ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 5715
ตอบกลับ: 28
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์

[คัดลอกลิงก์]
หนีไกลกิเลสได้ด้วยปัญญา เมื่อนั้นเป็นชัยชนะ
ชัยชนะทางใจนั้น ทุกคนมีอยู่เสมอ ในเรื่องนั้นบ้าง ในเรื่องนี้บ้าง เป็นชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ และชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ กัน
เมื่อใดความโลภเข้าใกล้ แม้สามารถหนีไกลความโลภได้ด้วยปัญญา คือ

ด้วยเหตุผล.....เมื่อนั้นเป็นชัยชนะ

เมื่อใดความโกรธเข้าใกล้ แม้สามารถหนีไกลความโกรธได้ด้วยปัญญา คือ

ด้วยเหตุผล.....เมื่อนั้นเป็นชัยชนะ

เมื่อใดความหลงเจ้าใกล้ แม้สามารถหนีไกลความหลงได้ด้วยปัญญา คือ

ด้วยเหตุผล.....เมื่อนั้นเป็นชัยชนะ


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-21 21:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์
หนีไกลความโลภ หนีไกลความโกรธ หนีไกลความหลง ได้เพียงในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยปัญญา คือ ด้วยเหตุผล ก็เป็นชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่แม้หนีไกลความโกรธ หนีไกลความโลภ หนีไกลความหลง ที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยปัญญา คือ ด้วยเหตุผล ก็เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ สามารถไกลกิเลสทั้งความโลภ ทั้งความโกรธ ทั้งความหลง ทั้งน้อยทั้งใหญ่ ได้สิ้นเชิง ได้แน่นอนเด็ดขาด ด้วยปัญญาคือด้วยเหตุผล กิเลสจักไม่กลับเข้าใกล้ให้เกิดความเศร้าหมองจิตใจได้อีกต่อไป ทำได้เมื่อไร เมื่อนั้นเป็นชัยชนะที่ใหญ่ยิ่งจริง ไม่มีชัยชนะใดเสมอเหมือน

ที่มาhttp://www.dhammajak.net/book-somdej3/5.html
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-21 21:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้ต้องการชัยชนะ พึงอบรมปัญญาให้ยิ่ง

เมื่อวาระสุดท้ายของทุกคนมาถึง เมื่อไม่อาจสามารถเป็นผู้มีชัยชนะทางกายได้ แต่ก็สามารถมีชัยชนะทางใจได้ แม้เชื่อฟังและปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ อบรมสติให้ยิ่ง อบรมปัญญาให้ยิ่ง ตั้งแต่บัดนี้ ตั้งแต่วาระสุดท้ายยังมิได้มาถึง


ที่มาhttp://www.dhammajak.net/book-somdej3/5.html
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-21 21:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้มีปัญญา แม้ในความทุกข์ก็หาความสุขได้

สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระพุทธานุศาสนีว่า “ปัญญาเป็นเครื่องวินิจฉัยสิ่งที่ฟังแล้ว ปัญญาเป็นเครื่องเพิ่มพูนเกียรติคุณและชื่อเสียง คนผู้ประกอบด้วยปัญญาในโลกนี้ แม้ในความทุกข์ก็หาความสุขได้”


ที่มาhttp://www.dhammajak.net/book-somdej3/5.html
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-21 21:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปัญญาในธรรมเกิดจากจิตที่บริสุทธิ์สะอาด
ปัญญา หรือสัมมาปัญญา มีคุณสถานเดียว เพราะเมื่อใช้คำว่าปัญญา ย่อมหมายถึงปัญญาในธรรม ซึ่งจะเกิดได้ก็ต่อเมื่ออาศัยจิตบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์สะอาดระดับใด ปัญญาจะรู้ชัดจริงในระดับนั้น จิตเศร้าหมองขุ่นมัว.....ปัญญาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย คือ เมื่อจิตเศร้าหมอง ปัญญาก็จะหมอง คือ ไม่ใสสว่าง

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-somdej3/5.html
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-21 21:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เหตุแห่งความมีชัยชนะอันยิ่งใหญ่
จิตที่มีความสงบ มีความบริสุทธิ์ก็ด้วยมีศีลเป็นที่รองรับ หรือเป็นพื้น ท่านจึงเปรียบศีลเป็นเช่นแผ่นดิน อันเป็นที่ดำรงอยู่ของสรรพสัตว์ในโลก และของสิ่งทั้งปวง แม้ปราศจากศีลเป็นแผ่นดินรองรับ กุศลธรรมก็ตั้งขึ้นไม่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องมีศีลเป็นแผ่นดินรองรับ กุศลธรรมทั้งหลายจึงจะตั้งขึ้นได้
นอกจากศีล ความบริสุทธิ์ของจิตต้องมีสมาธิเป็นส่วนสำคัญ เพราะสมาธิจักทำให้จิตบริสุทธิ์จากนิวรณ์ทั้งหลาย ความบริสุทธิ์จากนิวรณ์นั้นเป็นบาทของปัญญา เปรียบกับทางร่างกาย สมาธิเป็นส่วนเท้า อันเป็นที่ตั้งของลำตัวและศีรษะ ฉะนั้นจึงต้องมีสมาธิเป็นเท้าหน้า เป็นที่รองรับลำตัว คือปัญญา เพื่อวิมุตติคือความหลุดพ้น อันเปรียบเป็นเช่นศีรษะ
ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งสามนี้เป็นส่วนเหตุ ซึ่งมีวิมุตติ.....ความหลุดพ้นจากกิเลสเป็นส่วนผล จึงต้องอาศัยกัน เหมือนดั่งแผ่นดิน เป็นเท้า เป็นลำตัว เป็นศีรษะ การปฏิบัติจึงต้องปฏิบัติให้มีศีลด้วย มีสมาธิด้วย มีปัญญาด้วยประกอบกัน

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-somdej3/5.html
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-21 21:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กิเลสหนาแน่นเพียงไร ตาปัญญามืดมิดเพียงนั้น
ตาปัญญาก็เหมือนตาธรรมดา คือ ตาธรรมดานั้น แม้ไม่มีหมอกมัวม่านฝ้ามาบังกั้น จึงจะแลเห็นสิ่งที่มีอยู่รอบตัวได้ถนัดชัดเจน เช่นตาไม่เป็นต้อก็จะแลเห็นได้ชัดเจนดี แต่ถ้าตาเป็นต้อก็จะแลเห็นพร่ามัวจนถึงมืดมิดในที่สุด ตาปัญญาก็ทำนองเดียวกัน ต้อของตาธรรมดีคือกิเลสของตาปัญญา
แม้มีกิเลสปิดบังอยู่ ตาปัญญาก็หาอาจเห็นสัจธรรมได้ถนัดชัดเจนไม่ กิเลสหนาแน่นมากเพียงไร ตาปัญญาก็ยิ่งมืดมิดแลไม่เห็นสัจธรรมเพียงนั้น แม้กิเลสจะเป็นสิ่งที่ฆ่าไม่ตายทำลายไม่ได้ มีอยู่เต็มโลกทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลานาที
เหมือนโรคตาต้องที่มีอยู่ในโลก ที่เกิดแก่ใคร ๆ ทั้งหลายเป็นอันมาก ถ้ารักษาตาไว้ให้ดี ไม่ให้โรคต้องเกิดแก่ตาก็จักเป็นผู้มีตาดี ตาสว่าง เห็นผู้คนสิ่งของถนนหนทางได้ชัดเจน เช่นนี้ฉันใด ถ้ารักษาใจไว้ให้ดี ไม่ให้กิเลสเข้าใกล้ครอบคลุมบดบังจิต ตาปัญญาก็จะสว่างแลเห็นได้ลึกซึ้ง กว้างไกล ชัดเจน ถูกต้องฉะนั้น

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-somdej3/5.html
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-21 21:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อใดเห็นสัจธรรม เมื่อนั้นถึงวิมุตติ....ได้เป็นสุข
จิตมีสมาธิ คือ มีความสงบเพียงไร ย่อมมีสติเพียงนั้น สติย่อมสามารถกั้นกระแสแห่งกิเลสไม่ให้เข้าใกล้จิตได้เพียงนั้น เห็นสัจธรรมเพียงนั้น เมื่อใดเห็นสัจธรรมอันเป็นความรู้จริง รู้ถูก รู้พร้อม เมื่อนั้นก็ย่อมวางความยึดถือ ถึงวิมุตติ.....หลุดพ้น ได้เป็นสุข
การฟังพระธรรมคำสอน ของ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านสอนมิให้ฟังเพื่อจดจำเท่านั้น แต่สอนให้ฟังเพื่อขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อให้เป็นที่เที่ยวไปของใจอย่างสบาย เพื่อให้บังเกิดความหน่ายความสิ้นติดใจยินดี เพื่อดับตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก เพื่อความรู้พร้อม เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อที่จะหนีไกลกิเลสให้อย่างยิ่ง ท่านจึงสอนให้ปฏิบัติไปพร้อมกับการอ่านหรือการฟังธรรม ให้เกิดปัญญา คือแก้ไขจิตใจตนไปให้เกิดผล พร้อมกับการฟังหรือการอ่านทีเดียว มิใช่พยายามจดจำไว้เท่านั้น

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-somdej3/5.html
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-21 21:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้ปรารถนาชัยชนะ พึงเป็นผู้ไม่ประมาท
มีพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ไม่ควรสมคบด้วยความประมาท” นั่นก็คือไม่ควรประมาท เพราะความประมาทเป็นเหตุแห่งความตาย หรือความประมาทเป็นทางแห่งความตาย คำเต็มสมบูรณ์ของความประมาท คือ ความประมาทปัญญา ซึ่งหมายความว่าไม่เห็นความสำคัญของปัญญา หรือไม่เห็นความสำคัญของเหตุผลนั่นเอง
เหตุผล คือ ปัญญา เป็นเหตุให้พ้นทุกข์ได้ ตั้งแต่พ้นทุกข์น้อย พ้นทุกข์ใหญ่ จนถึงพ้นทุกข์สิ้นเชิง ซึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงถึงแล้ว เหตุด้วยทรงถึงพร้อมด้วยพระปัญญาคุณ ทั้งทรงยังพระอรหันตสาวกทั้งหลายผู้มีปัญญาให้ได้ ให้ถึงตามสมเด็จพระพุทธองค์ด้วย
ผู้มีปัญญามากหลายที่กำลังดำเนินตามทางที่ทรงชี้แสดงไว้เพื่อไปสู่ความพ้นทุกข์ ต่างก็ได้พบความพ้นทุกข์มากน้อยเป็นลำดับ ตามกำลังแห่งสติปัญญาของตน

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-somdej3/5.html
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-21 21:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ผู้ไม่ประมาททางปัญญา เป็นผู้มีความเห็นชอบ
สัมมาทิฐิ.....ความเห็นชอบ อันเป็นองค์สำคัญของมรรคมีองค์ ๘ ทางไปสู่ความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง เกิดได้ด้วยปัญญา ประมาทปัญญาก็พ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะเมื่อประมาทปัญญา ไม่ใช้ปัญญา
สัมมาทิฐิ.....ความเห็นชอบจะไม่มี เมื่อไม่มีความเห็นชอบ สิ่งที่ตามมาตลอดสายย่อมเป็นสิ่งไม่ชอบ สิ่งใดเป็นสิ่งไม่ชอบ สิ้นนั้นจะเป็นเหตุให้เกิดผลดีผลชอบไม่ได้ แต่จะให้เกิดผลร้ายเป็นโทษเป็นทุกข์ ดังนั้นทุกข์โทษทั้งปวงจึงเกิดแต่เหตุสำคัญเหตุเดียว คือความไม่ใช้ปัญญา หรือความประมาทปัญญานั่นเอง
ความไม่ใช้ปัญญา กับความประมาทปัญญา เกี่ยวเนื่องเช่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยเหตุผลดังนี้ คือเมื่อประมาทปัญญาไม่เห็นความสำคัญของปัญญา ย่อมไม่ใช้ปัญญา ไม่อบรมปัญญา ปัญญาย่อมน้อย ปัญญาย่อมไม่เจริญ

ที่มา http://www.dhammajak.net/book-somdej3/5.html
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้