ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 11264
ตอบกลับ: 30
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เรื่องเล่า อ่านสนุก ^^

[คัดลอกลิงก์]
คัมภีร์โครงกระดูก
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amuletstory&month=02-2014&date=21&group=4&gblog=296

คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด



"คนบ้านขาม" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคัมภีร์อาถรรพณ์

สมัยเด็กผมอยู่ที่บ้านจาม อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์...ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม...บ้านผมมีวัดสระบัวงาม เจ้าอาวาสคือพระครูโสภณ เป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งอำเภอและจังหวัดก็ว่าได้

ท่านเป็นพระกรรมฐาน เชี่ยวชาญทางคาถาอาคม เก่งกาจทางไสยเวท ทั้งรักษาโรคร้ายให้ชาวบ้าน ช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ด้วยเมตตาของท่าน จนชื่อเสียง เลื่องลือไปไกล

เล่ากันว่า หลวงพ่อท่านได้คัมภีร์มาจากถ้ำแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดน่านในสมัยหนุ่ม

เป็นคัมภีร์จากโครงกระดูกครับ!!

คืนหนึ่งขณะที่หลวงพ่อนั่งปฏิบัติกรรมฐาน อยู่ในถ้ำ อำนาจพลังจิตทำให้ท่านมองเห็นโครงกระดูกมนุษย์ จึงได้แผ่เมตตาให้วิญญาณที่ล่องลอยสิงสู่อยู่ตามวิบากกรรม จงไปผุดไปเกิดในภพใหม่เสียเถิด

จู่ๆ ก็เกิดเสียงลมพัดอื้ออึงอยู่ภายนอก ราวกับเกิดมหาวาตะรุนแรงเหลือหลาย...แล้วเสียงเยือกเย็นก็ดังโหยหวนมากับเสียงลม ท่ามกลางความมืดมิดเปล่าเปลี่ยวของราตรี

เสียงจากผู้ไม่มีร่างกายบอกกล่าวว่า ขอให้หลวงพ่อนำเอาคัมภีร์ที่ฝังอยู่ทางขวามือของโครงกระดูกนั้น ไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นทุกข์ด้วย! หลวงพ่อก็รับคำ เสียงโหยหวนนั้นจึงจางหายไป

พระครูโสภณเคยเล่าให้ญาติโยมฟังว่า ในที่สุดท่านก็ขุดพบคัมภีร์นั้นสมจริงตามที่วิญญาณบอกกล่าวไว้ ต่อมาท่านได้ศึกษาจนแตกฉาน นำมาปฏิบัติได้ผลจนถึงบัดนี้

ว่ากันว่าคำจารึกในคัมภีร์นั้นมีทั้งทางดีและทางร้าย เนื่องจากมีคาถาอาคมและไสยเวทต่างๆ เช่น การรักษาโรคร้าย การทำยาสั่งและเสน่ห์ยาแฝด เป็นต้น แต่หลวงพ่อท่านเลือกนำแต่สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์แก่คนทั่วไปมาใช้เท่านั้น

เช่น รักษาคนเจ็บป่วย ใครโดนยาสั่งยาเสน่ห์มา ท่านก็ช่วยถอนยาถอนเสน่ห์ให้ แม้แต่คนติดเหล้าที่มีอยู่ไม่น้อย ต้องการจะเลิกดื่มสุราก็มาหาท่านเช่นกัน

วันนั้นตาเตยถูกลูกเมียลากมายามที่แกยังไม่เมา ขอให้หลวงพ่อช่วย "บวชเหล้า" ตาเตยสัก 2 ปีเถิดจะได้เลิกเมาหัวราน้ำ รู้จักทำมาหากินเหมือนชาวบ้านเขาเสียที

คำว่า "บวชเหล้า" หมายถึงผู้ติดเหล้าจะสาบานตัวว่าจะหยุดดื่มเหล้า 1 ปี หรือ 2-3 ปีก็แล้วแต่จะตั้งจิตไว้

ถ้าอดเหล้าไปได้ระยะหนึ่ง เห็นว่าตนทนไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องไปลาบวช หรือไปถอนคำสาบานกับหลวงพ่อเอง...ต่อจากนั้นก็สุดแต่บุญแต่กรรมแล้วกัน

แต่ถ้าใครไม่มาลาบวช แล้วทวนสาบานกลับไปดื่มเหล้าก็จะต้องมีอันเป็นไปตามคำสาบานแน่นอน

หลวงพ่อให้ตาเตยเขียนชื่อ และวัน เดือน ปีเกิดไว้ให้ท่าน แล้วถามว่าจะบวชเหล้ากี่ปี? ตาเตยผอมดำ ผมขาวโพลน นุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียว มีผ้าขาวม้าห่มสไบเฉียงก็หลุดปากว่า...ผมจะหยุดกินเหล้าไปจนตายเลยครับ!

ลูกเมียรีบร้องห้ามว่า ขอแค่ปีเดียวก็พอ ต่อจากนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ ตาเตยยืนกรานว่าจะอดจนวันตายจริงๆ จนเกิดโต้เถียงกับลูกเมียอื้ออึง...

ในที่สุดก็สาบานว่าจะอดเหล้า 2 ปี!

พ่อแม่กราบลาหลวงพ่อพาผมกลับบ้านก่อน เลยไม่ได้ยินว่าแกสาบานไว้ยังไง?

ต่อจากนั้น ชาวบ้านก็คอยดูว่าตาเตยจะอดเหล้าไปได้กี่วัน ไม่ช้าคงจะวิ่งแจ้นไปหาหลวงพ่อ ขอถอนคำสาบานกับท่านเพราะอดเหล้าต่อไปไม่ไหว

ผิดคาดไปตามๆ กัน เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือนๆ ก็ไม่เห็นตาเตยแตะต้องสุราเหมือนเช่นเคย หน้าตาค่อยผ่องใสขึ้น ร่างกายแข็งแรง กลายเป็นขยันทำมาหากินจนชาวบ้านแปลกใจ

เวลาผ่านไปราว 6-7 เดือนก็เกิดเรื่องขนหัวลุก ขึ้นมา!

พลบค่ำ วัวควายกำลังจะเข้าคอก เสียงโหยหวนก็ดังมาจากทุ่งหลังบ้าน พวกเราตกใจวิ่งออกไปดูก็ได้ยินถนัดหู...โว้ย! ผีหลอก...ช่วยด้วย!!

ตาเตยนั่นเอง...แกวิ่งมาล้มข้างๆ บ้าน นัยน์ตาเหลือกลาน ชี้ไม้ชี้มือไปที่ทุ่งเปลี่ยวด้านหลัง ร้องว่า...หัวกะโหลกตาโบ๋! โครงกระดูกทั้งนั้นเลย...มันจะฆ่ากู!

ขาดคำก็สำลักเลือดพรวดแดงฉาน ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ลูกเมียแกร้องไห้โฮ...ตาเตยขาดใจตายตรงนั้นเอง! บางคนว่าแกเป็นวัณโรคตาย แต่คนส่วนมากไม่เชื่อหรอกครับ เพราะได้กลิ่นเหม็นเหล้าหึ่งจากศพตาเตยกันทุกคน! บรื๋ออออ...
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 12:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิญญาณมาเยือน / ขนหัวลุก ใบหนาด
http://www.kumarntalk.com/topic/356



"เอ๋" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจผีตายโหง

ไม่ว่าใครก็ต้องเคยมีประสบการณ์ตื่นเต้น อกสั่นขวัญหาย ไปจนถึงขนลุกขนพองด้วยกันทั้งนั้น ดิฉันเองก็ต้องเจอะเจอกับเรื่องช็อกสุดขีด ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องนอนตัวเองแท้ๆ ห้องที่ว่าคืออพาร์ตเมนต์ในย่านประชาสงเคราะห์ แถวดินแดงนี่เองค่ะ

กลุ่มเรามีอยู่ 3 คนด้วยกัน

จุ๋มทำงานบริษัทการเงินที่ถนนอโศก กับอั๋นช่างผมระดับยอดฝีมือ แถมร้านเสริมสวยก็อยู่ถนนเดียวกับจุ๋ม สองสาวนี่มาอยู่ก่อนเลยสนิทกันเป็นพิเศษ...และดิฉันซึ่งเป็นรีเซฟชั่นอยู่ในโรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ถือว่าที่ทำงานของพวกเราอยู่ไม่ห่างไกลกัน

ยิ่งกว่านั้นก็คือเช่าห้องติดๆ กัน อยู่คนละห้องตามนิสัยรักอิสรเสรี คงจะเป็นเพราะนิสัยคล้ายๆ กันนี่แหละค่ะ ที่ทำให้เราสนิทสนมรักใคร่กันเหมือนพี่น้อง

จุ๋มสวยและเซ็กซี่ที่สุดในกลุ่ม หุ่นผอมเรียวเพรียวสวย ชอบทำแอ๊บแบ๊วเป็นวัยรุ่นบ่อยๆ แต่ไม่น่าเกลียด...คนสวยๆ นี่ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดู ไปหมด

อั๋นค่อนข้างอวบสมชื่อ แถมช่างพูดช่างคุย มีเรื่องร้อยแปดมาเล่าไม่รู้จบ จนจุ๋มเรียก "ขาเม้าธ์" บางทีก็แซวว่า "เม้าธ์ได้ถ้วย" สมกับเป็นช่างเสริมสวยที่ต้องเจ๊าะแจ๊ะกับลูกค้าแทบทั้งวัน

ส่วนดิฉันค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษหรอกค่ะ

ตอนค่ำๆ เรามักจะหาซื้ออาหารมาล้อมวงกินกัน ห้องนั้นบ้างห้องนี้บ้าง ส่วนมากใช้ที่นอนต่างเก้าอี้ พูดคุยเฮๆ กันสารพัดเรื่อง โดยมากเจ้าอั๋นรับหน้าที่ผูกขาดในการเล่าเรื่องขำขัน เรื่องดาราและนักร้อง เบื้องหลังคนดังที่ฟังมาจากแขกขาประจำอีกที

โดยเฉพาะเรื่องผีนี่สุดโปรด อั๋นจาระไนถึงเรื่องผีที่เคยฟังมาตอนเด็กๆ กับเรื่องราวทั้งในการ์ตูนญี่ปุ่นกับเรื่องผีไทยๆ อ่านแล้วกลัวแต่ก็ชอบอ่าน ไม่รู้เป็นไง? จุ๋มเลยแกล้งทำเสียงขึงขังว่า "ห้องแกนี่ได้ข่าวว่าคนเช่ารายก่อนเชือดคอตายบนเตียง!" เล่นเอาเจ้าอั๋นกลืนน้ำลายเอื๊อกทำหน้าเหมือนปลวกกินไบก้อนเลยค่ะ!

"จ้างก็ไม่เชื่อ" ปากแข็งเชียว "ฉันหาข่าวก่อนเข้ามาอยู่แล้ว ว่าไม่มีใครตายในห้องนี้...ชัวร์! อยู่มาเกือบปีถ้ามีผีสิงจริงๆ ฉันคงไม่รอดมาถึงป่านนี้หรอกว้า แกเอ๊ย!"

จริงของอั๋นค่ะ เพราะพวกเราอยู่กันเป็นปกติสุขดีมาตลอด...จนกระทั่งถึงคืนเกิดเหตุ เจ้าจุ๋มไปงานศพญาติถึงพะเยาโน่น ดูเหมือนจะมีหนุ่มขับรถไปส่งซะด้วย

คืนนั้น ดิฉันออกเวรตอนค่ำพอดี รุ่งขึ้นเป็นวันหยุด กลับมาอาบน้ำอาบท่าจนสบายตัวแล้วก็เลยไปหาเจ้าอั๋น...แหม! มันดีใจจนรีบจูงมือไปนั่ง บอกคืนนี้นึกว่าจะเหงาอยู่คนเดียวแล้ว เพื่อนชวนไปเที่ยวฮีโร่ที่ซอย 11 ก็ไม่อยากไป...คิดถึงเพื่อนจุ๋มน่ะซี!

จากนั้นเสียงพูดคุยก็ดังเป็นต่อยหอย เรื่องนั้นเรื่องนี้เพลิดเพลินจนแทบไม่ได้ยินเสียงทีวี ดิฉันชอบห้องอั๋นเป็นพิเศษเพราะตกแต่งสวยเริ่ด แถมมีรูปดาราสวยๆ หล่อๆ ทั้งไทยทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่นกับเกาหลี...ติดแพรวพราวไว้ตามข้างฝาและประตู โดยเฉพาะหัวเตียงเป็นรูปใหญ่ๆ โดดเด่น ได้บรรยากาศรื่นรมย์ ผ่อนคลายดีจัง

"คิดถึงไอ้จุ๋มนะ แต่มันว่าพรุ่งนี้ดึกๆ ก็ถึงกรุงเทพฯ แล้ว" เจ้าอั๋นนั่งเชยคางทำตาลอย "ฉันบอกว่าถ้ายังไงก็โทร.มาบอกละกัน เป็นห่วงเพื่อนว่ะ บอกตรงๆ"

ที่เป็นห่วงก็เพราะไปกับหนุ่ม! คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ จริงไหมคะ?

ดิฉันกลับเข้าห้องตอนสองยามกว่า...พอหัวถึงหมอนก็แทบจะหลับผล็อยทันที...มาสะดุ้งตื่นอีกครั้งก็ตอนที่มีเสียงทุบประตูโครมคราม ใจหายหมดนึกว่าไฟไหม้...แต่พอเปิดประตูก็ปรากฏว่าเจ้าอั๋นที่อยู่ห้องติดกันถลาเข้ามากอดไว้แน่น ตัวสั่นเทา หน้าขาวซีดอยู่ในแสงไฟ

"ไอ้จุ๋มมาหา! ไอ้จุ๋มตายแล้ว..." พูดจบก็ร้องไห้โฮ ดิฉันต้องเขย่าไหล่แรงๆ ถามว่าเรื่องราวเป็นยังไง? จุ๋มมาหาเมื่อไหร่? หรือโทร.มา? แต่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

อั๋นเล่าว่าขณะที่กำลังนอนหลับสนิท มือซุกอกในท่าตะแคงเข่า จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวสะท้าน เลยพลิกตัวใต้ผ้าห่มพร้อมกับลืมตาขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ...คุณพระช่วย! ใบหน้ามหึมาของจุ๋มนอนตะแคงเบิกตาจ้องมองอยู่ใกล้แค่คืบเท่านั้นเอง!

ตอนแรกนึกว่าตาฝาด พอเปิดไฟหัวเตียงก็เห็นใบหน้าเพื่อนยังตะแคงจ้องมองเยือกเย็น...เล่นเอาโลกทั้งโลกแตกเปรี้ยง เผ่นกระเจิงลงจากเตียง ออกจากห้องมาได้ยังไงก็ไม่รู้? ดิฉันถอนใจยาว หน้าตาของอั๋นบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น แต่มันคงตาฝาดไปเอง

รุ่งขึ้นเราก็ได้รับข่าวร้ายว่ารถยนต์ของแฟนจุ๋มไปเสยท้ายสิบล้อก่อนถึงพะเยา...ตายคาที่ทั้งสองคน! วิญญาณโลดลิ่วมาหาอั๋นเพื่อนรักทันใด...ขอบใจนะจุ๋มที่ไม่ได้รักเอ๋มากเท่าอั๋น! นึกแล้วขนหัวลุกค่ะ! บรื๋อออ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 13:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การสร้างกุมารทอง ของอาจารย์ผู้เรืองเวท
http://www.kumarntalk.com/topic/353



แม้จากการคราวนั้นผู้เขียนจะไม่ได้รับความกระจ่างชัดในการ สร้างกุมารทองชนิดที่เรียกว่าของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมา ด้วยเวทวิชาก็ตาม แต่กาลต่อมาได้มีโอกาสพบกับอาจารย์ฆราวาส ท่านหนึ่ง อายุ อานามอยู่ในวัย ๕๐ กว่า อาจารย์ผู้นี้เชี่ยวชาญในการ ทำกุมารทองและเคยทำมาแล้วหลายตัวในอดีต

เมื่อแรกที่ได้ข่าวความเป็นผู้ทรงเวทก็อดคิดไปตามประสา ไม่ได้ว่าท่านเป็น “หมอผี” แต่เมื่อได้พบแล้วก็ให้ประหลาดใจเป็น อย่างยิ่ง เพราะอาจารย์ที่ว่านี่ไม่มีหน้าตา วาจากิริยาและสายตาผีๆ แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ท่านกลับมีท่าทางที่ใจดี วาจาสุภาพ พูดเพราะ และเต็มไปด้วยปรัชญา หนวดหนาผมน้อย แสดงออกถึงความเป็น อาจารย์ที่เป็นวิญญูชนอย่างเต็มภาคภูมิ (ต้องขออภัยที่ไม่อาจเอ่ยถึง ชื่อนามของท่านได้ด้วยเพราะท่านร้องขอสงวนไว้)

ได้พูดคุยกับอาจารย์ถึงเรื่องการทำการสร้างกุมารทอง ซึ่ง ท่านได้กรุณาเปิดเผยให้ทราบตามที่สามารถเปิดเผยได้ พอสรุปความได้ดังนี้

เมื่อเราคิดจะทำกุมารทอง เราจะต้องหาไม้มาแกะเป็นกุมารไม้ที่จะใช้แกะนี้ใช้ได้เพียง ๓ ชนิดคือ ไม้โพธิ์ มะยมป่า และ รักป่าถ้าได้ชนิด ตายพราย ท่านว่าดีนัก แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็อนุโมเอาต้นที่ยังสดๆ อยู่

วันที่จะทำการตัดต้องเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และขึ้นกับฤกษ์ยาม ที่อาจารย์จะตัดให้ เมื่อไปถึงต้นโพธิ์ มะยมป่า หรือ รักป่า ที่เราหมายตาไว้ก่อน แล้ว เราจะต้องเลือกกิ่งที่จะตัดเอาเฉพาะกิ่งที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก ซึ่งก่อนอื่นเราจะต้องทำน้ำมนต์โดยใช้บท “อิติปิโส ฯลฯ” “ชุมนุมเทวดา” แล้วรดน้ำมนต์ตรงต้นเพื่อ “ขอพลี” โดยเราจะต้องเอื้อนเอ่ยวาจาว่า จะขอกิ่งเอาไปทำอะไรแล้วก็ตอบเองเออเองว่า

“เอาไปเถอะ..อนุญาตขอให้กุมารจงเกิดตบะ เดชะสมดั่ง ปรารถนา”

เมื่อเสร็จแล้วเราจะเอาผ้าขาวรองไว้ใต้กิ่งที่จะตัดเพื่อรองรับ เศษไม้เศษใบที่ร่วงลงมาขณะตัดกิ่งจะได้รวมนำไปลอยน้ำพร้อมกัน แต่การตัดกิ่งก็จะต้องตัดอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช้มีดใช้ขวานฟัน โครมครามให้ต้นสะเทือน เมื่อตัดได้แล้วเราก็จะตัดให้เหลือพอที่จะไปทำการแกะเป็นรูปกุมาร ห่อไว้ด้วยผ้าแดง ส่วนกิ่งใบที่ไม่ต้องการเราจะรวมห่อไว้ใน ผ้าขาวที่ปูรองไว้ใต้กิ่งก่อนแล้วนำไปลอยน้ำ

ไม้ที่จะแกะกุมารเราเอากลับมาบ้าน แล้วเอามาตากแดดเช้า ยันเย็นเป็นเวลา ๗ จันทร์ และตากน้ำค้าง ๗ เสาร์ ซึ่งการตากแดดนี้ ให้ตากตั้งแต่ ๖ โมงเช้า - ๖ โมงเย็น การตากน้ำค้างก็เช่นกัน ให้ตาก ตั้งแต่ ๖ โมงเย็น - ๖ โมงเช้า ก่อนถึงวันฤกษ์ดีที่จะทำพิธีแกะ อาจารย์ผู้ทาพิธีจะเอาต้นกล้วย ต้นอ้อยอย่างละต้นมาตั้งไว้ ๔ ทิศล้อมด้วยสายสิญจน์ พื้นภายใน สายสิญจน์จะปูลาดด้วยผ้าขาว เทียนสีผึ้งแท้ซึ่งไส้ทำด้วยสายสิญจน์ สูง ๑ ศอก จำนวน ๘ เล่ม ธูป ๓๖ ดอก จะต้องเตรียมไว้ และเครื่องมือ ที่จะใช้ในการแกะกุมารทองจะต้องวางไว้ในวงสายสิญจน์ให้พร้อม

อาจารย์ผู้ทำพิธีซึ่งเป็นฆราวาสต้องนุ่งขาวห่มขาว มีศิษย์ ปฏิบัติหรือลูกมือเพื่อช่วยเหลือจำนวน ๔ คน ศิษย์นี้ให้นุ่งขาวแต่ ไม่ต้องสวมเสือเป็นผู้คอยจุดธูปเทียน ที่ต้องมีศิษย์หรือลูกไม้ลูกมือคอยช่วยเหลือในการจุดธูปเทียน ถึง ๔ คนนั้นก็เพราะว่าไฟที่จะใช้จุดธูปเทียนในพิธีนี้จะต้องเป็นไฟจาก แสงพระอาทิตย์คือจะต้องใช้แว่นขยายส่องพระรับแสงจากพระอาทิตย์ เพื่อรวมแสงพลังความร้อนจ่อไปที่เทียนชัยให้ติด ห้ามมิให้ใช้ไม้ขีด หรือไฟแช็กเป็นอันขาด

ส่วนที่บูชาครูนอกวงสายสิญจน์ประกอบด้วยธูป เทียน ดอกไม้ ๕ ดอก หมากพลู ยาฉุน อย่างละคำ แต่ไม่ต้องทำเป็นคำๆ พลูให้วาง ไว้ทั้งใบ หมากเมื่อผ่าแล้วไม่ต้องเจียน เต้าปูน และไม้ขีดไฟ ๑ กลัก เครื่องบูชาครูนี้ให้วางไว้ต่างหากจากหน้าพระ พูดถึงคนแกะรูปหุ่นกุมารทอง อาจแบ่งได้เป็น ๒ ลักษณะ อย่างแรกใช้ช่างที่ชำนาญในการแกะมาเป็นคนแกะ อีกลักษณะหนึ่ง ใช้คนที่ไม่รู้เรื่องในการแกะเลยมาเป็นคนแกะซึ่งท่านว่า ความขลังถ้าจะให้แน่จริงควรใช้คนที่แกะไม่เป็น เพราะกุมาร ทองจะเป็นผู้ใช้ให้คนแกะรูปของตนได้ตามใจปรารถนา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะใช้คนแกะที่มีความชำนาญในด้านนี้ หรือผู้ที่แกะไม่เป็นเลยก็ตาม พิธีการแกะรูปหุ่นกุมารทองจะต้องสิ้นสุด ลงก่อน ๖ โมงเย็น

คนที่จะแกะ ก่อนที่จะทำพิธีการแกะ จะต้องอาบน้ำมนต์ธรณี สาร นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดง ห่มแดง เข้าไปนั่งรอฤกษ์ยามอยู่ในวงสายสิญจน์ ระหว่างอยู่ในวงสายสิญจน์ห้ามกินห้ามดื่ม แม้แต่น้ำลาย ก็กลืนไม่ได้ คนแกะเมื่อเข้าไปในวงสายสิญจน์จะต้องนั่งหันหน้าไปทาง ทิศใต้ เมื่อได้ฤกษ์อาจารย์ฆราวาสผู้ทำพิธีซึ่งนุ่งโจงกระเบนสีขาว ห่มขาวจะบูชาพระและบูชาครู เสร็จแล้วจุดธูป จุดเทียนชัย ตามมุม สายสิญจน์ทั้งสี่ทิศ

ธูปจะต้องจุดตลอดเวลาและเทียนชัยจะดับไม่ได้ศิษย์ปฏิบัติ ซึ่งเป็นลูกไม้ลูกมือจะต้องอยู่ประจำทั้งสี่ทิศคนละทิศ คอยจุดธูป ต่อเทียน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วอาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธีจะนำสายสิญจน์ ไปมัดมือขวาของคนแกะ ๓ รอบ ส่วนตัวผู้เป็นอาจารย์เจ้าพิธีเองจะ ถือกลุ่มสายสิญจน์นั่งบริกรรมนอกวงคนแกะแล้วก็ให้สัญญาณคนแกะ รูปหุ่นกุมารทองให้ลงมือได้เมื่อถึงฤกษ์ยามที่กำหนด คนแกะก็จะ ลงมือแกะ

การแกะรูปหุ่นกุมารทองส่วนใหญ่ จะแกะเป็นเด็กหัวจุกนุ่ง โจงกระเบนสูงประมาณเกือบนิ้ว ไม่ใส่เสื้อ แขนทั้งสองแนบชิดตัว หรือเท้าเอวข้างหนึ่ง ระหว่างการแกะอยู่นั้นอาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธีจะท่องคาถา ชุมนุมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และเชิญวิญญาณธาตุเข้าประทับ
ในขั้นตอนนี้ พูดไปก็เหมือนการประกอบรถยนต์นั่นแหละ ไม่ หนีดินน้ำลมไฟไปได้ ส่วนวิญญาณธาตุก็เหมือนคนขับรถ รถไม่มีคน ขับมันจะวิ่งได้อย่างไร ฉันใดก็ฉันนั้น

เมื่อเสร็จแล้ว อาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธีจะออกจากบริกรรม เข้าไปในวงสายสิญจน์ แก้สายสิญจน์ที่มัดมือคนแกะรูปกุมารทอง ที่แกะเรียบร้อยแล้ววางบนพานที่รองรับด้วยผ้า แดงซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ เล็กๆ ที่ศิษย์ปฏิบัติหรือลูกมือส่งเข้าไปในวงสายสิญจน์ พร้อมกับ ตั้งถ้วยนมเซ่นสรวงกุมารทอง

ท่านว่า น้ำนมที่เช่นสรวงกุมารทองในพิธีกรรมนี้จะต้องใช้ “นมคน” ห้ามใช้นมผง นมข้นหรือนมกระป๋องเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องหานมคนจัดเตรียมไว้ให้พร้อมล่วงหน้า อาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธีจะนั่งบริกรรมอัญเชิญกุมารทองกินนม ซึ่งเขาว่าเมื่อพิธีกรรมดำเนินมาถึงขั้นนี้

ขณะที่อาจารย์เจ้าพิธีบริกรรมอัญเชิญกุมารกินนมนั้นกุมารทองจะลุกขึ้นยืนเป็นอัศจรรย์! ระหว่างนั้นศิษย์ปฏิบัติซึ่งเป็นลูกมือ จะม้วยสายสิญจน์ที่ล้อมวงไว้ออกจนหมด  คราวนี้ก็มาถึงการพิสูจน์ทดลองว่ากุมารทองที่สร้างขึ้นด้วย พิธีกรรมดังกล่าวจะเฮี้ยนหรือไม่ ท่านว่าให้เอากุมารทองไม้แกะห่อผ้า ประเจียดสีแดง แล้วคาดแขนขวาคนแกะ ส่วนอาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธี จะเอาใบพลูมาเสก จากนั้นก็เอาไปวางไว้บนศีรษะคนแกะรูปหุ่นกุมารทองพร้อมกับพูดเสียงดังๆ ว่า

“กุมารทองลูกพ่อจับใบพลู ไว้อย่าให้หลุด”

สิ้นเสียงอาจารย์เจ้าพิธีคนแกะจะทะลึ่งลุกขึ้นวิ่งพุ่งหลาวลงน้ำ ดำผุดดำว่ายอยู่พักหนึ่งจึงกลับขึ้นมา ถ้าใบพลูไม่หลุดจากศีรษะถือว่า การทำกุมารทองบรรลุผลสมความมุ่งหมาย หาไม่แล้วอาจารย์เจ้าพิธี จะต้องทำการปลุกเสกจนกว่ากุมารทองจะลุกขึ้นยืนจึงใช้ได้กุมารทอง จะมีฤทธิ์เดชเป็นที่อัศจรรย์ดังที่กล่าวมาแล้ว

จากเรื่องราวแห่งพิธีกรรมการสร้างกุมารทองดังที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่ากรรมวิธีในการทำกุมารทองนั้นมีความซับซ้อนยุ่งยาก ไม่น้อยไมใช่ว่านึกอยากจะสร้างอยากจะทำแล้วทำกันง่ายๆ ที่สำคัญก็คือการทำพิธีในแต่ละครั้งนั้น จะทำได้ครั้งละ ๑ ตัว เท่านั้นไม่สามารถทำได้คราวละร้อยละพันอย่างสมัยนี้

อย่างไรก็ตาม แม้การทำกุมารทองตามพิธีกรรมดังกล่าวมานั้น จะมีความลึกล้ำพิสดารแค่ไหนก็ตาม อาจารย์เจ้าพิธีกล่าวว่าความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของกุมารทองไม่ได้อยู่ที่ตรงพิธีกรรมในการสร้างการ ทำเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยจิตที่เชื่อมั่นศรัทธาของเราเองประกอบด้วย ถ้าจิตของเราเชื่อกุมารทองก็ขลัง

ถ้าเราเชื่อว่ากุมารทองสามารถทำอะไรต่างๆ ให้กับเราได้ กุมารทองก็ทำได้ แต่ถ้าเราเกิดสงสัยไม่แน่ใจในความสามารถของกุมารทอง  กุมารทองก็ไม่ต่างไปจากเศษไม้ที่ถูกแกะเป็นรูปเด็กเท่านั้นเอง
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 14:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“รูปปั้นนางเงือกทอง” แหลมสมิหลา จังหวัดสงขลา
       ตำนานและเรื่องเล่าจากท้องทะเลนั้น มีมากมายหลายเรื่องมาตั้งแต่ครั้งอดีต แต่เรื่องเล่าที่คลาสสิกที่สุด และถูกกล่าวถึงมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ก็คงจะเป็นเรื่องราวของหญิงสาวครึ่งคนครึ่งปลา ที่ถูกเรียกว่า “นางเงือก” นั่นเอง อีกทั้งเรื่องเล่าของนางเงือกนั้น ยังมีการกล่าวถึงไว้มากมายในหลายประเทศทั่วโลก แม้แต่ประเทศไทยก็มีการกล่าวถึงนางเงือกไว้ในบทประพันธ์ต่างๆ อีกด้วย
      
       “นางเงือก” เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อในนิยายปรัมปราและเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ซึ่งในตำนานและเรื่องเล่าโดยมากจะกล่าวกันว่า เงือกนั้นเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์ มีรูปร่างลักษณะในส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน และส่วนท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งมีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งเรื่องเล่าในส่วนมากจะกล่าวถึงนางเงือกซึ่งเป็นเพศหญิงมากกว่า ส่วนเงือกเพศชายนั้นจะเรียกว่าเงือกเฉยๆ และมักไม่ค่อยถูกกล่าวถึงมากนัก

“รูปปั้นนางเงือกและพระอภัยมณี” หาดนางรำ จังหวัดชลบุรี
       มีเรื่องเล่ามากมายที่กล่าวถึงหญิงสาวครึ่งคนครึ่งปลาแห่งท้องทะเลอยู่ทั่วทุกมุมโลก ว่ามีจุดกำเนิดมาจากใด มีทั้งด้านดีและร้าย แต่ทุกเรื่องราวนั้นมักจะกล่าวคล้ายๆ กันว่า นางเงือกมักจะปรากฎให้เห็นในยามค่ำคืนตามโขดหินเหนือผิวน้ำหรือชายหาด ซึ่งมักจะมานั่งหวีสางผมและส่องกระจก ร้องบรรเลงเพลงในยามค่ำคืน ซึ่งจะเป็นเสียงที่ไพเราะมาก
      
       เรื่องราวด้านร้ายนั้นจะถูกกล่าวว่า นางเงือกมักขึ้นมาร้องเพลงและล่อลวงเหล่าผู้ชายด้วยเสียงเพลงและนำไปสู่ความตาย หรือในท้องทะเลก็จะล่อลวงให้เหล่ากะลาสีเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงจนแล่นเรือหลงทางไปชนโขดหินจนเรือล่ม แต่ก็ยังมีเรื่องราวในความดีที่ถูกกล่าวถึงด้วย ซึ่งบางครั้งนางเงือกก็ให้คุณต่อมนุษย์ มนุษย์ที่ช่วยเหลือนางเงือกมักได้รับความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรค หรือนางเงือกจะมาช่วยเตือนให้ระวังพายุ และช่วยมนุษย์ขึ้นฝั่งในยามที่เรือล่ม

รูปปั้นนางเงือก เมืองโคเปนเฮเกน (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
       ในส่วนของประเทศไทยนั้น ก็ยังมีการกล่าวถึงเรื่องเล่าของเหล่านางเงือกอยู่ด้วยเหมือนกัน โดยนางเงือกไทยนั้นก็จะมีลักษณะเหมือนกับนางเงือกทั่วไป โดยมีเรื่องเล่าที่กล่าวถึงนางเงือกไว้ในหลายๆ เรื่อง แต่เรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายมากที่สุด คือเงือกในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ได้ ซึ่งกล่าวไว้ว่า ครอบครัวเงือกเป็นผู้พาพระอภัยมณีหนีจากนางผีเสื้อสมุทรมาที่เกาะแก้วพิสดาร ซึ่งนางเงือกผู้เป็นลูกได้พบรักกับพระอภัยมณี และให้กำเนินสุดสาครขึ้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครเอกของเรื่องราวดังกล่าว
      
       หลักฐานที่แน่ชัดว่าเรื่องเล่าของนางเงือกจะเป็นเรื่องเล่าที่ยังคงไม่เสื่อมคลาย ก็คงจะเป็นรูปปั้นต่างๆ ที่ถูกสร้างไว้อยู่ทั่วทุกมุมโลก เช่น รูปปั้นนางเงือกเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก รูปปั้นนางเงือกเมืองมาแซตลาน ประเทศเม็กซิโก ซึ่งประเทศไทยนั้นก็มีการสร้างรูปปั้นนางเงือกขึ้นไว้เช่นกัน อาทิ รูปปั้น“นางเงือกทอง” สัญลักษณ์อันโดดเด่นของแหลมสมิหลา จังหวัดสงขลา รูปปั้นนางเงือกกับพระอภัยมณี หาดนางรำ จังหวัดชลบุรี

รูปปั้นนางเงือก เมืองมาแซตลาน (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
       รูปปั้นแต่ละแห่งนั้น กลายมาเป็นจุดที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่จะมาถ่ายรูป และในบางแห่งรูปปั้นนางเงือกก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์เด่นให้กับแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ซึ่งรูปปั้นนางเงือกเหล่านี้คอยย้ำเตือนให้เหล่าผู้คนนึกถึงเรื่องเล่าของหญิงสาวจากท้องทะเล ว่ามีอยู่จริงหรือไม่
      
       ตำนานและเรื่องเล่าของเหล่านางเงือกนั้น ปัจจุบันก็ยังคงเป็นปริศนา ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แม้จะมีเรื่องเล่าหรือหลักฐานการค้นพบมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยความเชื่อในเรื่องดังกล่าว ก็มีข้อเสนอว่า บางทีอาจเป็นเพราะผู้คนในสมัยโบราณเข้าใจผิด คิดว่า“พะยูน” คือเงือกก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรแม้วันเวลาจะล่วงเลยผ่านไป เรื่องราวของเหล่านางเงือก ก็ยังจะคงเป็นเรื่องเล่าจากท้องทะเลที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 14:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิญญาณร้องไห้
คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด
"พิมพ์มาดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเตือนใจทาสสุรา
น้องเพียวเป็นผู้หญิงที่ดิฉันรู้จัก ถึงจะไม่สนิทสนมแต่ก็ทักทายกันทุกวัน เธออยู่ถัดจากบ้านดิฉันที่ดินแดงไปแค่สองหลัง ตอนเช้าตรู่เวลาออกมาใส่บาตร ก็จะแลเห็นเธอซ้อนรถจักรยานของพี่สาวไปโรงเรียนด้วยกัน เมื่อเห็นดิฉันเธอก็ยิ้ม โบกมือหย็อยๆ
ดิฉันเอ็นดูเธอจริงๆ เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้จวนจบป.6 เข้า ม.1 แล้ว ซึ่งก็คงไม่แคล้วโรงเรียนใกล้บ้านนี่ล่ะค่ะ ได้ข่าวว่าเรียนเก่ง ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ด้วย นับว่าเป็นความหวังของพ่อแม่เชียวละ
ครอบครัวเธอหาเช้ากินค่ำ แม่ขายข้าวแกง พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย พี่สาววัยรุ่นนั้นถึงจะเรียนไม่เก่งแต่ก็เป็นเด็กดี ช่วยแม่ตัวเป็นเกลียว
ท่าทางครอบครัวนี้คงจะไปได้สวย แต่โชคชะตาก็โหดเหี้ยมกับพวกเขาเหลือเกิน นึกแล้วสงสารจับใจ
เช้าวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ล่ะค่ะ ตอนนั้นดิฉันใส่บาตรเสร็จพอดี ฟ้าสางแล้วล่ะ พระท่านกำลังเดินกลับวัด เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว พี่พรกับน้องเพียวเพิ่งขี่จักรยานผ่านหน้าไป เรายิ้มทักทายและโบกมือให้กันเหมือนเช่นทุกวัน...
ทันใดนั้น ดิฉันได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์บึ้นๆ มาแต่ไกล และแล้วก็...ปัง! ดังสนั่น
ด้วยความสังหรณ์ใจ ดิฉันรีบวางถาด แล้ววิ่งออกไปชะเง้อมอง...นั่นไง!
ชาวบ้าน 2-3 คนวิ่งผ่าน รวมทั้งคนขับตุ๊กตุ๊ก ที่มารับแม่ของน้องเพียวขนของไปขายตลาด เสียงแม่น้องเพียวกรีดร้องไม่เป็นภาษา คนเป็นพ่อหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง ทั้งคู่วิ่งไปพร้อมๆ กับชาวบ้าน
ตรงโค้งแรกห่างออกไปราว 20 เมตรนั่น...จักรยานล้มคว่ำ มีมอเตอร์ไซค์ล้มกระเด็นไปคนละทาง ร่างของเด็กสองคนกองอยู่กับพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ใครขว้างทิ้ง
ดิฉันไปถึงพอดีกับที่น้องพรยันตัวลุกขึ้นอย่างมึนงง แต่น้องเพียวที่กระเด็นห่างออกไปซิคะ เลือดกำลังไหลจากศีรษะเป็นลิ่มๆ อย่างน่ากลัว มันแดงฉานนองพื้นถนน ใครบางคนจับเธอพลิกหงาย...ดิฉันเห็นใบหน้าที่เคยน่ารักกลับถลอกปอกเปิก เปื้อนฝุ่น สีหน้านั้นเฉยเมยดวงตาลืมโพลงแต่ไร้จุดหมาย ไร้ชีวิต สงบนิ่งโดยไม่มีวี่แววตระหนกตกใจ...
เธอตายสนิทในชุดนักเรียนประถมปลาย สะพายเป้อยู่ข้างหลัง!
งานศพน้องเพียวเศร้ามาก แม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ลูกสาวเธอเสียชีวิตเพราะคนเมาเหล้าที่บึ่งมอเตอร์ไซค์โดยใช้ซอยเราเป็นทางลัด
ดิฉันยังจำได้ถึงค่ำคืนที่หนาวเยือก ลมพัดกรูเกรียว ใบไม้แห้งระไปกับพื้นเสียงกรอบกราว...ซอยเราเหงาจับใจ ไฟถนนที่สว่างจ้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นเลย ผู้คนหลบเข้าบ้านเงียบกริบตั้งแต่หัวค่ำ เด็กๆ ไม่ขี่จักรยานไปซื้อของกินเหมือนปกติ...
พวกเขากลัวผีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ค่ะ
ใครๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฮือๆ ในยามดึกสงัดกัน ทั้งนั้น!
แม้แต่ดิฉันเองก็ยอมรับว่ากลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกจากตัวบ้านไปยังสนามหญ้าเช่นเคย ได้แต่อยู่ในบ้านกับลูกๆ เปิดทีวีเสียงดังๆ และเปิดไฟรอบๆ ด้าน เจ้าหมาตัวเล็กก็เห่าบ๊อกๆ แล้วครางโหยหวน มันเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นแน่ๆ
ทุกคนพูดกันว่า น้องเพียวมาแต่เข้าบ้านไม่ได้ มีแต่พ่อกับแม่ของเธอเท่านั้นที่ออกมาชะเง้อหาลูกที่เหลือแต่วิญญาณ และพยายามพาลูกเข้าบ้านแต่ไม่สำเร็จ
น้องเพียวร้องไห้ให้ชาวบ้านได้ยินทุกคืน!!
ในที่สุดซอยเราก็ร่วมใจกันทำบุญครั้งใหญ่ บอกน้องเพียวให้รู้ว่าเธอตายแล้วไปสู่สุคติเถิด ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น
หลังจากคืนนั้น น้องเพียวก็เงียบเสียงไป แต่อีกนานเชียวล่ะกว่าทุกคนจะกล้าออกจากบ้านยามที่ค่ำมืด...
ครอบครัวของน้องเพียงนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วค่ะ บ้านเดิมก็มีคนมาอยู่ใหม่แล้ว ทิ้งไว้แต่ตำนานและเรื่องเล่าขานที่แสนเศร้า เด็กดีคนหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพ่อแม่ ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนขี้เมา
ใครชอบดื่มเหล้าดื่มเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่มีใครห้ามหวง ขอร้องแต่อย่าขับรถเท่านั้น เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความมึนเมามากมายเหลือเกิน...ถ้าเดือดร้อนเฉพาะตัวเองก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่พลอยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ได้รับบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต ส่วนหนึ่งกลายเป็นคนพิกลพิการ หมดอนาคตไปชั่วชีวิต
"ดื่มไม่ขับ" เพื่อตัวของคุณเองและคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคุณด้วยนะ
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 14:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลาแล้วบ้านเก่า

"สุบิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวัยชรา

ลุงนิมิตเป็นเพื่อนบ้านผมในซอยอินทามระ ใกล้ๆ กับสี่แยกถนนวิภาวดีรังสิต ที่กรุงเทพฯ นี่เอง แม้จะเกษียณอายุจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาสิบกว่าปีแล้ว แต่คุณลุงก็ยังดูสดชื่น แข็งแรงกว่าคนในวั...ยเดียวกันอีกหลายๆ คน

ตอนเช้าๆ เย็นๆ เพื่อนบ้านและคนในซอยที่ผ่านไปมา มักจะมองผ่านรั้วโปร่งๆ เข้าไปเห็นชายชรารูปร่างผอมสูง ผมขาวโพลน นุ่งกางเกงแพร สวมเสื้อคอกลม กำลังรดน้ำต้นไม้บ้าง เดินเล่นบ้างเป็นประจำ

ผมเคยสังเกตว่าตอนใกล้จะพลบค่ำ ลุงนิมิตมักจะนั่งเงียบๆ อยู่ที่เก้าอี้สนาม มีหนังสือและกาน้ำชาวางอยู่บนโต๊ะ แต่ดูเหมือนว่าแกจะสนใจกับดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับฟ้ามากกว่า

ร่างนั้นยืดตรง นัยน์ตาเหม่อลอยไปสู่ขอบฟ้าแดงฉาน เหมือนจะเปล่งแสงอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลับฟ้าไป...

ชายชราจ้องมองไปที่นั่นก็จริง แต่ดูเหมือนกำลังมองไปสู่ความว่างเปล่าก่อนจะกะพริบตา ถอนใจยาว...นั่งนิ่งเงียบคล้ายจะสำนึกดีถึงวัยชราของตนเอง ที่ไม่แตกต่างกับตะวันใกล้ลับฟ้า...เหลือแต่ความเปลี่ยวเหงาอันน่าวังเวงใจ

ลุงนิมิตอยู่ตัวคนเดียวในบ้านไม้เก่าๆ สองชั้น แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม รวมทั้งไม้ดอกไม้ใบที่ปลูกไว้ในดินและกระถาง...นั่นคือเพื่อนสนิทแท้จริงในบั้นปลายของชีวิต ขณะที่วาระสุดท้ายกำลังใกล้เข้ามาทุกที ตามกฎของชีวิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป

ป้าวาดภรรยาของแกลาลับไปหลายปีแล้วด้วยโรคหัวใจ พวกลูกๆ ทั้งหญิงและชายต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว แต่ก็ยังพาลูกเต้าแวะเวียนมาเยี่ยมพ่อเป็นประจำ

ได้ข่าวว่าลูกๆ ชวนไปอยู่ด้วย แต่ลุงนิมิตบอกว่าอยากอยู่คนเดียว หรืออยู่กับป้าวาดที่นี่มากกว่า!

ผมคุ้นเคยกับครอบครัวนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เคยไปวิ่งเล่นกับลูกๆ ของลุงและป้าที่ดูใจดี หาขนมนมเนยให้กิน พอเติบโตก็ได้สังเกตว่าบ้านนี้มีหนังสือมากมายกว่าทุกบ้านที่เคยพบเห็นมาก่อน

ลุงนิมิตเห็นผมสนใจก็พาไปชม และแนะนำให้รู้จักหนังสือต่างๆ ไม่ว่าวรรณคดี วรรณกรรมเด่นๆ ทั้งของไทยและของโลก นวนิยายหลากรส สารคดี เรื่องท่องเที่ยว เรื่องตลก รวบรวมคำคมและสุภาษิต ไปจนถึงประวัติ ศาสตร์และชีวประวัติของบุคคลสำคัญ

เห็นผมสนใจเล่มไหนเป็นพิเศษ แกก็อนุญาตให้ยืมไปอ่านที่บ้านได้ และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมกลายเป็นหนอนหนังสือเหมือนลุงนิมิตมาจนถึงทุกวันนี้

สิ่งที่สะดุดใจก็คือรูปถ่ายทั้งเก่าและใหม่ ไม่ว่าในห้องรับแขกหรือห้องพักผ่อน...หลังจากป้าวาดเสียชีวิตไม่นาน เหลือแต่ลุงนิมิตคนเดียวในบ้าน ผมชมว่าเมื่อหนุ่มๆ คุณลุงรูปหล่อมาก แกก็ยิ้ม แววตาสดใสวูบหนึ่งก่อนจะเลื่อนลอยไป

"ขอบใจ...ตอนแรกลุงก็คิดยังงั้นเหมือนกัน แต่เมื่อมองดูหลายๆ ครั้ง ดูให้ดี...แปลกนะ! ลุงว่านั่นน่ะไม่ใช่ลุงหรอก แต่เป็นใครก็ไม่รู้ที่ลุงมาอาศัยเขาอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว!"

ผมอ้าปากค้าง ทั้งรู้สึกหวาดๆ และงุนงงจนพูดอะไรไม่ออก ลุงนิมิตก็ชี้ให้ดูรูปถ่ายที่ในเครื่องแบบเต็มยศก่อนจะเกษียณได้ไม่นาน

"ดูรูปนี้ซี เห็นไหม...ไม่มีความหล่อเหลาอะไรเหลือแล้ว มีแต่ตาแก่หน้าตาเหี่ยวย่น...ขนาดช่างเขาแต่งรูปแล้วนะ! นี่...รูปหลังเกษียณที่เป็นโฉมหน้าแท้จริง! ไง...หน้าซูบ ตีนกาเกาะเต็ม มุมปากเหี่ยวๆ กับเหนียงห้อย นัยน์ตาไร้แววสดชื่นเหมือนก่อน...ใครก็ไม่รู้!"

อีกครั้งที่ผมอ้าปากค้าง แถมหนาวเยือกที่ต้นคอชอบกล เสียงของลุงนิมิตยังดังวู่หวิวเหมือนลมพัดมาจากที่ไกลแสนไกล

"ตาแก่ที่ไหนก็ไม่รู้...แย่ยิ่งกว่าหนุ่มคนเก่าที่ไม่ใช่ลุงเสียอีก" มีเสียงถอนใจยาว "ลุงรู้สึกเหมือนมาอาศัยร่างนี้อยู่ ตั้งแต่มันยังเด็กๆ จนเป็นหนุ่มเป็นแน่น แล้วก็แก่เฒ่าร่วงโรยไปคาตา...เหมือนบ้านที่เราเคยอยู่มาหลายสิบปีนี่เอง เดี๋ยวเดียวมันก็กลายเป็นบ้านเก่าไปแล้ว"

ทั้งงุนงงระคนขนลุก ได้ยินเสียงเศร้าๆ ของคุณลุงดังแว่วมาว่า...อีกไม่ช้าลุงก็ต้องทิ้งบ้านเก่าหลังนี้แล้ว ไปหาบ้านหลังใหม่อยู่! เฮ้อ...ไม่รู้ว่าเคยอาศัยอยู่กินมากี่สิบหลังกัน?

ในที่สุด ลุงนิมิตก็จากไปบนที่นอน...หลับไม่ตื่น! ผมกับเพื่อนบ้านเข้าไปดูศพก็เห็นนอนหงายลืมตาโพลง มุมปากเหี่ยวย่นมีรอยยิ้มนิดๆ เหมือนได้พบเห็นใครหรืออะไรที่รอคอยมานานแสนนาน...ขอให้ลุงจงไปพบบ้านใหม่สวยๆ งามๆ น่าอยู่อาศัยต่อไปเถิด...

ผมนึกบอกกล่าวคุณลุงและบอกตัวเอง...เมื่อวันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน!
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 14:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
"ป้าผ่อง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตำบลมวกเหล็กในอดีต



สมัยก่อน ดิฉันเป็นเด็กอยู่ตลาดมวกเหล็ก สระบุรี ไข้มาลาเรียชุมมากค่ะ ชาวบ้านเรียกไข้ป่า มีคนเจ็บป่วยล้มตายมากๆ สมัยสงคราม เพราะขาดแคลนยาควินินที่ใช้ป้องกันและรักษา ป่าดิบดงดำที่นั่นจึงมีชื่อน่ากลัวว่า "ดงพญาไฟ"

ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "ดงพญาเย็น" ก็ยังไม่วายมีคนตายด้วยไข้ป่าตามเดิม

เมื่อสงครามสงบ ความเจริญก็เริ่มต้นขึ้นช้าๆ เพราะการคมนาคมยังไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน มีรถไฟเป็นพาหนะอย่างเดียวเท่านั้น ที่ติดต่อระหว่างภาคอีสานกับภาคกลาง

ถนนมิตรภาพยังไม่ได้สร้าง คนที่ต้องไปค้าขายหรือติดต่อเยี่ยมเยียน ไปมาหาสู่กันก็ต้องขึ้นรถไฟระยะสั้นๆ อย่าง หินลับ-ทับกวาง-ผาเสด็จ หรือไม่ก็ล่องไปสระบุรีบ้าง ขึ้นโคราชบ้าง

ไข้ป่ายังคร่าชีวิตคนไปบ่อยๆ เพราะยาควินินยังหายากและราคาแพง ชาวบ้านมักอาศัยหมอกลางบ้าน ใช้ยาหม้อบ้าง กินน้ำมนต์บ้าง เป็นไข้จับสั่นกันเสียส่วนมาก หน้าเหลืองตัวเหลืองกันแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกที่ต้องออกไปทำไร่ข้าวโพด และไร่น้อยหน่า มักจะหนีไข้ป่าไม่ค่อยพ้น



ทำงานได้วันสองวันก็จับไข้นอนซม หนาวสะท้าน พอทุเลาก็ต้องออกไปทำไร่อีกแล้ว หลายๆ คนเป็นเรื้อรังนับปีกว่าจะตาย

ขณะนั้น มีคนต่างถิ่นเข้าไปทำมาหากินกันหนาตาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งถางป่าทำไร่เลื่อนลอยก็มี ทั้งซื้อของป่าก็มี ไปซื้อสินค้าพวกของกินของใช้ อุปกรณ์ทำไร่จากสระบุรีมาขายบ้าง เป็นแม่ค้าในตลาดบ้าง

มีแม่ลูกคู่หนึ่งอพยพจากโคราชมายึดอาชีพซื้อ-ขายของป่าที่นั่น บางทีก็ขนขึ้นรถไฟไปขายที่สระบุรี ตอนนั้นยังเรียกกันว่า "ปากเพรียว"

แม่ชื่อนวล เป็นคนขาวสวย รูปร่างสูงโปร่ง อายุ 30 เศษ สามีตายแล้ว ลูกสาวชื่อจริงว่าอะไรไม่ทราบแน่ค่ะ เรียกกันแต่ชื่อเล่นคือ นก หรือ "ไอ้นก" อายุรุ่นเดียวกับดิฉันคือราว 10 ขวบ

"ซิ้มไท" คนมวกเหล็กดั้งเดิม อาชีพค้าขายสนิทสนมกับสองแม่ลูกคู่นี้มาก บางคนก็บอกว่าซิ้มไทเป็นคนชักชวนน้านวลกับลูกสาวมาทำมาหากินที่มวกเหล็กด้วย ซ้ำ...ไม่ช้าดิฉันกับเพื่อนๆ ก็ได้นกมาเป็นเพื่อนใหม่อีกคน

น้ำตกมวกเหล็กเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพวกเราทั้งตำบลก็ว่าได้ เพราะสายน้ำกลายเป็นลำธารที่ใช้อาบกิน ตอนเช้าและเย็นจะมีคนไปตักน้ำ ซักผ้าและอาบน้ำ พวกเราก็ไปวิ่งเล่นกันแถวๆ นั้น ถ้าอาบน้ำก็ต้องรีบขึ้นค่ะ เพราะใครๆ ก็พูดตรงกันหมดว่า ผีดุ!

เชื่อว่าในลำน้ำค่อนข้างเปลี่ยว ดูลึกลับ มีเจ้าพ่อสิงสู่อยู่ช้านานแล้ว ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปบนบานศาลกล่าว ต้นไทรใหญ่ริมน้ำก็มีผ้าเขียวผ้าแดงผูกอยู่เต็ม ทั้งเก่าและใหม่ มีก้านธูปเกลื่อนกลาด ตอนเย็นเราเคยได้กลิ่นธูปอ้อยอิ่งมาเข้าจมูกบ่อยๆ

มีเสียงลือว่าเจ้าพ่อจะเอาชีวิตผู้หญิงที่ถูกใจไปเป็นเมียปีละ 1 คน พ่อแม่ดิฉันก็เคยเล่าว่าจะต้องมีผู้หญิงจมน้ำตายเป็นประจำทุกปี!

น้านวลกับไอ้นกมาอยู่มวกเหล็กได้ราว 6-7 เดือนก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น

สองแม่ลูกไปซักผ้าและอาบน้ำที่นั่นบ่อยๆ วันหนึ่งก็เกิดเป็นไข้ทั้งคู่ เมื่อซิ้มไทกับชาวบ้านรู้ข่าวก็มาเยี่ยม หายามาให้กินตามมีตามเกิด อาการไข้ของสองแม่ลูกก็ทรุดลงทุกที คิดจะนำส่งสุขศาลาที่เมืองปากเพรียวก็สายเกินไปแล้ว

น้านวลผ่ายผอมจนน่ากลัว ลูกสาวก็นอนแซ่วอยู่กับที่ มีคนพูดว่าเจ้าพ่อต้องมาเอาตัวไปแน่ๆ ไม่รู้ว่าแม่หรือลูก? เพราะถ้าเป็นไข้ป่าจะจับไข้วันเว้นวัน ไม่ใช่ทรุดหนักจนไม่ได้สติแบบนี้

วันหนึ่ง พ่อแม่กับเพื่อนบ้านก็ไปเยี่ยมไข้ มีซิ้มไทคอยดูแลอยู่ น้านวลที่นอนหลับตาแน่นิ่งก็พลันลืมตาโพลง แผดร้องโหยหวนว่า...ไม่ไป! ฉันไม่ไปด้วยหรอก...เล่นเอาทุกคนสะดุ้งเฮือก หน้าตาซีดเซียวด้วยความหวาดกลัวไปตามๆ กัน

ซิ้มไทน้ำตาไหล จุดธูปบอกกล่าวเสียงสั่นเครือว่า

"ถ้าเจ้าพ่อต้องการจริงๆ ก็เอาคนลูกไปเถิด แม่ทำมาหากินได้แล้ว อย่าเอาชีวิตไปเลย ไหนจะมีลูกเล็กๆ ที่โคราชอีกสองคนต้องเลี้ยงดู"

ชาวบ้านเพิ่งรู้ว่านกมีน้องที่อยู่กับยายอีกสองคน ข้างน้านวลลุกพรวดขึ้นโบกมือว่อน นัยน์ตาเหลือกลาน ร้องลั่นๆ ไล่ใครที่มองไม่เห็น จนเพื่อนบ้านขนลุกขนชัน เหลียวซ้ายแลขวาไปตามๆ กัน...

ได้ยินเสียงลมพัดกราว ยอดไม้สะบัดใบซู่ซ่า ฟังเผินๆ เหมือนเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานใจเหลือประมาณ

เชื่อกันว่า ถ้ามีคนเจ็บหนักสองคนในบ้านจะต้องตายหนึ่งคน แม้ซิ้มไทจะวิงวอนเพียงไรก็ไร้ผล...วันรุ่งขึ้นน้านวลก็สิ้นลม ชาวบ้านช่วยกันจัดงานศพให้จนเสร็จสรรพเรียบร้อย

นกหายดีแล้ว ซิ้มไทก็ส่งกลับไปอยู่กับยายและน้องๆ ที่โคราชตามเดิม...ไม่เคยได้พบปะกันอีกเลยจนถึงทุกวันนี้

คอลัมน์ ขนหัวลุก
โดย ใบหนาด 14 พค. 47
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 14:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อพญาไมยราพเดินทางมาจนถึงเขาวงกตแลเห็นปราการสูงใหญ่ แต่กลับไม่เห็นพลับพลา จึงแปลงร่างเป็นลิงน้อยเดินปะปนไปกับหมู่ทหารลิงแล้วลอบฟังหมู่ทหารลิงคุยกันเรื่องพระรามกำลังเคราะห์ร้ายและจะพ้นเคราะห์เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ได้ความดังนั้นไมยราพจึงเดินหลีกออกมาจนลับตาจากเหล่าทหารลิง ก็กลับกลายเป็นยักษ์แล้วเหาะไปที่เขาโสลาสคีรียืนอยู่บนยอดเขาและจับกล้องปัจธำมราชขึ้นกวัดแกว่งทำให้เกิดแสงสว่างเหมือนดาวประกาย ฝ่ายพวกลิงที่เฝ้ารักษาพระรามเข้าใจว่าเป็นดวงดาวประกายจริงจึงพูดต่อๆกันไปว่าพระรามพ้นเคราะห์แล้ว จึงพากันหลับนอนละเลยไม่ตรวจตราตามหน้าที่

พญาไมยราพเห็นดังนั้นจึงเอายาสะกดใส่กล้องแล้วเป่าไปทำให้เหล่าวานรทั้งหลายหลับสนิท แล้วไมยราพก็ เดินต่อไปถึงปากหนุมานเห็นสุครีพและหนุมานนั่งหลับจึงเดินเข้าไปในปากหนุมาน เห็นพวกลิงนอนหลับทับกัน เหลือแต่พิเภกและพระลักษณ์ซึ่งนั่งเฝ้าพระรามอยู่ ไมยราพจึงหมอบเข้าไปแล้วเอายาสะกดใส่กล้องแล้วร่ายพระเวทและกลั้นใจเป่าซ้ำไปอีกสามทีทำให้พิเภก พระราม และพระลักษณ์หลับไหลไปแล้วพญาไมยราพก็ช้อนเอาพระรามขึ้นใส่เหนือบ่าแล้วออกมาจากปากหนุมานแล้วรีบแทรกแผ่นดินกลับไปเมืองบาดาล

เมื่อถึงเมืองบาดาลก็สั่งอำมาตย์ยักษ์ให้รีบเอาพระรามไปใส่ไว้ในกรงเหล็กที่ดงตาลและให้พวกยักษ์เฝ้า พร้อมกันนั้นได้สั่งนางพิรากวนตักน้ำใส่ที่กระทะใหญ่ซึ่งตั้งไว้ที่หน้าพระลานและในรุ่งเช้าจะได้จัดการต้มพระรามและไวยวิก ลูกนางพิรากวนให้ตายพร้อมกัน ฝ่ายหนุมานเมื่อต้องยาสะกดของไมยราพก็หลับไม่ได้สติ ครั้นถูกลมพัดก็ตื่นฟื้นกายเห็นไม่พบพระรามก็รีบปลุกพระลักษณ์ พิเภกและสุครีพ

(ห้องที่ 54) หนุมานจึงอาสาไปไปช่วยพระรามที่เมืองบาดาลตามที่พิเภกแนะนำ คือ ไปยังสระบัวต้นทางที่จะไปเมืองบาดาลเห็นบัวดอกหนึ่งใหญ่เท่ากับกงรถจึงหักก้านบัวออกแล้วนิมิตตนเองลอดไปตามสายบัว แล้วแลเห็นกำแพงล้อมป้อมค่ายมีหมู่ยักษ์นับพันเฝ้า
ด่านแรก หนุมานจึงฆ่าหมู่ยักษ์และช้าง
ด่านที่สอง ทำลายภูเขาเหล่าเพลิงกรดจนดับสิ้น
ด่านที่สาม จับขยี้ยุงซึ่งตัวเท่าแม่ไก่
ด่านที่สี่ พบมัจฉานุซึ่งเป็นลูกของหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉาและเป็นบุตรบุญธรรมของพญาไมยราพ เมื่อสู้รบกันเป็นเวลานานแต่ไม่ปรากฏแพ้ชนะ จึงได้ร้องถามว่าเจ้าเป็นลูกเต้าผู้ใด มัจฉานุตอบจึงได้ทราบว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน มัจฉานุจึงขอโทษที่มาสู้รบหนุมานจึงถามมัจฉานุถึงหนทางที่จะไปเมืองบาดาล มัจฉานุตอบว่าพญาไมยราพเลี้ยงตนมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีพระคุณดั่งบิดาบังเกิดเกล้า หากจะให้บอกทางไปยังเมืองบาดาลก็เหมือนตนเองเป็นคนอกตัญญูแล้วบอกใบ้ว่า “บิดาลงมาทางไหน ทางนั้นจะไปยังมีอยู่ จงเร่งพินิจคิดดู ก็จะรู้ด้วยปรีชาชาญ”

(ห้องที่ 55) หนุมานได้ฟังดังนั้นก็คิดได้ จึงหักก้านบัวแล้วลอดไปตามไส้บัวจนถึงที่อยู่ของไมยราพและได้พบนางพิรากวนจึงถามนางว่าได้นำพระรามไปขังไว้ที่ใด นางตอบว่าขังอยู่ที่ดงตาลท้ายเมืองบาดาลแต่การที่จะผ่านเข้าไปถึงที่อยู่ไมยราพจะต้องผ่านนายประตูซึ่งมีตราชูชั่งน้ำหนัก หนุมานจึงคิดอ่านผ่านด่านที่ห้าซึ่งมีตราชูคอยชั่งน้ำหนักโดยแปลงตัวเป็นใยบัวติดสไบของนางพิรากวนเข้าไป เมื่อนางเดินไปที่ด่านชั่งน้ำหนักปรากฏว่าตราชูเกิดลั่นเดาะหักลงมา พวกยักษ์จึงถามว่าพาใครเข้ามาจึงทำให้ตราชูหัก นางพิรากวนตอบว่า ตนมาผู้เดียวดังที่เห็นอยู่ส่วนการที่ตราชูหนักนั้นก็มันเก่าคร่ำคร่าใช้มากกว่าแสนปีไม่ดีหักเองจะโทษใคร พวกยักษ์ได้ฟังนางพิรากวนชี้แจงก็เห็นจริงดังที่นางพิรากวนว่าจึงได้แต่เหลียวดูหน้ากันไปมาและมิได้ตอบโต้นางพิรากวน

(ห้องที่ 56) เมื่อนางพิรากวนเดินผ่านประตูเข้ามาถึงหน้าพระราม จึงบอกหนุมานว่า ไมยราพนอนหลับอยู่ที่ปราสาท ส่วนพระรามและไวยวิกถูกขังไว้ในกรงเหล็กที่ดงตาลท้ายเมือง หนุมานจึงร่ายเวทอำพรางตัวรีบไปที่กรงขัง เมื่อมาถึงก็ร่ายมนต์สะกดหมู่ยักษ์ที่เฝ้าพระราม ครั้นแล้วหนุมานก็เห็นพระรามนั่งหลับอยู่ในกรงเหล็กใหญ่ก็ก้มลงกราบและทำลายกรงเหล็กแล้วช้อนองค์พระรามรีบพาเหาะจากเมืองบาดาลมาถึงเขาสุรกานต์จึงวางองค์พระรามพักไว้ที่แท่นฝากเทวดาฟ้าดินปกปักรักษา เพื่อกลับมาฆ่าไมยราพ


ระหว่างการต่อสู้ทำอย่างไร หนุมานก็ไม่สามารถฆ่าไมยราพได้จึงร้องถามนางพิรากวนว่าเป็นเพราะเหตุใด นางตอบว่า ไมยราพถอดจิตออกเป็นตัวผึ้งใส่กล่องแก้วแล้วเอาลงไปซ่อนไว้ในยอดเขาตรีกูฏ หนุมานจึงนิมิตร่างใหญ่เท้าเหยียบอกไมยราพแล้วง้างมือไปที่ยอดเขาคว้าตัวผึ้งที่เป็นหัวใจของไมยราพแล้วขยี้ ไมยราพถึงแก่ความตาย หนุมานกลับไปถอดตรุให้ไวยวิกแล้วตั้งให้เป็นเจ้าเมืองบาดาลแล้วให้มัจฉานุเป็นอุปราช หิ้วเศียรไมยราพเหาะกลับมายังเขาสุรกานต์

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 14:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 14:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หนุมาน ขึ้นชื่อในเรื่องเจ้าชู้ ความเจ้าชู้ไม่มีเป็นรองใคร สตรีเพศที่ได้พูดคุยใกล้ชิดกับหนุมาน มักไปไม่รอด(เซ็นเซอร์)
นางสุพรรณมัจฉาก็หลีกหนีไม่พ้นความเป็นไปอันนี้เช่นกัน  นอกจากจะสั่งการให้เหล่ามัจฉา บริวารทั้งหลายนำก้อนหินกลับมาถมที่เดิม จนถนนสู่กรุงลงกาสำเร็จเรียบร้อย
นางยังลุ่มหลงในเสน่หาที่ ขุนกระบี่ทหารเอกของพระราม ที่หว่านไว้ อย่างหัวปักหัวปำ ทุกวันทุกคืนมีแต่ความหลงใหลในตัวหนุมาน
นางยอมพลีกาย พลีใจให้กับหนุมานหลายวัน หลายราตรี  เมื่อถึงเวลาอันควรก็แยกลาจากกันไป
หนุมานคงไม่มีปัญหาอะไร แต่นางสุพรรณมัจฉาล่ะจะทำอย่างไรต่อไป  งานที่ได้รับบัญชามาจากบิดาคือทศกัณฐ์ก็ไม่สำเร็จ ล้มเหลวไม่เป็นท่า
แถมยังต้องพลาดท่าเสียที ตกเป็นเมียของหนุมานไปอีกตนหนึ่ง   คิดดังนั้นจึงต้องหลีกลี้หนีไปให้ไกลจากกรุงลงกา....


เมื่อนางสุพรรณมัจฉา หลงในเสน่ห์ของหนุมาน จนถึงขั้นพลาดท่าเสียที มีสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับหนุมานไปแล้ว จะกลับกรุงลงกาก็ไม่ได้
เพราะเกรงว่าบิดาคือทศกัณฐ์ จะลงโทษเอาได้  จึงหลีกหนี ลี้ภัยไปอาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง พร้อมกับทายาทของหนุมานที่จุติขึ้นมาในครรภ์
วันเวลาล่วงผ่านเลยไปหลายปี นางสุพรรณมัจฉาเฝ้าฟูมฟัก สายเลือดของตัวเองอย่างทะนุถนอม เมื่อได้เวลานางก็ให้กำเนิดลูกน้อยออกมา แต่การให้กำเนิด
ของนางแตกต่างจากมนุษย์ เพราะนางมีกายท่อนล่างเป็นปลา  ลูกน้อยออกจากครรภ์ของนางโดยการ สำรอก
ลูกน้อยที่เกิด มีอายุราว 6 ปี  มีผิวกายขาวเผือกเหมือนเช่นหนุมาน ซึ่งเป็นบิดา หน้าตาแทบจะเรียกได้ว่าถอดพิมพ์ออกมาเลยทีเดียว
นอกจากนี้เด็กน้อย ยังมีส่วนที่เหมือนแม่อีกนั่นคือ มีหางเป็นปลา  เมื่อเห็นลูกน้อยออกมาลืมตาดูโลก นางก็ได้อธิษฐานต่อบรรดาเทวดานางฟ้าทั้งหลาย
ให้นางและลูกชายมีแต่ความปลอดภัย  เทวดานางฟ้าทั้งหลายจึงได้พากันมาแสดงตนให้นางได้เห็นตามคำอธิษฐาน และอำนวยพรให้ตามที่ประสงค์
แถมช่วยกันตั้งชื่อให้ เด็กน้อยว่า มัจฉาณุ  แต่เหมือนมีเวรกรรม ตามซ้ำ นางสุพรรณมัจฉามีโอกาสได้ชื่นชมบุตรของนางเพียงช่วงระยะเวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม
ก็จำต้องพลัดพรากจากสายเลือดตัวน้อยอันเป็นที่รัก  ก่อนจากจากได้เล่าถึงชาติกำเนิดให้มัจฉาณุลูกน้อยได้ฟังว่า มีบิดาชื่อ หนุมาน เป็นทหารของพระราม
มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครคือ มีมาลัยกุณฑล ขนแก้ว เขี้ยวเพชร เหาะเหินเดินอากาศได้ และสามารถหาวเป็นดาวเป็นเดือน
อนิจามีพ่อก็ไม่เคยเห็นหน้า มีแม่ก็ต้องพลัดพรากจากกัน  แต่เด็กน้อยครึ่งลิงครึ่งปลานาม มัจฉาณุ ก็ยังโชคดีเมื่อ ไมยราพ เจ้าแห่งเมืองบาดาล
เดินทางมาพบเข้าในระหว่างที่เด็กน้อยนั่งเล่นอยู่บนหาดทรายตามลำพัง  ชะตาช่างต้องตรงกันเหลือเกิน เจ้าเมืองบาดาลเกิดความรัก ความเมตตาต่อเด็กน้อย
เป็นอย่างยิ่ง   ได้รับเอาไว้เป็นลูกบุญธรรม  นำไปเลี้ยงดูฟูมฟักเหมือนดั่งสายเลือดของตนเอง และยังให้รักษาตำแหน่งด่านหน้าเมืองบาดาลอย่างสมเกียรติ์


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้