท่านทั้งสองนั่งอยู่ใกล้ๆพวกกองทัพแร่เหล็กอาถรรพ์อันน่าขยะแขยงนั้นห่างสักสองวา  เสียงสวดพุทธมนต์กังวานขึ้นกว่าเก่า มันช่างมีพลังอย่างประหลาดลึกล้ำยิ่งนัก  ทันใดนั้นเจ้าแร่เหล็กมีชีวิตก็พุ่งหัวลงมาที่ขันน้ำผึ้ง ที่พระอาจารย์สิงห์ถืออยู่ในมือ มันเริ่มดูดกินน้ำผึ้งป่าซึงเป็นอาหารจานโปรดของมันอย่างเอร็ดอร่อยจนเกิดเสียงดังจวบๆลั่นถ้ำ พอได้จังหวะอันควรแล้ว พระอาจารย์เสาร์ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ ก็พยักหน้าให้สัญญาณพระผู้เป็นศิษย์เอกให้ลงมือทำการได้  พระอาจารย์มั่นจ่อคมหญ้าคาที่เตรียมมาหนึ่งใบลงบนตำแหน่งคอของแร่เหล็กกายสิทธิ์นั้น ถึงเวลานี้เณรน้อยผู้เป็นศิษย์ทั้งหวาดหวั่นทั้งงุนงง “ขนาดมีดหมอเล่มเบ้อเริ่มเทิ่มแถมยังคมกริบ ยังจัดการกับเหล็กผีสิงนี้ไม่ได้ ประสาอะไรกับหญ้าคาต้นเล็กๆ คมทื่อๆ จะจัดการกับความแข็งแกร่งของเหล็กอาถรรพ์นี้ได้รึ” พระอาจารย์ผู้รับหน้าที่เฉือนคอเหล็กมรณะหันมายิ้มน้อยๆ ให้กับลูกเณรผู้สงสัย  การรู้วาระจิตของผู้อื่นเป็นเรื่อง
หน้า 7
ธรรมดาของท่านอยู่แล้ว พระผู้เป็นอริยะกดคมหญ้าคาลงบนสายแร่เหล็กอาถรรพ์นั้นเบาๆ “เพล้ง....” ขันลงหินที่บรรจุน้ำผึ้งจนเต็ม ร่วงหลุดจากมือของพระอาจารย์สิงห์ลงกระทบกับพื้นถ้ำ อันเป็นหินศิลาเนื้อแข็งแกร่ง น่าประหลาดยิ่งนัก ธรรมดาอันว่าขันลงหินนี้ หากร่วงหล่นลงสู่พื้นที่แข็งแกร่งป่านนี้ ขันนี้ก็จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที  แต่นี่น่าประหลาดเป็นนักหนา ไม่เพียงแต่จะไม่แตกหรือบิ่นแล้ว น้ำผึ้งที่บรรจุอยู่เต็มเกือบล้นในขันนั้น ยังกลับไม่หกหรือกระฉอกออกมาจากขันแม้เพียงสักหยดเดียว
        พระอาจารย์มั่น ล้วงมือลงในขันน้ำผึ้งนั้นหยิบเอาวัตถุสีดำมะเมื่อมออกมา มันมีลักษณะกลมเกลี้ยงเหมือนลูกแก้วที่เด็กโยนเล่น ขนาดก็ประมาณเท่าๆนั้นเช่นกัน ความแปลกประหลาดไม่เพียงแต่คมหญ้าคาจะตัดเหล็กมรณะจอมหนังเหนียวได้ อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นๆกับตาก็คือหลวงพ่อมั่นท่านตัดเหล็กอาถรรพ์นั้นมีความยาวเกือบศอก และก็เป็นท่อนกลมๆ คล้ายกระบอกข้าวหลาม แต่ไฉนพอขาดออกจากกันแล้วกลับกลายเป็นก้อนกลมเกลี้ยงแถมมีขนาดเล็กเหลือเพียงเท่ามะขามป้อมหรือลูกแก้วของเล่นเด็กๆไปได้  นี้แหละหนออาถรรพ์ของธรรมชาติมันเกินที่มนุษย์ปุถุชนคนมีกิเลสหนาจะเข้าใจและเข้าถึงได้
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-29 16:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ล้างอาถรรพ์   
พิธีกรรมเฉือนคอโคตรเหล็กจอมอิทธิฤทธิ์ดำเนินการต่อไป และทุกครั้งที่ท่านพระอาจารย์มั่นตัดเหล็กไหลมรณะเหตุการณ์ก็จะเหมือนกันทุกครั้งไป   คือขันน้ำผึ้งจะร่วงหลุดจากมือของท่านพระอาจารย์สิงห์ มันคงจะหนักมากสินะจึงไม่สามารถจะต้านทานความหนักหน่วงนั้นได้ เหล็กกายสิทธิ์ที่หมู่มนุษย์ผู้ละโมบใฝ่หาอยากได้ครอบครอง จนต้องพากันเอาชีวิตมาเซ่นสังเวย ณ ที่แห่งนี้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนนับแต่อดีตจวบจนวันที่สามพระอริยะมาปรากฏกายขึ้น ณ แดนอาถรรพ์แห่งนี้ ถูกหลวงพ่อมั่นตัดแจกจนครบทุกรูปรวมถึงตัวท่านเองด้วย
        เอาหละพิธีก็สิ้นสุดลงเท่านี้ ต่อจากนี้พวกเรามาสวดส่งผีเปรตทั้งหลายที่อยู่หนาแน่นเต็มไปหมดทั้งในถ้ำและนอกถ้ำแห่งนี้เถิด   หลวงพ่อเสาร์ผู้เป็นพระอาจารย์เอ่ยขึ้นเมื่อสิ้นสุดพิธีศักดิ์สิทธิ์ลง   ผีเปรตที่พระอาจารย์ใหญ่พูดถึงนั้นก็คือ ดวงจิตวิญญาณของทั้งพระทั้งคน ที่พากันเดินทางเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ด้วยหวังจะมาเอาเหล็กกายสิทธิ์ไปครอบครองและขายให้พวกมหาเศรษฐี   ด้วยใครๆ ก็รู้ว่า “เหล็กไหล” มันคือแร่ธาตุที่มีอานุภาพและอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้ผู้ทีเป็นเจ้าของมัน จะประสบแต่ความสมหวังในชีวิตทุกประการ อาวุธใดๆ ก็ทำอันตรายไม่ได้ ฐานะการเงินการงานก็มีแต่ดีขึ้นๆ รวยขึ้นๆ มันเป็นเหล็กสารพัดนึกหรือแก้วสารพัดนึกนั่นแหละ ด้วยเหตุนี้ผู้คนทั้งหลายจึงพร้อมที่จะเสี่ยงความตายเพื่อจะให้ได้มาซึ่งของวิเศษอันนี้
        สามมหาสมณะผู้เข้าถึงแดนมรรคธรรมขั้นสูงแล้ว     เริ่มพิธีสวดแผ่เมตตาและบังสุกุลส่งเหล่าดวงจิต
หน้า 8
วิญญาณแห่งผีเปรตทั้งหลาย ที่ทนทุกข์ทรมานมานานแสนนาน ให้หลุดพ้นจากความเป็นเปรตร้าย และให้ไปผุดไปเกิดในอัตภาพที่ดีกว่า  เวลาผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูปพิธีปลดปล่อยดวงจิตวิญญาณฝูงผีร้ายที่ทนทุกข์ทรมานมาชั่วกาลนานก็สิ้นสุดลง บรรยากาศที่แสนอึดอัดเหมือนมีคนนับแสนๆ ล้านๆ มาแออัดยัดเยียดแย่งอากาศกันหายใจอยู่ในห้องเดียวกัน ก็ค่อยๆ ปลอดโปร่งโล่งขึ้น สายลมเย็นพัดโชยแผ่วๆ แล้วค่อยๆ แรงขึ้นๆ จับทิศทางไม่ได้ว่ามาจากทิศทางไหนแต่มันพัดมาจากภายในถ้ำแล้วผ่านผิวกายสี่สมณะศิษย์พระตถาคตเจ้า ออกไปสู่ปากถ้ำที่อยู่ห่างออกไปประมาณสักห้าสิบวา คงจะมีปล่องอากาศขนาดใหญ่อยู่จุดใดจุดหนึ่งของถ้ำ  ความจริงแล้วภายในคูหาถ้ำแห่งนี้มันดูลึกลับสลับซับซ้อนมาก มีตรอกซอกถ้ำเป็นคูหาคล้ายๆห้องนอนมากมาย แต่ละห้องๆอาจสามารถบรรจุคนได้ห้องละเป็นร้อยๆคน และถ้ำอาถรรพ์นี้มีขนาดกว้างใหญ่มากคงบรรจุคนได้นับเป็นพันคนหรือมากกว่านั้น มีหมู่หินย้อยเป็นพวงระย้ายามต้องแสงไฟจากเปลวเทียนแพรวพรายระยับละลานตา สุดสวยงามดุจดั่งโคมไฟระย้าประดับเพชรในเวียงวัง บรรยากาศรอบๆ กายของสี่สมณะเจ้าบัดนี้ปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างแปลกประหลาด ผิดกับช่วงเวลาที่ผ่านมามันอึดอัดเหม็นอับสาบสาง จนหายใจแทบจะไม่ออก กลิ่นดอกไม้ป่าหลากหลายสายพันธุ์โชยเคลียเคล้ามากับสายลมยามบ่าย หอมชื่นใจคลายความตึงเครียด เสียงหวีดหวิวโหยหวนแล้วกลับกลายคล้ายเสียงผู้คนมากมายสาธุการแล้วหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข เสียงนั้นอื้ออึงแล้วค่อยๆลอยจางห่างไกลออกไปทางปากถ้ำตามกระแสสายลม   ที่กำลังพัดพลิ้วโชยผ่านไป
จากนั้นสามอริยะเจ้าก็หันไปสวดพุทธมนต์อัญเชิญกลุ่มมหาเหล็กไหลให้พากันอพยพ หลบลี้คนผู้ลโมบไปอยู่ในถ้ำที่ห่างไกลใจกลางป่าทึบดงดิบอันไกลโพ้น ณ ที่แห่งนั้นแม้นใครจะเก่งกล้าปานใดก็ไปไม่ถึง  “พวกเจ้าจงไปอยู่ในถ้ำที่อยู่ห่างไกลเมืองคนที่สุด จงพากันไปอยู่ในถ้ำแก้วเมืองพนมฉัตรของชาวบังบดโพ้นเถิด จะเป็นที่อยู่ที่เหมาะสมของพวกเจ้า ความตายความหายนะของหมู่มนุษย์ผู้โลภมากทั้งหลายก็จะได้ยุติสิ้นสุดหยุดลงเสียที” เสียงเรียบๆ ยะเยือกเย็นแต่ดังกังวานสะท้านถ้ำมหาอาถรรพ์ของพระอาจารย์เสาร์จบลง   ก็เกิดภาพอัศจรรย์พันลึกขึ้นในทันใด ณ บริเวณเพดานถ้ำที่เต็มไปด้วยหัวตะปุ่มตะป่ำดำมะเมื่อมของหมู่แร่เหล็กกายสิทธิ์ เกิดภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าขึ้น เกิดการขยับตัวและเคลื่อนไหวของหมู่แร่เหล็กมรณะ คราวนี้เห็นกับตาว่ามันมีมากมายมหาศาลดูยุบยับเต็มไปหมดชวนให้ขนลุกซู่ชูชันขยะแขยงเกินคำบรรยาย หลวงพ่อมั่นพูดขึ้นมาลอยๆ ดั่งรู้ถึงความคิดของเณรน้อย “ไม่ใช้เป็นแสนดอก เป็นล้านๆ ตัวเลยละ หึๆๆ” พูดพร้อมกับหันมาทางเณรน้อยลูกศิษย์ใหม่พร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ เล่นเอาหน่อเนื้อพุทธางกูรตัวน้อยสะดุ้งโหยง   พระอาจารย์ชั่งรู้ใจจริงๆ มันตรงกับความคิดของตนในขณะเลย ท่านเฉลยข้อสงสัยแก่เณรน้อยแล้ว เสียงเฟี้ยว...เคว้ง..ดังอึงคะนึงสะท้อนสะท้านไปตามซอกคูหาหินและหินย้อยระย้า ดังกังวานสะท้านดั่งระฆังพันๆใบถูกเคาะพร้อมๆกัน ฟังแล้วชั่งสะท้อนสะเทือนไปสุดขั้วหัวใจจนเกิดอาการหนาวสะท้านไปทั้งตัวขากรรไกรของสามเณรผู้ศิษย์ใหม่สั่นกระทบกันดังแก็กๆๆ ลั่นถ้ำ       แข่งกับเสียงการเคลื่อนทัพของหมู่มหาเหล็กอาถรรพ์
หน้า 9
ส่วนสามพระอาจารย์ท่านอยู่ในอาการสงบหลับตาแน่วนิ่งกำหนดพลังจิต ส่งกองทัพมหาเหล็กกายสิทธิ์ไปสู่ดินแดนอันอยู่แสนไกล
        เรื่องราวเหล็กอาถรรพ์แร่มรณะ ความตายของผู้ปรารถนาจะครอบครองมัน  ถึงเวลาปิดฉากลงเสียที เหล็กไหลเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่และเป็นผู้ไม่มีความโลภเท่านั้นจึงจะได้เป็นเจ้าของ และที่สำคัญคือ เหล็กไหลเป็นของคู่บารมีเฉพาะผู้มีบุญบางคนเท่านั้น เลิกคิดที่จะแสวงหาต่อไปอีกเลยสูเจ้าทั้งหลายเอ๋ย ถ้าสูเจ้ามีบุญคู่ควรกับเหล็กไหล เหล็กไหลก็จะมาหามาอยู่กับสูเจ้าเอง เงินสักกี่แสนกี่ล้านหรือหมดทั้งโลกนี้รวมกันมา ก็ซื้อเหล็กกายสิทธิ์ไม่ได้แม้แต่สักก้อนเท่านิ้วก้อย ดอก หึๆๆ  สาธุ

บทที่ 2
“ตอนพนมฉัตรนคร”
ริมทะเลสาบกลางขุนเขา
        ท่ามกลางหมู่เทือกเขาน้อยใหญ่อันสลับซับซ้อนและยาวเหยียดนับเป็นแสนๆ กิโลเมตร เป็นม่านฉากกั้นระหว่างประเทศเวียดนามและประเทศลาวนั้น  มีขุนเขาลูกหนึ่งใหญ่มหึมาสูงทะมึนเสียดฟ้านอนทอดกายสงบนิ่งมาเป็นเวลานานนับล้านๆ ปี  มันแวดล้อมไปด้วยป่าไม้ดงดิบหนาทึบทั้งน้อยและใหญ่ แมกไม้นาๆ พันธุ์ ดอกไม้ กล้วยไม้ป่า นับล้านๆ ชนิดดารดาษงดงามเกินจะเอ่ยถ้อยคำใดๆบรรยาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเหล่าสัตว์ป่าดงดิบ อาทิ หมูเขี้ยวตันตัวเท่าลูกช้างมากมายหนาแน่นอยู่กันเป็นโขลงๆ ช้างป่า เสือทุกชนิด อีกทั้งเสือสมิงจอมอาถรรพ์   อสรพิษใหญ่ยักษ์มากมาย  เก้ง กวาง วัวกระทิง   ลิง ค้าง บ่าง ชะนี และสัตว์ต่างๆ ที่หมู่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ในถิ่นเจริญยังไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักอีกมากมาย  ทั้งยังมีฝูงผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ผีกองกอย ผีโพลง ผีกระสือ ผียักษ์  อาถรรพ์ลี้ลับอีกมากมายเกินจะคณานับ   ธรรมชาติช่างมีฝีมือในการผสานผสมกันระหว่าง อาถรรพ์หฤโหดและความอ่อนโยนสวยงามต่างๆ เช่น มวลหมู่แมกไม้ ขุนเขาทะมึนเสียดฟ้า ป่าดิบดงทึบ สายน้ำตก ดอกไม้ สัตว์ป่าอ่อนโยน สัตว์โหด ผีร้าย เหล่ายักษ์ทมิฬ เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ กลมกลืนสมานฉันท์หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้อย่างลงตัวไร้ปัญหา   มีเพียงประติมากรรมชิ้นเดียวเท่านั้นที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นแล้วควบคุมมันไม่ได้ ซ้ำมันยังหันกลับไปเล่นงานผู้สร้างมันขึ้นมาเองเสียอีก ปติมากรรมที่แสนจะเลวร้ายและเนรคุณชิ้นนี้ก็คือ “ฅ. คน” นี้เอง
        แดนดินถิ่นอาถรรพ์ดิบ ธรรมชาติที่งดงามดั่งเมืองเนรมิตที่ผมกำลังเขียนบรรยายอยู่นี้   มันคือเทือก “ภูเขาควาย”ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความอัศจรรย์พันลึก ความตาย ความเป็นอมตะ และความลึกลับต่างๆ เกิน
หน้า 10
ที่หมู่มวลมนุษย์ผู้ล้นเหลือด้วยกิเลสจะเกิดความเชื่อได้  แต่มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นมานานนับล้านๆ ปีแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครจะไปเปลี่ยนสภาวะอาถรรพ์ดิบนี้ได้   นอกจากจะเอาชีวิตไปเซ่นสังเวยความโหดดิบเท่านั้น
“เอาหละ...เราพักปักกลดกันที่ตรงนี้ก็แล้วกันคืนนี้”  หลวงปู่แพงตาผู้เป็นหัวหน้าคณะและเป็นพระอาจารย์ของสองสมณะผู้ติดตามเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ  เมื่อเดินสำรวจดูทิศทางของน้ำป่า ทางเดินของสัตว์ป่า เห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว สามหน่อพุทธวงศ์ก็โดยมีพระสองรูป   สามเณรวัยสิบเจ็ดหนึ่งรูป ก็แยกย้ายกันไปกำหนดหาที่ปักกลดโดยหลวงปู่แพงตาผู้อาจารย์แนะนำทิศทางให้  หลวงปู่แพงตาขณะนั้นท่านมีอายุอยู่ราวๆ สัก 50 ปี หลวงปู่คำตาซึ่งเป็นพระอาจารย์ของผมเอง ท่านมีอายุ 45 ปี สามเณรน้อยผู้ติดตาม (ผมไม่รู้จักท่านจึงไม่บอกชขื่อ) มีอายุสิบเจ็ดปี   สถานที่พักปักกลดคืนนี้อยู่บริเวณริมน้ำตกใหญ่สวยงามมาก มีชั้นหมู่หินใหญ่น้อยสลับซับซ้อนไต่ตัวลงมาจากยอดเขาสูงชันเสียดฟ้า ซึ่งเป็นทางมาแห่งสายน้ำตกอันสวยงามอลังการนั้น   ธารน้ำตกสาดสายกระแทกโขดหินซับซ้อนดังซ่าๆ โซ่ๆ สนั่นป่าดิบ เคล้าคลอด้วยเสียงนกป่าและสัตว์ป่านาๆ ชนิด ที่กู่ร้องหากันในยามใกล้อัสดงผสมผสานเสียงพระพายยามสนธยาพัดโชยสะบัดกิ่งไม้ยางยูงที่ทอดตัวสูงเสียดเมฆา ฟังแล้วชวนคะนึงถึงเสียงเพลงและเสียงทิพยดนตรีของเหล่าคนธรรพ์ที่บรรเลงเพลงสรรเสริญหมู่เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ ชวนให้ดวงจิตเคลิบเคลิ้มระคนเคว้งคว้างวังเวงขนตามตัวชูชันลุกซู่อย่างประหลาด กลิ่นดอกไม่ป่านาๆ พันธุ์ที่ขึ้นดารดาษอยู่ทั่วบริเวณโชยกลิ่นมาตามสายลมอ่อน กระทบจมูกหอมเย็นระรื่นใจ   ลำแสงสุดท้ายของดวงสุริยาส่องลอดช่องว่างของค่าคบไม้ สาดลงมากระทบสายธารน้ำตกที่ไหลซ่าไปทางทิศคะวันตก มองเห็นเป็นแสงระยิบระยับ ดุจเทพยุดานำเอาเกล็ดเพชรนิลจินดามาโปรยบูชาผืนแผ่นแม่พระคงคา ธรรมชาติยามนี้ช่างแสนสวยงามดั่งนั่งอยู่ท่ามกลางเมืองแมนแดนสวรรค์   สามสมณะหน่อพระไตรรัตน์แก้ว นั่งล้อมวงฉันน้ำร้อนดับเวทนาที่เกิดจากการหิวกระหาย ความเหน็ดเหนื่อยจากการบุกป่าฝ่าดงดิบมาตั้งแต่เพลาเช้า สร่างซาลงแล้วก่อนจะแยกย้ายกันเข้ากลดที่ปักห่างกันชั่วเรียกกันถึง   หลวงปู่แพงตาผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้เอ่ยเตือนสติสองศิษย์ที่มีอายุต่างกันกันด้วยเสียงเรียบๆ ขึ้นว่า “ท่านคำตา และ ลูกเณรเอ๋ย การอยู่ป่าดงดิบนั้นทุกก้าวและลมหายใจเข้าออก ล้วนแต่อันตราย ศีลที่บริสุทธิ์เท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของเราไว้ได้ โดยเฉพาะเหล่ากอหน่อสมณะอย่างพวกเรา อาวุธสำคัญที่มีพะลานุภาพสูงที่สุดมีอยู่สองอย่างคือ ศีล และ สติ เท่านั้น จงรักษาศีลและเจริญสติให้มากๆ ภัยใดๆ ก็จะกล้ำกรายไม่ได้”
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-29 16:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เส้นทางสู่นครพนมฉัตร
        เสียงไก่ป่าส่งเสียงขันประสานรับกันทอดยาวเป็นคำรบที่สาม  บ่งบอกถึงเวลาสว่างแล้ว ลมยามอรุณรุ่งสางโชยสะบัดน้ำค้างจากหมู่ใบไม้หลุดร่วงพรูลงกระทบหลังคากลดดังซ่า.. .เหล่าวิหกนกไพรส่งเสียงกู่หากัน
หน้า 11
เพื่อถามไถ่กันว่าราตรีนี้หลับสบายดีกันไหม ปลอดภัยกันหรือเปล่า ยังอยู่กันครบกันหรือไม่ วันนี้จะไปหาอาหารกันที่ไหนกันดี  เสียงเสือสมิงดังสะท้านป่าเป็นระยะๆ เสียงแปร๋นๆ ของช้างป่าหัวหน้าโขลง ร้องให้สัญญาณแก่พลพรรคว่าตะวันจะขึ้นแล้ว สัตว์ป่ากลางวันทยอยส่งเสียร้องหากันอึงคะนึงไปทั่วป่าดิบไพรหนาค่อยๆกลบเสียงสัตว์กลางคืนให้ห่างจางไป  เหล่ามวลบุปผาป่าที่แสนงามก็ไม่น้อยหน้าพากันแย้มกลีบบาน ปล่อยกลิ่นหอมรัญจวนใจคลุ้งไปทั่วผืนป่าริมสายธารน้ำตกอันใสเย็นยะเยือกนั้น แม้เวลาอรุณจะแก่กล้าดวงสุริยะเทพปรากฏกายขึ้นเหนือยอดเขาอันสูงชันเสียดฟ้าแล้วก็ตาม  แต่ลำแสงอันทรงพะลานุภาพแห่งสุริยะขัยก็ยังไม่อาสามารถแหวกม่านหมอกอันหนาทึบที่แผ่ปกคลุมผืนป่านั้นได้เต็มที่  บรรยากาศทั่วบริเวณยังสลัวมัวครึ้มยังกับว่าเพิ่งจะตีห้า  แต่สมณะผู้ช้ำชองป่าดิบอย่างหลวงปู่แพงตา ก็กำหนดรู้เวลาอันควรแก่การลุกขึ้นทำกิจแห่งการเจริญสมณะธรรม   ท่านส่งเสียงกระแอมไอให้สัญญาณปลุกสองศิษย์สมณะผู้ติดตาม ไถ่ถามถึงการพักผ่อนในรัตติกาลที่ผ่านมา   เมื่อทราบว่าศิษย์ทั้งสองยังสุขสบายดี   ก็สั่งสำทับให้ลุกขึ้นทำกิจแห่งธุดงควัตรให้ถึงพร้อมเพื่อความไม่ประมาทและผิดข้อวัตรปฏิบัติแห่งเหล่ากอผู้เคร่งธรรม
        เสียงน้ำตกยังคงส่งเสียงโซ่ซ่ารักษาหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ซื่อตรง   ละอองฟองฝอยของมันปลิวกระจายสร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่มวลนาๆพฤกษาที่อยู่ล้อมรอบมัน เป็นอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนานมาแล้ว   แผ่เมตตา ถอนฌานสมาธิแล้ว ก็ออกจากลดพากันเดินมุ่งสู่สายธารน้ำตกอันกว้างใหญ่คล้ายทะเลสาบกลางขุนเขาป่าใหญ่ดงดิบ เพื่อชำระรูปกายที่คายของโสโครกออกมาท่วมสรีระตลอดราตรีกาล
        ชำระความเหม็นของผิวกายอันเน่าเปื่อยอยู่ตลอดเวลาด้วยธารน้ำใสจากธรรมชาติ  สดชื่นอิ่มเอิบด้วยอากาศที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้มลภาวะ  ห่มดองครองจีวรเป็นปริมณฑลดีแล้วก็เดินกลับสู่สถานที่ๆ ปักกลด ปลดบาตรที่แขวนบนกิ่งไม้ลงมา เทน้ำที่กรองดีแล้วลงในบาตร ล้วงมือลงในบาตรคนไปมา แล้วก็ยกขึ้นฉัน   รู้สึกสดชื่นอิ่มเอมประดุจได้รับรสแห่งอาหารทิพย์จากเหล่าเทพยุดา   ความหิวโหยหายไปในบัดดล ความกระปี้กระเป่ากระฉับกระเฉงบังเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์
“เทวดาจะมาอุปัฏฐากถวายอาหารทิพย์ให้พระธุดงค์ ที่มีศีลดี ศีลบริสุทธิ์ เทวดาเขาอยากได้บุญมากๆ เพราะบุญคือของวิเศษของพวกเทวดา” หลวงปู่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่บรรลุธรรมแล้วจะบอกตรงกันอย่างนี้ การพักปักกลดท่ามกลางผืนป่าดิบขุนเขาซับซ้อนห่างวไกลบ้านเมือง ได้ผ่านไปอย่างปลอดภัย รอยตีนเสือรอยใหญ่ๆ เดินขวักไขว่ไปมา วนไปกลดนั้นทีกลดนี้ที รอยงูใหญ่เท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่สองรอยเลื้อยวนใกล้ๆ กลดทั้งสามหลัง
“เมื่อคืนเป็นยังไงกันบ้าง เห็นเพื่อนๆ เจ้าถิ่นมาเยี่ยมเยียนกันบ้างไหมละ หึๆๆ ?” เสียงพระผู้เป็นอาจารย์ใหญ่เอ่ยถามศิษย์ผู้ติดตามทั้งสอง หลังจากฉันเพลเสร็จแล้ว สมณะทั้งสามนั่งพักรับภัตตาหารที่ใต้
หน้า 12
ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กระท่อมของชาวบ้านป่าที่เป็นเจ้าภาพอาหารเพลวันนี้  หมู่บ้านป่าแห่งนี้อยู่ระหว่างเส้นทางธุดงค์เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านจะคุ้นเคยกับพระธุดงค์ดี
“ผมกลัวเกือบขาดใจตายเลยละครับหลวงพ่อ เสืออะไร งูอะไรก็ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ตัวมโหฬารขนาดนั้น อึ๋ย..น่ากลัวจริงๆ ผมเกือบจะลืมคำสั่งของหลวงพ่อแล้วตอนที่เห็นพวกมันมา” สามเณรหนุ่มน้อยให้คำตอบและเล่าความรู้สึกในขณะที่เผชิญหน้าจอมสมิงร้าย และเจ้าแห่งอสรพิษตัวมหึมา ที่มาวนเวียนอยู่รอบกลดและยืนจ้องมองเข้ามาในกลดโดยไม่พูดไม่จาอะไร ซึ่งขณะนั้นสามเณรเพิ่งลืมตาจากสมาธิ กำลังจะเอนตัวลงนอน เจ้าถิ่นทั้งสามตัวไม่รู้ว่ามาจากทิศไหน โดยเฉพาะเจ้าสมิงยักษ์เดินวนเสร็จมันดันยืนถลึงตามองเข้ามาในมุ้งกลด  ขนาดอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาล ยังมองเห็นดวงตาอันเขียวปัดของมันชัดเจน เสียงขู่คำรามของมันเล่นเอาผู้ถูกทักทายแทบจะคลั่งตายให้ได้ “มันเป็นเสือจริงงูจริงหรือเปล่าขอรับหลวงพ่อ” สามเณรเอ่ยถามผู้เป็นพระอาจารย์ขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังแสดงถึงความหวั่นหวาดอยู่ ผู้เป็นพระอาจารย์ทั้งสองหันหน้าสบตากันกันแล้วยิ้มน้อยๆ  แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแก้ข้อสงสัยอะไร ได้แต่บอกลูกศิษย์ตัวน้อยว่า “จงรักษาศีลให้ดี ตั้งสติอย่าให้เผลอ เห็นอะไรๆ ก็ให้สักแต่ว่ารูป เสียงอะไรๆ ก็ให้สักแต่ว่าเสียง ในป่าดงดิบมันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยอาถรรพ์อันตราย อย่าทำอะไรคิดอะไรนอกเหนือจากคำสั่งของหลวงพ่อก็แล้วกัน เป็นบุญตาของเจ้าแล้วที่ได้เห็นในสิ่งที่คนทั้งหลายยังไม่เห็น และหนทางต่อจากนี้ไปจะยิ่งกว่านี้นะเจ้าเณรเอ๋ย หึๆๆ” ศิษย์ตัวน้อยสะดุ้งโหกยงแค่ที่เห็นเมื่อคืนก็เล่นเอาปัสสาวะชุ่มจีวรแล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เหมือนหลวงพ่อรู้ใจท่านยกมือตบหัวศิษย์รักอย่างปลอบใจ “ไม่ไรดอกลูกเณรเอ้ย..เดินตามหลวงพ่อเจ้าปลอดภัยอยู่แล้ว หึๆๆ”
เหตุที่หลวงปู่ผู้เป็นหัวหน้ามาเอ่ยถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืนเอาตรงนี้ ก็เพราะท่ามกลางป่าดงดิบแดนอาถรรพ์นั้นมันมีกฎกติกาของมันอยู่ บางแห่งพูดกันได้บางแห่งต้องออกนอกบริเวณเสียก่อนจึงจะสนทนานั้นเรื่องนั้นๆได้ อยากจะพูดอะไรกันตรงไหนก็พูดเลยไม่ได้ มันผิดกฎของป่าดงดิบเขา
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-29 16:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาถรรพ์ว่านป่าดิบ
        อีกชั่วหนึ่งก้านธูปดับ ราตรีกาลก็จะสาดสีดำอาบทาผืนป่าอาถรรพ์เทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อนแล้ว บนผืนฟ้าอันเวิ้งว้างมองเห็นเมฆสีดำปนแดงฉานคล้ายเลือดมนุษย์แผ่กระจายไปทั่ว หมู่วิหคนกไพรนาๆ ชนิด กำลังเกาะกลุ่มกันบินมุ่งหน้าสู่รวงรัง มันส่งเสียงร้องทักทายกันเสียงเจี้ยวจ้าว เสียงหมู่สัตว์ป่าที่เตรียมจะออกหากินกลางคืนส่งเสียงทักทายหมู่เพื่อนสัตว์ป่าที่กำลังจะพักผ่อนในค่ำคืน ก้องกังวานสะท้อนไปตามซอกภูผา ฟังคล้ายเสียงโหยหวนเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนที่ถูกจองจำทรมาน ฟังแล้วรู้สึกหนาวสะท้านไปจับขั้วใจอย่าง ประหลาด   “ข้างหน้าโพ้น จะมีหมู่บ้านของชาวข่า พวกเราจะไปพักกันที่นั่น อดทนอีกหน่อยนะพวกเรา
หน้า 13
ที่ตรงนี้ไม่เหมาะแก่การปักกลดของพวกเรา” สภาพของป่าที่คณะสามสมณะผู้เคร่งในศีลกำลังจาริกผ่านไปนั้น มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายคนโอบยืนตระหง่านมากมายหนาแน่นมีป่าโปร่งเป็นบางช่วง   หนทางคดเคี้ยวด้วยเป็นภูเขาที่สลับซับซ้อน ขณะนี้คณะผู้เดินทางมุ่งหน้าสู่มหานครลี้ลับกำลังเดินอยู่บนเนินเขาที่ค่อนข้างสูงชันมากจึงต้องค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง หลวงปู่ผู้นำทางดูท่านจะเหมือนรู้เส้นทางดีทั้งๆ ที่นี้คือครั้งแรกที่ท่านนำคณะผู้ติดตาม บุกป่าฝ่าขุนเขาอันสูงชันเข้ามาในดินแดนที่ไม่เคยรู้จัก คงเป็นธรรมดาของผู้ที่เข้าถึงซึ่งวิชาตาทิพย์แล้วกระมัง     เหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลอาบใบหน้าของเหล่ากอสามสมณะ ผ้าจีวรเปียกชุ่มด้วยเหงื่อทั้งๆ ที่อากาศในหุบเขาวันนี้มันหนาวสะท้านเข้าขั้วหัวใจอย่างประหลาด
ดวงสุริยะขัยลาลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว ความมืดโรยตัวเข้าปกคลุมขุนเขาผืนป่าอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว ดวงตะวันไม่ยอมทิ้งแสงสุดท้ายให้เห็นในผืนป่าใหญ่เช่นนี้  ชาวข่าดูจะคุ้นเคยกับพระหรือจะเป็นด้วยบารมีของครูบาอาจารย์ พวกเขาดูช่างมีน้ำใจไมตรีอันดี  หัวหน้าเผ่านิมนต์ให้สามสมณะธุดงค์พักจำวัตรที่เรือนของตนเอง โดยบ้านในหมู่บ้านนี้สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ใช้ไม้ไผ่ทั้งลำๆ มัดติดกันเป็นแถวเป็นฝาเรือน เสาใช้ไม้จริงทั้งต้นๆใหญ่เท่าท่อนขา พื้นดินคือพื้นเรือนใช้วิธียกแคร่เฉพาะจะใช้เป็นที่นอน หลังคามุงด้วยหญ้าชนิดหนึ่งคล้ายๆ หญ้าคาแต่มีใบหนาและใหญ่กว่าวางเป็นตับๆ แล้วใช้ไม้ไผ่ทั้งลำวางทับแล้วมัดเข้าด้วยเถาวัลย์ ดูก็แข็งแรงแน่นหนาดี        ตรงกลางเรือนเป็นเตาไฟ ก่อกองไฟสุมไว้ทั้งคืนเพื่อขับไล่ความหนาวเหน็บที่แสนหฤโหดในต้นฤดูเหมนต์
คืนนั้น ทั้งสามพุทธวงศ์ได้ที่พักเป็นแคร่ขนาดใหญ่คนสิบคนนอนได้สบาย พื้นของแคร่ยกสูงจากพื้นดินประมาณสักหนึ่งวามีบันไดไต่ขึ้นสามขั้น แคร่ที่พักนี้เจ้าของเรือนทำไว้สำหรับผู้มาเยือน นี้คือความสวยงามและความเจริญทางด้านจิตใจที่ยังเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวของหมู่มนุษย์ ที่อยู่ในท่ามกลางอ้อมกอดของธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ความจริงแล้วความเจริญด้านวัตถุที่หมู่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมาอย่างไม่ยับยั้งนั้นมันคือความหายนะของหมู่มนุษย์เอง
ค่ำคืนนี้ ตรงกลางลานหน้าบ้านของหัวหน้าเผ่า มีการสุมกองไฟกองใหญ่มหึมาเปลวไฟลุกโชติช่วงสว่างไสวไปเกือบทั่วหมู่บ้านเล็กๆ นี้ เสียงประทุของเปลวไฟดังปุ่ๆ เป็นระยะๆ ดังได้ยินไปไกล เหล่าชายฉกรรจ์จำนวนสักยี่สิบกว่าคนนั่งล้อมกองไฟอาศัยความอบอุ่นจากแม่พระเพลิง มีผู้หญิงวัยชราอายุราวๆ สักเจ็ดถึงแปดสิบปีห้าคนนั่งหน้าเศร้ารวมอยู่ด้วย หญิงผู้เฒ่าเหล่านั้นมือสองข้างถูกมัดรวบติดกัน ขาก็ถูกมัดเช่นกัน เธอผู้มีวัยใกล้กองฟอนเหล่านั้นทำผิดอะไรหนอ จึงมีสภาพว่ากำลังรอการพิพากษาจากผู้นำของเผ่าชนเช่นนั้น
        เวลาล่วงสองทุ่มไปแล้ว แต่บรรยากาศบ้านป่าดงทึบเช่นนี้เหมือนว่าเวลาสักสี่ห้าทุ่มแล้ว    หัวหน้าเผ่า
หน้า 14
ก็เดินออกจากเรือนของตนตรงไปยังกองไฟหน้าบ้าน เพื่อสมทบกับลูกบ้านที่มาพร้อมกันแล้ว เขาเริ่มสั่งการลูกบ้านเป็นภาษาข่าฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อคำสั่งจบลงชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาคนแก่ทั้งห้าที่นั่งหน้าเศร้าและร้องไห้เบาๆ อยู่ หญิงแก่เหล่านั้นมีท่าทางจะดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่มากนัก เหมือนรู้ว่ายังไงก็ต้องยอมให้ชายกลุ่มนั้นกระทำบางอย่างแก่ตน  เห็นชายเหล่านั้นยัดอะไรบางอย่างเข้าปากของหญิงชราทั้งห้า ได้ยินเสียงบังคับให้เคี้ยวและกลืนกินสิ่งนั้น สีหน้าของชายผู้เป็นหัวหน้าเผ่าและคนอื่นๆดูสลดเล็กน้อย ไม่กี่ชั่วอึดใจภาพที่เห็นในตำแหน่งที่คนวัยใกล้ฝั่งทั้งห้านั่งอยู่เมื่อสักครู่ บัดนี้มีหมูตัวขนาดสักเกือบร้อยกิโลกรัมนอนดิ้นคลุกๆ ส่งเสียงร้องกรี๊ดๆทุรนทุรายไปมาจนฝุ่นผงฟุ้งกระจาย ชายจำนวนสิบคนเหมือนรู้หน้าที่ นำไม้คานหามเข้ามาสอดใส่ระหว่างขาหมูที่ถูกมัดรวบไว้ แล้วหามเดินไปอีกมุมหนึ่งของลานบ้าน ซึ่งห่างจากที่ชุมนุมไปสักสิบกว่าวา คนทั้งหมดลุกเดินตามกันไปในมือถือขี้ใต้ที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง เสียงร้องกรี๊ดๆของหมูเคล้าระคนโหยหวนชวนสยองเกล้าดังแข่งกันขึ้น เสียงไชโยตีเกราะเคาะไม้เป็นจังหวะรัวเร็วเร้าร้อน ดังขึ้นแข่งกับเสียงกรีดร้องของนักโทษประหารที่ไม่รู้ว่าผิดเรื่องอะไร สุนัขป่าประสานเสียงหอนโหยหวนดังแว่วมาจากหุบเขาที่ยืนตระหง่านล้อมรอบหมู่บ้าน เสียงมันโหยหอนยาวรับประสานกันใกล้เข้ามาใกล้เข้ามา สุนัขบ้านก็พลันเห่าหอนรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฟังแล้วมันยิ่งเพิ่มความสะดุ้งขนพองสยองเกล้ามากขึ้นเป็นทวี อาศัยดวงจิตผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชนจึงสามารถประคองเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นแล้วสามเณรน้อยผู้อาคันตุกะคงจะบ้าตายเป็นแน่
        เสียงกรีดร้องโหยหวนของเหยื่อประหารและเสียงตีเกราะเคาะไม้ จางหายไปกับความมืดของรัตติกาลแห่งขุนเขาแล้ว เสียงหอนโหยหวนของเหล่าสุนัขบ้านสุนัขป่ายังคงเห่าหอนกันเป็นระยะๆ เสียงสัตว์กลางคืนที่แสนดุดันคืนนี้กลับแผ่วเบาผิดวิสัยของพวกมันยังกับว่ามันหวาดหวั่นอะไรบางอย่าง ในรัตติกาลอันไร้แสงจันทร์ กองเพลิงที่สุมอยู่ลานหน้าบ้านของหัวหน้าเผ่ายังคงลุกโชติช่วงอยู่ดังเดิม ชายฉกรรจ์ทั้งหมดกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาส่วนหนึ่งกำลังคัดแยกเนื้อหมูสดๆ ที่ผ่านตะแลงแกงมาเมื่อสักครู่ บางส่วนก็นั่งคุยกันสูบยาใบตองพ่นควันโขมง  ภายในกระท่อมใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้าน สามอาคันตุกะผู้ทรงศีลสังวร ยังคงนั่งหลับตาเจริญจิตภาวนาอยู่ ภายในห้วงจิตอันบริสุทธิ์ของสามหน่อเนื้อเชื้อไตรรัตน์แก้วนั้นกำลังแผ่ข่ายจิตอุทิศบุญกุศลให้เหล่าสุกรห้าผู้น่าสงสาร ที่เพิ่งถูกประหารไปเมื่อสักครู่และดวงจิตวิญาณที่สิงวนเวียนด้วยความทุกข์ทรมานอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มานานแสนนานอีกมากมายให้ไปผุดไปเกิดในที่สุคติ เวลาล่วงไปเกือบยามสองแล้วหลวงปู่ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่จึงให้สัญญาณด้วยโทรจิต อนุญาตให้ศิษย์ผู้ติดตามถอนฌานสมาธิและให้พักผ่อนได้
        ดวงสุริโยไขแสงส่อง ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกค่อยๆเปิดม่านสว่างขึ้น แสงอรุณรุ่งสาดแสงผ่านม่านหมอกอันหนาแน่นบนยอดแห่งขุนเขาที่ยืนตระหง่านสลับซับซ้อน    มองเห็นเป็นสีสันต่างๆงามประหลาดนัก
หน้า 15
ปรากฏการณ์เช่นนี้มีให้เห็นเฉพาะในดินแดนแห่งหุบเขาป่าดิบดงทึบเท่านั้น ไก่ป่ามากมายหลายสายพันธุ์ ยังคงส่งเสียงขันปลุกเร้าทุกชีวิตในผืนป่าให้ตื่นขึ้น สัตว์ป่ากลางคืนส่งเสียงอำลารัตติกาล เหล่ามฤคสีหราช นาๆสัตว์ไพรที่ออกหากินกลางวันก็ส่งเสียงทักทายอรุณรุ่งสาง
        อาหารบรรจุในภาชนะใบตองป่าใบใหญ่ยักษ์ และในกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่งซีกที่ทำขึ้นแทนถ้วยชาม ถูกลำเรียงเข้ามาวางเฉพาะหน้าของสามเหล่ากอพุทธวงศ์ ภัตตาหารเช้าวันนี้มีเผือกและมันป่าเผาใช้ฉันแทนข้าว อาหารกับก็มีจำพวกเนื้อสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น กระต่ายย่าง ไก่ป่าย่าง ลิงย่าง งูย่าง ทั้งหมดนี้แขกผู้ที่ได้รับ
เกียรติจากชนเผ่าข่าเห็นแล้วก็ถึงกับเกิดมวนปั่นป่วนในท้อง     เหล่าสัตว์ผู้ที่ได้รับเกียรติมานอนอยู่ในภาชนะอาหารเหล่านี้ ก่อนหมดชีวิตอย่างไรก็มีสภาพเดิมๆ อย่างนั้น ต่างแต่ถูกเผาย่างจนขนไหม้เกรียนแล้วเท่านั้น ส่วนความสุกนั้นอยู่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เลือดยังเยิ้มอยู่ตามรอยแผลที่ถูกทุบด้วยของแข็ง แต่ยังมีอาหารอีกเมนูหนึ่งที่หัวหน้าเผ่าแนะนำและชวนชิมด้วยความภาคภูมิใจซึ่งมันเป็นเมนูเด็ดของอาหารเช้ามื้อนั้น “นี่เป็นอาหารชั้นเลิศ ที่ปีหนึ่งจึงจะมีให้กิน พวกเราจะทำอาหารชนิดนี้ในปีใหม่ บูชาเทพแห่งความหนาวเพื่อจะได้ไม่ลงโทษพวกเรา พวกสูเจ้ามาสู่หมู่บ้านของพวกเราได้จังหวะที่ดี ดังนั้นจึงขอเชิญกินอาหารอันวิเศษนี้เถิด” หัวหน้าเผ่ารายงานและเชิญชวนให้ชิมเป็นภาษาข่า หลวงปู่แพงตา และหลวงปู่คำตาฟังออก “อาหารที่สูเจ้าพูดนี้ทำมาจากเนื้ออะไรรึ” หลวงปู่แพงตาถามพร้อมกับชี้มือไปที่อาหารดังกล่าว ที่อยู่ในภาชนะกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่งซีกขนาดเท่าท่อนขา “หึๆๆ..มันมาจากเนื้อหมูที่พวกเราทำพิธีฆ่าเมื่อคืนนี้เอง” ผู้นำเผานั่งยองๆ ยกมือข้างหนึ่งเกาหัวแกร็กๆจนขี้หัวร่วงพรูจากผมยาวที่ยุ่งเหยิงปีหนึ่งจะสระครั้งหนึ่ง พร้อมหัวเราะหึๆด้วยความภูมิใจอย่างไร้เดียงสา ดีใจที่ได้นำเสนออาหารจานเด็ดแก่ผู้มาเยือน “หมูป่าเรอะสูเจ้า” สั่นหัวก่อนตอบโดยไม่ต้องคิดอะไร “หมูคนไม่ใช่หมูป่า” ตอบห้วนๆเสียงดังฟังชัดตามประสาชาวป่า
        อาหารเช้าที่หมู่บ้านชาวข่าผู้อารี คณะธุดงค์ขอฉลองศรัทธาเฉพาะเผือกมันเผาก็พอ โดยเลี่ยงไปว่าการเดินป่าของคนเผ่าศีรษะโล้นนั้นมีข้อห้ามไม่ให้ฉันเนื้อระหว่างเดินป่า มิเช่นนั้นผีปู่ผีตาจะลงโทษให้ถึงตาย พวกเขาก็ไม่ขัดข้อง เลยยกออกไปล้อมวงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย “หมูคนที่ว่าก็คือ” ในชนเผ่าข่าแห่งนี้ เวลามีงานสำคัญๆ เช่น งานแต่งงานของคนสำคัญในเผ่า งานไหว้ผีปู่ผีตา งานไหว้เทวดาแห่งความหนาว (ต้นฤดูหนาว) พวกเขาก็จะทำการฆ่าหมูคนครั้งหนึ่ง “หมูคนก็คือคนที่กลายเป็นหมู” ในป่าดงดิบกลางขุนเขาอันห่างไกลจากดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุของหมู่มนุษย์ยุดไฮเทค ยังเต็มไปด้วยความลี้ลับและอาถรรพ์ดิบเกินที่คนในเมืองจะเชื่อได้ แต่มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงมันได้ นอกเสียจากความเจริญที่แสนจะโง่เขลาของคนเมือง
“ว่านหมู” คือประติมากรรมชิ้นหนึ่งจากธรรมชาติ ชนเผ่าข่าแห่งนี้มีประเพณีแปรรูปเนื้อคนให้เป็นเนื้อ  
หน้า 16
หมูโดยพวกเขาจะนำเอาคนแก่ที่ไม่สามารถจะประกอบการงานอะไรได้แล้วมาแปรรูปให้เป็นหมูรสโอชะ โดยให้กินว่านอาถรรพ์มรณะนี้เข้าไป พวกเขาไม่เลือกว่าคนแก่คนนั้นจะเป็นใครญาติของใคร  หนึ่งในหมูห้าตัวที่ถูกฆ่าบูชาเทวดาในปีนี้ก็มีแม่ของหัวหน้าเผ่ารวมอยู่ด้วย “มันเป็นวงเวียนแห่งบาปกรรมของชาวบ้านป่าผู้อยู่ห่างไกลอารยะธรรมมนุษย์ไฮเทค” พวกมนุษย์ป่าเหล่านี้เกิดมาร่วมกันพบกันเพื่อฆ่ากันกินกัน มันจะเป็นไปอย่างนี้ตราบนานแสนนาน จนกว่าพระศรีอาริยะเมตรัยจะเสด็จมาโปรดจึงจะสิ้นโทษหมดบาปเวรกัน”
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้หลวงปู่คำตาไม่ฉันเนื้อหมูตลอดชีวิต ท่านคือศิษย์เอกผู้น้องของหลวงปู่แพงตาผู้พ้นโลกสงสารแล้ว...แล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=25692
25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-12 15:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-13 20:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาถรรพ์หม้อดินเผา

ดิฉันเป็นเด็ก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ได้ฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่าเรื่องราวน่าสยดสยองเกี่ยวกับสมบัติโบราณ จดจำได้อย่างฝังใจตั้งแต่เล็กจนโต จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ค่ะ

เมื่อเดือนมกราคม ปี 2513 นายนุ่ม อยู่ในธรรม รองอธิบดีกรมศิลปากร และหัวหน้ากองโบราณคดี ได้ไปตรวจแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียงพร้อมคณะใหญ่ อยู่ที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี

ที่บริเวณวัดโพธิ์ศรีใน มีหลุมที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องปั้นดินเผาที่ฝังรวมกับศพ ซึ่งเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุประมาณ 6,500-7,000 ปี นับเป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในประเทศไทย

ต่อมาองค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลก!

ตอนบ่ายวันเดียวกัน ได้ไปแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านแวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

บรรยากาศของโบราณสถานโดยทั่วไปมักจะร่มครึ้ม เยือกเย็น ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นหวนนึกไปถึงอดีตกาล…สมัยที่ยังรุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่นั้น ผู้คนย่อมคึกคักขวักไขว่ ทักทายและพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างเบิกบาน…ราวกับจะปรากฏกายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยมิได้ดับสูญไปกับกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน

ขณะนั้นเองหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ประคองหม้อดินเผาขนาดย่อมๆ ใบหนึ่งมาส่งให้สตรีในคณะ มีนามว่าพาณี พลางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สุ้มเสียงออกแปร่งตามประสาคนท้องถิ่น

“ขอมอบให้คุณนายเป็นที่ระลึก โปรดรับไว้เถอะจ้ะ”

คุณพาณีเล่าภายหลังว่า น้ำเสียงกับนัยน์ตาคู่นั้นทำให้รู้สึกพร่ามึนอย่างไรชอบกล แต่ยังมีสติบอกปัดไป โดยอ้างว่าเป็นของมีค่าเกินกว่าจะรับได้ แต่หญิงแปลกหน้า ผู้มีลักษณะเป็นคนพื้นบ้าน พูดจาไพเราะน่าฟังก็คะยั้นคะยอให้รับไว้ เพราะนำมาให้ด้วยความเคารพนับถืออย่างจริงใจ

ในที่สุด คุณพาณีเกรงว่าฝ่ายนั้นจะเสียน้ำใจ หรือไม่ก็หาว่าถือตัว จึงจำใจรับไว้ แล้วหันไปทางชาวคณะพลางบอกกล่าวเรื่องราวให้ฟัง

“ไหน? ไม่เห็นมีใครซักคน!”

ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นอย่างมั่นใจ เล่นเอาคุณพาณีใจหาย หันขวับไปก็พอดีมองเห็นหญิงกลางคนนุ่งซิ่นดำ สวมเสื้อแขนกระบอกสีขาว กำลังจะเดินลับกองอิฐสีแดงใกล้ต้นใหญ่อยู่แล้ว เธอจึงชี้ให้คนอื่นๆ ดู

“ไหนกัน…ทำไมไม่เห็นล่ะ?”

“แปลก! ไม่เห็นมีใครนี่! อ้อ…นั่นไง! แกเดินเหมือนลอยไปเฉยๆ อ้าว? หายไปแล้ว”

สตรีผู้ได้รับหม้อดินเผาเก่าแก่เป็นของกำนัลจากหญิงแปลกหน้า ถึงกับขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว…พอดีมีคนอื่นๆ มาดูหม้อใบนั้น พลางพูดจาชมเชยความสวยงาม ดูโบร่ำโบราณหายาก มีค่าควรแก่การสะสมไว้ชื่นชมยิ่งนัก
28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-13 20:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คืนนั้นเอง…คุณพาณีนอนหลับก็ฝันเห็นเด็กชายวัยสิบขวบ ไว้หางเปีย หน้าตาน่ารัก โผล่ออกมาจากหม้อดินเผาช้าๆ กระทั่งยืนเด่นเต็มตัว พลางหันหน้ามามองยิ้มๆ

ครั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยเหงื่อโซมกาย คุณนายก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคักมาจากหน้าห้อง ทั้งๆ ที่ในบ้านไม่มีเด็กอยู่เลยแม้แต่คนเดียว…ตัดสินใจลุกไปเปิดประตูดู ก่อนจะมองเห็นภาพน่าขนหัวลุกเต็มตา

ท่ามกลางความเย็นเฉียบในยามดึกดื่น สรรพสิ่งเงียบกริบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างไปเสียแล้ว

เด็กชายในความฝันกำลังวิ่งเล่นอยู่รอบๆ หม้อดินเผาใบนั้นเอง!

เข่าอ่อนยวบ ม่านตาพร่าพรายใจสั่นหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม แต่ยังมีสติระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าขึ้นมาได้

พนมมือภาวนาว่าขอให้วิญญาณนั้นจงไปสู่ที่ชอบๆ เถิด อย่ามารบกวนเลย แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แน่นอน

เด็กผมเปียหยุดวิ่ง หันมามองสบตาประหนึ่งจะคาดคั้นเอาคำมั่นสัญญาของคุณพาณี ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในหม้อดินเผานั้นตามเดิม

รุ่งเช้า คุณนายพาณีรีบนำหม้ออาถรรพณ์ แสนจะน่าสยดสยองพองขนใบนั้นไปมอบให้พิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติ แล้วเข้าวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เด็กชายผู้นั้นตามสัญญาที่เธอให้ไว้
29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-13 20:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตำนานผีม้างบ้อง

ล้านนามีหลายกระแส บ้างก็ว่า เป็นผีก้ะที่แก่มากๆจนกลายเป็นผีม้าบ้อง   บางตำนานก็ว่าเป็นผีที่ชอบแทะกินหัวควายแห้ง ก็แล้วแต่บางท้องถิ่นจะสืบสานเล่าขานกันไป แต่ที่แน่ๆคือมีคำว่าผีม้าบ้องเป็นคำเรียกชื่อผีเหมือนๆกัน

สำหรับตำนานนี้อาจแปลกกว่าที่อื่นอยู่บ้างเริ่มตั้งแต่ มีครอบครัวตุ๊กต้ะครอบครัวหนึ่งอยู่กันสวามพ่อแม่ลูก เฝ้าคอกม้าของพระราชา  ต่อมาเมื่อพ่อแม่เสียชีวิต เหลือแต่ลูกชายที่ขยันขันแข็งตระหนี่แม้แต่หัวควายที่ตายแล้วเขาเอามท้องเขาก็ไปแทะเอาเนื้อมากิน ด้วยความที่มัวแต่หากินตลอดชีวิตกลายเป็นบ่าวเฒ่าหรือชายโสดจนสิ้นชีวิต

เมื่อตายไปวิญญาณของเขานึกได้ว่าเมื่อเป็นคนไม่ได้แต่งงานไม่รู้รสชาติของ การมีครอบครัวแม้กระทั่งตายก็ไม่มีใครมาดูแลศพ   ด้วยความคิดดังกล่าวเกิดความอิจฉาริษยาเด็กหนุ่มที่เรียกกันว่า ” บ่าวแถ่ว”หรือเด็กชายเริ่มขึ้นหนุ่มเสียงห้าวนั่นเอง  เมื่อกลายเป็นผีก็แอบไปเที่ยวตอนกลางคืนกับชายหนุ่มตามหมู่บ้าน  แต่ถ้าคืนวันไหนแสงเดือนมัวหม่นสลัวๆ  และผีม้าบ้องเกิดอารมณ์คึกเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์บ้องมันแข็ง  มันก็จะวิ่งอืนกะหลึ้กๆ…ไปมาตามถนนหนทางในหมู่บ้านหากพบเห็นบ่าวแถ่วเมื่อ ใดผีม้าบ้องก็เกิดความอิจฉาจะใช้เท้าดีดหว่างขาบ่าวแถ่วจนหน้าเขียวเกิด อันตราย

ด้วยฤทธิ์เดชผีม้าบ้องดังกล่าวผู้ใหญ่จึงสั่งสอนเด็กชายแรกรุ่นขึ้นหนุ่มหรือเรียกกันว่า “บ่าวแถ่ว”  ห้ามออกนอกบ้านยามกลางคืน หากจะเที่ยวต้องไปกับหนุ่มใหญ่ที่มีประสบการณ์แอ่วสาวมาแล้วหากพบผีม้าบ้องก็จะได้ช่วยกันขับไล่

เรื่องผีม้าบ้องจึงเป็นตำนานของชาวล้านนาป้องกันเด็กชายแรกรุ่นหรือบ่าวแถ่วหนีออกนอกบ้านไปเที่ยววามกลางคืนได้ดีแท้.

ผีม้าบ้อง เกิดจากปาฏิหาริย์ของผีกละนั่นเอง เมื่อผีกละมีพลังแก่กล้าจะแปลงกายให้คล้ายกับม้า สีของลำตัวโดยมากจะเป็นสีหม่น คนโบราณได้เล่าต่อกันมาว่า ผีกละจะเข้าสิงร่างเจ้าของผีหรือคนในตระกูล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย มักจะเลือกออกในคืนเดือนมืดหรือข้างแรม โดยการพับแขนทั้ง 2 ข้างแนบกับตัว หันด้านศอกไปข้างหน้า สมมุติให้เป็นหูของม้า ใช้ผ้าขาวม้าผูกเอวให้เหลือชายไว้ข้างหลัง สมมุติให้เป็นหาง แล้ววิ่งออกไป สถานที่ผีม้าบ้องชอบวิ่งเข้าออกจะเป็นตรอกซอกซอยแคบๆ คนเมืองเรียกว่า “คลองหน้อย” หรือวิ่งไปตามลำเหมืองที่ไม่มีน้ำ ระหว่างที่ผีม้าบ้องวิ่ง คนที่มีบ้านอยู่แถวนั้นจะได้ยินเสียงดังคล้ายกับเสียงวิ่งของวัวควาย มีคนเคยเห็นผีม้าบ้อง แต่ไม่มีใครเคยเห็นหมดทั้งตัว บางคนจะเห็นส่วนข้าง บางคนเห็นเพียงส่วนก้น ว่ากันว่าถ้าคนไปเจอผีม้าบ้อง คนจะถูกทำร้ายหรือครอบงำ “อำ” หรือจะทำให้ป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ ร่างกายจะผอมเหลืองไปทีละน้อย และเสียชีวิตในที่สุด
30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-11-13 20:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มีคนที่เคยพบกับความน่ากลัวของผีม้าเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า คืนหนึ่งได้ไปแอ่วสาว (คือการไปเที่ยวจีบสาวในเวลากลางคืน ตามประเพณีของคนล้านนาในอดีต) ที่เป็นสายผีกละ ทั้งๆ ที่รู้แล้วแต่ก็อยากจะลองดู ในระหว่างที่นั่งคุยกับสาวอยู่นั้น เขาสังเกตเห็นว่ามีนกฮูกบินโฉบไปมาระหว่างหลังคาเรือนกับต้นไม้ในบริเวณนั้น และส่งเสียงร้องด้วย ตกดึกก็ยังมีเสียงสั่นสะเทือนของเสาเรือน คล้ายกับมีวัวควายวิ่งชนเบาๆ ทั้งที่บ้านหลังนั้นไม่ได้เลี้ยงวัวควายไว้ใต้ถุน หนุ่มคนนั้นจึงไม่กล้าลงจากบ้านคนเดียว ต้องรอเพื่อนๆ ที่กลับจากการแอ่วสาวผ่านมาจึงกลับบ้านได้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่ไปที่บ้านนั้นอีก

การติดต่อสืบสายของผีกละ นอกจากจะติดต่อกันทางเครือญาติแล้ว ยังติดต่อกันได้กับคนนอกตระกูลอีกด้วย ชายหรือหญิงใดที่แต่งงานกับคนที่เป็นสายตระกูลผี เมื่อได้กินข้าวร่วมไหเดียวกันครบ 7 ไห ก็จะเป็นสายผีในตระกูลนั้นอย่างเต็มตัว

สรุปได้ว่า ผีเม็ง ผีเม็งน้ำร้า ผีกละ ผีกละหงอน และผีม้าบ้อง เป็นผีที่แตกแขนงมาจากต้นผีเดียวกันคือผีเม็ง เดิมคงรับมาจากคนมอญลำพูน หรือมอญในประเทศพม่า ที่อยู่ของผีคือในหม้อดินเผาปากแคบ (หม้อต่อม) ปิดปากหม้อด้วยผ้าขาว ลักษณะของผีตามที่เล่าต่อกันมา มีรูปคล้ายกับส่วนบนของไก่ เป็นผีที่ช่วยคุ้มครองเจ้าของและสมาชิกในครัวเรือน มีธรรมเนียมว่าต้องทำพิธีฟ้อนผี 3 ปีต่อครั้ง ถ้าไม่เลี้ยงดูให้ดีผีจะออกหากินเอง จึงเรียกว่า ผีกละ หรือถ้าเจ้าของไปทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ผีจะโกรธแทน จะไปเข้าสิงคนๆ นั้น เมื่อถูกหมอผีบังคับ ถ้าทนไม่ได้จริงๆ จะบอกชื่อคนที่เป็นเจ้าของ เมื่อผีมีพลังแก่เต็มที่ผีกละจะมีหงอนที่ศีรษะคล้ายกับหัวของไก่ เรียกว่า ผีกละหงอน เมื่อเข้าสิงคนจะออกยาก เพราะหงอนของผีจะติดค้างอยู่กับส่วนใดส่วนหนึ่งของคน เมื่อมีพลังแก่กล้าจะสามารถแปลงกายเป็นม้า เรียกว่า ผีม้าบ้อง ชอบวิ่งเข้าออกตามซอยเล็กๆ หรือตามลำเหมืองที่ไม่มีน้ำในเวลากลางคืน โดยมากจะเป็นคืนเดือนมืดหรือคืนข้างแรม ศัตรูของผีกละคือนกฮูก (นกเค้า) จะคอยร้องเตือนให้คนทราบว่าผีกละไปทางไหน จึงเรียกนกเค้าชนิดนี้ว่า “นกเค้าผีกละ” บุคคลผู้ใดอยู่กินกับคนในตระกูลผีนี้ ถ้าได้ร่วมกินข้าวไหเดียวกันเกิน 7 ไห ผู้นั้นจะเป็นผี กละและเป็นสายผีเดียวกันไปด้วย
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้