ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้วชุมพล ~

[คัดลอกลิงก์]
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 16:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ฝันเห็นผี

เมื่อท่านนอนหลับเคลิ้มไป แล้วฝันว่า เห็นมีคน ๒ คน เดินคุยกันมา เดินผ่านสนามบินนายเตียง สิริขันธ์ มา รูปร่างใหญ่สูงมาก ดำ ท่านว่ามองเห็นแต่ไกล เพราะสูงกว่าป่าไม้แถวนั้น สูงประมาณ ๑๐ เมตร แล้วเดินเข้าไปในวัด พูดกันว่าไหน มันอยู่ไหน แล้วก็ตรงไปยังกุฏิของท่านพระอาจารย์ กุฏิของท่านเพียงเข่าของคน ๒ คนเท่านั้น ระยะนั้นท่านพระอาจารย์ก็ว่า ท่านปรากฏว่าตัวเองนอนอยู่ และร่างของท่านก็ปรากฏว่าใหญ่ยาวออกเหมือนกัน

ในความรู้สึกของท่านนั้นว่าจะไม่หนี จะสู้ แล้วคนหนึ่งก็ก้มลงส่องดูท่านพระอาจารย์ แล้วพูดว่า “อ้าวหลานของเรา อย่าทำท่าน” แล้วก็พากันกลับ


๏ พรรษาที่ ๑๒

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ อันเป็นพรรษาที่ ๑๒ ของท่าน ท่านได้ติดตามท่านพระอาจารย์มหาบัวไปจังหวัดอุดรธานี เพื่อเยี่ยมโยมมารดาของท่านพระอาจารย์มหาบัว และท่านพระอาจารย์มหาบัวได้พาโยมมารดาของท่านไปพักจำพรรษาที่ใกล้สถานีทดลองเกษตรกรรมน้ำตกพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี

ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาถวายใหม่ ท่านเล่าให้ฟังว่า ญาติโยมแถวนั้นภาวนาเก่งกันหลายคน ท่านอยู่ภาคตะวันออกได้ปีเดียว เนื่องด้วยโยมมารดาของท่านพระอาจารย์มหาบัวไม่ค่อยสบาย อยากกลับบ้าน

ท่านพระอาจารย์มหาบัวจึงได้พาโยมมารดาของท่านกลับจังหวัดอุดรธานี จึงได้ส่งปัจจัยค่าเดินทางไปให้ท่าน และหมู่ที่ยังเหลืออยู่จึงได้เดินทางกลับอุดรธานี โดยนั่งเรือโดยสารมาลงที่กรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปยังวัดป่าบ้านตาด ซึ่งสมัยนั้นเพิ่งจะเริ่มตั้งวัดในปี พ.ศ. ๒๔๙๙
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 16:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ สติปัญญากล้า

ท่านพระอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า คราวที่สติปัญญามันกล้า มันกล้าจริงๆ พิจารณาอะไร เรื่องที่ใจติดข้องหรือสงสัย มันเหมือนกันกับว่าทิ้งเศษกระดาษใส่ไฟกองใหญ่ๆ มันแว้บเดียว แว้บเดียวเท่านั้น มันหายสงสัย มันขาดไป ตกไป ใจจึงเพลินในการพิจารณาและค้นหาเรื่องที่ใจยังคิดยังสงสัย เมื่อเจอแล้วพิจารณาเข้าไป มันขาดไปๆ ตกไปๆ จึงทำให้เพลินในการพิจารณา ต่อไปจิตของท่านก็ไหลเป็นน้ำซับน้ำซึมคือไม่มีเผลอเลย เว้นเสียแต่หลับ

ก่อนจะหลับพิจารณาอะไร เมื่อตื่นขึ้นก็จับพิจารณาต่อไปได้เลย ครั้นต่อมา จิตของท่านก็ตกว่าง จิตว่างนี้ ท่านว่ายังไม่ใช่นิพพานดอกนา บางคนอาจจะเข้าใจว่า จิตว่างนี้คือนิพพาน ท่านว่ายังไม่ใช่ เวลาผ่านไปแล้วค่อยรู้ ท่านว่าต้องย้อนจิตเข้ามารู้ตัวผู้ที่รู้ว่าว่างนั้นอีก

แต่จิตของท่านพระอาจารย์นี้ไม่มีขณะ เหมือนครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ เป็นชนิดที่เหี่ยวแห้งไปเลย (จิตชนิดนี้ในตำราก็คงมีบอก) จากนั้นไปท่านว่ามันไม่เหมือนแต่ก่อน คือมันไม่ติดกับอะไร เหมือนกับทิ้งเมล็ดงาใส่ปลายเข็มท่านว่า มันไม่ติด ซึ่งแต่ก่อนที่ยังมีกิเลสอยู่มันก็รู้ เมื่อมันหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ที่จะละ จะบำเพ็ญ จะไม่ให้รู้ได้อย่างไร ท่านว่ามันรู้แต่สมมุติทั่วไปของโลก ที่ใช้กัน ก็ใช้ไปธรรมดา

บางคนอาจจะเข้าใจว่า ครูบาอาจารย์ว่าท่านหมดกิเลสแล้ว ทำไมจึงดุ และดุเก่งด้วย ท่านว่าอันนั้นมันเป็นพลังของธรรม มันไม่ใช่กิเลส เราเคยเป็นมาเรารู้ ท่านว่า พวกเรานี้จิตยังไม่เป็นธรรม มันมีแต่พลังของกิเลส

เมื่อเห็นท่านแสดงอาการอย่างนั้น ก็เข้าใจว่าจะเหมือนกันกับเรา ท่านว่าถ้าอยากรู้ให้ปฏิบัติ เมื่อจิตถึงที่สุด หมดความสงสัยในตัวแล้วจะรู้เอง


พระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 16:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระอาจารย์ศรี มหาวีโร

๏ พรรษาที่ ๑๓-๑๖

พรรษาที่ ๑๓-๑๖ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๐๐ ท่านจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด ครั้นเมื่ออกพรรษาแล้ว ญาติทางบ้านศรีฐานได้เขียนจดหมายมาบอกว่า สามเณรน้อย สามเณรอุ่น จะต้องคัดเลือกทหารในปี พ.ศ. ๒๕๐๑

เมื่อเสร็จธุระคือรับกฐิน ทำธุระเกี่ยวกับการตัดเย็บจีวรเสร็จแล้ว ท่านก็ได้พาสามเณรน้อย สามเณรอุ่น ไปบ้านเพราะเณรสององค์นี้เป็นลูกน้องสาวของโยมแม่ของท่าน ท่านจึงต้องได้เป็นภาระพาไป

พอดีเมื่อไปถึงแล้ว ปรากฏว่ายังไม่ใช่ปีนั้น จะเป็นปี พ.ศ. ๒๕๐๒ แล้วท่านจึงได้พาสามเณรสององค์นั้นไปเที่ยววิเวกต่อไปทางอำเภอมุกดาหาร (จังหวัดมุกดาหาร) แถวภูวัด บ้านดงมัน และภูเก้าที่อยู่ใกล้เคียงกับภูจ้อก้อ

ขณะนั้น ท่านพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต ก็อยู่ภูจ้อก้อ ท่านไปเยี่ยมท่านพระอาจารย์สิงห์ทองที่ภูเก้า จากนั้นคณะท่านพระอาจารย์สิงห์ทองก็ได้เดินทางต่อไปยังบ้านห้วยทราย ซึ่งระยะนั้น ท่านพระอาจารย์ศรี มหาวีโร ท่านได้พาพระเณร ศิษย์ของท่านพักอยู่ก่อนแล้ว
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 16:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ

๏ พักอยู่ที่บ้านห้วยทราย

ก่อนหน้าที่ท่านจะไปถึง มีชาวบ้านห้วยทรายคนหนึ่งชื่อว่า พ่อปัน เขาจะซื้อที่ เขาจึงมากราบเรียนท่านพระอาจารย์ศรีว่าจะสมควรซื้อไหม เพราะที่แห่งนั้นมันแรงมาก (เข็ดมาก) มีน้ำไหลซึมอยู่ตลอด ทั้งหน้าแล้งหน้าฝน

ท่านพระอาจารย์ศรีเลยบอกว่า ถ้าเขาจะขายก็ซื้อเอาไว้เสีย แล้วอาตมาจะไปพักให้ดอก เพราะที่มันแรง ยิ่งกว่านี้ก็เคยได้ไปพักให้เขาอยู่แล้ว พ่อปันก็เลยซื้อเอาที่แห่งนั้นแล้วก็ทำตะแคร่ร้านไว้ ๗ แห่ง เพราะพระเณรที่ไปกับท่านพระอาจารย์ศรีมีหลายองค์ เมื่อเขาทำเสร็จแล้วก็มานิมนต์ท่านให้ไปพักให้ ก็พอดีท่านพระอาจารย์สิงห์ทองไปถึง ท่านพระอาจารย์ศรีก็เลยพูดว่า เอา ครูบา ไปพักให้เขาหน่อย เพราะท่านพระอาจารย์ศรีอ่อนกว่า จึงเรียกครูบา ท่านพระอาจารย์ว่า ก็ใครบอกให้เขาทำก็ไปซี แล้วเถียงกันไปเกี่ยงกันมา ท่านพระอาจารย์ศรีว่า หมู่ผมฝากให้ครูบานั้นแหละไป ผลที่สุดท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเป็นผู้แพ้ เลยได้ไปพักในที่แห่งนั้น

ณ ที่แห่งนั้นอยู่ใกล้กับสำนักของ คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เวลาออกไปจากบ้านห้วยทรายจะมองเห็น ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองได้ไปกับสามเณรน้อย ส่วนข้าพเจ้า (ท่านพระอาจารย์อุ่น ฐิตธมฺโม) ท่านไม่ให้ไปด้วย ให้ดูแลรักษาบริขารที่ไม่ได้เอาไปด้วย เมื่อท่านไปถึงวันแรก พอจะค่ำท่านก็สรงน้ำ แล้วก็ลงเดินจงกรม พอเหนื่อยและดึกหน่อยท่านก็ขึ้นแคร่ขึ้นร้าน ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็จะนั่งภาวนา ก่อนจะนั่งภาวนาท่านได้นึกในใจว่า ถ้าหากมีเจ้าที่เจ้าฐานอยู่นี้ ก็ขอให้ขยับขยายไปที่อื่นเสีย

เพราะที่นี้ชาวบ้านเขาจะทำ อยากทำกิน ทำทาน หรือว่าถ้าไม่ไปแล้ว ก็อย่าเบียดเบียนเขา ท่านนึกอย่างนั้นแล้วก็นั่งภาวนา มีแปลกผิดสังเกตอยู่ว่า น้ำที่เคยไหลซึมอยู่นั้นปรากฏว่าย่นเข้ามาทุกวัน คือ แห้งเข้ามาๆ จนวันที่ ๗ ยังเหลืออยู่แต่ปากบ่อเท่านั้น พอท่านพักอยู่ได้ครบ ๗ วัน แล้วท่านก็กลับวัด
25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 16:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก

๏ พญานาคอพยพหนีไปถ้ำม่วง

ต่อมา คุณแม่ชีเจียง ซึ่งอยู่สำนักชีใกล้ที่แห่งนั้น แม่ชีองค์นี้เป็นน้องสาวของโยมพ่อ ท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก วัดป่าบ้านนาคำน้อย ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี (ในปัจจุบัน) เขาไปจังหันที่วัด แล้วถามท่านพระอาจารย์สิงห์ทองว่า ได้ปรากฏอะไรบ้าง

ท่านพระอาจารย์ตอบว่า มันจะมีอะไร คุณแม่ชีเจียงเลยพูดว่า เขาไปลาข้าน้อย ถามเขาว่าจะไปไหน เขาบอกว่าจะไปอยู่ถ้ำม่วง ทำไมจึงจะไป ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองบอก ท่านบอกว่าอย่างไร เขาก็พูดให้ฟัง

คำพูดนั้นเป็นคำพูดคำเดียวกับที่ท่านพระอาจารย์นึก และคุณแม่ชีเจียงยังบอกให้แสดงรอยไว้ให้ดูด้วย เวลาเช้าแม่ออกไปจังหัน ได้พาแม่ออกไปดูเป็นรอยคล้ายๆ กับรอยรถยนต์ คุณแม่ชีเจียงพูด

ต่อมาคุณแม่ชีเจียงก็พูดอีกว่า มีเจ้าที่อยู่ภูหินขันธ์ บ้านดงมัน อำเภอมุกดาหาร (จังหวัดมุกดาหาร ในปัจจุบัน) มาลาว่า ผมจะไปเกิด ผมไปลาท่านพระอาจารย์สิงห์ทองมา คุณแม่ชีเจียงถามว่า รู้จักท่านด้วยหรือ เขาบอกว่ารู้

เขาได้เคยไปปฏิบัติท่านอยู่ที่ภูวัด บ้านดงมัน เพราะเขาสองลูกนี้อยู่ใกล้กันอยู่คนละฝั่งทาง ผมอยู่ภูปิ่นขันธ์นี้มาได้ ๒ หมื่นปีแล้ว ผมจะไปเกิด แต่ไม่ทราบว่าจะไปเกิดที่ไหนและเกิดเป็นอะไร

ความรู้ของท่านพระอาจารย์ที่เกี่ยวกับด้านนี้ ตามที่เคยอยู่กับท่านมา เข้าใจเอาเองว่าความรู้ของท่านในด้านนี้ไม่มี บางคนอาจเข้าใจว่า ครูบาอาจารย์ที่ท่านภาวนาเป็นแล้วจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไปนั้นไม่ใช่ จะเป็นได้เฉพาะบางรายเท่านั้น ไม่ทั่วไป แต่ว่า อาสวักขยญาณ คือรู้ว่ากิเลสหมดไปนี้เหมือนกันหมด ส่วนความรู้ปลีกย่อยนี้ไม่เหมือนกัน ผู้ที่ได้ศึกษาตำราทางศาสนามากจะเข้าใจ แต่ผู้ที่ศึกษาน้อยอาจจะยังสงสัย จึงได้เขียนไว้ในที่นี้ด้วย
26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 16:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พญานาคที่ว่านั้น เดี๋ยวนี้กลับมาที่เดิมแล้ว และมีน้ำไหลซึมออกมาอีกเหมือนเดิม

จากนั้นท่านก็ได้เที่ยววิเวกต่อไปทางอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม กลับมาอำเภอนาแก พักอยู่ที่ถ้ำตาฮด ปัจจุบันชื่อถ้ำโพธิ์ทอง บ้านแจ้งมะหับ พักอยู่นั้นได้ประมาณ ๑ เดือน มีเรื่องที่ขบขันอยู่เรื่องหนึ่ง

คือเมื่อท่านพักอยู่นั้น ชาวบ้านยังไม่รู้จักท่านเพราะไม่เคยอยู่มาก่อน เขาพากันถามถึงชื่อของท่าน ท่านก็บอกชื่อท่านว่า ญาพ่อผักกะโดน คือปกติท่านพระอาจารย์ท่านจะชอบฉันผักเป็นพิเศษ และหน้านั้นผักกะโดนกำลังออกดอก ท่านก็เลยบอกชื่อของท่านแบบนั้น ชาวบ้านพากันหัวเราะ พอพักที่นั้นพอสมควรแล้ว ก็เดินทางกลับบ้านห้วยทราย และจำพรรษาที่บ้านห้วยทรายในปี พ.ศ. ๒๕๐๑

เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านก็กลับบ้านศรีฐานอีกประมาณเดือนธันวาคม พาสามเณรน้อย สามเณรอุ่น ไปรับใบหมายเรียกจะเข้าเกณฑ์ทหาร แต่เนื่องจากสามเณร ๒ องค์นี้สอบนักธรรมได้ คือทางการเขาอนุญาตให้ยกเว้นได้ ท่านจึงขอให้เขายกเว้นให้ เมื่อเสร็จธุระแล้วท่านก็ออกจากบ้านศรีฐานไปทางอำเภอมุกดาหาร (จังหวัดมุกดาหาร ในปัจจุบัน) ไปพักอยู่ที่ภูวัดเพราะว่าภูวัดนี้อากาศดี ท่านพระอาจารย์ชอบสถานที่แห่งนี้

มีเวลาผ่านไปทางนั้น ท่านจึงมักจะไปพักอยู่บ่อย เมื่อพักอยู่พอสมควรแล้วก็เดินทางต่อไปยังภูเก้า บ้านโคกกลาง สมัยก่อนขึ้นกับอำเภอคำชะอี แต่ทุกวันนี้คงขึ้นกับอำเภอนิคมคำสร้อย

ครั้นพักอยู่ที่ภูเก้าพอสมควรแล้ว ก็ได้เดินทางต่อไปยังบ้านห้วยทราย และได้ทำการบวชพระให้แก่สามเณรน้อย สามเณรอุ่น ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ท่านก็ได้จำพรรษาที่บ้านห้วยทรายอีก ๒ พรรษา


หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ
27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 16:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระอาจารย์อุ่น (อุ่นหล้า) ฐิตธมฺโม

๏ พรรษาที่ ๑๗-๑๙

เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้เดินทางกลับมาทางจังหวัดอุดรธานี เข้าไปยังสำนักวัดป่าบ้านตาด และในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้นก็ได้พักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ครั้นออกพรรษาแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปยังวัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ ของ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ

ครั้นเมื่อพักพอสมควรแล้ว ท่านพระอาจารย์ก็เดินทางต่อไปยังวัดถ้ำกลองเพล ของหลวงปู่ขาว อนาลโย ขณะนั้นท่านพระอาจารย์จวนท่านก็พักอยู่ที่นั่น แล้วท่านก็เลยชวนกันไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ที่ไปด้วยกันก็มี ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ, ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร, ท่านพระอาจารย์เพียร วิริโย, หลวงพ่อไท และสามเณรอีก ๑ องค์ชื่อ สามเณรคำสี ทีแรกท่านก็ได้นั่งรถ ต่อเมื่อหมดค่ารถแล้วก็เดิน ท่านพูดว่าการเดินทางคราวนี้ลำบากมากเพราะขึ้นๆ ลงๆ ตามเขาระหว่างเมืองเลยต่อนครไท เหน็ดเหนื่อยมากไม่เหมือนเดินตามที่ราบ และเดินทางจนถึงจังหวัดเชียงใหม่โดยนั่งรถบ้าง เดินบ้าง

เมื่อไปถึงเชียงใหม่แล้วก็ได้ไปดูหลายแห่งและพักอยู่นานพอสมควร ท่านว่าทางเชียงใหม่นี้ไม่เป็นที่สบายของท่าน ท่านก็ได้เดินทางกลับอีสานอีกโดยนั่งรถไฟ ตอนที่นั่งรถไฟกลับท่านก็เล่าเรื่องขบขันให้ฟังว่า

มีพระองค์หนึ่งมาคุยด้วย คุยไปหลายเรื่องหลายราว พระองค์นั้นพูดว่าท่านได้ภาษาทุกภาษา ท่านพระอาจารย์คงจะรำคาญหรือท่านคิดจะหยอกเล่นก็ไม่ทราบ ก็พูดภาษาอันหนึ่งขึ้นมา สำเนียงเหมือนสำเนียงภาษาญวน

แต่คำพูดนั้นองค์ท่านพระอาจารย์เองก็ไม่รู้จัก เป็นภาษาป่า พอตกประโยค ท่านพระอาจารย์จวนก็ขึ้นรับเลย สำเนียงคล้ายๆ กัน โดยที่ไม่ได้นัดกันเอาไว้ เมื่อพูดแล้วก็หน้าตาเฉย พระองค์นั้นมองหน้าเพราะท่านติดภาษาป่า ท่านว่าจ้างมันก็ไม่รู้ดอก แม้แต่เราคนพูดเองยังไม่รู้ ท่านว่า

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๐๕ นี้ ท่านจำพรรษาที่บ้านห้วยทรายอีก เมื่อออกพรรษาได้เวลาพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้เดินทางมาอุดรธานีอีก เข้าไปที่วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) ของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ครั้นพักอยู่ที่วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) ได้นานพอสมควรแล้ว ก็ได้กราบลาหลวงปู่บัว พาข้าพเจ้า (ท่านพระอาจารย์อุ่น ฐิตธมฺโม) ไปเที่ยววิเวกทางถ้ำจันทร์ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ในระยะนั้นพวกทหารป่า ผกค. กำลังเริ่มระบาด พวกทหารคอยสอดส่องดูแลอยู่ทุกแห่ง ที่ถ้ำจันทร์นั้นแต่ก่อนยังเป็นดงหนาป่าทึบ
28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 17:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อท่านพระอาจารย์จวนไปพักอยู่ที่นั้น ก็ได้มีชาวบ้านพากันอพยพเข้าไปปลูกบ้าน บุกเบิกป่า ในระยะนั้นก็มีอยู่ประมาณ ๓๐-๔๐ ครอบครัว

วันหนึ่ง พอทำข้อวัตรปัดกวาดเสร็จ ก็สรงน้ำอาบน้ำกัน เสร็จแล้วก็รวมกันฉันน้ำร้อน และพูดคุยกันไปหน่อย ข้าพเจ้า (ท่านพระอาจารย์อุ่น ฐิตธมฺโม) จึงออกไปเก็บผ้าอาบน้ำที่ตากปูไว้กับลานหิน มองเห็นเครื่องบินปีกตัดบินข้ามมาจากฝั่งลาว มองเห็นเครื่องบินลำนั้นเอียงปีก และบินผ่านเข้ามายังถ้ำจันทร์ ข้าพเจ้าก็เลยกวักมือใส่ เครื่องบินลำนั้นคงจะเป็นเครื่องบินลาดตระเวน พอเครื่องบินลำนั้นเห็นก็เลยบินวนบินเวียนอยู่นั้น

เขาคงผิดสังเกต คงจะเข้าใจว่าเป็นทัพของพวก ผกค. จึงได้บินอย่างนั้น บินเวียนอยู่จนมืด ได้ประมาณทุ่มเศษๆ แล้วค่อยหนี ท่านพระอาจารย์จวนก็ได้ไฟฉาย ๒ กระบอกส่องขึ้นใส่เครื่องบินแล้วเต้นล้อ

เครื่องบินยิ่งวนเวียนกันใหญ่ ไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก คิดดูธรรมดาแล้วมันก็บ้าทั้ง ๒ ทางนะ ทั้งทางอากาศและทางดิน พวกเราก็ไม่กลัว เพราะพวกเราไม่มีอะไรนี่ ดีเขาไม่ยิงปืนลงมาใส่ ถ้าเขายิงปืนลงมาก็จะกลัวอยู่แหละ เพราะลูกปืนมันใช่ญาติพี่น้องของใคร


พระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ


พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ
29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 17:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อพักอยู่ที่ถ้ำจันทร์นานพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้พากันมาทางอำเภอสว่างแดนดิน พร้อมทั้งท่านพระอาจารย์จวนและพระติดตามท่านพระอาจารย์จวน พอดีเป็นงานสรงน้ำทำบุญครบรอบ ท่านพระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ วัดบ้านดงเย็น (วัดประสิทธิธรรม) ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี

เมื่อเสร็จงานท่านแล้ว ก็ได้เดินทางต่อไปวัดดอยธรรมเจดีย์ ตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร ไปในงานเผาศพของ ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ เสร็จงานแล้วท่านพระอาจารย์จวนและพระติดตามก็ได้เดินทางไปวิเวกแถวอำเภอนาแก ถ้ำตาฮด (ถ้ำโพธิ์ทอง)

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองท่านก็กลับบ้านศรีฐานอีก เพื่อเยี่ยมโยมแม่ของท่าน และได้เอาโยมแม่ของท่านบวชพร้อมกับน้องสาวของโยมแม่ของท่าน ซึ่งเป็นโยมแม่ของข้าพเจ้า (ท่านพระอาจารย์อุ่น ฐิตธมฺโม)

ตอนที่เอาพวกโยมแม่บวชนี้ ไปดึงเอามาเลยนะ กระทั่งพ่อของพวกโยมแม่ พวกโยมแม่ก็ไม่ได้ลา เพราะผู้เฒ่าไปทุ่งนายังไม่กลับ ครั้นต่อมา ๒-๓ วัน ผู้เฒ่ามาตักบาตร ไม่เห็นลูกสาวมาตักบาตรด้วย ก็เลยถามหมู่ที่ตักบาตรอยู่ด้วยกันว่า เขาอี่อบ อี่บุบผา ไปไหน ไม่เห็นมาตักบาตร ๒-๓ วันแล้ว

พวกหมู่ที่รู้จักก็หัวเราะแล้วบอกว่า ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเอาไปบวชแล้ว และไปแล้ว ไปทางสกลนคร อุดรธานี โน้นแหละ ผู้เฒ่าก็เลยออกอุทานว่า โอ๋ย มันจะบวช มันก็ไม่บอกกูซักคำน้อ คิดแล้วก็น่าสงสารผู้เฒ่า มัวแต่ไปทุ่งนา หลานขโมยเอาลูกสาวหนีจ้อย

ในระยะนั้น อายุของโยมแม่ของท่านพระอาจารย์ได้ประมาณ ๖๖-๖๗ ปี แล้วท่านพระอาจารย์ก็ได้พาโยมแม่ของท่านเดินทางไปอุดรฯ เข้าไปสู่วัดป่าบ้านตาด อยู่วัดป่าบ้านตาดกับท่านพระอาจารย์มหาบัวได้ประมาณ ๒ เดือน

คือที่วัดป่าบ้านตาดนี้ ท่านพระอาจารย์ไม่ถูกกับอากาศที่ท่านได้เคยอยู่มา ๓ ปี ปีแรกก็ไม่ค่อยเท่าไร พอปีที่ ๒ ที่ ๓ นี้แพ้มาก คือ คันตามตัว ตามผิวหนังอ่อนๆ แล้วเป็นตุ่มขึ้นพองคล้ายๆ กับไฟไหม้ เสร็จแล้วก็เปื่อย


คุณหมออวย เกตุสิงห์
30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 17:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอโทษ เวลาท่านไปบิณฑบาต ต้องได้เอาผ้ามัดเอาไว้ เพราะกลัวน้ำเหลืองติดผ้า มันเป็นที่ลูกอัณฑะด้วย จนจะเดินไม่ได้บางที ในช่วงนั้น คุณหมออวย เกตุสิงห์ ก็ได้เข้าไปวัดป่าบ้านตาดแล้ว

คุณหมออวยท่านสงสัยน้ำ เอาน้ำไปตรวจ ไปวิจัยก็ไม่พบอะไร ท่านพระอาจารย์เคยพูดว่า อุตุสัปปายะ อากาศไม่เป็นที่สบายมันเป็นอย่างนี้ ท่านเคยเล่าว่า ถ้าหากว่าอากาศไม่ผิดกับท่านอย่างนี้ ท่านจะอยู่กับท่านพระอาจารย์มหาบัวไปตลอด เพราะการอยู่กับครูบาอาจารย์ ภาระธุระมันน้อยไม่เหมือนอยู่เฉพาะเรา เพราะภาระส่วนมากก็เป็นของครูบาอาจารย์ เรามีเพียงแต่คอยรับใช้ท่าน มันสะดวกสบายดี ท่านเคยพูด

เมื่อท่านไปอีก (พาโยมแม่ไป) ก็แสดงอาการขึ้นอีกโรคที่ว่า แต่เมื่อออกไปจากวัดป่าบ้านตาดแล้วก็หาย โดยที่ไม่ต้องฉันหยูกฉันยาอะไร แต่อยู่วัดป่าบ้านตาดนั้น ทั้งฉันยา ทั้งทายา มันก็ไม่หาย

เมื่อเริ่มมีอาการเกิดขึ้นอย่างนั้นแล้ว ท่านก็กราบเรียนท่านพระอาจารย์มหาบัว ว่าจะต้องได้พาโยมแม่ของท่านออกไปอยู่ที่อื่น แล้วท่านก็ปรึกษากันว่าจะพาไปอยู่ที่ไหน ก็เลยตกลงจะไปอยู่กับหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) บ้านหนองแซง จังหวัดอุดรธานี


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้