ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เรื่องเล่า อ่านสนุก ^^

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 14:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระลักษณ์ พระรามถูกไมยราพ ลักพาตัวลงไปคุมขังไว้ในเมืองบาดาล  
ไมยราพ ทำไปเพราะเพื่อนรักคือทศกัณฐ์มาขอร้องให้ช่วย
มีการวางกำลังป้องกันการแย่งชิงตัวจากฝ่ายหนุมาน หลายชั้น โดยชั้นสุดท้ายชั้นในสุดให้เป็นหน้าที่การควบคุมดูแลของ
มัจฉาณุ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงอุปราช     หนุมานตีฝ่าทุกด่านมาได้อย่างง่ายดายจนกระทั่งเข้ามาถึงด่านสุดท้าย
เกิดการต่อสู้กับ มัจฉาณุ อย่างดุเดือดเข้มข้นผลัดกันรุก ผลัดกันรับ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำบาดเจ็บจนล้มลงไป
สักพักก็กลับมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นมาเหมือนเดิมอีก   เวลาผ่านพ้นไปหลายเพลา    ขุนกระบี่ทหารเอกอย่างหนุมานก็เกิดความสงสัย
ว่าทำไมเจ้าเด็กน้อย หน้าตาคล้ายตัวเอง มีหางเป็นปลาตนนี้ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมถึงมีฤทธิ์เดชมากมายเกินตัว
สามารถต่อกรกับตนได้หลายเพลงอาวุธ    จึงร้องถามไปว่าเป็นลูกของใคร
มัจฉาณุ ร้องบอกข้าคือลูกของหนุมาน แม่ข้าคือนางสุพรรณมัจฉา   ทันใดหนุมานก็รีบร้องบอกไปว่าข้านี่เอง หนุมาน
ลิงน้อยมัจฉาณุ ไม่เชื่อ จนหนุมานต้องแสดงฤทธิ์ให้เห็นโดยการ หาวเป็นดาวเป็นเดือน
ด้วยความดีใจ จึงก้มวันทา สองพ่อลูกเข้าสวมกอดกันอย่างดีใจ  แต่มัจฉาณุบอกว่า  ไมยราพเจ้าเมืองบาดาล
เป็นผู้มีพระคุณ เลี้ยงดู อุ้มชูมาอย่างดีก็เปรียบดังพ่อบุญธรรมคนหนึ่ง ไม่สามารถจะปล่อยให้หนุมาน เข้าไปในเมืองบาดาลได้โดยง่าย
เพราะนั่นแสดงถึง ความอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณได้
แต่หนุมานก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้า  จึงบอกใบ้ให้ทราบถึงการเข้าไปในเมืองบาดาล  โดยสามารถหักก้านบัว แล้วแปลงร่างสอดแทรก
ไปตามสายบัว ก็จะสามารถเข้าไปถึงชั้นในของเมืองบาดาลได้      หนุมานสามารถปฏิบัติภารกิจสำเร็จฆ่าไมยราพลงได้
และแย่งชิงตัวพระลักษณ์ พระรามกลับคืนมา  ทหารเอกแต่ละคนก็ได้รับการปูนบำเหน็จ กันโดยทั่วหน้า
แม้แต่มัจฉานุก็ได้ เลื่อนตำแหน่งเป็น พญาหนุราช และให้ไปครองกรุงมะลิวัน
ทั้งหมดนี่คือ ประวัติของมัจฉานุอย่างย่อ
   
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 14:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทิดเต๋าเผาพระอาจารย์ ตอน อานุภาพยันต์เกราะเพชร

เรื่องคุณไสยนี่นะครับ มีมานานมาก เอาแบบที่ผมจำ ๆ ได้ ก็สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังดำรงขันธ์อยู่ละครับ เป่ายันต์กันทีไรเก็บตะปูได้เป็นกิโล ๆ หลวงพี่ท่านเล่าว่า เจอตะปูทีไรเป็นต้องแหย่กันว่า

"ดูสิ..นกพิราบมันคาบตะปูมาเล่นอีกแล้ว.."

โห..คาบมาทีเป็นกิโล ๆ ฝูงมันคงใหญ่มาก จนครั้งหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ต้องประกาศออกไมค์กันไปเลยครับว่า

"เออ..พวกที่ส่งตะปูมา ต่อไปอย่าส่งมานะ ไอ้ตะปูหงิก ๆ งอ ๆ มันใช้ในการก่อสร้างไม่ได้ ถ้าจะส่งให้ส่งเหล็กเส้นมาเลย เอาสักตันสองตันก็ได้ ฉันจะได้เอาไปสร้างวัด" เรียกเสียงหัวเราะจากลูกหลานได้เป็นการใหญ่ แถมมีการสำทับต่อด้วยว่า

"ไอ้คนที่มาทำนี่ ไปเลือกเอาได้เลย ลูกหลานฉันจะเลือกเอาคนไหนก็ได้ ไปทำของใส่เขาเลย ลูกหลานเอ๊ย..ถ้าเขาจะมาทำก็ปล่อยให้เขาทำนะลูก นอนเฉย ๆ ปล่อยให้เขาทำ แต่ถ้ามันจะเตะละก็..สู้มันนะลูก"

แล้วบางทีก็มีการปิดท้ายด้วยว่า "นี่..ตอนนี้เขาไปยืนปรึกษากันอยู่ที่ป่าไผ่ กำลังสงสัยกันอยู่ว่า ที่มากันนี่ พระรู้ได้อย่างไร" ฮ่า..ฮ่า..

หลวงพี่ท่านเล่าให้ฟังว่า เขาจะมาทางไหนหลวงพ่อท่านรู้หมด บางทีบอกไว้ก่อนทั้งรูปร่างหน้าตา ผู้ชายกี่คน ผู้หญิงกี่คน พอถึงเวลาไปดักดูก็ปรากฏว่ามีจริง ๆ

อานุภาพของยันต์เกราะเพชรนี่คุ้มกันได้จริง ๆ ขนาดตะปูหล่นมาเห็น ๆ ยังไม่ได้กิน ส่วนผมเองได้มีโอกาสไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรด้วยตนเองครั้งล่าสุด ก็เป็นที่วัดท่าขนุน ที่หลวงพี่เป่ายันต์ครั้งแรกนั่นแหละครับ

ในด้านของผลนั้น ท่านอื่นเป็นอย่างไรผมไม่ทราบ (มาบอกเล่ากันบ้างสิครับ) ส่วนผมเองหลังจากเข้าพิธี มีอยู่ครั้งหนึ่ง แบบว่าไม่มีอะไรจะทำ ปีนขึ้นต้นไม้ไปเก็บบอลกับรุ่นน้องอีกคน

ปีนไปปีนมา รุ่นน้องคนนั้นร้องโอ๊ยดังลั่น ร่วงจากต้นไม้ร้องว่า "ต่อ ๆ..!" ผมก็คิดว่า ไอ้ห่...ตูก็ปีนมาสูงขนาดนี้ยังจะให้ไปต่ออีก ไม่ใช่ครับ ต่อจริง ๆ ครับ ต่อตัวเบ้อเริ่มประมาณ ๕ - ๖ ตัวได้ (นับไม่ทัน) บินว่อนรอบตัวเลย..!

ครั้นจะโดดลงไปก็สูงครับ ขาหักแหงแก๋เลย (ปรากฏว่าไอ้รุ่นน้องท่านนั้นขาหักจริง ๆ ครับ กรรม..!) ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ใจนึกถึงยันต์เกราะเพชรอย่างเดียว เพราะท่านว่ากันพิษได้ ท่องแค่ "อิติปิโส ภควา ๆ" แค่นี้จริง ๆ ไม่มียาวกว่านี้..!

จะไปซ้ายก็ไม่ได้ ไปขวาก็ไม่ได้ ขึ้นบนก็ไม่ได้ โดดลงล่างดูท่าจะฉิ..หายแน่นอน ก็เป็นอันจำยอมให้มันต่อยครับ ยืนมันอยู่บนต้นไม้นั่นแหละครับ ปรากฏว่ามันต่อยไม่เข้าแฮะ..! สงสัยมันต่อยรุ่นน้องเราจนหมดฤทธิ์เหล็กในทื่อไปแล้ว จึงค่อย ๆ ปีนกลับลงมา

ต่อมาภายหลังรุ่นน้องคนนี้ทราบว่า จะมีพิธีเป่ายันต์ที่วัดท่าขนุน ก็มาชวนผมไป ผมไม่ว่าง มันก็อุตส่าห์ตะกายไปของมันคนเดียวจนได้ ส่วนครั้งล่าสุดที่เป่ายันต์นั้นพอดีผมไม่ได้ไป ตอนเช้าวันเสาร์(ยังไม่ตื่น) มีเสียงโทรศัพท์จากหลวงพี่หน่อย ท่านเมตตาโทรมาบอก "ทิด..พิธีจะเริ่มแล้ว เตรียมรับนะ อาจารย์ท่านเริ่มทำพิธีแล้ว.."

ผมก็แบบครับ ๆ หลวงพี่ ว่าแล้วก็นอนต่อ(โห..มันวันหยุด..!)ก็นอนภาวนาไปเรื่อยครับ พุทโธ ๆ แบบหลับ ๆ ตื่น ๆ สัก ๑๕ นาที มันคันคะเยอขึ้นมาเลยครับ คันจนนอนต่อไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำ

แบบนี้จะเรียกว่ามีผลหรือไม่มีผล ก็แล้วแต่วิจารณญาณแล้วกันนะครับ แต่หลวงพี่นี่ท่านลองเป็นประจำ แบบที่ผมเห็นมากับตาเลยคือ วันหนึ่งมันมีงูกะปะเลื้อยขึ้นมาบนเกาะ ดูท่าคงจะมากินลูกไก่ป่า เพราะสมัยนั้นไก่ป่าที่เกาะจะมีเยอะมาก พอดีหลวงพี่ท่านมาพบเข้า

เผอิญผมผ่านมาพอดี เห็นหลวงพี่ท่านคว้าหมับเลยครับ ไอ้เจ้างูมันก็แว้งกัดทันที ถูกบริเวณข้อมือแบบจมเขี้ยวเลยครับ ท่านยังยกมาโชว์ให้ดูอีกว่า งูที่มีลักษณะแบบนี้ พิษมันจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ เหมือนท่านกำลังถ่ายทำสารคดีเลยทีเดียว..!

ผมได้แต่ยืนงง ๆ ปนอึ้ง บอกเสียงสั่น ๆ ว่า “เอา..มันไปปล่อยเถอะครับ..” ท่านก็เลยจับเจ้างูนั่นไปปล่อย พอท่านเดินกลับมา ผมก็รีบบอกหลวงพี่ปรีชาว่า “หลวงพี่ ๆ หลวงพี่เล็กโดนงูกัด..!” หลวงพี่ปรีชาท่านก็เดินแบบใจเย็นไปดู...


"โห..นี่มันงูกะปะเลยนี่หว่า..!"


“งูกะปะนะผมรู้ เพราะเมื่อกี้เพิ่งดูหลวงพี่เล็กเออร์วินมา ท่านโดนมันกัดเต็มข้อเลย จะเอาอย่างไรกันดี พาส่งโรงพยาบาลหรือจะพยาบาลเบื้องต้นกันอย่างไรดี..”

ผมนี่ลนเลยครับ กลัวพระอาจารย์จะตาย หลวงพี่ท่านเหมือนจะรู้ใจ บอกว่า "คนโดนกัดยังไม่ทันเป็นอะไร ไอ้คนยืนดูมันจะเป็นจะตาย..!" โห..พูดอย่างกับว่าท่านไม่ได้เป็นคนโดนซะอย่างนั้น...

ต่อไปเป็นขั้นตอนวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตามแบบฉบับของเกาะพระฤๅษี
๑. เดินไปที่หอฉัน
๒. ตรงไปที่ตู้ยาเก็บชุดรักษาพยาบาล
๓. เหยาะ "เบตาดีน" เบตาดีนจริง ๆ ครับ เหยาะ ๆ แล้วก็ล้างแผล ปากก็บ่นว่า

"แผลนี่ต้องรีบล้าง เดี๋ยวบาดทะยักมันจะกินเอา"

อ๊ากกก..เพิ่งเคยเจอ โดนงูกัดเหยาะเบตาดีน กลัวบาดทะยักจะกิน..! ไม่กลัวพิษงู หลวงพี่ปรีชาท่านก็นั่งดู นั่งคุยกับหลวงพี่ พิจารณากันว่าแผลนี้เป็นอย่างไร ลึกแค่ไหน รอยเขี้ยวมันเป็นอย่างไร ส่วนผมนี่คิดอย่างเดียว “ทำไมไม่ไปโรงพยาบาล..!”

หลวงพี่ปรีชาหันมาเห็นผมยืนหน้าซีดอยู่ ก็บอกยิ้ม ๆ ว่า "ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์ท่านโดนประจำ" อ๋อ..ไอ้ที่เบตาดีนจะหมด ๆ นี่คือโดนประจำ ตูจะบ้าตาย..!

หลวงพี่ท่านชี้ให้ดูว่า “นี่..พิษมันจะวิ่งอยู่แค่นี้ (จากแผลถึงข้อศอก) ถ้าเคยได้รับยันต์เกราะเพชรมาพิษมันจะแล่นอยู่ไม่เกินนี้ ไม่ต้องห่วง ผมลองมาแล้วแทบทุกพันธุ์..! นี่แหละอานุภาพยันต์เกราะเพชร..!”

ครับ ๆ ไม่ต้องลองให้ดูก็ได้ครับ หัวใจผมจะวายตาย เอาไว้จะซื้อเบตาดีนถวายตุนไว้แล้วกันนะครับพระอาจารย์..!

ว่าจะพิมพ์เรื่องของคุณไสย ดันมาเรื่องยันต์เกราะเพชรไปได้ซะอย่างนั้น เอาเป็นว่าถ้านึกได้ จะมาพิมพ์ไว้เตือนความจำต่อแล้วกันนะครับ

ขอย้ำนะครับ ว่าบันทึกทั้งหลายเหล่านี้ ผมไม่ได้รับคำสั่งจากท่านผู้ใด หรือได้รับผลประโยชน์อันใดที่เป็นวัตถุ ข้าวของเงินทอง ของมีค่าใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ผมได้อยู่อย่างเดียวนั่นคือ ความชื่นใจในสังฆานุสติกรรมฐาน และได้ระลึกนึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เมตตาสั่งสอนอบรมผมมา จึงนำมาบันทึกเพื่อเตือนความจำของตนเอง ส่วนท่านใดผ่านมาพบและได้ประโยชน์จากการนี้ ผมขอโมทนาด้วยนะครับ
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-9 15:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แสนตรีเพชรกล้า

แม่ทัพคนสำคัญของพระเจ้าเชียงใหม่ ในวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน คือ แสนตรีเพชรกล้าเป็นแม่ทัพม้า ทหารเอกของพระเจ้าเชียงใหม่ เป็นศิษย์ของอาจารย์ศรีแก้วฟ้าแห่งถ้ำวัวแดง มีวิชาอาคมขลัง อยู่ยงคงกระพัน มีรอยสักทั้งตัว ตั้งแต่รุ่นหนุ่มก็ไม่ได้อาบน้ำเลยเพราะเกรงว่าจะล้างว่านยาที่ทาตัวออกไปหมด เมื่อจะออกรบจึงจะอาบน้ำแช่เครื่องรางวิเศษผสมกับว่านยาซึ่งเป็นน้ำเสี่ยงทายด้วย ถ้าน้ำมีสีเหลืองจะได้ชัยชนะ ถ้าน้ำมีสีแดงจะแพ้ถึงตาย ครั้งที่ต้องรบกับขุนแผนและพลายงามน้ำในวันนั้นมีสีแดง แต่ก็แข็งใจออกไปรบแล้วก็ถูกทหารของขุนแผนใช้หลาวสวนทวารถึงแก่ความตาย

ดังคำกลอน...
  กล่าวถึงทัพอัสดรตรีเพชรกล้า
อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา อยู่คงศาสตราวิชาดี
แขนขวาสักรงเป็นองนารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์
ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง
สักอุระรูปพระโมคคลา ภควัมปิดตานั้นสักหลัง
สีข้างสักอักขระนะจังงัง ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา
ฝังเข็มเล่มทองทั้งสองไหล่ ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้แสกหน้า
ฝังก้อนเหล็กไหลไว้อุึรา ข้างหลังฝังเทียนคล้าแก้วตาแมว
เป็นโปเปาปุปปิบหยิบทั้งกาย ดูเรี่ยรายรอยร่องเป็นถ่องแถว
แต่เกิดมาอาวุธไม่พ่องแพว ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว
สูงใหญ่ รูปร่างเหมือนอย่างเสือ กำลังเหลือเนื้อหนังก็แน่นเหนียว
หนวดโง้งโก่ง ฟั่นพันเป็นเกลียว ฟันขาวปากเขียวดังปลิงควาย
นัยน์ตาดำคล้ำคล้ายกับตาเสือ ขอบตาแดงเรื่อดังชาดป้าย
คิ้วแระหมวดหนวดแดงดูแรงร้าย ผมมุ่นมวยคล้ายกับโยคี
แต่รุ่นหนุ่มคุ้มใหญ่ไม่อาบน้ำ เพื่อนตำแต่ว่านยาทาขัดสี
ไม่นอนด้วยภรรยาทั้งตาปี ต่อศึกมีเมื่อไรได้อาบน้ำ
จะไปทัพจึงหาบรรดาว่าน มาเสกอ่านอาคมถมถนำ
เครื่องรางตะกรุดลงองค์ภควัม บริกรรมเสกเป่าเข้าทันใด
แล้วตักน้ำตีนท่ามาใส่ขัน หยิบเครื่องอานว่านนั้นเอาลงใส่
เสกเดือดพล่านพลั่งดังตั้งไป เห็นประจักษ์วักได้ใส่หัวพลัน
หยิบเครื่องอานว่านยาขึ้นมาไว้ เพชรหล้าลงไปในแม่ขัน
ประจงจบเคารพแล้วอาบพลัน ดูสำคัญในนทีจะมีลาง
ถ้าจะเกิดอันตรายวายชีวิต ในนิมิตรน้ำแดงเป็นแสงฝาง
ถ้าไม่ชนะไม่แพ้แต่ปานกลาง น้ำเป็นอย่างสีรงลงลาย
ถ้้าจะไปมีชััยแก่ข้าศึก น้ำเลื่อมดังผลึกวิเชียรฉาย
ครั้งนั้นขาดชันษาชะตาตาย นิมิตสายชลธีเป็นสีแดง
เพชรหล้ามุ่งเขม้นเห็นนิมิตร รู้แท่แน่จิตประจักษ์แจ้ง
น้ำอย่างสีฝางลางร้ายแรง นึกแสยงสยดสยอนถอนฤทัย
เป็นสุึดทุกข์ลุกออกมาผลัดผ้า ประหนึ่งว่าไม่ดำรงทรงกายไ้ด้
แล้วนึกว่าชาติทหารอันชาญชัย ถึงบรรลัยก็ให้ลือฝีมือลาว.
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-10 18:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อภินิหารหลวงปู่เผือก ตอน แก้วฟ้าท่องสวรรค์





พูดถึงเรื่องของนรกและสวรรค์แล้ว ต้องบอกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างมีความเป็นสากลครับ หนึ่งคือเกือบจะทุกศาสนาต่างมีเหมือนๆ กัน สองคือเป็นเรื่องที่คนทั่วไปรู้จักกันดีทั้งๆ ที่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็น คำถามจึงมีต่อมาว่าถ้าอย่างนั้นแล้วนรกและสวรรค์ตั้งอยู่ที่ไหน..

“บนโลกหรือนอกโลก”

บางคนบอกว่านรกและสวรรค์มีอยู่จริงและตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เพียงแต่ที่ตั้งนั้นอยู่ต่างมิติจากพวกมนุษย์ บางคนก็บอกว่านรกและสวรรค์เป็นเรื่องของนามธรรมที่มนุษย์ได้บัญญัติขึ้น อย่าได้คิดไปแตะต้องเลยเพราะแม้แต่จะมองก็ยังไม่เห็น ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นกันอย่างนี้ การมีอยู่จริงจึงเป็นเรื่องที่ฟังแล้วค่อนข้างทำใจให้เชื่อยาก

จะมีคำตอบให้กับเรื่องนี้อย่างไรครับ...หากว่าวันหนึ่งเราถูกขอร้องให้ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

บางทีมันอาจจะเป็นคำตอบที่สั้นและห้วนที่สุดเท่าที่เราเคยตอบ ประมาณว่าถ้าไม่ตอบจะดีกว่า หรือบางทีคำตอบของเราอาจจะต้องอธิบายกันอย่างยืดยาว และต้องใช้ข้อมูลมากปริมาณมาค้ำยันคำตอบ



(รูปหล่อหลวงปู่เผือกองค์แรก ปัจจุบันอยู่ที่พุทธอุทยานธรรมโกศล)

ครูแก้ว อัจฉริยกุล หรือแก้วฟ้า “ศิลปินอมตะของเมืองไทย” นอกจากครูแก้วจะมีผลงานการประพันธ์เพลงแล้ว ท่านยังเป็นเจ้าของคณะละครวิทยุแก้วฟ้าที่โด่งดัง ถึงในช่วงนั้นครูแก้วจะไม่มีเวลาว่างมากนัก แต่ท่านก็ยังหาโอกาสมานมัสการหลวงปู่เผือกและหมั่นปฏิบัติธรรมอยู่เสมอๆ

อาจกล่าวได้ว่าครูแก้ว อัจฉริยกุลคือหนึ่งในผู้สนใจและศึกษาลงไปในเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจังมากกว่าจะมองว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการนั่งสมาธิเพื่อปรารถนาจะได้เข้าพบหลวงปู่เผือก ซึ่งถ้าเราจัดหมวดหมู่ของการเรียนรู้แล้ว ต้องบอกว่าประสบการณ์ของครูแก้วสมควรจัดอยู่ในจำพวกเรื่องที่รู้เฉพาะตัวครับ

เพื่อนของผม(บางคน) ให้ความเห็นว่าเรื่องราวแนวนี้ถึงแม้ตัวเขาจะเชื่อว่ามันเป็นจริง แต่เมื่อยังหาเหตุผลมารองรับไม่ได้ก็สมควรเก็บเงียบไว้ก่อน

ในขณะที่เพื่อนอีกบางคนก็ขอแสดงทัศนะบ้างว่า เรื่องแบบนี้มีเกิดขึ้นเกือบจะรอบโลกแล้ว โดยเฉพาะในเมืองไทยน่าจะมีสถิติการเกิดเรื่องแบบนี้มากที่สุด เขาว่า

“บนเส้นทางของการเรียนรู้ สมควรได้รับการบอกเล่ามากกว่าจะเก็บไว้ในใจ”

อีกประการหนึ่งคือเรื่องประสบการณ์ทางจิตมันไม่เหมือนการตอบข้อสอบที่ต้องใช้ถูกผิดมาตัดสิน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนๆ หนึ่ง ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดขึ้นกับคนอีกหนึ่งหรือหลายคน

เรื่องของครูแก้ว อัจฉริยกุลที่ปรากฏในหนังสืออภินิหารหลวงปู่เผือก เป็นการเขียนจากคำบอกเล่าของครูแก้วเอง งานนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นทักษะของการเล่าเรื่องแบบมืออาชีพแล้ว ความสามารถในการเรียบเรียงเรื่องราวและถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรถือเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งของผู้ที่เขียนนำเสนอครับ

“สมัยก่อนโน้น ถ้าจะมีใครกล่าวถึงเรื่องของเมืองสวรรค์เมืองนรกขึ้นมา ใครคนนั้นก็จะถูกคนกลุ่มใหญ่เย้ยหยันเอาว่านำเรื่องเหลวไหลไร้สาระมาพูด หากจะมีคนยอมรับฟังและเชื่อถืออยู่บ้างก็จะเป็นเพียงคนกลุ่มน้อย ซึ่งส่วนมากเป็นคนเฒ่าคนแก่หัวธรรมะธรรโมเท่านั้น

แต่ตกมาถึงยุคสมัยนี้ เรื่องเมืองนรกเมืองสวรรค์ได้มีผู้ศึกษาค้นคว้ากันมาก แม้ในกลุ่มคนสมัยใหม่ที่มีการศึกษาสูงทั้งหนุ่มทั้งสาวต่างก็ยอมรับแล้วว่านรกสวรรค์มีจริง”

“แต่แม้ว่าบุคคลกลุ่มใหญ่ในยุคนี้จะยอมรับนับถือว่านรกสวรรค์มีจริง ซึ่งเป็นการกล่าวตามทฤษฏีที่ได้เคยศึกษาค้นคว้ามา หากก็ยังมีคนเป็นจำนวนน้อยที่จะมีความสามารถเช่นนั้นและจะต้องเป็นบุคคลที่มีจิตเป็นสมาธิสูง เนื่องจากมีหนทางเดียวที่มนุษย์จะเดินทางไปสู่เมืองนรกเมืองสวรรค์ได้ก็ด้วยทางสมาธิจิตเท่านั้น

และบัดนี้ บางกอกไทม์ก็ได้พบกับบุคคลอีกผู้หนึ่ง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วจิตของเขายังไม่สูงส่งจนสามารถท่องเที่ยวไปสู่นรกสวรรค์ได้ แต่ด้วยอำนาจปาฏิหาริย์อันมหัศจรรย์ ทำให้เขาผู้นี้มีโอกาสไปท่องสวรรค์ชั้นฟ้ามาแล้วหลายครั้งหลายคราทีเดียว”



จะว่าไปแล้วในอดีตที่ผ่านมา วงการหนังสือพระเครื่องของเมืองไทย ได้มีผู้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระเครื่องอย่างมีคุณภาพมากมายหลายท่านครับ ทุกวันนี้บทความบางตอนบางเรื่องของนักเขียนเหล่านั้น ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างอิงถึงบริบทต่างๆ เกี่ยวกับพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลัง  ซึ่งก็มีทั้งการอ้างอิงในเชิงวิชาการและการอ้างอิงในเชิงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์

อาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์ เป็นนักเขียนเรื่องพระเครื่องที่สำคัญอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย ผลงานของท่านมีทั้งการเขียนหนังสือแบบเป็นเล่มๆ และเขียนในลักษณะของการเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือทั่วไป

ผลงานของอาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือหนังสือ “นามานุกรมพระเครื่อง” ซึ่งนามานุกรมพระเครื่องเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระเครื่อง พุทธลักษณะและประวัติของพระเครื่องรุ่นต่างๆ มากเกินกว่าร้อยรุ่น

ถึงผลงานของอาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์อาจจะไม่ได้รับความนิยมมากเท่าผลงานของอาจารย์ตรียัมปวาย ซึ่งเป็นนักเขียนร่วมยุคสมัยเดียวกัน แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าแนวทางการนำเสนอในแบบของอาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์ ที่เน้นและเจาะลึกในเรื่องที่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ความเชื่อ รวมไปถึงเรื่องลึกลับต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ถือเป็นอีกมิติหนึ่งของการนำเสนอที่ถูกใจชาวบ้านเป็นอย่างมาก



ในสมัยนั้น(พ.ศ.๒๕๐๐) หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์จัดว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านยอดขายและความนิยม ทั้งนี้เป็นเพราะว่าหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์เป็นหนังสือพิมพ์ที่คงเอกลักษณ์ในด้านการนำเสนอข่าวแบบชาวบ้านๆ ประมาณว่าเรื่องแปลกๆ เรื่องลึกลับๆ รวมไปถึงความเชื่อในด้านต่างๆ ของสังคมในยุคนั้น  

ว่ากันว่าหากต้องการจะทราบว่าพระพุทธรูป พระเครื่องหรือพระเกจิอาจารย์ รุ่นไหน องค์ใด มีอภินิหารอย่างไร สามารถหาอ่านเรื่องราวอย่างจุใจได้จากหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ใน “คอลัมน์พระเครื่อง” ที่เขียนโดยอาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์..  

ประสบการณ์จำนวนมากมายที่เกี่ยวกับเรื่องความลึกลับและความเชื่อ ได้ถูกรื้อค้นขึ้นมาจากบรรดาผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง โดยการเดินทางเข้าสัมผัส-สัมภาษณ์ด้วยตัวของอาจารย์พินัยเอง ซึ่งเมื่ออาจารย์พินัยได้พิจารณาไตร่ตรองแล้วว่าเรื่องเหล่านั้นมีความเหมาะสมและสมควรที่จะเล่าสู่กันฟัง นั่นย่อมหมายถึงการที่ปลายปากกาจะถูกจิกลงบนหน้ากระดาษเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางและความอัศจรรย์ที่ท่านได้รับจากการไปเยือนบุคคลที่ประสบกับเหตุการณ์นั้นๆ  

อย่างเช่นกรณีของ “ครูแก้ว อัจฉริยะกุลกับการท่องสวรรค์” ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ฉบับประจำวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๒  

“ศิลปินแก้วฟ้าเผยประสพการณ์มหัศจรรย์กับบางกอกไทม์ ยืนยันเรื่องสวรรค์มีแน่ๆ ได้ประสบมาแล้วกับตนเอง...”



รายละเอียดมีอยู่ว่าหลังจากที่ครูแก้วประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้รับบาดเจ็บขาหักและกระดูกสะบ้าหัวเข่าแตก ท่านได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลแต่ก็ไม่ดีขึ้น วันหนึ่งครูแก้วได้พบวิญญาณศักดิ์ของหลวงปู่เผือก อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดสาลีโข ซึ่งประทับร่างของหลวงพ่อสมภพ เตชะปุญโญ หลวงปู่เผือกได้รับครูแก้วไว้เป็นลูกบุญธรรมเนื่องด้วยอดีตชาติที่ผ่านมาครูแก้วเคยเกิดมาเป็นลูกของท่านแล้วในชาติหนึ่ง  

เมื่อหลวงปู่เผือกได้ทำการรักษาอาการบาดเจ็บของครูแก้วจนหายขาด ทำให้ครูแก้วบังเกิดความเคารพเลื่อมใสในวิญญาณของหลวงปู่เผือกอย่างจริงใจจึงได้นิมนต์หลวงพ่อสมภพเพื่อให้ประทับร่างวิญญาณของหลวงปู่เผือกเพื่อจะได้สอนให้ท่านปฏิบัติวิปัสสนา โดยครูแก้วได้เดินทางไปนั่งฝึกสมาธิกับหลวงพ่อสมภพในสถานที่ซึ่งหลวงปู่เผือกท่านได้กำหนดให้รวม ๓ ครั้ง คือถ้ำแห่งหนึ่งในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ๑ ครั้ง เชิงผาลาดในเขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ ๑ ครั้งและที่ถ้ำแก่งละว้า จังหวัดกาญจนบุรีอีก ๑ ครั้ง  

ครูแก้วเล่าว่าเมื่อได้ฝึกสมาธิจิตตามคำสั่งของหลวงปู่เผือกดังกล่าวแล้ว คืนวันหนึ่งในปี ๒๕๐๘ หลวงปู่ได้สั่งให้นั่งสมาธิเพื่อส่งกระแสจิตติดตามท่านไป ซึ่งในขณะนั้นหลวงปู่เผือกท่านได้ประทับอยู่ในร่างของหลวงพ่อสมภพและคอยให้คำแนะนำสอบถามความเป็นไปอย่างใกล้ชิด โดยวิธีเข้าสมาธิก็คือ

ให้กราบพระและนั่งทำจิตให้สงบ สักครู่หลวงปู่ก็สั่งให้ทำจิตให้เหมือนขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านแล้วให้มองไปทางขอบฟ้าไกลๆ จะเห็นภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่งตั้งอยู่



เมื่อครูแก้วปฏิบัติตามและเห็นตามนั้นแล้ว หลวงปู่เผือกท่านก็ได้สั่งให้ครูแก้วอธิษฐานจิตให้ไปอยู่บนภูเขาแล้วก็ให้มองลงไปเบื้องล่าง ครูแก้วเล่าว่าเมื่อตัวท่านได้มองลงไป ท่านได้เห็นพระอุโบสถหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำ มีบัวสีต่างๆ ชูดอกบานสะพรั่ง รอบๆ พระอุโบสถมีกำแพงแก้วล้อมไว้อีกขั้นหนึ่ง  

หลวงปู่เผือกท่านได้สั่งให้ครูแก้วเข้าไปในพระอุโบสถนั้น เมื่อครูแก้วได้เข้าไปตามคำสั่งของหลวงปู่เผือก ท่านได้เห็นว่าตรงกลางของพระอุโบสถมีพานตั้งอยู่บนที่บูชาและในพานนั้นมีแสงสว่างเจิดจ้า หลวงปู่เผือกได้สั่งให้ครูแก้วกราบพานนั้น ๓ หนและให้เดินชมรอบๆ เป็นทักษิณาวัฏ ๓ รอบ โดยสถานที่แห่งนี้หลวงปู่เผือกท่านได้บอกครูแก้วว่าเป็น “พระจุฬามณีที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว” (อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์)

หลังจากนมัสการพระเขี้ยวแก้วและได้ชมครบสามรอบแล้ว หลวงปู่เผือกท่านได้สั่งให้ครูแก้วเดินทางต่อไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งเพื่อพบกับตัวของหลวงปู่เผือก ซึ่งเมื่อครูแก้วเดินทางไปถึงจุดนัดพบท่านก็เห็นว่าที่เชิงเขามีวิหารสวยงามตั้งอยู่หลังหนึ่ง รอบๆ บริเวณวิหารมีต้นดอกซ่อนกลิ่นปลูกเอาไว้เป็นแปลงๆ เต็มไปหมด และเมื่อครูแก้วได้เดินตรงไปยังวิหารก็มีคนๆ หนึ่งออกมาถามว่า

“จะมาหาใคร”  

ครูแก้วจึงตอบว่าจะมาหาหลวงปู่เผือกเพราะตัวท่านเป็นลูกของหลวงปู่เผือก เมื่อครูแก้วได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบและท่านได้เข้าไปข้างในแล้ว ท่านได้เห็นหลวงปู่เผือกนั่งอยู่บนตั่งกลางวิหารและมีพระสงฆ์นั่งรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก ครูแก้วจึงได้ตรงเข้าไปกราบหลวงปู่เผือกและบรรดาพระสงฆ์เหล่านั้นด้วยความปลื้มปิติ

ซึ่งครูแก้วเข้าใจว่าหลวงปู่เผือกท่านได้แบ่งภาคมาประทับร่างและเป็นผู้นำพาท่านไปพบกับหลวงปู่เผือกด้วยตัวของหลวงปู่เผือกเอง และสถานที่อยู่ของหลวงปู่เผือกที่ท่านได้เข้ามาพบ  ในภายหลังครูแก้วได้ทราบต่อมาว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นพรหม



ครูแก้วเล่าต่อไปอีกว่า เมื่อท่านได้นมัสการหลวงปู่เผือกเรียบร้อยแล้ว ท่านได้รับคำสั่งจากหลวงปู่เผือกให้เดินทางต่อไปเพื่อนมัสการหลวงปู่ฤาษี ซึ่งสำนักของหลวงปู่ฤาษีตั้งอยู่บนภูเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ต่ำลงไป เมื่อครูแก้วเดินทางไปถึงภูเขาลูกนั้นก็พบว่ามีโยคีจำนวนมากนั่งอยู่ตามโขดหินและถ้ำเล็กๆ รอบๆ ภูเขา

บรรดาโยคีเหล่านั้นต่างก็นั่งบริกรรมในท่าต่างๆ กัน บางรูปยืนกางแขน บางรูปยืนขาเดียว บางรูปเอาศีรษะตั้งกับพื้นและบางรูปก็สวดมนต์เสียงดังมากตลอดเวลา และเมื่อครูแก้วเดินเข้าไปก็มีโยคีมาถามว่า

“มาหาใคร”

เมื่อครูแก้วตอบว่ามาหาปู่ฤาษี ท่านจึงได้รับการนำพาเข้าไปยังในถ้ำและเห็นหลวงปู่ฤาษีนั่งอยู่บนอาสนะเป็นหินและมีหน่อไม้ทองคำส่องแสงแวววาวอยู่หน้าอาสนะของท่านดอกหนึ่งด้วย รอบๆ อาสนะของหลวงปู่ฤาษียังมีสมุดข่อยจดตำหรับตำราต่างๆ กองอยู่เป็นตั้งๆ มากมาย  

หลังจากที่ครูแก้วได้นมัสการและตอบคำถามบางข้อของหลวงปู่ฤาษีเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้รับอนุญาตให้ออกชมทิวทัศน์บริเวณรอบๆ ภูเขา ซึ่งมีลำธาร ต้นไม้และดอกไม้สวยงามมาก จากนั้นครูแก้วจึงได้รับคำสั่งจากหลวงปู่เผือกให้เดินทางกลับไปตามเส้นทางเดิมคือกลับแวะนมัสการหลวงปู่เผือก พระเขี้ยวแก้วที่จุฬามณี จนถึงบ้านก็ลืมตาขึ้น



ครูแก้วได้เล่าเพิ่มเติมต่อว่า หลังจากที่ท่านได้ขึ้นท่องสวรรค์ด้วยการนำพาของหลวงปู่เผือกในครั้งนั้นแล้ว ต่อมาท่านยังได้ทำสมาธิเดินทางไปยังสถานที่เดิมอีกหลายครั้ง โดยในครั้งหลังๆ นี้จะเป็นการเดินทางไปด้วยตนเอง โดยเพียงแต่รับคำแนะนำและการฝึกปฏิบัติจากหลวงปู่ล่วงหน้าเท่านั้น  

แต่ต่อมาภายหลังครูแก้วท่านได้มีภารกิจมากขึ้น ทำให้ท่านไม่มีเวลาปฏิบัติวิปัสสนา ครั้นเมื่อขาดการปฏิบัติติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน ในที่สุดการส่งกระแสจิตไปสวรรค์จึงไม่สามารถกระทำได้อีก ซึ่งในประเด็นการเดินทางไปสวรรค์นี้ครูแก้วบอกว่า ขณะที่ท่านได้ส่งกระแสจิตออกท่องเที่ยว ท่านมีสติและรู้สึกตัวตลอดเวลา ภาพที่เห็นก็ชัดเจนอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงมิใช่เป็นการนั่งฝันแต่อย่างใด

สำหรับหลวงปู่ฤาษีนั้น ครูแก้วบอกว่าท่านชื่อ “ฤาษีแสงอาทิตย์” มีความคุ้นเคยกับหลวงปู่เผือกตั้งแต่สมัยที่หลวงปู่เผือกยังมีชีวิตอยู่และส่งญาณพบกันจึงได้คุยกันทางญาณจนมีความคุ้นเคย หลวงปู่ฤาษีท่านเป็นชาวภารตะและแต่งตัวคล้ายโยคี เวลาพูดด้วยต้องใช้ภาษาทางจิตโต้ตอบกัน รูปร่างลักษณะของหลวงปู่ฤาษีครูแก้วบอกว่าในขณะที่ท่านได้พบดูไม่ออกมาจะเป็นคนแก่หรือคนหนุ่ม

  

ครูแก้วจึงสันนิษฐานว่าหลวงปู่ฤาษียังมีชีวิตอยู่และจะต้องมีอายุที่ยืนยาวนานแน่ๆ เพราะตอนที่หลวงปู่ฤาษีนัดพบกับหลวงปู่เผือกจะอยู่ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ในส่วนสถานที่พำนักของหลวงปู่ฤาษีนั้น ครูแก้วให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นสถานที่บนโลกมนุษย์ ไม่ได้อยู่บนสวรรค์เหมือนหลวงปู่เผือกและพระจุฬามณีที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว เหตุผลคือเพราะทั้งหลวงปู่ฤาษีและโยคีท่านอื่นๆ ที่ครูแก้วได้มองเห็นต่างเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตทั้งสิ้น...  

ครับ-เรื่องราวของครูแก้ว อัจฉริยกุลกับหลวงปู่เผือก ธัมมะโกศโล หรือพระครูธรรมโกศล เป็นเรื่องของ “ความเชื่อและความศรัทธา” ที่ค่อนข้างเด่นชัดและยืนยงมาอย่างยาวนาน ดังจะเห็นได้จากกิจกรรมหลายๆ อย่างของครูแก้วที่ท่านได้ร่วมทำกับบรรดาลูกศิษย์ท่านอื่นๆ เช่นการมีส่วนร่วมในการขออนุญาตหลวงปู่เผือก เพื่อหล่อรูปเหมือนหลวงปู่เผือกให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป  

ซึ่งในการหล่อรูปเหมือนของหลวงปู่เผือกก็มิใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ครับ เนื่องจากลูกศิษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยมีใครได้พบหรือเห็นหลวงปู่เผือกสักคน ดังนั้นการหล่อจึงต้องใช้บริการจากอาจารย์พนม สุวรรณบุณย์ ที่ต้องเพียรนั่งหลับตาเข้าสมาธิจึงจะสามารถเห็นรูปร่างของหลวงปู่เผือกได้



(ภาพที่ปรากฏในสมาธิของอาจารย์พนม สุวรรณบุณย์)

อย่างไรก็ตามในยุคสมัยนั้น เรื่องของการนั่งสมาธิและสามารถเห็นบางสิ่งบางอย่างได้นั้น มีเกิดขึ้นกับครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น อาจารย์ทวี ทิวแก้ว หลวงพ่อบ๋าวเอิง ฯลฯ ในส่วนของครูแก้ว อัจฉริยกุล ถึงแม้ท่านจะมีคุณธรรมและสมาธิไม่ถึงท่านเหล่านั้น แต่ก็ด้วยการยื่นมือเข้ามาช่วยของหลวงปู่เผือก จึงทำให้ครูแก้วสามารถเห็นสิ่งที่แปลกมหัศจรรย์ได้พอสมควร  

จริงอยู่ถึงแม้เรื่องเหล่านี้จะพิสูจน์ไม่ได้ชัดเจนในเชิงประจักษ์ แต่ในแง่ของจิตวิญญาณแล้ว เรื่องเหล่านี้เหมือนเป็นฉากสะท้อนว่าบางสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นไม่ใช่ว่ามันจะไม่ได้มีอยู่จริง

คติความเชื่อในเรื่องของนรกและสวรรค์นี้ ค่อนข้างมีความหลากหลายและอาจไม่สอดคล้องตรงกันเท่าใดนัก ประมาณว่าต่างคนต่างเห็น จึงมิอาจหาข้อยุติได้ชัดเจน

แต่สำหรับลูกศิษย์ของหลวงปู่เผือกและหลวงพ่อสมภพแล้ว เรื่องของครูแก้ว อัจฉริยกุลหรือแก้วฟ้า ถือเป็นประสบการณ์หนึ่งในอีกหลายร้อยหลายพันประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกศิษย์สำนักนี้



ย้อนหลังไปในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาต้องตกเป็นของพม่า..

พระภิกษุองค์หนึ่งต้องรับภาระในการคุ้มครองคนไทยอพยพหนีภัยสงครามจากกรุงศรีอยุธยามาจนถึงสุดแนวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งบริเวณนั้นมีทุ่งข้าวสาลีขึ้นเต็มไปหมด

ปัจจุบันพระภิกษุรูปนั้นได้กลายมาเป็นทิพย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ คอยคุ้มครองบรรดาลูกศิษย์และผู้ที่เคารพเลื่อมใสอย่างใกล้ชิดมากที่สุด โดยไม่แบ่งเพศ วัย หรือฐานะ

ขอเพียงผู้นั้นเอ่ยภาวนา

“อะระหัง สุคะโต ภะคะวา”

...สวัสดีครับ



ขอขอบคุณ เอกสารอ้างอิง หนังสืออภินิหารหลวงปู่เผือก โดย ประจวบ สาเกตุ  คุณภาค ที่กรุณาส่งหนังสือมาให้ คุณพรชนก สุขพงษ์ไทยกับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำ และกำลังใจจากคุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรีครับ

15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-19 16:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาถรรพ์ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรฯที่วัดป่าแก้ว


เรื่องยาวหน่อย อ่านดูไปเรื่อยๆครับ..น่าสนใจดี

                                 



เรื่องนี้มีหลักฐานและถูกเล่าขานกันนานแล้ว เป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์หลายรูป ที่เล่าตรงกันเกี่ยวกับขุมทรัพย์โบราณมูลค่ามหาศาลภายใน "วัดป่าแก้ว" หรือ วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา วัดนี้ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เดิมเป็นวัดราษฎร์เรียกกันว่าวัดป่า ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับวัดสำคัญประจำนครอโยธยาเดิมคือวัดพนัญเชิง วัดมเหยงค์ วัดกุฎีดาว และวัดอโยธยา ครั้งถึงแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงให้ขุดศพเจ้าแก้วเจ้งไท เชื้อพระวงศ์ที่เป็นอหิวาตกโรคตาย ขึ้นพระราชทานเพลิงที่วัดนี้แล้วทรงซ่อมแซมบูรณะเจดีย์วิหาร ก่อนจะทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า "วัดเจ้าพญาไท" ให้เป็นที่พำนักของพระพนรัต ซึ่งเป็นพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี และด้วยอาณาเขตของวัดที่กว้างใหญ่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกชื่อ "วัดใหญ่" ตั้งแต่นั้นมา

จนล่วงมาถึงปี พ.ศ. 1991 - 2031 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระสงฆ์ไทยคณะหนึ่งนำกันออกไปอุปสมบทแปลงเป็นสิงหนีนิกาย และศึกษาพระพุทธศาสนา ณ สำนักพระพนรัต มหาเถระในลังกาทวีป สำเร็จแล้วกลับมาตั้ง "คณะป่าแก้ว" ที่ "วัดเจ้าพญาไท" จึงนิยมเรียกชื่อกันว่า "วัดเจ้าพญาไทคณะป่าแก้ว" ภายหลังเรียกเหลือสั้นลงแค่ "วัดป่าแก้ว" และเปลี่ยนเป็น "วัดใหญ่ชัยมงคล" ในปัจจุบัน

วัดโบราณเก่าแก่ในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา หลาย ๆ วัดเป็นที่รู้จักดีในหมู่เซียนพระ และนักเล่นของเก่าแก่ว่าจะต้องมีสมบัติมีค่ามหาศาลฝังไว้ใต้ดิน และแน่นอนว่าแต่ละที่จะต้องมี "ภูต" ที่เรียกว่า "ปู่โสม" เฝ้าอยู่ คนที่เชื่อและขยาดในอิทธิฤทธิ์มักไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่กับกลุ่มคนที่ชอบลักลอบเข้าไปขุด พวกนี้จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกิเลสและความละโมบที่มีอยู่ ทำให้ตามืดบอด มองไม่เห็นหายนะและความตายจากคำสาปแช่งที่กำลังจะมาถึง

วัดป่าแก้วหรือวัดใหญ่ชัยมงคล ในอดีตมักจะมีพระธุดงค์แวะเวียนมาปักกลดแสวงหาความวิเวกอยู่เป็นประจำ สมัยนี้เล่ากันว่าบริเวณวัดมีแต่ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เช่น งูเหลือม งูจงอาง เป็นสถานที่อันตราย เปลี่ยว และยังลือกันว่า "ผีดุ" จนชาวบ้านได้กล้าย่างกรายเข้าไป แต่ก็ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ใช้สถานที่นี้เป็นที่ปักกลดท่านคือ "หลวงปู่สีโห" พระป่ากรรมฐาน ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์กรรมฐานแห่งภาคอีสาน

"หลวง ปู่สีโห" ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นเดียวกัน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัย แต่ไม่ชอบอยู่วัดเพราะท่านรักที่จะอยู่ตามป่า ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" มากจนได้รับการยกย่องว่า มีเมตตาและพลังจิตแก่กล้า มีอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์และอภิญญา

หลวงปู่สีโหท่านเคยมาปักกลดอยู่ในวัดป่าแก้ว ใกล้กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงสร้างเฉลิมฉลองพระเกียรติ ภายหลังที่มีชัยแก่พม่าแล้ว ขณะที่ท่านพำนักอยู่ได้มีคนกลุ่มใหญ่พากันเข้ามาภายในวัดมองดูลักษณะคล้าย พวกโจร คนเหล่านี้มาขอร้องให้หลวงปู่ถอนกลดย้ายไปจากที่นั่น หลวงปู่ถามว่าเหตุใดจึงมาไล่ท่าน คนพวกนั้นตอบตามตรงว่าพวกเขาจะมาขุดทรัพย์ตามลายแทง แต่ไม่อยากให้หลวงปู่ร่วมรับรู้ด้วย และยังได้เล่าต่อไปว่าภายในเขตกรุงศรีอยุธยานี้มีลายแทงโบราณ บอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติไว้มากมายถึง 713 แห่ง พวกเขาขุดพบมาแล้ว 5 แห่ง และตามลายแทงยังบ่งบอกไว้ว่าในบริเวณรอบพระเจดีย์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ สร้างนี้มีขุมทรัพย์อยู่ถึง 27 ขุม มีข้าวของเงินทอง และเพชรนิลจินดาอยู่มากมาย จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้เอาสมุดข่อย ซึ่งเขียนด้วยอักขรไทยโบราณมีรูปแสดงที่ตั้งขุมทรัพย์ใต้ดินในบริเวณรอบ ๆ พระเจดีย์ให้หลวงปู่ดู นอกจากนี้ในสมุดข่อยยังมีแผนที่แสดงขุมทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วกรุงศรีอยุธยาอีกมากมายนับไม่ถ้วน และที่น่ากลัวก็คือ ภายในสมุดข่อยเล่มนั้นมีอยู่หน้าหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้ซีด ๆ ปรากฏคำสาปแช่งเอาไว้ด้วยโดยที่ไม่รู้ว่า กลุ่มโจรพวกนี้ จะเห็นหรือไม่

เรื่องขุมทรัพย์รายรอบพระเจดีย์นี้เป็นเรื่อง ที่คนโบราณว่าไว้จริง ซึ่งหัวหน้าแม่ชีท่านหนึ่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลเคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง ในสมัยที่ท่านเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ใหม่ ๆ นอกจากจะได้เห็น "ดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระนเรศวรฯ" แล้วท่านยังเคยเห็น "ทองลุก" ซึ่งเป็นไฟพะเนียงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าตรงบริเวณหน้าพระเจดีย์องค์นี้ ซึ่งคนโบราณบอกไว้ว่าถ้าเห็นลักษณะนี้แสดงว่า ใต้ดินบริเวณนั้นต้องมีสมบัติฝังอยู่แน่นอน สำหรับที่มาของขุมทรัพย์เหล่านี้ตามลายแทงโบราณได้บอกไว้ว่าเป็นมหาสมบัติ อันล้ำค่า ของอดีตพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์ ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขุดพบ และนำมาฝังไว้ตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ป่าแก้ว ผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย แก้อาถรรพณ์ดวงเมืองที่ตกต่ำ ร่วงโรยมานานให้รุ่งเรืองขึ้นในยุคสมัยของพระองค์
การขุดสมบัติของกลุ่มโจรในวันนั้นเล่าว่ามีการนำอาจารย์ทาง ไสยศาสตร์มาทำพิธีด้วย มีการเสกไข่เสี่ยงทายและพบไข่เป็นสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง แดง เขียว ดำ ซึ่งบอกให้รู้ว่ามีขุมทรัพย์ประเภททองคำ เพชรนิลจินดา และเงินตราโบราณอยู่มากมาย ทำให้พวกโจรดีใจกันมาก แล้วก็ช่วยกันทำการขุด เมื่อขุดลงไปประมาณ 7 ฟุต ก็พบโครงกระดูก 4 โครง นอนหัวชนกันหันเท้าชี้ไป 4 ทิศ และพอขุดลงไปอีกจอบก็ไปกระทบกับพื้นคอนกรีตโบราณ ซึ่งเป็นหลังคาอุโมงค์เก็บสมบัติ จึงพยายามช่วยกันแซะปากอุโมงค์ให้กว้างขึ้น และน่าประหลาดที่ภายในอุโมงค์มีกระแสลมแรงมาก พัดออกมาตลอดเวลา คล้ายมีพัดลมขนาดใหญ่อยู่ข้างใน อาจารย์ทางไสยเวทย์ที่ร่วมทีมจึงทดลองเอาด้ามเสียมแหย่ลงไปดูปรากฏว่า เสียมถูกกระแสลมตีเศษเหล็กกระจาย ทำให้แน่ใจว่าภายในหลุมนี้มี "หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" ที่คนโบราณผูกไว้สำหรับป้องกันขุมทรัพย์

"หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" นี้ทำด้วยเหล็กกล้าเนื้อดี และคมกริบเคลื่อนไหวด้วยกลไกที่ผลักดันจากแสง และอากาศที่อัดลงไป นอกจากนี้ยังมีการปลุกเสกลงอาถรรพณ์ ด้วยเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ หากจะทำลายก็ต้องแก้ด้วยเวทมนตร์ แต่สำหรับกลุ่มโจรเหล่านี้ แม้จะมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ มาคอยแก้อาถรรพณ์อยู่ด้วยก็ยังทำได้ยาก เพราะขณะกำลังทำพิธีล้างอาถรรพณ์หุ่นพยนต์นั้น อุโมงค์ขุมทรัพย์ก็ได้เลื่อนออกไป เสียงดังครืด ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ หนำซ้ำยังมีดินถล่มลงมาถมปากอุโมงค์จนเต็ม เป็นการปิดไม่ให้คนเหล่านั้นได้ล่วงล้ำเข้าไปอีก แต่ถึงจะเจออภินิหารซึ่งหน้าเช่นนี้ กลุ่มโจรก็ยังไม่ย่อท้อ ตั้งใจว่าจะเริ่มขุดใหม่ในวันรุ่งขึ้น

ดึกดื่นคืนนั้นพวกโจรกลับกันหมดแล้ว ได้ปรากฏร่างใหญ่โตของคน 4 คน ซึ่งไม่มีหัวมายืนอยู่หน้ากลดหลวงปู่สีโห ทั้งหมดคือภูตที่คอยเฝ้ามหาสมบัติให้สมเด็จพระนเรศวรฯ มาแจ้งให้หลวงปู่ทราบว่า กลุ่มโจรเหล่านี้มาขุดพระราชทรัพย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ ที่ทรงสาปแช่งไว้ แล้วยังทำพิธีไสยศาสตร์ ทำลายข่ายอาถรรพณ์ที่พระครูปุโรหิตโบราณาจารย์ทำไว้ให้เสื่อมอีก เท่ากับเป็นการทำลายดวงชะตาของบ้านเมือง พวกตนจะมาเอาชีวิตไปให้หมดแต่ติดขัดว่ามีหลวงปู่อยู่ด้วย จึงมาแจ้งให้ทราบ แต่หลวงปู่สีโห ซึ่งท่านได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีจิตเมตตา ท่านจึงได้ขอบิณฑบาตชีวิตคนเหล่านั้น ขอแค่ดัดนิสัยให้เข็ดหลาบก็พอ ทำให้วิญญาณทั้ง 4 นิ่งอึ้ง และบอกว่าต้องให้หลวงปู่ลองพูดกับพญายมบาลเอง พวกเขาไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้นพูดเสร็จก็เดินหายเข้าไปในองค์พระเจดีย์

หลวงปู่สีโหจึงเข้าฌานติดต่อกับพญายมบาล เมื่อพญายมบาลเปิดบัญชีดูจึงรู้ว่าพวกขุดลักพระราชทรัพย์เหล่านี้ ดวงยังไม่ถึงฆาตในตอนนี้ แต่กรรมหนักกำลังจะตามมาในไม่ช้า แต่ถึงอย่างไรพวกนี้ก็ควรจะได้รับผลจากคำสาปแช่งบ้างจะได้หลาบจำ เป็นอันว่าท่านพญายมตกลงจะไว้ชีวิตพวกโจร ครั้นรุ่งเช้าหลวงปู่สีโหตื่นขึ้นจะไปสรงน้ำ เพื่อออกบิณฑบาตก็ได้เห็นโจรกลุ่มนั้นกำลังนอนดิ้นทุรนทุราย เอามือกุมท้องบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขอให้หลวงปู่ช่วย ขณะเดียวกันบนองค์พระเจดีย์ใหญ่ก็เกิดเสียงดังครืน ทำให้ทุกคนหันไปดู เพราะคิดว่าพระเจดีย์จะถล่ม แต่แล้วก็พากันตกตะลึง เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งเดินลงมาจากพระเจดีย์พร้อมด้วยผีหัวขาดร่างใหญ่โต และพากันเดินหายไปทางกำแพงแก้วด้านทิศใต้ พวกโจรในที่นั้นร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีด หลวงปู่จึงบอกว่า "พวกเขาคือปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้า" พอได้ยินหลวงปู่พูดเช่นนี้ พวกโจรทั้งหมดก็เกิดความกลัว ตาหูเหลือกลาน จนอาการปวดท้องกำเริบ ทำให้หมดสติไปตามๆกัน หลวงพ่อเห็นแล้วก็ยิ่งเกิดความสังเวชที่เห็นโจรเหล่านี้ถูกลงโทษ เช้าวันนั้นท่านจึงจาริกออกจากอยุธยาไป ปล่อยให้โจรเหล่านั้นนอนสลบไสลเฝ้าขุมทรัพย์ภายในวัดป่าแก้วไปตามยถากรรม

"ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" นั้นมีจริงหากใครไม่เชื่อคิดลบหลู่ลองของก็เชิญพิสูจน์ได้ที่ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดใหญ่ชัยมงคล" จ.อยุธยา เพราะสมบัติมีค่ามหาศาล ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ ณ ปัจจุบันก็ยังคงฝังอยู่ใต้ดินรอบองค์พระเจดีย์นั่นเอง ซึ่งคงต้องรอผู้มีบุญ ผู้มีวาสนาขุดขึ้นมาใช้เป็นพระราชทรัพย์บำรุงแผ่นดิน และพระพุทธศาสนาในยุคต่อ ๆ ไป
                                
                      พระเจดีย์ชัยมงคลเป็นพระเจดีย์ที่สมเด็จพระ นเรศวรมหาราช โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติในคราวยุทธหัตถีมีชัยชนะ สมเด็จพระมหาอุปราชาแห่งพม่าเมื่อ พ.ศ. 2135 เป็นปูชนียวัตถุสำคัญแห่งหนึ่งของชาติไทย เป็นนิมิตหมายของเอกราช เตือนใจให้ระลึกถึงความกล้าหาญและความเสียสละของบรรพบุรุษ เป็นสัญลักษณ์แห่งอภัยทานของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเนื่องมาจากธรรมอันประเสิรฐแห่งพระพุทธศาสนา

เรื่องขุมทรัพย์มีจริงครับ.เพียงแต่ว่าอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง แต่ประวัติศาตร์แล้วยังไม่มีการขุดหาอย่างเป็นทางการมีแต่พวกลักลอบเข้าไปขโมยและก็มีอันเป็นไปทุกครั้ง..

ที่มา.http://board.palungjit.com
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-19 16:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เนื้อหาส่วนนี้ได้คัดลอกมาจาก http://www.pantipmarket.com/mall/jaybbg/index.php?node=webboard&page=details&id=22092

        ...กฎข้อห้ามของพรานล่าสัตว์...ที่ยึดถือ มาแต่โบราณ...เรื่องพวกนี่ควรจะเชื่อและไม่ลบหลู่ครับ...เช่นไม่ยิงสัตว์ที่ ท้องหรือมีลูกอ่อนๆ จะรู้ได้ไงว่าสัตว์นั้นมีลูกหรือกำลังท้อง ต้องหัดสังเกตเองครับ เช่นซูมกล้องส่องนกอยู่ แต่ที่ปากนกคาบแมลงหรือใส้เดือนไว้ตลอด เดาได้เลยครับว่ามันหาอาหารเอาไปป้อนลูกอ่อนของมัน - ยิงสัตว์ต้องยิงให้ตายอย่าปล่อยไปขณะที่สัตว์บาดเจ็บอยู่(เพราะเป็นอันตราย กับพรานอื่น)...ไม่พูดจาหยาบคายขณะออกล่า ....นั่งห้างกลางคืนปวดขี้ปวดเยี่ยวยังไงก็ห้ามลงจากห้างเด็ดขาด มีคนมาเรียกหรือตามให้กลับบ้านก็ห้ามลง ต้องรอจนรุ่งเช้า(บ้างก็กลัวเป็นเสือสมิง-ผีป่า ผีโป่ง ต้องโยนไฟให้คนที่มาเรียกจุดให้ดูก่อน ถ้าจุดไฟได้ก็ลงจากห้างได้..ถ้าไม่ยอมจุดไฟก็ยิงหัวได้เลย)....ไม่ยิงสัตว์ มั่ว ประเภทคะนองปืน เจอตัวอะไรก็ยิงด่ะไปหมด...ห้ามเผาป่าเพื่อให้หญ้าอ่อนระบัดขึ้นใหม่ และมาแอบซุ่มยิงเก้งกวาง-กระต่าย...ห้ามทำปืนผูก(เพราะเป็นอันตรายกับพราน อื่นๆ พรานเก่าๆตายกันมากเพราะโดนปืนประเภทนี้จากพรานรุ่นใหม่ๆที่นำปืนไปผูกไว้ ตามด่านสัตว์เดิน โดยฝืนกฎของพรานเก่าๆ พรานเก่าแทบสูญพันธุ์ ตายแล้วแถมถูกประณามจากชาวบ้านอีก)....ไม่มั่นใจในเป้าอย่ายิง(อาจจะเป็นพวกพรานด้วยกัน นั่งขี้หัวผลุ่บๆโผล่ ๆในดงหญ้าคาหรือที่รกทึบ เพื่อความเป็นส่วนตัว มีประวัติพรานใหญ่ตายคากองขี้ก็แยะเพราะโดนปืนจากพรานกรุง พวกนิยมส่องสัตว์กลางคืน)....ไม่ทิ้งขยะหรือของเหลือใช้ ที่ไม่ใช่ของป่าไว้ในป่า หากจำเป็นจริงต้องกลบฝัง (จะเห็นว่ามีมาแต่โบราณเลย อาจจะเป็นเรื่องกลิ่น ที่สัตว์จะกระสากลิ่นคนเราจากสิ่งของเร็วมาก ทำให้เตลิดหากินในป่าที่ลึกเข้าไปอีก)...ห้ามถ่มน้ำลายในป่า...ต้องทำการข่ม ป่าด้วยการไหว้เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขาทุกครั้ง เมื่อออกล่าสัตว์ในพื้นที่นั้นๆ เซ่นไหว้ด้วยข้าว ยาเส้น- หมากพลู ที่เตรียมไป...อยากยิงอยากได้อะไรก็ขอท่านไป....(เมื่อเอ่ยขอแล้ว ห้ามยิงสัตว์ที่ไม่ได้ขอเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเกิดเภทภัย เช่นขอเก้งกวาง แต่ไปยิงกระทิง จะเกิดฝนถึงพายุใหญ่ จนพรานอยู่ไม่ได้ หรือติดตามกระทิงที่ยิงไม่ได้ เผลอๆถูกฟ้าผ่าตายอีก เพราะไปทำผิดกฎที่ขอไว้)....ห้ามทำห้างบนต้นไทร...ห้ามนั่งห้างบนต้นไม้ที่ มีรากโผล่ขึ้นมาบนผิวดินเด็ดขาด(เพราะต้นไม้พวกนี้มีผีหรือเจ้าที่ สิงอยู่)....ห้ามทำลูกห้างเกินจำนวน(ผมจำไม่ได้ว่าต้องใช้ไม้กี่ท่อนที่มาทำ ลูกห้าง แต่ห้ามถึงสิบท่อนแน่ การนั่งห้างถึงได้ลำบากมากเพราะมีกฎนี้อยู่ จะหาไม้มาทำแยะๆจะได้นั่ง-นอนแบบรอสบายๆอุราไม่ได้เลย)...ห้ามหลับบนห้าง เด็ดขาด...พรานบางคนนั่งหลับ แล้วโดนงูเหลือม-หลามเลื้อยขึ้นไปรัด ก็มีแยะเป็นตำนานเลยเรื่องพวก นี้...ห้ามนั่งห้างที่มียอดไม้ติดชิดๆกันหรือกิ่งก้านใกล้ๆกัน เพราะงูเหลือม-หลามมันจะเข้ามาทางหัวพรานเลยโดยการทิ้งตัวลงมารัดและเขมือบ แบบตื่นๆเนี่ยแหละ เพื่อนพรานมาวู้เรียกตอนเช้า ก็ไม่เห็นแล้วงูเอาไปย่อยแล้ว(มีพรานหลายคนที่หายตัวสาบศูนย์ไปเลยจากบน ห้าง...การนั่งห้าง งูเหลือม-หลามคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับพรานที่ชอบเข้าป่าลึกๆ)..... พรานเก่าแก่ชาวกระเหรี่ยงบางคนจะใช้เชือกกล้วยมาทำเป็นเข็มขัด และสร้อยคอ เวลาขึ้นนั่งห้าง (งูเหลือม-หลามจะแพ้ตบะกลิ่นยางจากเปลือกของต้นกล้วยยิ่งแห้งยิ่งดี เคยอ่านเจองูเหลือมเขมือบกินพรานคาไว้ครึ่งตัว เพราะไปติดตรงเอวที่มีเชือกกล้วยผูกไว้ จะกลืนก็ไม่ได้จะคายก็ไม่ออก เพราะถ้าสัมผัสกับเชือกแล้วงูหลาม-เหลือมมันจะนิ่งเลยไม่ค่อยขยับตัว ตัวที่กินพรานเลยขยอกน้ำย่อยจากท้องให้ย้อนขึ้นมาที่ปาก เพื่อจะพยายามย่อยพราน และมีกลิ่นคาวเหม็นคลุ้งไปหมด).....ห้ามนั่งบังไพรตามโป่งดิน บริเวณที่มีดินโป่งต้องหาต้นไม้ทำห้างอย่างเดียว (พรานโบราณเชื่อเรื่องผีโป่งมาก...ผีโป่งมีลักษณะเป็นลูกไฟกลมๆลอยไปลอยมามี เสียงร้องกรีดแหลมเหมือนเสียงผู้หญิงหรือเด็กเล็ก)....ห้ามตั้งแคมป์ใน บริเวณที่ใกล้แหล่งน้ำ(เพราะช้างป่าจะมาเหยียบเอาได้)...กินน้ำจากป่าต้องนำ มาต้มก่อนทุกครั้ง(มีเชื้อมาลาเลีย) วันพระห้ามออกล่าเด็ดขาด...ไม่ตีงูจงอาง...(เพราะกลัวคู่ของมัน)...ไม่นำลูก ของสัตว์ป่ามาขาย-ไม่ทำลายสัตว์ที่กำลังเป็นแม่....ห้ามมีเพศสำพันธ์กันใน ป่า
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-8-19 16:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นายเภา   แสนดี   ชาวบ้านตากลางอายุ  ๗๕  ปี   เป็นหมอช้างที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เล่าตำนานพระมอเฒ่า   หรือพระหมอเฒ่าซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในบรรดาหมอช้างทุกคน   เมื่อวันที่  ๑๘  สิงหาคม  ๒๕๓๗ให้หลวงพี่หาญหลานชายที่บวชจำพรรษาอยู่ที่วัดในหมู่บ้านตากลาง   ตำบลกระโพ   อำเภอท่าตูมจังหวัดสุรินทร์   มีความว่า            

พระ หมอเฒ่าคนสุดท้ายของชาวส่วยหรือชาวกูยที่มีอาชีพคล้องช้างป่า   มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศในความสามารถเกี่ยวกับการจับช้างป่า ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงาน   ต่อมาได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียงอยู่กันมาจนมีลูกชายหนึ่งคนชื่อ  “ก่อง”  หรือภาษาส่วยเรียกว่า “อาหก่อง” เป็นที่รักและห่วงใยของพ่อแม่เป็นอย่างมาก   เมื่อเติบโตเข้าสูวัยหนุ่มก็ได้รับตำแหน่ง “กำรวงปืด”  (ครูบาใหญ่)   ตามประเพณีที่มีพ่อเป็นพระมอเฒ่าโดยไม่ต้องไต่เต้าตามลำดับ   โดยประเพณีที่สืบทอดกันมาได้กำหนดไว้ว่าผู้มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาหมอช้าง ถ้ามีลูกคนแรกเป็นชายให้หมอช้าง ทั้งหลายนำเอาเปลือกต้นกระโดนมารองรับตัวเด็กให้นอนพร้อมกับประกาศยกฐานะ หรือตำแหน่งหมอช้างคือ“กำรวงปืด”ให้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนใดๆ   แต่ถ้าลูกคนแรกเป็นผู้หญิงก็จะไม่มีสิทธิพิเศษดังกล่าว

ก่องหรืออาหก่อง   เป็นทายาทสืบทอดมรดกทุกอย่างต่อจากพระมอเฒ่าที่พ่อแม่ภาคภูมิใจมากเพราะ ตั้งแต่เล็กจนโตก่องเป็นเด็กดี   มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่และขยันขันแข็ง   พระมอเฒ่าจึงคิดที่จะถ่ายทอดวิชาทุกอย่างให้กับลูกชาย   ให้มีความสามารถทุกอย่างโดดเด่นเหนือชายหนุ่มทุกคนในบ้าน

วัน หนึ่งพระมอเฒ่าได้พาลูกและภรรยาออกไปเรียนรู้การคล้องช้างโดยไม่บอกใครเลย เพราะต้องการตามใจลูกที่ไม่ต้องการให้ใครรู้หรืออาจเป็นเพราะความประมาทของ พระมอเฒ่าด้วย   ประกอบกับความเย่อหยิ่งในความสามารถของตนเองที่ไม่มีใครเทียบเท่า   จึงคิดว่าจะทำอะไร หรือทำอย่างไรก็ได้

ย้อนกลับไปในอดีต  “อาหก่อง”  เกิดเป็นลูกช้างป่า   ถูกพระมอเฒ่าคล้องมาได้   เมื่อนำมาฝึกอย่างหนักในหมู่บ้านก็ทนกับสภาพสิ่งแวดล้อมไม่ได้จึงตรอมใจ ตาย   แล้วกลับชาติมาเกิดเป็นลูกชายของพระมอเฒ่า   อาหก่องสามารถจำชาติก่อนได้ทุกอย่างจึงคิดถึงแม่ช้างป่าตลอดเวลา   โดยเฉพาะเวลาที่เห็นบรรดาหมอช้างออกไปคล้องช้างในป่าก็ยิ่งคิดถึงแม่มากขึ้น

เมื่อกลับชาติมาเป็นคน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เกิดมาเป็นลูกของพระมอเฒ่าแล้ว   ก็ได้โอกาสเหมาะที่รอคอยมานาน   ในตอนที่พระมอเฒ่าจะพาภรรยาและตนออกไปคล้องช้าง   ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วการออกไปคล้องช้างในป่านั้น   ได้ห้ามนำภรรยาไปด้วย   นอกจากนี้ก็ห้ามให้ลูกนั่งบนช้างเชือกเดียวกันกับพ่อด้วย   แต่พระมอเฒ่าก็ละเลยไม่ปฏิบัติตาม   ซึ่งถือว่าผิดธรรมเนียมประเพณีอย่างร้ายแรง ทั้งนี้อาจเนื่องจากเชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีตำแหน่งสูงสุด   มีความสามารถที่จะดูแลภรรยาและลูกได้

นอกจากนี้ยังต้องการให้อาหก่องไม่ต้อง ลำบากในการหุงหาอาหารจึงให้ภรรยาไปคอยหุงหาอาหารให้ ที่สำคัญคือต้องการฝึกลูกชายให้เป็นคนเก่งโดยไม่ต้องการให้ใครรู้

ก่อนออกไปคล้องช้างป่าและระหว่างการ เดินทางไปคล้องช้างในป่าลึก   อาหก่องได้ขอร้องให้พ่อคล้องเอาช้างผู้เป็นแม่ช้าง   โดยให้เหตุผลว่าเมื่อคล้องได้แม่ช้างแล้วลูกช้างก็จะต้องติดตามผู้เป็นแม่ ช้างมาด้วย   แต่พระมอเฒ่าผู้เป็นพ่อได้บอกว่าโดยธรรมเนียมการคล้องช้างนั้นจะไม่คล้องเอา แม่ช้าง

การคล้องช้างจะคล้องเอาเฉพาะลูกช้าง   เพราะต้องการให้แม่ช้างอยู่ในป่าเพื่อผลิตลูกช้างให้อีกต่อๆ ไป และถ้าคล้องเอาแม่ช้างไปด้วยจะทำให้การฝึกลูกช้างเป็นไปด้วยความยากลำบาก   ลูกช้างจะคลอเคลียกับแม่ช้าง   และไม่สนใจการฝึกซ้อม   ความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกเป็นอยู่เรื่อยๆ เพราะต่างคนต่างยืนยันความเห็นของตนเอง   ไม่มีใครยอมใคร   เมื่อถึงบริเวณดงช้างพระมอเฒ่าได้นำภรรยาพร้อมด้วยสัมภาระต่างๆ   ไปไว้ที่จันรมย์ (ที่พัก) ใกล้ต้นหว้าใหญ่   เพื่อให้ภรรยาเตรียมหุงหาอาหารไว้คอยตนกับลูกชาย   โดยให้ภรรยาอยู่ตามลำพังเพียงผู้เดียว

ต่อจากนั้นพระมอเฒ่าก็เริ่มพิธีเบิก ไพร (เปิดป่า)   จัดหนังปะกำมาวางบนหลังช้างไม้คันจามและอุปกรณ์ที่จำเป็น   โดยให้อาหกร่องเป็นมะนั่งท้ายบนช้างต่อ   เสร็จแล้วก็พากันขับช้างเข้าสู่ป่าทึบที่ช้างอาศัยอยู่   เดินทางไปได้ซักครู่ใหญ่พระมอเฒ่าก็มองเห็นโขลงช้างใหญ่กำลังกินอาหารอยู่ กันอย่างเงียบๆ

พระมอเฒ่าจึงได้ขับช้างอาสาเข้าใส่ กลุ่มช้างโขลงนั้นทันที   บังเอิญว่าช้างโขลงนั้นมีแม่ช้างซึ่งในอดีตเคยเป็นแม่ของอาหก่อง   พร้อมน้องๆ และเพื่อนๆ อีกมากมายอยู่ด้วยกัน   อาหก่องเมื่อเห็นดังนั้นก็ตะโกน บอกพ่อให้คล้องเอาแม่ช้างโดยเร็วหลายๆ ครั้ง   แต่พระมอเฒ่าไม่สนใจเพราะต้องการคล้องลูกช้างเท่านั้น   อาหก่องได้เห็นพ่อไล่กวดลูกช้าง   เห็นภาพที่แม่ช้างพยายามปกป้องลูกช้างให้วิ่งหนีโดยเร็ว   ได้เห็นสภาพแม่ช้างที่ตกใจ   เห็นแม่ช้างเหนื่อยหอบเพราะแม่ช้างแก่มากแล้ว

จึงตัดสินใจกระโดดขี้หลังแม่ช้างไป   ฝ่ายแม่ช้างเมื่อเห็นคนกระโดดขี้หลังก็ตกใจกลัวสุดขีดจึงเร่งความเร็วในการ วิ่งสุดชีวิต   ทำให้ห่างออกไกลจากพระมอเฒ่าเรื่อยๆ   ฝ่ายช้างตอเมื่อไม่มีผู้ขับขี่หรือบังคับก็ไม่ใส่ใจที่จะวิ่งไล่กวดโขลงช้าง อีกต่อไป

ทางด้านพระมอเฒ่าก็ตกใจที่เห็นอา หก่องกระโดดขี้หลังแม่ช้างไป   และด้วยความเป็นห่วงลูก พระมอเฒ่าก็ได้ร้องเรียกหาอาหก่องๆๆๆ ไปเรื่อยๆ   โดยไม่สนใจฝูงลูกช้างอีกต่อไป   แต่กลับให้ช้างวิ่งตามแม่ช้างเพื่อติดตามหาอาหก่อง   ได้ยินเสียงอาหก่องร้องตอบมาว่า   กู๊กๆๆๆๆ   แต่เสียงนั้นก็ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ   เพราะแม่ช้างเองก็รีบหนีให้เร็วสุดชีวิตเพราะมีคนอยู่บนหลังของตนเอง

จนในที่สุด แม่ช้างที่อาหก่องกระโดดขึ้นขี่ก็หายไปพร้อมกับความมืดที่เริ่มปกคลุมป่า   พระมอเฒ่าเสียใจมากและได้พยายามค้นหาอาหก่องท่ามกลางความมืด   แต่ก็ไม่มีวี่แววและเสียงขานตอบจากลูกชายเลย   เมื่อดึกมากแล้วพระมอเฒ่าก็ตัดสินใจกลับไปหาภรรยาพร้อมช้างคู่ใจ   ระหว่างทางก็ตัดพ้อว่าลูกทิ้งพ่อแม่ที่แท้จริงไปได้ลงคอ   ทั้งที่ตนเองหวังดีอยากให้อาหก่องเก่งกว่าคนอื่นๆ   ทำไมลูกถึงไม่เข้าใจพ่อแม่เลย

พระมอเฒ่าได้แต่ร่ำไห้มาตลอดทาง   เมื่อมาถึงต้นหว้าใหญ่ก็ได้ร้องเรียกภรรยาแต่ไม่มีเสียงใครตอบรับ   ก็เข้าใจว่าภรรยาคงนอนหลับแต่เมื่อเดินเข้าไปหาก็ไม่เห็นภรรยานอนอยู่จึง เดินเรียกหาภรรยาไปเรื่อยๆ   แต่ก็ไม่พบ   ด้วยความเหนื่อยล้าและความมืดปกคลุมไปทั่ว   พระมอเฒ่าจึงตัดสินใจว่าจะตามหาภรรยาในตอนกลางวันแทน

เมื่อถึงเวลาเช้าพระมอเฒ่าจึงเดิน ตามหาภรรยาตนเองอีกครั้ง   ปรากฏว่าเจอเลือดและเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้าง   พระมอเฒ่าเกิดความสงสัยจึงเดินตามหาไปทั่ว   ในที่สุดก็พบแขนข้างหนึ่งของภรรยาอยู่บนพื้นที่มีเลือดกระจายอยู่ทั่ว บริเวณ   จึงเข้าใจว่าเสือได้กัดกินภรรยาของตนเองไปแล้ว   พระมอเฒ่าทั้งตกใจและเสียใจเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ   ได้แต่ร่ำร้องไห้จวนจะขาดใจตาย ตามลูกและภรรยาไปด้วย   ความเสียใจบวกกับความเหนื่อยล้าของพระมอเฒ่าทำให้หมดกำลังที่จะคิดทำอะไรต่อ ไป   จึงได้นำแขนข้างหนึ่งของภรรยาขึ้นหลังช้างและนอนนิ่งๆ   อยู่บนหลังช้างเพื่อให้ช้างพากลับบ้าน

เมื่อถึงหมู่บ้านชาวบ้านต่างสงสัยว่าพระมอเฒ่าหายไปไหน   ภรรยาและอาหก่องหายไปไหน

เมื่อถูกชาวบ้านถามมากๆ ยิ่งไปตอกย้ำความเสียใจให้กับพระมอเฒ่ามากยิ่งขึ้น   พระมอเฒ่าไม่ตอบชาวบ้านแต่อย่างใด   ได้แต่บอกว่าตนเองไม่เหลืออะไรแล้ว   จะเหลือก็เพียงแขนของนางเท่านั้น   ทุกคนต่างดูสัมภาระของพระมอเฒ่าที่อยู่บนหลังช้าง   เมื่อทุกคนเห็นแขนข้างหนึ่งและอุปกรณ์อื่นๆ   แต่ไม่เห็นภรรยาและอาหก่องลูกชายของพระมอเฒ่าก็คาดเดากันพอเข้าใจเรื่องราว ต่างๆ ได้บ้าง   พระมอเฒ่าได้ฝากส่วนแขนของนาง (หมายถึงแขนของภรรยา)   ให้ทุกคนช่วยกันจัดการแล้วแต่ความเหมาะสมด้วย

ส่วนคนที่จะไปคล้องช้างถ้าอยากได้ ช้าง   หรือทำอะไรเกี่ยวกับช้างก็ให้ขออาหก่องทุกครั้ง เพราะอาหก่องถือว่าเป็นเจ้าของช้างในป่าทั้งหมดไปแล้ว   และก่อนสิ้นใจพระครูปะกำ (เป็นตำแหน่งรองจากพระมอเฒ่า)   ได้เข้าไปกอดพระมอเฒ่าพร้อมกับจับหนังปะกำไว้   เป็นการรับมอบพิธีการคล้องช้างไว้ต่อจากพระมอเฒ่า   โดยให้สัญญาว่าจะรักษาให้สุจริตและรักษาให้เคร่งครัด   แต่ไม่ขอรับตำแหน่งเทียบเท่าพระมอเฒ่า   จะขอรับเพียงตำแหน่งพระครูปะกำเท่านั้น  ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันไม่มีตำแหน่งพระมอเฒ่า   จะมีเพียงตำแหน่งครูบาใหญ่หรือตำแหน่งกำรวงปืด   ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รองลงมาเท่านั้น  ต่อมาก็มีการประชุมหารือและตกลงกันในบรรดาหมอช้างว่าจะเอาแขนนางไว้ในบวง บาศก์ทุกครั้งที่ทำหนังปะกำจึงเรียกบ่วงบาศก์ว่า  “แขนนาง”  และกิจกรรมที่เกี่ยวกับช้างทุกครั้งก็จะพูดถึงหรือเรียกหา  “อาหก่อง” มาจนถึงปัจจุบัน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   การคล้องช้างก็ไม่มีการนำภรรยาหรือผู้หญิงติดตามไปด้วยเลย   มีการบัญญัติว่าเป็นข้อห้ามที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด   รวมทั้งห้ามไม่ให้พ่อกับลูกขี่ช้างเชือกเดียวกันเด็ดขาด   ก่อนออกไปคล้องช้างทุกคนต้องผ่านการทำพิธีปะซะปะซิเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ก่อนออกเดินทาง   เมื่อคล้องช้างเสร็จแล้วแม้ว่าจะได้ช้างหรือไม่ได้ช้างมาด้วยก็ตามต้องมาทำ พิธีใหม่อีกครั้ง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ   ถ้าไม่ได้ช้างก็ต้องหาสาเหตุว่าใครทำผิดข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติใดบ้าง   ถ้าไม่มีใครยอมรับก็จะถือว่าผู้ที่ทำผิดข้อห้ามนั้นจะมีอันเป็นไปเอง   บางครั้งก็จะมีอาการเจ็บปวดหรือมีอันเป็นไปต่างๆ นานา   ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีมาจนถึงทุกวันนี้

จากเรื่องเล่านี้พอสรุปได้ว่าในการ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มชนหรือการทำงานเป็นกลุ่มนั้น   ทุกคนจะต้องเคารพกฎ   ระเบียบ   กติกาของหมู่คณะอย่างเคร่งครัด   ทุกคนจะต้องสามัคคีกัน   มีจิตใจบริสุทธิ์คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน   ถ้าใครมีจิตใจไม่บริสุทธิ์   ไม่เคารพกฎ  ระเบียบ   กติกาหรือเห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่นก็จะได้รับผลร้ายตอบแทนทั้งกับตนเองและครอบครัว
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-29 16:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาถรรพ์เนินดินลี้ลับ  ปริศนาศิลาแลง  ในตำนานวัดโบราณ ตอนที่ ๑  : เรื่องเล่าโดยลุงเสียน  บุญรอดรัมย์
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=318750
         
                            สภาพเนินดินรกร้างที่คุ้มบ้านโคกกระดี่
ห่างจากบ้านบัวไปทางทิศตะวันตกราว ๑ กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของคุ้มบ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “โคกกระดี”
ที่กลางคุ้มบ้านแห่งนี้  จะมีเนินดินใหญ่รกร้างซึ่งถูกปกคลุมด้วยแมกไม้จนหนาทึบ  และบนเนินดินแห่งนั้นยังพบว่ามี “ทมอบายกรีม” หรือ “ศิลาแลง”  จมลึกอยู่ในดินเป็นจำนวนมากมาย  คนเฒ่าคนแก่แต่โบราณเชื่อกันว่ามันเป็นซากชิ้นส่วนของ “วัดโบราณ” ที่สร้างขึ้นมาในสมัยขอมเรืองอำนาจ
นอกจากความเชื่อที่ว่าแล้ว  ยังมีเรื่องราวที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาอีกว่า
ในช่วงฤดูน้ำหลาก  พระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ยังวัดโบราณแห่งนั้น  จะต้องพายเรือออกมาบิณฑบาตและรับกิจนิมนต์ยังหมู่บ้านที่อยู่อีกฟาก  เนื่องจากในช่วงฤดูดังกล่าว  ทางเกวียนเล็ก ๆ ที่ใช้สัญจรไปมาระหว่างหมู่บ้านกับวัด  จะถูกน้ำหลากเข้าท่วมจนดูเหมือนกับว่าเป็นทะเลสาปขนาดใหญ่  
ครั้นพอน้ำลดระดับลง  ผู้ปกครองหมู่บ้านในเวลานั้น  ได้ทำการเกณฑ์แรงงานคนให้มาช่วยกันขุดดินปั้นเป็นคันทำนบกั้นน้ำ  ซึ่งนอกจากจะสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้แล้ว  คันทำนบยังกลายเป็นเส้นทางสำคัญของคนสมัยนั้นที่ใช้เดินทางไปทำบุญสุนทานยังวัดโบราณที่ว่า  
แต่อย่างไรก็ตาม  ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานชิ้นใดที่จะบอกได้ว่า  วัดโบราณกับทำนบกั้นน้ำดังกล่าว สร้างขึ้นในยุคไหน  และใครเป็นคนมาสร้าง  เนื่องจากเรื่องเล่าที่ว่ามานี้  ก็เล่าต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น แม้แต่ผู้อาวุโสที่อายุ ๘๐ กว่าปี  ท่านก็ยังบอกว่าฟังมาจากตายายของท่านอีกต่อหนึ่ง  
  
      
       ถนนสายบ้านบัว - หนองทะลอก (ทำนบคันดินโบราณในตำนาน)
                     
นอกจากความเชื่อที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมาแล้ว   เรื่องเล่าจากความทรงจำของ “ลุงเสียน  บุญรอดรัมย์”  ซึ่งในช่วงวัยรุ่นเคยต้อน
ฝูงควายเข้าไปเลี้ยงยังเนินดินรกร้างแห่งนั้นอยู่เป็นประจำ  ก็นับเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ช่วยทำให้ภาพของวัดโบราณมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ลุงเสียน  ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  เล่าให้ฟังว่า
“เมื่อก่อนจะเป็นเนินดินสูงมาก  มีต้นไม้ขึ้นรกทึบ  ตรงกลางเนินจะมีกองศิลาแลงรูปทรงคล้ายฐานเจดีย์กว้างประมาณ ๓ x ๓ เมตรอยู่ ๑ กอง  รอบ ๆ เนินดินจะมีทะมอบายกรีม (ศิลาแลง) เรียงรายเป็นกำแพง สูงประมาณ ๑ เมตร  ทางด้านทิศตะวันออกเป็นเหมือนซุ้มประตูทางเข้า  ตรงซุ้มจะมีแผ่นหินสลักอักษรตกอยู่ ๑ แผ่น  ตาของลุงบอกว่าเป็นภาษาเขมรต่ำ  ถัดจากกำแพงก็จะเป็นคูน้ำล้อมรอบ ๑ ชั้น สมัยนั้นน้ำจะขังเต็ม เป็ดไก่ของชาวบ้านก็จะปล่อยมาเล่นน้ำที่นี่  ควายของลุงก็มากินน้ำที่นี่”
นอกจากบอกเล่าถึงภาพของวัดโบราณจากความทรงจำแล้ว  ลุงเสียน  ยังเล่าถึงความลี้ลับซึ่งลือกันในหมู่ชาวบ้านและที่เจอมากับตัวเองอีกว่า
“จากที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังต่อ ๆ กันมาก็คือ  ทุกคืนวันโกน  วันพระ  ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นจะได้ยินเสียงมโหรีปี่กลองสลับกับเสียงคนพูดคุยกันดังแว่วมาจากวัดโบราณเหมือนกับมีงานบุญ  บางคนก็ฝันเห็นคนชุดขาวมาบอกให้ช่วยกันดูแลรักษา   แต่ลุงไม่เคยได้ยิน  แต่ที่เจอกับตัวเองและจำมาถึงทุกวันก็คือ  วันนั้นประมาณ ๔ โมงเย็นลุงกำลังต้อนฝูงควายกลับบ้าน  พอจะเข้าบ้านก็มีคนแก่ใส่ชุดสีขาวสะพายย่ามเดินมากับเด็กผมจุก   
        
                               อีกมุมหนึ่งของเนินดินรกร้าง
พอเดินมาถึงแกก็ถามลุงว่า  “ไอ้นายวัดเก่าอยู่ตรงไหน” ลุงก็ชี้ทางบอกแก  ก็คิดในใจว่าตาคนนี้คงจะมาทำพิธีขอหวย  ตอนนั้นก็รีบต้อนควายกลับบ้าน  เอาควายเข้าคอกเสร็จก็รีบกลับมาหาตาแก่คนนั้นกะว่าจะมาขอหวย แต่เรียกหาอยู่หลายรอบก็ไม่เจอ  เวลาพูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ยังแปลกใจอยู่ว่าแกหายไปทางไหนเร็วจังทั้งที่บ้านลุงกับคูโบสถ์อยู่ใกล้กันนิดเดียว”
นอกเหนือจากความลี้ลับที่ว่ามาแล้ว  อาถรรพ์บนเนินดินรกร้างแห่งนั้น  ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ทำให้หลายคนหวาดผวา  โดยเฉพาะคนที่กระทำการลบหลู่ล่วงเกิน ในเรื่องนี้ลุงเสียนเล่าเพิ่มเติมว่า
“ประมาณปี  ๒๕๑๘  มีคนมาแอบขุดหาของเก่า ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นคนที่ไหน  มารู้ตอนหลังว่าเป็นชาวบ้านอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งที่ไกลออกไป  ที่รู้เพราะมีข่าวลือมาว่า  คนในหมู่บ้านนั้นตายไปหลายคน  ญาติพี่น้องเชื่อว่าที่ตายก็เพราะโดนอาถรรพ์จากการมาขุดหาของเก่าที่บ้านบัว  หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป หลวงพ่อกับชาวบ้านบัวก็พากันขนทมอบายกกรีมกับวัตถุโบราณบางส่วนมาไว้ที่วัดเพื่อความปลอดภัย”
หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากลุงเสียนแล้ว  ผมกับพรรคพวกในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่ง  ได้พากันเข้าไปสำรวจซากวัดร้างที่ว่า  และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็เข้าไปอีกครั้ง  แต่เอาไว้คราวหน้าผมจะเอาเรื่องที่ไปสำรวจมาเล่าสู่กันฟังครับ  
หมายเหตุ : สำหรับเรื่องเล่าเรื่องนี้  ในนาม “ชาวบ้านบัว” ขอขอบพระคุณ “ลุงเสียน  บุญรอดรัมย์”  ที่กรุณาบอกเล่าเรื่องราวอันมีค่านี้ไว้ให้ลูกหลานชาวบ้านบัวได้รับฟัง  นับเป็นวิทยาทาน  เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ในการบันทึกประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน  ขอให้ดวงวิญญาณของท่านจงไปสู่สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยเทอญ
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-29 16:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ตอนเหล็กไหล”
ถ้ำมรณะ
        อากาศยามเช้าของฤดูหนาววันนี้ มันช่างหนาวเย็นยะเยือกทะลวงไปจับขั้วหัวใจ ละอองหมอกสีขาวนวลปกคลุมไปทั่วหมู่บ้าน ที่ลานบ้านของผมมีพ่อแม่เพื่อน ๆ และเพื่อนบ้านอีกหลายคน มานั่งล้อมกองไฟเพื่อเอาความอบอุ่น แม้เดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบเขาขึ้นมามากแล้ว ความหนาวเหน็บในปีนั้นก็ดูจะยังไม่สร่างซาลง กลิ่นจากกระบอกข้าวหลามที่ตั้งเผาอิงอยู่ข้างกองไฟ ส่งกลิ่นหอมยวนยั่วน้ำย่อยในกระเพาะให้ไหลออกมา กลิ่นข้าวหลามเผาทำให้ผมหวนคิดไปถึงเรื่องราวอาถรรพ์มรณะ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำใหญ่แห่งภูเขาควาย ที่ยืนทะมึนเสียดฟ้าท้าแดด ท้าลม ท้าหนาว  ท้าฝน ท้าแล้ง มานานนับพัน ๆ ปี อยู่ ณ แดนดินถิ่นล้านช้างโพ้น ซึ่งมองจากหมู่บ้านของผมไปเห็นชัดเจนเหมือนมันอยู่ที่ชายหมู่บ้านนี้เอง
        ภาพเหตุการณ์เรื่องราวอาถรรพ์ที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง มันผุดขึ้นมาชัดเจนในมโนสำนึกของผม   สามเณรอายุประมาณสัก 18 ปีเนื้อตัวมอมแมม ตามใบหน้าเลอะเทอะไปด้วยคราบเหงื่อ ตามผ้าจีวรที่ห่มกายยับยู่ยี้ไม่เป็นระเบียบนั้น เต็มไปด้วยคราบด่างดวงของเลือดมนุษย์   ในมือทั้งสองของเณรน้อยถือห่อผ้าจีวรขาดๆ มาสองห่อ หน่อเนื้อเชื้อศาสนามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นัยตาทั้งสองเหมือนคนสติไม่สมบูรณ์มันเหม่อลอยและหวาดหวั่น ท่านเดินโซซัดโซเซมาจากทิศทางของภูเขาควาย ภูเขาที่ผู้คนทั้งหลายเลื่องลือถึงเรื่องอาถรรพ์ดิบทั้งหลาย
“เอ้า.นั่นเณรน้อยเจ้าไปไหนมานะ และในมือของเจ้ามันห่ออีหยัง (ห่ออะไร) ละหือ?” พระที่ดูมีอายุมากกว่าเอ่ยทักถามเณรน้อย ที่กำลังเดินกระหืดกระหอบก้มหน้าก้มตา แทบจะเดินชนกับคณะพระธุดงค์สามรูปที่กำลังเดินสวนทางมุ่งหน้า ไปยังทิศทางเดียวกันกับที่เณรน้อยกำลังเดินจากมา ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยพลังแห่งเมตตา ทำให้เชื้อพระศาสนาตัวน้อยหยุดชะงัก “โอ...หลวงพ่อขอรับ ชะ..ช่วยผมด้วย” สามเณรผู้มีใบหน้าซีดเผือดเหมือนเพิ่งได้สติ พูดละล่ำลักพร้อมกับทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง
“ไหน..ๆ ค่อย ๆ ตั้งสติให้ดีสิ๊ลูกเณร เจ้าจะให้พวกหลวงพ่อเนี้ย ช่วยอะไรเจ้า เจ้ามาจากไหน และ เป็นอะไรกันแน่ ดูท่าทางเจ้าจะตกใจเอามาก ๆ เลยทีเดียว” นักรบแห่งกองทัพธรรมที่มีอายุอ่อนกว่าองค์แรก เอ่ยถามเณรน้อย ต่างรอฟังคำตอบที่ดูว่าน่าจะมีอะไรที่นำความตื่นตระหนกตกใจมาสู่สามเณรแน่
        เป็นไปตามความคาดคิดจริง ๆ เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวค่อย ๆ ไหลพรั่งพรูออกจากปากอันสั่นระริกของลูกเณร  “เอาละ ๆ เณรน้อยเอ๋ย เจ้าหายกลัวได้แล้วเน้อ ตอนนี้เจ้านะ กำลังอยู่ต่อหน้าเฮาหลวงพ่อเสาร์ หลวงพ่อมั่น หลวงพ่อสิงห์ แล้ว เจ้าฮู้จักหลวงพ่อทั้งสามมั๊ยละหื้อ ?” จบคำปลอบประโลมและแนะนำตัว
หน้า 3
ของพระผู้เป็นหัวหน้าและยังเป็นพระอาจารย์ของพระอีกสององค์ เณรน้อยก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชโลมใจ อาการหวาดกลัวและตื่นตระหนกเหมือนคนจะเป็นบ้าเมื่อสักครู่ ได้มลายหายเป็นปลิดทิ้ง หน่อเนื้อเชื้อพระพุทโธยิ้มทั้งน้ำตา   ก้มลงกราบแทบเท้าพระอริยะเจ้าทั้งสามอย่างไม่ต้องคิดอะไรอีก
“เออนี้  เจ้าเณรน้อย เจ้ายังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่า ในห่อผ้านั้นนะมันคืออะไร หือ?” มันคือเศษผ้าจีวร เศษรองเท้า และก็ใบสุทธิของหลวงพี่ทั้งห้าองค์ที่มรณะไปแล้วนั่นแหละขอรับ ผมกำลังจะเอาไปให้ญาติโยมของท่านเพื่อเป็นหลักฐานขอรับหลวงพ่อ” “อืม..เอายังงี้ หนทางที่เจ้ากำลังจะเดินต่อไปข้างหน้านั้นมันยังอีกไกลนา เจ้าซ่อนห่อผ้าเอาไว้แถวนี้ก่อนเถอะนะ แล้วเจ้าก็นำทางหลวงพ่อกลับไปที่ถ้ำเหล็กไหลอีกครั้งก่อน” สามเณรน้อยมีอาการหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเอ่ยถึงสถานที่แห่งนั้น แต่เมื่อถูกปลอบใจก็คลายความหวาดหวั่นลง แล้วออกเดินนำทางคณะอริยะธุดงค์ตามคำสั่งของหลวงปู่เสาร์ผู้เป็นหัวหน้าคณะ   เหตุผลทราบภายหลังว่า “ถ้าให้เณรน้อยกลับบ้านเพียงลำพังจะตายด้วยเป็นเหยื่อของเสือร้าย ให้เดินตามหลังก็มีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน และครูบาอาจารย์ทั้งสามก็เล็งแลเห็นด้วยอนาคะตังสะญาณว่า เฌรตัวน้อยๆ รูปนี้จะเป็นขุนศึกแห่งกองทัพธรรมอีกรูปหนึ่งในโลกพระบวรพุทธศาสนา”
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-29 16:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สู่แดนอาถรรพ์
        คืนนั้นสี่เชื้อพุทธวงศ์ต้องปักกลดค้างคืนที่ท้ายหมู่บ้านป่าที่อยู่ระหว่างหนทาง หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ ก็รีบออกเดินทางด้วยหนทางข้างหน้านั้นต้องป่ายปีนเขาเป็นช่วงๆ และเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยตัวทาก ขวากหนามต้นไม้น้อยใหญ่เครือเขาเถาวัลย์อันหนาทึบ ขุนเขาทะมึนที่ยืนตระหง่านเสียดฟ้าอยู่เบื้องหน้านั้น มองดูด้วยสายตาเปล่ามันเหมือนอยู่ห่างเพียงชั่วไก่บินตก แต่ความจริงแล้วต้องใช้เวลาในการเดินทางนับจากหมู่บ้านนี้ไป และในช่วงเพลาดวงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นเหลี่ยมเขาเพียงไม่กี่อึดใจ  จะถึงจุดหมายปลายทางอย่างเร็วก็ช่วงก่อนเพลนิดหน่อย
สี่หน่อพุทธางกูร มาถึงจุดหมายปลายทางตอนตะวันตรงศีรษะพอดี ช้ากว่าคาดคะเนหนทางด้วยสายตา ภาพเหตุการณ์ที่พรั่งพรูออกจากปากของสามเณรน้อยเมื่อวานนี้  ได้ปรากฏชัดขึ้นในทิพย์จักขุของสามหน่ออริยะเจ้า   พระหนุ่มวัยประมาณ สัก 30 เศษ ๆ ถึง 40 ปี จำนวน 5 รูป กำลังเดินออกจากถ้ำ เสียงสวดมนต์บทพุทธคุณต่าง ๆ สลับกับสวดคาถาภาษาแปลก ๆ ดังก้องกังวานสะท้านป่า พระรูปที่เดินนำหน้าในมือถือขันบรรจุน้ำผึ้งป่า ปากก็สวดคาถาไปด้วย รูปที่สอง  ถือมีดหมอยาวประมาณเกือบศอกขาววาววับเมื่อต้องแสงวตะวันยามใกล้เที่ยง อีกสามรูปที่เดินตามหลังก็พนมมือสวดพุทธมนต์และคาถาเสียงก้องกังวานสะท้อนหุบเขา ฟังแล้วชวนขนพองสยองเกล้า แต่สิ่งที่น่าตื่นตะลึงและน่าขนพองยิ่งกว่าก็คือ สายแร่เหล็กสีดำ
หน้า 4
ปนเขียวปีกแมลงทับมันแวววาวพราวพรายระยับยามต้องแสงตะวัน    ที่สาดแสงส่องลอดกิ่งไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนา แน่นอยู่ที่บริเวณปากถ้ำ มันยืดตัวออกมาจากถ้ำตามดูดกินน้ำผึ้งในขันที่พระถืออยู่ในมือ มันมีลักษณะลำตัวกลมเกลี้ยงเหมือนลำตัวของอสรพิษยักษ์ที่มีขนาดลำตัวเท่ากับต้นตาลต้นใหญ่ที่สุด แต่ไม่มีสีสันอื่นๆ เหมือนงู มันไม่มีลูกนัยน์ตาแต่มันสามารถยืดตัวตามแหล่งอาหาร ที่พระผู้ปรารถนาในตัวของมันถือเดินล่อออกมาจากในถ้ำได้อย่างไร น่าแปลกประหลาดนัก หัวของมันจุ่มลงในขันน้ำผึ้งเหยื่อล่อโดยไม่ยอมถอน สมดังพุทธภาษิตที่ว่า “ผู้ที่ตกเป็นทาสของความอยาก ย่อมพินาศทั้งในโลกนี้แหละโลกหน้า”
พระจอมขมังเวทย์ทั้งห้า เดินออกห่างจากปากถ้ำราว ๆ สัก 30 วา ก็เดินวนรอบต้นไม้ใหญ่ขนาด 5 คนโอบต้นหนึ่ง เดินวนอยู่หลายรอบ สายแร่เหล็กอาถรรพ์ที่หลงใหลในรสชาติอันโอขะของน้ำผึ้งป่า ได้พันโอบรอบต้นไม้ใหญ่นั้น ดั่งพญางูเหลือมยักษ์กำลังพันรอบรัดเหยื่อตัวมหึมาฉะนั้นแล  
เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว ภิกษุผู้เรืองเวทย์ทั้งห้าก็หยุดเดิน เพื่อกระทำสุดยอดพิธีช่วงสุดท้ายให้เสร็จทันฉันเพล   มุมหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากจุดประกอบพิธีกรรมอาถรรพ์ประมาณสัก 20 วา    เณรน้อยรูปหนึ่งกำลังนั่งเผาข้าวหลามตามคำบัญชาของพระอาจารย์ทั้งห้า ข้าวหลามที่อิงผิงเปลวไฟอยู่ขณะนี้มันคืออาหารมื้อเพลในวันนี้   เณรน้อยเบิกตาโพลงตะลึงค้างเป็นเวลาหลายนาทีแล้ว ตั้งแต่กลุ่มหลวงพ่อหลวงพี่เดินสวดมนต์สวดคาถาพาสายเหล็กสีดำมะเมื่อมออกมาจากถ้ำ  ขนาดไฟโหมลุกไหม้กระบอกข้าวหลามที่กำลังหอมกรุ่นกำลังได้ที่ดีแล้ว เจ้าเณรก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย ก็ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเพียงชั่วไม่กี่วาชีวิตทั้งชีวิตนี้ ก็ไม่สามารถจะหาดูได้ที่ไหนแน่นอน มันน่าตื่นเต้นน่าสะพรึงกลัว น่าขนพองสยองเกล้าเกินจะคณาได้

เหล็กกายสิทธิ์
        เปรี้ยง.....เฟี้ยว....บึ้ม   สวบ.....สามเณรผู้ทำหน้าที่เตรียมภัตตาหารเพล เกิดอาการช๊อค ตาค้างเติ่ง สติเตลิดเปิดเปิงหายไปในบัดเดี๋ยวนั้น  ฉับพลัน..เมื่อพระรูปที่สองผู้รับหน้าที่ตัดเหล็กอาถรรพ์ เงื้อมีดลงอาคมวาววับที่เตรียมมายกขึ้นสุดแขน แล้วฟันฉับลงไปที่ลำตัวของสายแร่เหล็กผีสิงนั้น หวังให้ขาดสะบั้นด้วยมีดเดียว และสายแร่เหล็กมหัศจรรย์ที่พันรอบอยู่ที่ต้นไม้นี้ มีน้ำหนักนับหลายร้อยกิโล หากนำออกไปแลกเป็นเงินแล้วคงจะเป็นจำนวนเงินนับแสนล้านเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติของมันใคร ๆ ก็แสวงหาอยากได้ไว้ครอบครอง
        เมื่อคมมีดอาคมกระทบกับลำตัวของเหล็กกายสิทธิ์  พลันก็เกิดเสียงกัมปนาทสะท้านไปทั่วขุนเขาอันสลับซับซ้อน  สะท้อนสะเทือนเหมือนเทือกภูเขาที่ยืนทะมึนซับซ้อนนั้นจะถล่มทะลายเป็นจุนมหาจุน ก่อนที่สติของเณรน้อยผู้เป็นอุปัฏฐากเหล่าภิกษุจอมเวทมนต์จะเตลิดเปิดเปิง   ได้มองเห็นแสงสีประหลาดปรากฏเจิดจ้า
หน้า 5
ไปทั่วผืนป่าทึบ มันฟาดเปรี้ยงลงมายังจุดกระทำพิธีนั้น  มันเหมือนสายฟ้าขนาดยักษ์ฟาดลงมาจากเบื้องบนนภากาศ  ฝุ่นผงสีขาวขุ่นปนสีแดงฉานปลิวคลุ้งตลบไปทั่วบริเวณ สิ้นเสียงแผดก้องกัมปนาทนั้นสิ่งที่เห็นเต็มตา ทำให้เณรน้อยผู้อุปัฎฐากเกือบจะเป็นบ้าตาย เศษเนื้อ เศษจีวรกระจัดกระจาย และที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นและอีกมากมายที่ขึ้นหนาแน่นอยู่บริเวณหน้าถ้ำใหญ่นั้น กลับไม่มีอันตรายใดๆ ทุกต้นยังยืนตระหง่านอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ทั้งๆ ที่เสียงระเบิดกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้านป่าไม่ผิดอะไรกับเสียงระเบิดนับหมื่นๆ ตัน ในมหาสงครามโลกที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบินเพื่อถล่มทลายมวลมนุษย์ด้วยกัน มีแต่หยดเลือดสดๆ ที่สาดกระจายตามพื้นดินและบนต้นไม้ เลือดสดๆ ของห้าภิกษุผู้ละโมบไหลรินหยดติ๋งๆ ลงมาจากใบไม้อาบนองพื้นแม่พระธรณี เศษเนื้อติดมันและเลือดสด ตับไตไส้ปอดกระจุยกระจายห้อยต่องแต่งอยู่ตามกิ่งไม้น้อยใหญ่ เสียงดัง..สวบ..เฟี้ยว...กังวานสะท้านถ้ำนั้นคือเสียงหดตัวกลับเข้าสู่คูหาถ้ำของสายแร่เหล็กจอมมรณะนั้นเอง
        สามเหล่ากอหน่อพุทธวงศ์ผู้สำเร็จแล้วซึ้ง “วิชาสาม” วิชาว่าด้วย “หูทิพย์” “ตาทิพย์”และ “วิชารู้ใจผู้อื่น” ได้ยกมือพนมขึ้นพร้อมกัน เพื่อสวดมนต์บทพระธัมมะสังคินี หรือพระอภิธรรมเจ็ดบท แล้วปิดท้ายด้วยบังสุกุล และอุทิศบุญส่งดวงวิญญาณห้าภิกษุ ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นผีเปรตเดินวนเวียนด้วยความทุกข์เวทนา อยู่ตรงสถานที่แห่งนั้นเอง “ไปสู่สุคติโลกสวรรค์เถิด เจ้าผีเปรตผู้ละโมบเอย พวกเราขออุทิศบุญให้ จงพากันอนุโมทนาเอาเถิด พวกเราขอปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากความเป็นผีเปรต ณ บัดนี้”
สิ้นเสียงสวดมนต์ และคำแผ่เมตตาของสามอริยะ ก็เกิดลมผันผวนหมุนขึ้นมาในบัดดลนั้น ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น พัดสะบัดใบและโยกต้นไปมาจนเกิดเสียงเสียดสีกัน ฟังเป็นเสียงหวีดหวิวโหยหวนคล้ายเสียงของผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกขเวทนาอันแสนสาหัส แล้วพลันก็เปลี่ยนเป็นเสียงระเริงคล้ายเสียงของคนที่เพิ่งพ้นจากความทุกข์อันแสบร้อน แล้วพลันได้พบกับความสุขอันน่าพึงใจที่สู้เฝ้ารอคอยมาแสนนาน เพียงชั่วไม่กี่อึดใจบรรยากาศก็เข้าสู่สภาวะปกติ กลิ่นดอกไม้ป่าในฤดูเหมันต์ที่ขึ้นดาษดื่นหลากสีหลากสายพันธุ์มีมากมาย โชยกลิ่นหอมกรุ่นเคลียเคล้ามากับสายลมอ่อนยามตะวันบ่าย ทั่วบริเวณกลางหมู่ขุนเขาอันสูงชันและลึกลับซับซ้อน  อากาศช่างปลอดโปร่งบริสุทธิ์ดีเหลือเกิน เสียงวิหคนกป่านาๆ ชนิด ร้องประสานเสียง กิ่งไม้โยกไปมาใบเสียดสีกันยามต้องสายลมฟังแล้วแสนไพเราะดุจเสียงดุริยางค์แห่งแมนสรวง  บางครั้งก็ฟังคล้ายเสียงของหมู่มนุษย์มากมายพูดคุยกันทักทายกัน ระหว่างมาคอยต้อนรับแขกพิเศษสุดที่มาจากแดนไกล เดินทางมาเพื่อให้สิ่งของที่มีค่าที่สุดที่พวกตนอยากได้และเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้