ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6773
ตอบกลับ: 32
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) ~

[คัดลอกลิงก์]

หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ
วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง)
ต.หนองบัวบาน อ.หนองวัวชอ จ.อุดรธานี


ประวัติและปฏิปทา


หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ
พระอริยสงฆ์แห่งบ้านหนองแซง อุดรธานี


หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของ หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม

หลวงปู่เพ็งเคยบอกว่า ถ้าจะทำหนังสือที่ระลึกในงานศพของท่าน ขอให้นำเรื่องราวของ “หลวงปู่อาตมา” มาเขียนไว้ข้างหน้า พร้อมกับสำทับว่า “อย่าลืมเด้อ”

เมื่อหลวงปู่เพ็งจะพูดถึงหลวงปู่บัว ท่านจะแทนด้วยคำว่า “หลวงปู่ของอาตมา” หรือ “หลวงปู่อาตมา” ผู้ที่ไม่คุ้นเคยจึงออกจะสับสนไปบ้าง

หลวงปู่ทั้งสององค์นี้ นอกจากมีสายใยเชื่อมโยงทางโลกในฐานะพ่อ-ลูกกันแล้ว ยังมีส่วนอุปถัมภ์ค้ำชูในทางธรรมซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก

กล่าวคือ ท่านหลวงปู่บัว ผู้พ่อ ได้ขอให้หลวงปู่เพ็ง ผู้ลูกบวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนาและออกบำเพ็ญเพียรเป็นพระธุดงค์กรรมฐาน

เมื่อหลวงปู่เพ็งออกบวชได้บำเพ็ญภาวนาจนได้สัมผัสความสุขสงบในรสพระธรรมแล้ว ก็ได้พยายามโน้มน้าวใจบิดาของท่านให้ละเลิกจากทางไสยศาสตร์ การเป็นหมอปราบผีสาง มาดำเนินตามรอยบาทพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นทางสุขสงบอย่างแท้จริง นับเป็นความปรารถนาสูงสุดที่หลวงปู่เพ็งต้องการตอบแทนคุณบิดา-มารดาของท่าน

หลวงปู่เพ็ง ได้ใช้ความพยายามอย่างมาก จนบิดาของท่านยอมละวางชีวิตฆราวาส หันมาห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เมื่ออายุเข้าวัย ๕๐ แล้ว และได้ปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังชนิดมอบกายถวายชีวิตจนได้พบคุณธรรมสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา เป็นพระอริยสงฆ์อย่างแท้จริง

ประจักษ์พยานในทางวัตถุจะเห็นได้จากอัฐิของหลวงปู่ได้กลายเป็นพระธาตุที่สุกใสงดงาม ไว้ให้สานุศิษย์ได้กราบไหว้บูชา ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์ของท่าน ที่วัดราษฎร์สงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ในปัจจุบัน

ท่านหลวงปู่บัว ได้ปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สุดยอดพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานในยุคปัจจุบัน ทางฝ่ายหลวงปู่เพ็ง พระลูกชาย ต้องพบวิบากสึกหาลาเพศไปเป็นฆราวาสมีเหย้าเรือนอยู่หลายปี จนมีบุตร-ธิดา ถึง ๕ คน เมื่อพ้นวิบากแล้ว ท่านได้กลับมาบวชอีกเป็นครั้งที่สอง เมื่ออายุ ๕๒ ปี

การบวชครั้งที่สองของหลวงปู่เพ็ง ก็ได้หลวงปู่บัว คอยช่วยชี้แนะ เจียรนัย จนหลวงปู่เพ็งของเราเป็น “เพชรเม็ดงาม” ประดับในวงการพระพุทธศาสนาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

แม้ผู้เขียน (รศ.ดร.ปฐม นิคมานนท์) ไม่มีโอกาสได้กราบหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ โดยตรง เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เคารพ-เลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาของท่านอย่างสุดชีวิตจิตใจ ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ในองค์ท่าน สำหรับหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม นั้น ครอบครัวของผู้เขียนมีโอกาสอุปัฏฐากใกล้ชิดท่านติดต่อกันนานกว่า ๑๐ ปี หลวงปู่เพ็งได้เมตตามาพำนักที่บ้านเป็นประจำ เปิดโอกาสให้เพื่อนบ้าน และผู้สนใจได้มาร่วมสวดมนต์ทำวัตร ปฏิบัติภาวนาตลอดเวลา

พวกเราได้ถวายให้ห้องหนึ่งให้เป็นที่พักสำหรับพระสงฆ์สายปฏิบัติ ได้รับเมตตาจากหลวงปู่-หลวงพ่อหลายองค์ที่ได้แวะเวียนไปโปรดบ่อยๆ จนบ้านเรากลายเป็น “สำนักปฏิบัติธรรม” ไปโดยอัตโนมัติ จนหลวงปู่เพ็งบอกว่า “ที่นี่เป็นกุฏิของอาตมา”

โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนรัก-เคารพ-ศรัทธาต่อหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม อย่างสุดชีวิตจิตใจ

ท่านเป็น “พระดีประจำใจ” อีกองค์หนึ่งที่กราบไหว้ได้โดยไม่ขัดเขินและไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ

ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามหลวงปู่เพ็ง ว่า “การดูพระสงฆ์นั้น ดูอย่างไรจึงจะบอกได้ว่าเป็นพระดี พระแท้ อย่างแน่นอน ?”

หลวงปู่ท่านตอบโดยสรุปุว่า “เราต้องมีเครื่องมือดู เครื่องมือที่ดีก็คือ ต้องทำตัวเราให้เป็นพระด้วย จึงจะแยกพระดีพระเก๊ได้ถูกต้องแน่นอน” และท่านบอกต่อไปว่า “จิตของผู้ปฏิบัติภาวนาดีจะมีความละเอียดอ่อน รับสัมผัสคุณธรรมระดับต่างๆ ได้ อย่างแม่นยำ”

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 00:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ชาติกำเนิด-ชีวิตวัยเยาว์


หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ดโดยกำเนิด

สมัยเป็นฆราวาสท่านชื่อ บัว น้อยก้อม เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ที่บ้านเขืองใหญ่ ตำบลหมูม่น อำเภอธวัชบุรี (โป่งลิง) จังหวัดร้อยเอ็ด

ปัจจุบันบ้านเกิดของท่านอยู่ในพื้นที่อำเภอจังหาร ส่วนนามสกุล “น้อยก้อม” เป็นชื่อของคุณปู่กับคุณย่ารวมกัน เป็นการตั้งนามสกุลวิธีหนึ่งของคนสมัยนั้น

บิดาของท่านชื่อ นายลาด และมารดาของท่านชื่อ นางดา น้อยก้อม

หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๙ คน คือ

๑. นายแก้ว ๒. นางหลอม ๓. นายเหลา

๔. หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ๕. นายกลม ๖. นางอ้วน

๗. นางบุญสุข ๘. นางมุก และ ๙. นางแสน

ในสมัยที่หลวงปู่เป็นเด็กยังไม่มีโรงเรียน หลวงปู่จึงไม่รู้หนังสืออ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพในสมัยนั้น และไม่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ธรรมด้วยการปฏิบัติภาวนา

เมื่อเจริญวัย หลวงปู่ได้ช่วยบิดา-มารดา ทำงานในไร่นาได้แก่การเก็บเกี่ยว ดำ ไถ หว่านข้าว ไปตามประสาของเด็กลูกชาวนาในถิ่นห่างไกลความเจริญทั้งหลาย

บุคลิกโดยทั่วไป หลวงปู่บัวเป็นเด็กฉลาด ขยัน และมีความจริงจังมาตั้งแต่เด็ก



อาชีพช่างไม้และหมอผี


ความเฉลียวฉลาดและเอาจริงเอาจังของหลวงปู่บัว เริ่มฉายแววเด่นชัดเมื่อท่านเป็นหนุ่มเริ่มแตกพาน อายุ ๑๕ ปี

นอกจากการทำนา ไถนา แล้ว หลวงปู่ยังเป็นช่างปลูกบ้าน เป็นช่างทำตาชั่งและทำเครื่องมือตวงวัดต่างๆ ทั้งๆ ที่หลวงปู่ไม่ได้ร่ำเรียนจากที่ใดมาก่อนเลย ท่านสามารถทำตราชั่งชั่งน้ำหนักเป็นกิโลกรัมเพื่อการซื้อขาย และใช้ในชีวิตประจำวันได้

นอกจากเป็นช่างประจำหมู่บ้านแล้ว หลวงปู่บัว ยังได้เรียนวิชาอาคม และไสยศาสตร์จากผู้รู้ในสมัยนั้น จนมีความเก่งกล้าทางด้านคุณไสย สามารถประกอบอาชีพเป็นหมอผี ปราบผีสางนางไพรได้อีกด้วย

ไม่ว่าด้านใด ตำบลใด ในละแวกนั้น ถ้ามีผีสางเข้าสิงสู่ผู้คน ชาวบ้านจะมาเชิญหลวงปู่บัว หรือหมอบัวไปทำพิธีขับไล่ รวมทั้งปัดรังควาญเสนียดจัญไรต่างๆ ชาวบ้านก็จะจ่ายเงินทอง ข้าวของ เป็นค่าคาย (ค่ายกครู) ให้ตามสมควร

เมื่อชาวบ้านมีความทุกข์ร้อนเรื่องต่างๆ จึงมาเชิญให้หมอบัวได้ช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ร้อนนั้นให้ ซึ่งท่านก็กระตือรือร้นและเต็มใจในการช่วยเหลือ จนกลายเป็นที่พึ่งและเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในละแวกนั้น

ด้วยความเอื้ออารีและต้องการช่วยเหลือชาวบ้านนี่เอง หลวงปู่บัวได้ยึดมั่นถือมั่นในวิชาไสยศาสตร์และหมอผีอย่างแนบแน่นฝังใจ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 00:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ศีลห้าและรักษาสัจจะ


แม้ว่าหลวงปู่บัว จะเล่าเรียนและยึดถือทางด้านคุณไสยก็ตาม แต่ท่านก็ยึดมั่นในคุณธรรม ๒ ประการ คือ การมีสัจจะ และรักษาศีลห้า อย่างเคร่งครัด

สัจจะถือเป็นคุณธรรมอย่างวิเศษ การมีสัจจะประจำใจ จะทำให้เป็นคนน่าเชื่อถือ และ “มีวาจาสิทธิ์” การเรียนมนต์คาถาต่างๆ จะยิ่งเพิ่มความขลัง และไม่เสื่อมคลายจากหายไป

ด้านการรักษาศีล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีล ๕ จัดเป็นคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ เป็นเครื่องมือยับยั้งการทำชั่วและการก่อเวรต่างๆ ทำให้เป็นคนบริสุทธิ์ มีความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ตามหลักทางพระพุทธศาสนา

สัจกิริยาของผู้ที่ตั้งมั่นในการประพฤติอยู่ในขอบข่ายของศีล โดยไม่ละเมิดผิดศีลธรรม ย่อมเป็นผลให้สมาธิเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว มั่นคง แม้การเรียนทางด้านคุณไสยก็ย่อมมีความขลังด้วย

ท่านหลวงปู่บัว สมัยเป็นฆราวาสหรือหมอบัว ท่านจะไม่กระทำผิดด้านศีลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มสุรายาเมา ท่านจะงดเว้น ไม่เตะต้องอย่างเด็ดขาด

หลวงปู่ท่านทราบดีว่า การดื่มสุราทำให้ขาดสติ ขาดสมาธิที่จะกำกับเวทมนต์ และคาถาอาคมต่างๆ ดังนั้นวิชาไสยศาสตร์ที่ท่านศึกษาจึงมีความเข้มขลังอย่างมาก

ด้านศีลห้า ท่านถืออย่างเคร่งครัด ได้แก่

- การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตท่านไม่เอา แม้แต่กุ้งหอยปูปลา ก็ไม่จับไม่ฆ่า

- งดเว้นจากการลักขโมย หยิบฉวย ทรัพย์สินของผู้อื่น แม้แต่จะพูดในเชิงอยากได้ก็ไม่ทำ

- เรื่องกาเมไม่เคยประพฤติ

- ข้อมุสา การกล่าวคำเก็จ เพ้อเจ้อ พูดจาเหลวไหล หลวงปู่ไม่ชอบ

- เรื่องสุราเมรัย แม้จะมีกันดาษดื่นในท้องถิ่นอีสานหาดื่มหากินได้ไม่ยากเลย ท่านก็ไม่ข้องไม่เกี่ยว

หลวงปู่บัวท่านรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด ท่านมักจะอบรมสั่งสอนลูกหลานอยู่เสมอๆ ว่า

“เรื่องศีลนี่เป็นของสำคัญที่ควรปฏิบัติให้มาก ถ้าแม้ผู้ใดมีศีล รักษาศีลเพียงอย่างเดียวให้มั่นคงแล้วจะศึกษาเล่าเรียน ไม่ว่าวิชาคุณไสย หรือบำเพ็ญภาวนากรรมฐานอันเป็นทางวิมุติแล้ว ต้องมีศีลสัตย์เป็นเบื้องต้น อย่าไปทำลายศีล ถ้าทำลายศีลแล้ว ชีวิตมันจะไม่เป็นเรื่องสักอย่างเดียว”

แม้ท่านหลวงปู่บัวสมัยยังเป็นฆราวาส จะยึดมั่นในสัจจะและถือศีลห้าประจำใจ ไม่ทำบาปน้อยใหญ่ทั้งปวงก็ตาม หลวงปู่ก็ยังถือมั่นทางด้านคุณไสยอยู่ ท่านยังไม่ถือไตรสรณาคมม์ คือถือมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เช่นเดียวกับพุทธศาสนิกชนที่ดีทั่วไป
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 00:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่บัววัยหนุ่ม


สมัยยังอยู่เป็นฆราวาส นับตั้งแต่หนุ่มน้อย อายุ ๑๕ ปีเป็นต้นมา หลวงปู่บัว หรือ นายบัว น้อยก้อม ได้สร้างฐานะได้อย่างรวดเร็ว จัดว่าเป็นผู้มีอันจะกินทีเดียว

ทางด้านอาชีพ ท่านเป็นช่างปลูกบ้านเรือน เป็นครูสอนการทำตราชั่งและเครื่องตวงวัดต่างๆ และยังเป็นผู้เรืองวิชาอาคม รับจ้างขับไล่ผี และประกอบพิธีกรรมต่างๆ อีกด้วย

หลวงปู่ท่านมีนามีสวนในเนื้อที่กว้างขวาง ส่วนตัวของท่านก็เป็นที่เคารพนับถือจากชาวบ้านทั่วไป ในฐานะผู้รู้ทางเวทมนตร์ ประกอบกับท่านอยู่ในวัยหนุ่มหน้าตาดีด้วย

คุณดำรงค์ ภู่ระย้า นักเขียนในนิตยสารโลกทิพย์ ได้รับฟังเรื่องราวของหลวงปู่บัวจากคำบอกเล่าของ หลวงปู่อ่อนตา จนฺทสโร ลูกพี่ลูกน้องของหลวงปู่ ดังนี้

“ในวัยหนุ่ม ท่านบัวนี่รูปร่างสวยนะ ตัวใหญ่ สูงสง่า เวลาเดินนี่หนักแน่นมั่นคง นัยน์ตาสีน้ำตาล แสดงความเป็นนักต่อสู้ทีเดียวล่ะ ผิวสีดำแดง เสียงมีอำนาจ ก็เพราะอย่างนี้แหละจึงเป็นที่ต้องตาต้องใจสาวๆ หลายคน

ฐานะท่านบัวก็ร่ำรวยคนหนึ่งล่ะ อาคมท่านบัวดีแต่ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนนะ นอกจากช่วยคนอื่น สนุกสนานไปกับเพื่อนๆ บ้างเป็นบางเวลา เสียอย่างเดียวที่ท่านยิ้มยากหน่อยอยู่จะพูดจะคุยอะไรดูเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไปหมดละ”


ชีวิตครอบครัว


หลวงปู่อ่อนตา จนทสโร ญาติลูกพี่ลูกน้องของหลวงปู่บัว ได้เล่าถึงเรื่องครอบครัวของหลวงปู่บัว ว่า เอาเรื่องแต่งงานก่อนนะ

สาวๆ ที่ต้องใจท่านบัวสมัยเป็นฆราวาสนั้นมีอยู่คนเดียว คือ นางมิ้ม พอแต่งงานกันแล้วมีลูกด้วยกันทั้งหมด ๖ คน ลำดับอย่างนี้

๑. คนแรกเสียชีวิตแต่น้อยๆ

๒. นางพุด น้อยก้อม (เสียชีวิต)

๓. นายเพ็ง น้อยก้อม (หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม)

๔. นายพรหม น้อยก้อม (พระครูสมุห์พรหม สุพฺรหมญาโณ อายุ ๘๔ ปี เจ้าอาวาสวัดเทิงเสาหิน อ.เทิง จ.เชียงราย องค์ที่ ๒ ต่อจากหลวงปู่เพ็ง)

๕. นางสมบูรณ์ น้อยก้อม (เสียชีวิต)

๖. นางเล็ก ฤทธิแสง อยู่ที่ อ.เทิง จ.เชียงราย

“สมัยที่แต่งงานกันแล้ว ท่านบัว ก็ยังอยู่บ้านเกิดเดิมอยู่ มาระยะหลังจึงย้ายครอบครัวไปทำมาหากินที่บ้านจานทุ่ง ตำบลปาฝา อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด”
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 00:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ไม่ยอมละเมิดศีลห้าเด็ดขาด


“สมัยนั้น การทำมาหากินของชาวบ้านปาฝา และชาวนาในภาคอีสานลำบากมากนะ แต่ที่อยู่กันได้ ท่านบัวก็ทำมาหากินไปตามฐานะไม่เดือดร้อนอะไร”

หลวงปู่อ่อนตา เล่าต่อไปว่า “แต่ถ้าเป็นคนในเมืองเขาทนอย่างนี้ไม่ได้แน่ ไม่ว่าหน้าร้อน เราก็ต้องทนแดดกันกลางทุ่งนา วันทั้งวันเลย

พอหน้าฝน พวกชาวไร่ชาวนานี่ก็ต้องทนเปียกทนแห้งอยู่อย่างนั้นแหละ มันหนีไม่ได้นี่นะ

พอถึงหน้าหนาว ตื่นแต่เช้ามืดก็ต้องไปแล้ว ออกหากิน คนสมัยนั้น เวลาหนาวก็หนาวจริงๆ มันมีแต่ป่ามีแต่ต้นไม้ ไม่โล่งเตียนเหมือนเดี๋ยวนี้

หน้าหนาวนี่ ตั้งแต่เช้า กว่าจะได้รับไอแดดก็เป็นเวลาเที่ยง จึงค่อยได้รับความอบอุ่นกับเขาบ้าง พอบ่ายสามโมงก็เอาอีกหนาวอีกแล้ว

อะไรๆ ก็ไม่โหดร้ายเหมือนเมื่อคราวอีสานแล้งติดต่อกัน ๗ ปี ท่านบัวนี่ก็เป็นคนเก่งทีเดียว ไม่รู้ว่าท่านเอาอะไรให้ลูกๆ ท่านกิน มันไม่มีอะไรกินจริงๆ นะ

ท่านบัวเองก็รักษาศีล การที่จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนี่ไม่มีแน่ ท่านไม่ยอมทำทั้งนั้นเรื่องบาปกรรมนี่

การที่จะทำให้ท่านบัวไปช้อนกุ้ง ตกปลา เหมือนชาวบ้านทั่วไปนั้น อย่าหวังเลย ท่านรักษาศีลห้าได้จริงๆ นะ กำลังใจท่านดี สติท่านนี่เป็นเยี่ยมเลย ตั้งแต่สมัยฆราวาสนะที่เล่านี่

ต่อมาลูกๆ ของท่านบัวออกเรือนไปกัน ท่านก็แบ่งที่ทางให้ไปทำมาหากิน ส่วนตัวท่านก็ยังไม่ปล่อยวางเรื่องไสยศาสตร์

หนังสือนี่ท่านบัวไม่ได้สักตัวเดียว แต่ท่านมีปัญญาสามารถประกอบกิจดารงานได้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้หนังสือนั่นแหละ

พอถึงคราวไปรำนางปลา นางกระด้ง ซึ่งเป็นประเพณีของทางอีสานในสมัยนั้น ท่านบัวเป็นอันว่าเอาด้วยละเรื่องนี้ ไปกันเป็นหมู่ๆ นะ แต่เรื่องผิดศีลท่านบัวไม่เอาด้วย”
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 00:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระลูกชายขอให้เลิกไสยศาสตร์


ในปี พ.ศ ๒๔๗๐ หลวงปู่บัว ท่านยังรักษาศีล ๕ อยู่ พอมาถึงต้นปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ท่านก็ขยับขึ้นมาถือศีล ๘ เพิ่มอีก “ทีนี้ท่านนุ่งขาวห่มขาวเลย ก็อยู่ในบ้านนั่นแหละ รักษาศีล ๘ ด้วย ทำงานด้วย”

หลวงปู่อ่อนตา เล่าต่อไปว่า “เรื่องนี้ไม่รู้ว่าท่านบัวไปได้ความคิดความรู้จากไหนมาก่อนนะ

ท่านบัวเล่าให้อาตมาฟังว่า เวลาไถนา ก็ พุท-โธ ไป หันกลับมาก็ พุท-โธ อีก แล้วตอนปักกล้า เวลาปักลงไปแต่ละต้นนี่ พุท-โธ ไม่ขาดท่านหยิบกล้าก็ พุท พอปักลงไปในดินก็ โธ นี่ท่านทำอย่างนี้

ระยะนี้ธรรมะเริ่มเข้ามาในกระแสจิตบ้างแล้ว มันเป็นเหตุให้ ท่านเพ็ง พุทฺธธมฺโม พระลูกชายของท่านบัวมาเทศน์ให้ฟัง

ท่านเพ็งนี่เทศนาเก่งนะสมัยนั้น มีชื่อเสียงมากเรื่องนี้

แต่ท่านบัวก็ยังไม่ยอมเชื่อไม่ยอมทิ้งวิชาไสยศาสตร์อยู่ดีแหละ สองพ่อลูกนี่ทะเลาะกันเรื่องพระไตรสรณาคมน์

ลูกชายที่เป็นพระ ก็ต้องการให้บิดานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ

ท่านบัวผู้เป็นพ่อก็ไม่ยอมเชื่อลูก เพราะเข้าใจว่าไปเรียนหนังสือ นวโกวาท (คู่มือพระภิกษุบวชใหม่) มาเพียงเล่มเดียว ท่านว่าอย่างนั้น

ท่านเพ็งได้ยกเหตุผลว่า การนับถือภูตผีปีศาจนั้นไม่ดี มันไม่มีประโยชน์อะไรแก่เราเลย เมื่อยึดถือไปแล้วมันมีแต่เรื่องทุกข์เรื่องร้อน

เวลาใครเขาถูกคุณเสียจากที่อื่นมา ตนก็ต้องไปแก้ไขช่วยเหลือ ถ้าพลาดพลั้งไปอาจเข้าตัวเองได้ ลูกเมียก็ต้องลำบากเสียใจ

สู้ยึดถือพระไตรสรณาคมน์ไม่ได้ รัตนสามประการนี้ท่านสอนชี้ให้เรากระทำความดี ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าหากว่าโยมบิดามีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ พระธรรม และพระอริยสงฆ์อยู่ในใจแล้ว โยมบิดาจะมีแต่ความสุขความเจริญ ไม่ต้องทุกข์ร้อน ไม่ต้องไปกังวลกับการไปแก้คุณเสียให้ใครอีก

โยมบิดาเองก็มีอายุมากแล้ว ไหนจะต้องเดินเหินไปโน่นมานี่ มันเป็นการยากลำบาก

ขณะนี้โยมบิดาก็ได้ทำความดีไปแล้วขั้นหนึ่ง คือการรักษาศีล นับว่าดี ประเสริฐแล้ว เพราะเราไม่ได้ถือไม้ค้อนก้อนดิน (หมายถึง อาวุธ) มือโยมบิดาบริสุทธิ์ไม่เปรอะเปื้อนมลทินอันใดเลย ขอให้เลิกนับถือคุณไสยเสียเถิด

จงหันมารับเอาพระไตรสรณาคมน์ เป็นที่พึ่งจะดีกว่า มันเป็นทางพ้นทุกข์ เป็นทางพระนิพพาน สถานบรมสุข เป็นที่อยู่ของดวงจิตอันถาวรของเรา”

หลวงปู่อ่อนตา เล่าต่อไปว่า “พระลูกชายก็พูดไป บิดาก็ไม่ยอมเชื่อ ตั้งแต่หัวค่ำจนยันแจ้งก็ไม่สำเร็จผล

ท่านบัวนี่ ความจริงท่านเป็นคนมีเหตุผลเหมือนกัน ตั้งแต่ท่านเพ็งพูดทิ้งไว้แล้ววันนั้น ท่านบัวก็เก็บไปนึกคิดอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละ...”
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 00:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระอาจารย์สุภีช่วยเทศน์โปรด


หลวงปู่พรหม (น้องชายของหลวงปู่เพ็ง) หรือ พระครูสมุห์พรหม สุพฺรหมญาโณ สมัยที่ยังเป็นฆราวาสได้เล่าเรื่องหลวงปู่บัว เสริมต่อจากหลวงปู่อ่อนตา ว่า

“หลังจากพระอาจารย์เพ็ง มาเทศน์โปรดหลวงปู่บัว ของพวกเราแล้ว ท่านก็เก็บมานั่งคิดทบทวนเหตุผลต่างๆ แล้วท่านก็ตัดสินใจละทิ้งไสยศาสตร์อย่างเด็ดขาด กลายเป็นเรื่องง่ายนิดเดียวสำหรับท่าน

คือหลังจากนั้นไม่นาน คงจะ ๓ เดือนให้หลังนี่แหละ พระอาจารย์สุภี ฉายาท่านพวกเราจำไม่ได้ ท่านมาพักที่วัดป่าศรีไพรวัน อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด

เมื่อพระอาจารย์สุภี มาถึงวัด พระอาจารย์เพ็งมั่นใจว่า พระอาจารย์สุภีคงสามารถช่วยเทศน์ชักจูงให้โยมบิดาออกจากการถือคุณไสยได้แน่ๆ จึงนิมนต์พระอาจารย์สุภีไปยังบ้านโยมบิดา

พระอาจารย์สุภี ชี้แจงอยู่ไม่นาน พอเทศน์จบหลวงปู่บัว ก็บอกว่าท่านตัดสินใจยอมเลิกการนับถือภูตผีปีศาจ ยอมละวางเรื่องคุณไสยต่างๆ และท่านก็ละทิ้งหมด ชนิดไม่เก็บมานึกคิดอีกต่อไป ท่านเลิกได้เด็ดขาดจริงๆ

หลวงปู่บัวหันมารับพระไตรสรณาคมน์ ตั้งแต่นั้นมาท่านนั่งปฏิบัติสมาธิภาวนาโดยตลอด

นอกจากนี้ หลวงปู่บัวท่านยังเห็นชอบในเรื่องพระกรรมฐานและขอร้องให้พระอาจารย์เพ็งออกธุดงค์ด้วยซ้ำไป”

หลวงปู่พรหมกล่าวย้ำว่า “หลวงปู่บิดาของผมนี่ท่านใจเด็ดขาด เวลาจะเลิกสิ่งหนึ่ง แล้วมารับสิ่งหนึ่งนี่ ท่านไม่มีความสงสัยหรือลังเลใจเลย พวกเราลูกๆ เสียอีกทำอย่างท่านไม่ได้

แต่ก่อนที่ท่านจะยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น หลวงปู่บัวก็ได้รับรักษาศีล ๘ อยู่ก่อนแล้ว แต่ระยะนั้นท่านไม่ยอมทิ้งไสยศาสตร์เท่านั้น”


๑๐
ทำงานกับพุทโธ


ตอนที่พระอาจารย์สุภี เทศน์โปรดหลวงปู่บัวนั้น อยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๗

หลังยอมรับพระไตรสรณาคมน์แล้ว หลวงปู่บัวท่านก็ยังทำงานอยู่กับบ้านตามปกติ เวลาทำงาน เช่น ทำนา ไถนา ตำข้าว เกี่ยวข้าวท่านจะบริกรรม พุท-โธ ตลอด

เช่น เวลาเกี่ยวข้าว พอเคียวเกี่ยวถูกต้นข้าว ท่านก็บริกรรมว่า พุท พอถึงต้นข้าวขาดก็บริกรรมว่า โธ เช่นนี้ไปโดยตลอด ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม เช่น กินข้าวก็ พุท-โธ อาบน้ำก็ พุท-โธ ทำอะไรใจก็อยู่กับการบริกรรม พุท-โธ กำกับอยู่เสมอ

หลวงปู่บัวเล่าให้ฟังว่า “ทำงานกับพุทโธนี่ไม่เหนื่อย ทำได้ทั้งวัน”

หลวงปู่พรหม ย้ำว่า “ก็เป็นความจริงของท่าน วันทั้งวันท่านอยู่กลางนาได้ พวกเรานี้ไม่ประสาอะไรกับการบริกรรม พุท-โธ ในตอนนั้นนะ มารู้เอาภายหลังว่า พุท-โธ ที่หลวงปู่ผู้บิดาบริกรรมอยู่นั้นมีคุณวิเศษมหาศาล ทุกวันนี้เราก็ได้ทำตามที่หลวงปู่สอนไว้นั่นแหละ”
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 00:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๑๑
การสอนคนให้ทำดีนั้นยาก


หลวงปู่อ่อนตา เล่าต่อไปว่า

“ท่านบัว นี่สติและสมาธิท่านดี เพราะท่านรักษาศีล ๘ มาไม่มีการด่างพร้อยเป็นเวลาถึง ๘ ปี

แต่ก่อนบ้านอิสานเรานี่เล่นคุณไสย เล่นเวทย์มนตร์กันเกือบจะเรียกได้ว่าทั่วไปนั่นแหละนะ เขาเอาจริงเอาจังเรื่องนี้ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงเก่งๆ กันนะ

โยมมารดาของท่านเพ็ง ก็พลอยมีวิชาคาถาอาคมกับเขาเช่นกันต่อมาในภายหลังโยมมารดาท่านก็เลิก แล้วหันมาทำบุญใส่บาตร

เรื่องสอนคนที่มีจิตยึดมั่นในของที่ตนรักตนหวงนี่ มันสอนยากนะ ดูอย่างลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายธุดงคกรรมฐานของเราซิ ท่านต้องผจญกับอุปสรรคนานาประการ บางองค์ก็ถูกทำร้าย บางองค์ถูกกลั่นแกล้ง เพราะไปสอนเขาให้ทำคุณงามความดี สอนเขาให้รักษาศีล

คนที่มีปัญญานี่ อาตมาว่า พอมีคนไปเปิดประตูให้นิดเดียว มันก็เกิดสว่างไสว มองเห็นทั่วถ้วน คนที่ไม่มีปัญญาล่ะ เหมือนคนตาบอด ทำอะไรก็ไม่ได้ มองอะไรก็ไม่เห็น คนตาดีบอกให้ แนะให้ บางทีเขาก็ไม่เชื่อ กลับต่อว่าเอาเสียอีก พวกนี้เป็นมิจฉาจริยา ประพฤติผิดด้วย เห็นผิดด้วย

ไม่ต้องพูดกันในปัจจุบันนะโยมนะ แม้สมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม พระองค์ยังต้องพบกับอุปสรรคเช่นนี้เหมือนกันทั้งๆ ที่น้ำพระทัยของพระองค์แสนบริสุทธิ์หาที่เปรียบมิได้ ขนาดนั้นจิตของพระเทวทัตก็ยังมืดบอดไม่ยอมรับคำสอน และต่อมาก็ทำร้ายพระพุทธเจ้า จนตัวเองถูกพระแม่ธรณีสูบไปเลย

เรื่องนี้พวกเราควรพิจารณากันนะ ถ้าชาตินี้เอาดีไม่ได้แล้วชาติไหนถึงจะดีเล่า ดีไม่ดีเรามัวแต่รอชาติหน้า ครั้นจะเกิดมาจริงๆ ในชาตินั้น อาจถูกเขาบีบเขาทำแท้งเสียอีก แล้วจะมาโทษเวรโทษกรรมต่างๆ นานา เอามันชาตินี้แหละ เราต้องพยายามมันจึงจะสำเร็จผลหลวงปู่บัวท่านว่าอย่างนั้น”
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 00:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๑๒
พระลูกชายขอให้บวช


ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ หลวงปู่บัว (ยังเป็นฆราวาส) ได้ขอร้องให้ หลวงปู่เพ็ง พระลูกชาย ออกธุดงคกรรมฐาน หลวงปู่เพ็งจึงได้ทำตามความประสงค์ของบิดา

ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ หลวงปู่เพ็ง กลับมาเยี่ยมบ้านและพักอยู่ที่วัดป่าศรีไพรวัน

หลวงปู่อ่อนตา เล่าเรื่องนี้ว่า “ภายหลังจากท่านเพ็งกลับจากธุดงคกรรมฐาน ท่านไปได้ข้ออรรถธรรมมา ก็มีความประสงค์ให้บิดาของตนออกบวชบ้าง ท่านเพ็งก็มีจดหมายไปหาท่านบัว ท่านบัวรู้ความก็มาหาในบ่ายวันเดียวกัน แล้วท่านเพ็ง ก็ได้ปรารภเรื่องการบวชพระ

การเห็นธรรมด้วยปัญญาอย่างแจ่มแจ้งของท่านเพ็งทำให้เกิดปีติ เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าในขณะออกเดินธุดงค์ในไพรป่านี่เอง ท่านจึงมีความตั้งใจที่จะให้บิดาได้เข้ามาใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ในบวรพุทธศาสนาเหมือนตน

ก็นับว่า พระอาจารย์เพ็ง เป็นกุลบุตรที่มีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา คือได้หาทางดำเนินที่ถูกต้อง เป็นทางที่ประเสริฐแก่บิดามารดของท่าน พวกเราทั้งหลายควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วนำไปปฏิบัติเยี่ยงท่าน นับว่าเป็นกาทดแทนคุณบิดามารดาได้อย่างหมดสิ้นในชาตินี้ทีเดียว นี่แหละเป็นการทดแทนพระคุณบิดา และค่าน้ำนมแม่ละ”

หลวงปู่อ่อนตา ได้เล่าเหตุการณ์ต่อไปนี้ว่า :-

“เมื่อท่านบัวได้รับจดหมาย ทราบความแล้ว ท่านก็มาพบพระลูกชายที่วัดในวันนั้นเมื่อเวลาบ่าย ๓ โมงเห็นจะได้นะ ท่านเดินมาที่วัด

พอมาถึงก็ถามท่านเพ็งว่า ต้องประสงค์สิ่งใดก็ให้บอกมา ท่านเพ็งบอกว่า โยมบิดา อาตมาไม่ต้องการอะไรจากบิดาเลยแต่ขอเพียงอย่างเดียว คืออยากขอให้โยมบิดาบวช เพราะตัวอาตมาก็ได้ทำตามที่โยมบิดาต้องการแล้ว โยมบิดาให้อาตมาเล่าเรียนอาตมาก็ทำตาม โยมบิดาไม่ให้แต่งงาน ต้องการให้บวชก่อน อาตมาก็บวชให้ โยมบิดาประสงค์ให้อาตมาศึกษาธรรมจนสอบได้ อาตมาก็ทำตาม

ครั้นต่อมา อาตมาก็ได้ทำตามคำขอร้องให้ออกธุดงค์ อาตมาก็ธุดงค์ปฏิบัติธรรม จนมีความเชื่อมั่นในคุณของพระพุทธเจ้า เชื่อพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยว่าอาตมาได้ประสบมากับตัวเอง

บัดนี้อาตมาอยากขอร้องให้โยมบิดาบวชเป็นพระ โยมบิดาจะให้ตามคำขอของอาตมาได้หรือไม่ อาตมาก็จะขอเพียงเท่านั้นขออย่างเดียว และจะไม่ขออะไรอีกเลยชั่วชีวิต”
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 00:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๑๓
ถวายตัวกับหลวงปู่อ่อน


“ท่านบัวไม่ลังเลเลยนะ ใจเด็ดเดี่ยวมาก ท่านตอบตกลงทันที”

หลวงปู่อ่อนตา เล่าต่อไปว่า “ตอนที่ท่านบัวตอบตกลงว่าจะบวชตามคำขอนี้ ท่านมีอายุได้ ๕๐ ปีแล้วนะ เป็นปี พ.ศ. ๒๔๗๙ เมื่อตกลงกันแล้ว ท่านเพ็งก็นำตัวไปฝากฝังกับ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นพระอริยสงฆ์แห่งสำนักวัดป่านิโครธาราม ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดหนองบัวลำภู ท่านเคยเป็นสามเณรติดตาม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ต่อมาหลวงปู่ดูลย์ ได้นำสามเณรอ่อนไปฝากให้ปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เรื่องราวของหลวงปู่อ่อนน่าศึกษาติดตามเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านปฏิบัติจนสำเร็จหลุดพ้นไปแล้ว พระธาตุของท่านเก็บให้ประชาชนได้สักการบูชาในเจดีย์ของท่านที่วัดป่านิโครธาราม ใกล้ๆ กับวัดถ้ำกลองเพล ของหลวงปู่ขาว อนาลโย และวัดราษฎร์สงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) ของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ

หลวงปู่อ่อน รับตัวหลวงปู่บัว (นายบัว น้อยก้อม) ไว้แล้วก็บอกกับพระอาจารย์เพ็งว่า ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อาตมาจะบวชผ้าขาวให้ และจะอบรมธรรมให้เอง

ต่อจากนั้น หลวงปู่อ่อน ก็ได้พา ตาผ้าขาวบัว น้อยก้อม ออกเดินทางไปยังจังหวัดนครราชสีมา พักที่วัดสะแกราช อำเภอปักธงชัยไปอยู่ฝึกขานนาคอยู่กับหลวงปู่อ่อน เนื่องจากตาผ้าขาวบัวไม่ได้หนังสือ (อ่านเขียนไม่ได้) จึงใช้เวลาฝึกขานนาคอยู่ถึง ๓ ปี

ในช่วง ๓ ปีนั้น ตาผ้าขาวบัวได้ติดตามหลวงปู่อ่อนไปหลายแห่งมีโอกาสพบและฟังธรรมจากครูบาอาจารย์หลายองค์ ได้รับข้ออรรถข้อธรรม จากท่านเหล่านี้มากทีเดียว

พระอาจารย์ฝายกรรมฐานที่หลวงปู่บัว ได้ฟังธรรมในช่วงนั้นมี พระอาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ, หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่จันทร์ เขมปตฺโต, หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร, หลวงปู่คำดี ปภาโส, หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน และครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ อีกหลายองค์

หลวงปู่บัว ใช้ชีวิตผ้าขาวเยี่ยงกับพระธุดงค์ ท่านติดตามหลวงปู่อ่อนไปธุดงค์ตามป่าตามเขา ผจญกับสัตว์ป่า และอันตรายต่างๆ อย่างเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว จากการฝึกปฏิบัติอย่างเข้มข้นอย่างนี้แหละทำให้การปฏิบัติภาวนาของท่านหลังจากบวชเป็นพระแล้ว มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้