ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

สมดุลย์สุขภาพ (สุขภาพดีไม่มีขาย)

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-4 21:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขอบคุณคร้าบ
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-5 21:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2013-9-5 21:12

มาล้างลำไส้กัน



คุณเคยรู้มั้ยว่าลำไส้ของเราสกปรกแค่ไหน??

วันนี้มีวิธีทำความสะอาดลำไส้และทำให้หน้าท้องเล็กลงได้มาให้ทำตามกันนะจ้ะ ^^ เราจะทำบ่อยๆช่วงก่อนไปเที่ยว เพราะการไปเที่ยวที่มีทะเลจะต้องใส่ชุดว่ายน้ำ เพราะฉะนั้น พุงห้ามมีเลย หน้าท้องต้องเก็บ วิธีนี้ง่ายและทำได้จริง ถ้าทำได้ทุกวันหน้าใสนะเอออ

ลำไส้ของเราเมื่อมีไขมันเกาะมากๆๆ ไขมันเหล่านี้จะทำให้กระเพาะอาหารตับม้ามดูดซึมทุกอย่างได้แย่มาก อาหารที่ว่าง่ายนิดเดียว เอ๊ จะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มไม่แน่ใจ 555 ไม่รู้จะเรียกประเภทไหนดี

-ส่วนผสมมีดังนี้

1. โยเกิร์ต ครึ่งถ้วย
2. นมสด 1 กล่อง
3. น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
4. มะนาว 1 ลูก

-วิธีทำ

นำเครื่องปรุงทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบเลยย หรืออยากทานเยอะก็ทบสองเท่าของทั้งหมด เป็นโยเกิร์ตหนึ่งถ้วย นมสดสองกล่อง น้ำผึ้งสองช้อน มะนาวสองลูก (กินให้หมดก็แล้วกัน >.<)

ทำเสร็จก็ยกกระดกแก้ว ทานง่ายกว่าเหล้าเบียร์

ต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล มะนาวก็ควรบีบแล้วกินทันที เพื่อรักษาคุณสมบัติวิตามินซีไว้ และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้นแน่นอนน ลองทำดูแล้วจะรู้ว่ามันเจ๋งจริงๆๆนะ แต่ต้องทานแต่เช้า ส่วนข้าวเช้าก็ทานปรกติ รับรองงระบบเมตาบอลิซึ่มก็ทำงานเพิ่มสองเท่า ข้าวเช้าก็ไม่อดด สุขภาพดี หน้าใสนั่นก็เป็น

เพราะ

ส่วนผสมต่างๆเมื่อรวมกันแล้วกินลงไปมันจะช่วยในการปรับธาตุ ซึ่งการปรับธาตุไม่ต้องไปหาซื้อยาที่ไหนหรอกค่ะ หาเอาของในครัวมาทำก็ได้ แถมยังได้ประโยชน์ในการล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะ เห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพาะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงไปเรื่อยควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวันจนเป็นนิสัยนะคะ

ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักว่าไขมันไอ้พวกที่เกาะผนังลำไส้เหรือที่ต่างๆเรามีโทษยังไงก่อน

ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร ตับ ม้ามให้ดูดซึมทุกอย่างบกพร่องเป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายมาก

ถ้าไขมันเกาะที่

1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย

2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศรีษะ

3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว

4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย

5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด

6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้

7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก

ถ้าทำเมนูสุขภาพเมนูที่ว่านี้และทานทุกวัน คุณจะหายจากโรคพวกนี้ แม้จะใช้เวลาแต่มั่นใจได้ว่ามันจะไม่เพิ่มขึ้นหรือลุกลามแน่นอน


ที่มา https://www.facebook.com/Pretty.Body.Club

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
เยี่ยม
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-7 21:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

อันตรายจากน้ำมะนาวเทียม

ใครที่ชอบทานส้มตำคงคุ้นตาดีกับภาพแส่ค้าขายส้มตำปรุงรสด้วยน้ำมะนาวสีเขียวใสๆ ที่บรรจุอยู่ในขวดแก้ว (อันที่จริงก็ไม่ถึงกับทุกร้านหรอกนะครับ) น้ำมะนาวที่เห็นนั้นเรียกว่าน้ำมะนาวเทียมหรือเกร็ดมะนาว ให้มีรสเปรี้ยวแหลม ราคาถูก อีกทั้งยังมีสีสันคล้ายคลึงกันกับน้ำมะนาวจริงเกือบทุกประการ

สิ่งที่ต้องระวังสำหรับผู้ที่ทานน้ำมะนาวเทียมเป็นประจำก็คือ เครื่องปรุงรสดังกล่าวผลิตมาจากกรด “ซิตริก” ซึ่งถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม มีความบริสุทธิ์น้อยและมีสารปนเปื้อน ที่สำคัญต่อ สามารถย่อยสลายสิ่งต่างๆได้ ไม่เว้นแม้แต่อวัยวะภายในระบบทางเดินอาหารของผู้บริโภค ผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสแซบทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นต้มยำ ส้มตา หรือแม้แต่น้ำหวานหรือไอศกรีมรสมะนาวต้องคอยสังเกตวัตถุดิบที่พ่อค้า – แม่ค้าใช้ดูให้ดี

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของอาหารที่มีสารปนเปื้อน ในความเป็นจริงแล้ว อาหารต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม และมุ่งหวังผลประโยชน์การค้อเป็นสำคัญ ล้วนมีสารพิษชนิดใดชนิดหนึ่งที่เจือปนอยู่ทั้งนั้น นับเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งของมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ไม่อาจสืบทราบที่มา ตลอดจนเส้นทางการเดินทางของอาหารที่ตนทานได้

หนทางป้องก้นจึงควรที่จะหลรกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารปนเปื้อน หรือใช้วิธีการบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน หรือใช้วิธีการรับประทานอาหารเหล่านี้หมุนเนียนสับเปลี่ยนทานอาหารให้ได้หลากหลายประเภทโดยไม่ซ้ำหน้ากันก็จะช่วยลดความเสี่ยงสะสมในการรับและสะสมสารพิษภายในร่างกายลงได้

ส่วนการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการ ลด ละ เลิก การใช้สารเคมีนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนานครับ

ที่มา : นิตยาสาร BE Well

16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-9 06:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


4 วิธีลดท้องอืดด้วยตัวเอง

ท้องอืดเป็นอาการที่พบได้ในคนทั่วไป มีสาเหตุจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดแก๊สและกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร แต่หากพึ่งยาลดกรดทุกครั้งไป อาจส่งผลเสียได้ แค่ปรับพฤติกรรมด้วย 4 วิธี ดังนี้ ก็ทำให้คุณห่างไกลอาการที่ว่าได้ไม่ยาก

- ทานมื้อเล็กบ่อยๆ และเคี้ยวให้ละเอียด เพราะอาหารมื้อใหญ่ และการดื่มน้ำคราวละมากๆ จะทำให้กระเพาะอาหารโป่งออก ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างหย่อนลง เกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น

- ค่อยๆ ลดของหวาน เนื้อสัตว์ และอาหารมัน โดยจดบันทึกรายการอาหาร ทำเครื่องหมายไว้ว่า วันเวลาใดมีอาการ เพื่อจะได้เลี่ยงอาหารชนิดนั้นเสีย เพราะกระเพาะอาหารใช้เวลาย่อยอาหารนาน 6-8 ชั่วโมง ซึ่งทำให้เกิดการหมักหมม กลายเป็นแก๊สในท้อง

- เลี่ยงผักดิบในตอนเย็น เพราะผักมีเส้นใยมาก ถ้ากินมากไปจะทำให้ท้องอืดได้ เนื่องจากร่างกายไม่มีน้ำย่อยเส้นใยนี้ แต่ต้องอาศัยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นตัวย่อย คุณอาจเปลี่ยนมากินผักลวกหรือผักต้มแทนได้

- ถ้าจุกเสียดแน่นท้องแล้ว ให้ลุกขึ้นเคลื่อนไหวร่างกาย ดื่มน้ำอุ่น หรือกินสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับลมอย่างขมิ้นชัน หากท้องอืดก่อนนอนให้นำผ้าห่มหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้น 6-8 นิ้ว จะทำให้กรดและน้ำย่อยไหลลงกระเพาะอาหารได้เร็วขึ้น 67%

ขอบคุณข้อมูลจาก healthandcuisine.com

17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-10 06:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


อยากมีสุขภาพที่ดี เริ่มต้นง่ายๆโดยการจัดตู้เย็นครับ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-11 22:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรื่องของ"น้ำแร่" ที่ควรรู้


ในปัจจุบันนี้มีความสนใจในเรื่องน้ำแร่ชนิดต่างๆที่มีมากมายหลายยี่ห้อหลายรูปแบบ แต่ก่อนที่คุณผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ "น้ำแร่พลังแม่เหล็ก" แต่เนื่องจากข้อมูลจากการศึกษาเท่าที่รวบรวมได้ยังมีน้อยและไม่ชัดเจน จึงขอกล่าวถึง"น้ำแร่ที่ได้จากธรรมชาติ" ซึ่งอาจจะเลือกซื้อมาบริโภคนั้น อยากให้ได้รับข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการเลือกบริโภคน้ำแร่ โดยจะนำเสนอประเภทของน้ำแร่ที่แยกตามผลที่มีต่อร่างกายและฤทธิ์ในการบำบัดโรคเป็นเกณฑ์ในการจัดประเภทน้ำแร่

"วิธีดื่มน้ำแร่ ควรทำอย่างไร?"

1.การดื่มน้ำแร่ปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ (Water loading) คือ การดื่มน้ำปริมาณ 1 ลิตร ภายใน 30 นาที ขณะท้องว่าง ซึ่งการดื่มน้ำแร่วิธีนี้จะใช้กับน้ำแร่ชนิดทีหวังผล เช่น เพื่อขับนิ่วออกจากร่างกาย วิธีนี้ไม่ควรดื่มก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน

2. การดื่มแบบทยอยในปริมาณไม่สูง (Subdivided doses) คือ การดื่มน้ำแร่ปริมาณ 500 มิลลิลิตร และ ตามด้วยน้ำแร่ 10 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยจิบน้ำครั้งละน้อยขณะอ่อนเพลีย หรือขณะเดิน หรือพร้อมมื้ออาหาร

3. สำหรับนักกีฬา ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่น้อยถึงปานกลาง ตลอด 2 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยดื่ม 100-150 มิลลิลิตรทุก 15-20 นาที และดื่ม 400-500 มิลลิลิตร 15 นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่ 2 หลังการอบอุ่นร่างกาย
ระหว่างการแข่งขัน ควรดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที โดยปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าร่างกายหลังแข่งขันหรือเล่นกีฬานั้น ควรมีปริมาณร้อยละ 150 ของน้ำหนักตัว ซึ่งปริมาณของเหลวที่บริโภคโดยทั่วไป คือ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

ข้อมูลโดย MCOT
Credit by: http://campus.sanook.com/

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-15 06:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


โรคหัวใจ วิธีสังเกตอาการว่าเราเป็นหรือเปล่า

ความเป็นจริงแล้วคำว่า"โรคหัวใจ"มีความหมายกว้างมาก อาการที่เกิดจากโรคหัวใจหรือสัมพันธ์กับหัวใจนั้น มีไม่มากนัก ดังอาการ ข้างล่างนี้ แต่อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวก็มิได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหัวใจเท่านั้น ยังมีโรคอื่นๆที่ให้อาการคล้ายกัน ดังนั้นการที่ แพทย์จะพิจารณาให้การวินิจฉัยนั้น จำเป็นต้องอาศัยประวัติ อาการโดยละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย บางครั้งต้องอาศัยการ ตรวจพิเศษต่างๆ เช่น เลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น เพื่อแยกโรคต่างๆที่มีอาการคล้ายกัน

เรามีแนวทางการสำรวจอาการตนเองในเบื้องต้น จาก อาจารย์ นพ.ระพีพล กุญชร ณ อยุธยา อายุรแพทย์โรคหัวใจ ลองสำรวจอาการดู แต่จะดีกว่าถ้าท่านไปพบแพทย์ผู้ชำนาญด้วยตัวท่านเอง ต่อไปครับ

เจ็บหน้าอก

อวัยวะที่อยู่ในทรวงอกนอกจากหัวใจแล้วยังมี เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด เยื่อหุ้มปอด หลอดอาหาร หลอดเลือดแดงใหญ่ กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง เต้านม กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก เมื่อมีการอักเสบหรือพยาธิสภาพของอวัยวะเหล่านี้ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ได้ทั้งสิ้น แต่ลักษณะอาการอาจแตกต่างกัน

อาการต่อไปนี้เข้าได้กับอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด
1 เจ็บแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้าย หรือ ทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไป ที่แขนซ้าย หรือ ทั้งสองข้าง หรือ จุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน
2 อาการตามข้อ 1 เกิดขึ้นขณะออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ รีบ หรือ ขึ้นบันได วิ่ง โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกกำลัง
3 ในบางรายที่อาการรุนแรง อาการแน่นหน้าอกอาจเกิดขึ้นในขณะพัก เช่น นั่ง หรือ นอน หรือ หลังอาหาร
4 กรณีที่เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการจะรุนแรงมาก อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก มาก เป็นลม (อาการเช่นนี้ยังพบได้ในโรคของหลอดเลือดแดงใหญ่ปริ ฉีก)

อาการต่อไปนี้ไม่เหมือนอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด

1 เจ็บแหลมๆคล้ายเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก
2 อาการเจ็บเกิดขึ้นในขณะพัก มีอาการนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน
3 อาการมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่า หรือ ขยับตัว หรือ หายใจเข้าลึกๆ
4 อาการเจ็บร้าวขึ้นศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า
อาการตามข้อ 1,2 และ 3 อาจเกิดจากกระดูก กล้ามเนื้อหน้าอก เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากอาการเจ็บหน้าอกแล้ว ต้องอาศัยประวัติอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัย เสี่ยงต่างๆ ดังนั้นในผู้ป่วยบางรายที่อาการไม่เหมือนนัก แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ ก็ควรได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติมด้วย

หอบ เหนื่อยง่ายผิดปกติ

อาการหอบ เหนื่อยง่าย เวลาออกแรง เช่น เดิน วิ่ง ทำงาน มีสาเหตุมากมาย เช่น โลหิตจาง(ซีด) โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคปอด ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) แม้แต่ความวิตกกังวล หรือ โรคแพนิค ก็ทำให้เหนื่อยได้เช่นกัน อาการเหนื่อยง่ายจากโรคหัวใจ และ ภาวะหัวใจล้มเหลวนั้น จะเหนื่อย หอบ หายใจเร็ว โดยเป็นเวลาออกแรง แต่ในรายที่เป็นรุนแรง จะเหนื่อยในขณะพัก บางรายจะเหนื่อยมากจนนอนราบไม่ได้ (นอนแล้วจะเหนื่อย ไอ) ต้องนอนศีรษะสูงหรือ นั่งหลับ

คำว่าเหนื่อย หอบ ในความหมายของแพทย์หมายถึง อัตราการหายใจมากกว่าปกติ แต่ในความหมายของผู้ป่วยอาจรวมไปถึง อาการเหนื่อยเพลีย หมดแรง เหนื่อยใจ

อาการเหนื่อยแบบหมดแรง มือเท้าเย็นชา พูดก็เหนื่อย (โดยอัตราการหายใจปกติ) เหล่านี้มักจะไม่ใช่อาการเหนื่อยจากโรคหัวใจ

ใจสั่น

ใจสั่นในความหมายแพทย์หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆหยุดๆ อาการดังกล่าวอาจพบ ได้ในคนปกติ โรคหัวใจ และโรคอื่นๆที่มีผลต่อหัวใจ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอด แพทย์จะซักประวัติละเอียดถึงลักษณะของ อาการใจสั่น เพื่อให้แน่ใจว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยรู้สึก"ใจสั่น"โดยหัวใจเต้นปกติ

การตรวจวินิจฉัยกลุ่มอาการใจสั่นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการชั่วขณะ เมื่อมาพบแพทย์อาการดังกล่าว ก็หายไปแล้ว แพทย์จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ดังนั้นท่านควรศึกษาวิธีจับชีพจรตัวเอง เมื่อเกิดอาการ ว่าหัวใจเต้นกี่ครั้งในเวลา 1 นาที และสม่ำเสมอหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ให้การวินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้น

ขาบวม

อาการขาบวมเกิดจากการที่ร่างกายมีเกลือ(โซเดียม)และน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย โดยอาจเกิดจากโรคไต (ขับเกลือไม่ได้) โรคหลอด เลือดดำอุดตัน (การไหลเวียนไม่สะดวก) ขาดอาหาร โปรตีนในเลือดต่ำ โรคตับ ยาและฮอร์โมนบางชนิด โรคหัวใจ หรือ ในบางราย ไม่พบสาเหตุ (idiopathic edema) การบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถ ไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรังก็ให้อาการเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีอาการขาบวม แพทย์จำเป็นต้องตรวจหลายระบบ เพื่อหาสาเหตุ จึงให้การรักษาได้ถูกต้อง

เป็นลม วูบ

คำว่า "วูบ" นี้เป็นปัญหาในการซักประวัติอย่างมาก เนื่องจากในภาษาไทยคำนี้มีความหมายต่างๆกัน แต่ในความหมายของแพทย์แล้ว จะตรงกับภาษาอังกฤษว่า syncope หมายถึง การหมดสติ หรือ เกือบหมดสติ ชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ ไม่รวมถึงอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเครง วูบวาบตามตัว หายใจไม่ออก อาการดังกล่าวอาจเกิดจาก ความผิดปกติของสมอง เช่น ลมชัก (แม้จะไม่ชักให้เห็น) เลือดออกในสมอง ความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง หรือหยุดเต้นชั่วขณะ หรือ ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจ นอกจากนั้นแล้ว "วูบ" ยังอาจพบได้ในคนปกติที่ขาดน้ำ เสียเลือด ท้องเสีย ไม่สบาย ขาดการออกกำลังกาย ยาลดความดันโลหิต

แหล่งข้อมูล
อาจารย์ นพ.ระพีพล กุญชร ณ อยุธยา

http://www.thaiheartweb.com/

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-19 22:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


7 ข้อก่อหนี้มะเร็ง

แพทย์เตือนหลากพฤติกรรมรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สะสมความเสี่ยงก่อโรคมะเร็ง

มะเร็ง โรคที่หลายคนขยาดกลัว บางครั้งสาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมที่ทำสะสมเอาไว้ก่อนป่วย อย่างที่นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เล่าว่า มีพฤติกรรมบางอย่างเข้าข่ายสร้างหนี้มะเร็ง และสร้างภาวะล้มละลายทางสุขภาพได้ ดังเช่น 7 กรณีหนี้มะเร็งที่อาจถูกมองข้ามไป...

"เอ็กซเรย์บ่อย โดยไม่จำเป็น" เช่น กรณีเอ็กซเรย์มะเร็งเต้านม (แมมโมแกรม) ที่มีรายงานออกมาจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญระดับสากลแล้วว่าไม่จำเป็นเสมอไป เพราะไม่ได้ช่วยให้อัตราการเกิดมะเร็งลดลง ทั้งนี้รวมถึงการเอ็กซเรย์แบบเข้าอุโมงค์สแกนทั้งตัว ซึ่งจัดเป็นการอาบรังสี โดยรังสีเอ็กซ์ที่ได้นั้นเป็นพิษต่ออณูกายในระดับดีเอ็นเอ

"ใช้ฮอร์โมน" การได้รับฮอร์โมนมาทั้งแบบกิน ฉีดหรือเสริมเข้าไป ที่ใช้กับวัยทองหรือเพื่อกระตุ้นความหนุ่มสาวใดๆก็ตาม ต้องระวังการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนา เพราะไม่มีฮอร์โมนเสริมใดที่ไร้พิษภัย การรับเข้าไปมีสิทธิ์ไปกวนฮอร์โมนธรรมชาติของเดิมและกลายเป็นปุ๋ยเร่งมะเร็งได้

"นอนดึก" การพักผ่อนที่ดึกเกินไปหรือผิดเวลาบ่อยๆ เช่นการทำงานแบบเข้ากะ สลับเวรเช้า บ่าย และดึก เป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพและโรคมะเร็งบางชนิด แต่ไม่จำเป็นต้องลาออกจากหน้าที่การงานเสียหมด เพียงขอให้ฝึกเทคนิคหลับลึกจะช่วยพลิกวิกฤติสุขภาพได้

"กินดึก" ไลฟสไตล์แบบนอนและกินผิดเวลาจะพาให้ระบบในร่างกายแปรปรวน ลองนึกถึงรถยนต์ที่ขับไปนู่นมานี่ไม่มีวันพัก เครื่องยนต์ก็จะเสื่อมเร็วต้องเปลี่ยนอะไหล่ไปเรื่อย การกินดึกเหมือนการแกล้งให้ร่างกายต้องทำโอทีในเวลาที่ควรพักผ่อน ร่างกายต้องลุกขึ้นมาย่อยอาหารอย่างสะลึมสะลือ จะทำให้สมองหลั่งสารต้านมะเร็ง อย่าง “เมลาโทนิน” ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

"กินซ้ำ" ทำพิษกับท่านที่ชอบรับประทานตามสะดวก โดยสั่งอาหารซ้ำเดิมมากินแทบทุกมื้อจนกระเพาะและลำไส้เคยชินกับการกินสารอาหารเดิม ส่งผลให้ขาดวิตามินได้ แถมการกินซ้ำยังทำให้สะสมพิษไว้ในร่างกาย ที่เกี่ยวกับมะเร็งก็เช่น การรับประทานหมูแฮม แหนม ไส้กรอกบ่อยๆ หรือการกินปลาเค็มบ่อยๆ ก็มีสิทธิ์กระตุ้นมะเร็งในจุดสำคัญของร่างกายได้

"ท้องผูก" อาการท้องผูกช่วยกระทุ้งมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะที่ทำพิษกับลำไส้ใหญ่เพราะอยู่ใกล้ชิดกับของเสียจากร่างกายเป็นที่สุด อาการท้องผูกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของก้อนมะเร็งในลำไส้ได้ โดยท่านที่เป็นบ่อยหรือมี “ติ่งเนื้อ(Colon polyposis)” ขอแนะให้ไปส่องกล้องดูอย่างน้อยสักครั้ง

และ "เครียดง่าย" ท่านที่เก็บทุกข์เก่ง เช่นมองทุกอย่างได้เป็นเรื่องน่ารำคาญตา รำคาญใจไปเสียหมด รถติดก็หงุดหงิด เด็กเสิร์ฟเดินรับออเดอร์ช้าก็นอยด์ เห็นอะไรขวางหูขวางตา มีความน่าจะเป็นในการเกิดมะเร็งได้สูง เพราะมะเร็งรับวิตามินเร่งโตมาจากความเครียดที่กระตุ้น “อนุมูลอิสระ” ให้วิ่งวนอย่างร่าเริงในกระแสเลือด หนี้มะเร็งข้อสุดท้ายจึงร้ายสุด เพราะทำให้เกิดมะเร็งได้ทุกส่วนรวมถึง “มะเร็งใจ” ด้วย.

ที่มา http://health.giggog.com/




ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้