ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนานพระเกจิอาจารย์แห่งแดนสยาม
»
~ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) ~
1
2
3
4
/ 4 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
เจ้าของ: kit007
~ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) ~
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
21
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:11
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๒๙
ให้ระวังปัจจัยเครื่องต่อ
ในระหว่างพำนักปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถ้าลูกศิษย์องค์ใดมีความประสงค์ออกวิเวกตามลำพังและได้เข้าไปกราบอำลา หลวงปู่มั่นท่านจะเมตตาให้คำแนะนำและตักเตือนทุกรูปไปโดย “ให้ยึดเอาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง และเป็นแนวทางดำเนินเสมอ”
เมื่อหลวงปู่บัว เข้ากราบลาเพื่อออกธุดงค์ตามลำพัง หลวงปู่มั่นได้เมตตาเตือนสติ ให้ระวังโลกธรรมมากระทบกระทั่ง เพราะโลกธรรมทั้งหลายมีอยู่ดาดดื่นนานารูปแบบ
หลวงปู่มั่นได้แนะนำให้ยึดเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นทางดำเนิน ให้รักษาแนวทางนี้ไว้เท่าชีวิต
เกี่ยวกับเรื่องโลกธรรมนั้น แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังถูกโลกธรรมเป็นมารมากระทบเลย พระพุทธองค์ทรงสอนสาวกให้มีสติพิจารณาโดยตลอด
หลวงปู่บัว ได้นำคำสอนและอุบายธรรมที่ได้รับจากหลวงปู่มั่นมาแนะนำถ่ายทอดให้ลูกศิษย์อีกทอดหนึ่ง ท่านสอนให้ระวังยิ่งในเรื่องปัจจัย หรือลาภสักการะต่างๆ เพราะปัจจัยหรือผลประโยชน์เหล่านั้นมันเป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติธรรม ถ้าไปหลงยึดถือมัน
ปัจจัย แปลว่า เครื่องต่อ มันสามารถต่อได้สารพัดอย่าง มันสามารถต่อภพต่อชาติ ต่อลูกต่อเมีย ต่อบ้านต่อเรือนต่อไป จนกระทั่งต่อทรัพย์สมบัติ วงศ์ตระกูล ถ้าขาดสติพลั้งเผลอละเมอตาม บางทีมันต่อทางเดินลงนรกไปเสียเลยก็มี
หลวงปู่บัว ท่านมักสอนลูกศิษย์ลูกหา ไม่ว่าพระสงฆ์ในวัด รวมทั้งบรรดาญาติโยม วัดป่าบ้านหนองแซง อยู่เสมอๆ ตามที่ได้รับการอบรมพร่ำสอนครั้งอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกรรมฐาน
๓๐
ติดตามไปอยู่กับหลวงปู่คำดี ที่ถ้ำกวาง ขอนแก่น
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ได้ติดตามปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อยู่หลายพรรษา จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายในชีวิตของท่าน
ในวันมาฆบูชาในปีนั้นหลวงปู่มั่น ได้แสดงธรรมเป็นที่อัศจรรย์ประจักษ์แก่บรรดาสานุศิษย์ไม่เคยลืม แม้หลวงปู่มั่นจะอาพาธหนักแต่ท่านก็สามารถข่มเวทนาแสดงธรรมได้อย่างละเอียดชัดเจน และท่านบอกสานุศิษย์ว่าเป็นการเทศน์ครั้งสุดท้ายของท่านก่อนละทิ้งสังขารเดินทางไปสู่แดนบรมสุข คือ เข้าสู่พระนิพพาน
หลวงปู่บัว ได้อยู่ช่วยจัดงานศพหลวงปู่มั่น จนสำเร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้เดินทางออกจากจังหวัดสกลนครเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ติดตามไปอยู่กับหลวงปู่คำดี ปภาโส ที่ถ้ำกวาง จังหวัดขอนแก่น
จากบันทึกประวัติและธรรมเทศนา ของหลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านเป็นคนขอนแก่น ได้มาพำนักที่ถ้ำกวางในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๑-๒๔๘๕ ท่านตั้งสัจจะอธิษฐิานอยู่จำพรรษาที่ถ้ำกวาง ๕ พรรษา หลังจากนั้นท่านได้ออกธุดงค์ไปหลายแห่ง ในช่วงสุดท้ายของชีวิต หลวงปู่คำดี ได้ไปพำนักที่ถ้ำผาปู่ อำเภอเมือง จังหวัดเลย จนมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ สิริรวมอายุได้ ๘๓ ปี รวมพรรษาธรรมยุติได้ ๕๗ พรรษา
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
22
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:11
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๑
เรื่องราวของหลวงปู่คำดี กับถ้ำกวาง
ตามประวัติของ
หลวงปู่คำดี ปภาโส
ได้บันทึกว่า หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ในสมัยเป็นตาผ้าขาว เคยติดตามหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ไปภาวนากับหลวงปู่คำดี ที่ถ้ำกวางมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ครั้งนี้จึงไปถ้ำกวางเป็นครั้งที่สอง ขออนุญาตคัดลอกบันทึกประวัติของหลวงปู่คำดี ที่เกี่ยวกับถ้ำกวางมาเสนอ ดังต่อไปนี้
ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงปู่คำดี ปภาโส จำพรรษาที่วัดถ้ำกวาง บ้านหินร่อง ตำบลเมืองเก่า อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ครั้งแรกท่านอยู่องค์เดียว อาศัยญาติโยมชาวบ้านทำร้านที่พักให้ชั่วคราว ต่อมามีหมู่คณะไปอยู่ด้วย มีพระ ๓ องค์ ตาผ้าขาว ๑ คน
ถ้ำกวางนี้เป็นสถานที่ที่มีป่าทึบรกชัฏมาก ห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ ๒ กิโลเมตร ก่อนที่ท่านจะมาถ้ำกวางนี้ หลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านมุ่งมั่นทำความเพียรอย่างเอกอุ ยอมสละชีพเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อมรรคผลนิพพานอย่างมอบกายถวายชีวิต หลวงปู่คำดีได้ตั้งสัจจะอธิษฐานอยู่จำพรรษาที่ถ้ำกวางนี้ ๕ พรรษา ถ้ามีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ท่านจะไม่ยอมหนีให้เสียสัจจะโดยเด็ดขาด การจำพรรษาที่นี่ ท่านได้ปฏิบัติภาวนาอย่างชนิดที่เรียกว่าแบบเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว
ในปี พ ศ. ๒๔๘๓ หลวงปู่คำดี ได้เป็นไข้มาเลเรียอย่างหนัก แม้แต่หมู่คณะของหลวงปู่ทุกองค์ก็เป็น ไม่มีใครดูแลกันได้เลย ได้อาศัยชาวบ้านหินร่องมาช่วยอุปัฏฐากดูแล ต่อมาพระ ๒ รูปได้มรณภาพ และตาผ้าขาว ๑ คนได้ตายจากไป ส่วนพระที่ยังไม่ตาย ต่างก็หนีไปที่ต่างๆ ไม่มีใครกล้าอยู่ เพราะกลัวไข้มาเลเรียกัน
สำหรับหลวงปู่คำดี ได้มีญาติโยมมาอ้อนวอนให้หนี แต่หลวงปู่ท่านได้อธิษฐานไว้แล้ว ท่านอยู่ของท่านองค์เดียวตลอดฤดูแล้ง พอจวนจะเข้าพรรษามีพระไปร่วมจำพรรษาอีก ๔ รูป ตาผ้าขาว ๑ คน คือ พระอ่อน (หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ) หลวงตาสีดา หลวงตาช่วง (ในบันทึกมีรายชื่อพระเพียง ๓ รูป) และตาผ้าขาวบัว (หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดป่าบ้านหนองแซง จังหวัดอุดรธานี ในขณะนั้น) ก็ได้ร่วมกับเพื่อนพระด้วยกันปฏิบัติภาวนาจนกระทั่งออกพรรษา
ปีนั้น ญาติโยมนิมนต์ไปงานกฐินที่บ้านกุดดุก ตำบลหว้าทอง อำเภอภูเวียง พอกฐินเสร็จเกิดอาการจับไข้อีกเกือบไม่รอด ชาวบ้านไปหาหมอพื้นบ้านในตำบลทั้งหมด ก็ไม่มีหมอคนไหนกล้ารักษา มีแต่เขาเห็นว่าจะไม่ไหวแล้วกลัวจะกำเริบใหญ่ สมัยนั้นไม่มีหมอรักษา มีแต่หมอเถื่อนเขาไปตามมารักษา หมอให้ยาถ่ายเวลาประมาณ ๕ โมงเย็น
พอฉันยาถ่ายลงไป ถ่ายมาก ถ่ายตลอดทั้งคืนถึงเวลารุ่งหมดกำลัง พอสว่างก็ยังถ่าย สังเกตเห็นถ่ายมีเลือดปนเป็นฟองสีจางๆ ถ่ายเป็นเลือดออกมาด้วย ชาวบ้านพากันตกใจวาจะไม่รอด ได้ตามหาหมอกันอีก ได้ทราบว่ามีหมออพยพต่างถิ่นคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าย้ายมาจากไหน มาอยู่บ้านโป่งได้ไม่นาน จึงไปนำหมออพยพต่างถิ่นมายังกุฏิที่พักของท่าน หมอใช้ยารากไม้ ต้องฝนไว้หลายๆ ถ้วย ใส่ขันบ้าง ใส่ถ้วยบ้าง ปกติขณะป่วยหนัก กินน้ำไม่ได้ กินไม่แซบไม่อร่อย เมื่อได้ฉันยาของเขาเป็นเหมือนกับธรรมดา เหมือนกับกระหายน้ำมาจากป่าจากดง มีรสดี เย็นดี ตอนแรกเขาก็ไม่ให้ฉันมาก ท่านได้ขอเขาฉันอีก เขาเอาขันอื่นมาให้ ฉันไม่ได้ มีกลิ่นคาวๆ พอฉันยาขันนั้นดูเหมือนหอม รสดี
หมอบอกว่าถูกยาแก้แล้ว ได้ขอน้ำอีก พอตื่นเช้าค่อยรู้สึกเบาตัว จิตใจปกติ แต่อ่อนเพลีย ลุกไม่ได้ ญาติโยมผู้เฒ่าผู้แก่จากขอนแก่นพากันไปเยี่ยม ต่างพากันน้ำตาตก เห็นร่างกายท่านซูบผอมมาก แต่ระยะที่ไปเยี่ยมนั้นมีอาการทุเลาลงบ้างแล้ว เรียกว่าถูกยาเขาแล้ว อาการหายไปบ้างแล้ว แต่พูดไม่ออก...ญาติโยมชาวบ้านกุดดุกได้อุปถัมภ์ค้ำชูดูแลอาหารของท่าน ตลอดจนอาหารการฉันดีมาก จนมีกำลังแข็งแรงเป็นปกติ
พอหายไข้ หลวงปู่คำดี กลับคืนถ้ำกวางไปอยู่วัดบ้านหนองบัวน้อย บ้านโยมอุปัฎฐากที่ภูเวียงอีก อาการไข้กลับเป็นซ้ำเรื้อรังอีก บางครั้งก็เป็นไข้เรียงวัน (ทุกวัน) บางครั้งก็บาวัน (เว้นวัน) ถึงเวลาไข้ มันก็ไข้ แต่ก็ฉันอาหารได้บ้างแล้ว มีกำลังพอสมควร
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
23
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:12
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในขณะอยู่ถ้ำกวาง บ้านหินร่อง กลางฤดูแล้ง ปี พ ศ. ๒๔๘๔ คิดอยากจะไปวิเวกที่ภูเก้า ขณะนั้นไข้ยังไม่หายดี ก่อนไปคิดเสียสละตัดสินใจไป หากจะเป็นอย่างไรก็ยอมเป็น จะหายก็หาย จะตายก็ตาย ตัดสินใจอย่างนั้น ก็เล่าให้ลูกศิษย์ซึ่งเป็นไข้เหมือนกันฟัง
“ผมจะไปภูเก้า ท่านจะไปด้วยไหม ถ้าผมไป ผมยอมสละชีพได้นะ จะหายก็หาย จะตายก็ตาย หากถึงภูเขาและถ้ำแล้ว ถ้าลงบิณฑบาตไม่ได้ผมก็ไม่ลง หากชาวบ้านเขาไม่เอาอาหารมาส่งผมก็ไม่ฉัน”
เมื่อโสสุด (ตั้งใจแน่นอน) อย่างนี้ก็ตกลงไปด้วยกัน การเดินทางจากถ้ำกวางไปภูเก้ายากลำบากมาก เพราะยังเป็นไข้ด้วยกันทั้ง ๒ องค์ ถ้าท่านเป็นไข้ก่อน ลูกศิษย์ก็ปูผ้าอาบให้ท่านนอนพักเลยก่อน เมื่อหายไซ้ก็ออกเดินทางต่อไป เดินไปได้ไม่ไกลลูกศิษย์ก็จับไข้บ้าง ต้องนอนพักผ่อนอีก ช่วยเหลือกันไปตามกำลัง
จะด้วยอำนาจการสละชีพเพื่อศาสนา หรือด้วยกุศลผลบุญของท่าน พอท่านเดินทางไปถึงหมู่บ้านเชิงภูเขาชื่อบ้านหนองกุง ปรากฏว่าอาการไข้ของท่านหายเป็นปลิดทิ้ง ตื่นเช้ามันเคยไข้ก็ไม่ไข้ สามารถเดินขึ้นภูเขาได้ เที่ยวบิณฑบาตทางไกลระยะทางร้อยกว่าเส้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
หลวงปู่คำดี ได้มาพักวิเวกที่ถ้ำหามต่าง ภูเก้า อำเภอโนนสังข์ จังหวัดอุดรธานี เป็นเวลา ๓ เดือนท่านได้รับประสบการณ์ในการบำเพ็ญภาวนาอย่างมาก เมื่อจวนจะเข้าพรรษา หลวงปู่และลูกศิษย์ก็กลับมาจำพรรษาที่ถ้ำกวาง และตั้งแต่ท่านหายไข้เมื่อครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่เคยเป็นไข้อีกเลยตลอดจนลูกศิษย์ของท่านก็ไม่เป็น นับว่าอัศจรรย์ หลวงปู่คำดี ปภาโส ได้อยู่จำพรรษาทำความเพียรภาวนาด้วยความเจริญก้าวหน้าจนกระทั่งครบ ๕ พรรษาตามที่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ ก่อนเดินทางธุดงค์ไปที่อื่นอีกต่อไป
๓๒
ติดตามหลวงปู่คำดี
หลวงปู่คำดี ปภาโส เป็นพระคณาจารย์ศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่มีปฏิปทาข้อวัตรงดงามอีกองค์หนึ่งหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ มีความเคารพและศรัทธาในหลวงปู่คำดีมาก ท่านหมั่นไปมาหาสู่เสมอๆ
ที่ถ้ำกวาง หลวงปู่บัว ได้พำนักอาศัยอยู่เป็นเวลานาน ได้รับอรรถธรรมจากหลวงปู่คำดี เป็นอย่างมากทีเดียว
ออกจากถ้ำกวาง หลวงปู่คำดีพาหลวงปู่บัวไปอยู่ถ้ำภูเวียง สถานที่แห่งนั้นหลวงปู่บัวพึงพอใจมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นที่สงบจากผู้คน ภาวนายกจิตใจขึ้นสู่ความสงบได้รวดเร็ว ไม่ว่าเดินจงกรมหรือบำเพ็ญเพียรในอิริยาบถใด หลวงปู่คำดีจะเป็นผู้ดูแลให้เป็นอย่างดียิ่ง
ต่อมาหลวงปู่คำดี ได้พาหลวงปู่บัว ออกธุดงค์มายังจังหวัดขอนแก่น ไปพักจำพรรษาที่วัดป่าชัยวัน อำเภอเมือง ๑ พรรษา เมื่อออกพรรษาปีนั้นได้ออกธุดงค์ไปทางภูพานคำ อำเภอหนองเรือ ไปพักที่สถานที่ชื่อคำหวายยาง ภูพานคำ เห็นเป็นที่สงบร่มรื่น เหมาะเป็นที่วิเวก สัปปายะดีมาก เหมาะกับการปฏิบัติภาวนาท่านจึงพักอยู่ที่นั่นหลายพรรษา ต่อมาหลวงปู่คำดีเกิดอาพาธ หลวงปู่บัว จึงพาท่านกลับลงมาจำพรรษาที่บ้านเหล่าบูด (ต่อมาเรียกว่า บ้านเหล่าสมบูรณ์) เพื่อรักษาหลวงปู่คำดี จนท่านหายอาพาธ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
24
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:12
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๓
พระอาจารย์หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด
ในช่วงพรรษาแต่ละปี หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ มักจะเดินทางไปนมัสการฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ฝ่ายกรรมฐานที่ท่านเคารพนับถือ ได้แก่
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดหนองบัวลำภู (แต่เดิมอยู่ในจังหวัดอุดรธานี)
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี และ
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
วัดป่านิโครธาราม อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
พระเถระที่กล่าวนามมานี้ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ มีความเคารพในคุณธรรมของแต่ละองค์อย่างมาก เพราะได้ประจักษ์ในข้อวัตรปฏิบัติของท่านมาแล้วเป็นอย่างดี
สำหรับท่านหลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน นั้น หลวงปู่บัวได้ติดตามไปอยู่ถ้ำและที่บ้านห้วยทรายอยู่ระยะหนึ่ง ท่านหลวงตาพระมหาบัว ได้อบรมธรรมแก่หลวงปู่บัวอย่างถึงแก่นถึงโคนทีเดียว ธรรมะของหลวงตาฯ ได้ “เข้าจิตใจอย่างกับสายน้ำทีเดียว” หลวงปู่บัวท่านว่าอย่างนั้น
การเทศนาแต่ละครั้ง ท่านหลวงตาฯ ได้ยกเหตุผลด้วยปัจจุบันธรรม การเทศนาของท่านเป็นไปในรูปแบบขุดล้างกิเลสมารถึงบึ้งจิตใจ มีความอาจหาญไม่อ้อมค้อม ท่านหลวงปู่บัวชอบใจเป็นนักหนา
ตอนที่หลวงปู่บัว มาพำนักประจำที่วัดป่าบ้านหนองแซง ท่านจะพาพระลูกวัดและญาติโยมไปฟังธรรมกับท่านหลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นประจำทุกวันพระเลยทีเดียว
๓๔
อธิษฐานจิตภาวนาแบบสละชีวิต
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ได้ออกธุดงค์เพียงลำพังอยู่บ่อยๆ โคจรไปในถิ่นต่างๆ ในภาคอิสาน การเดินธุดงค์ของท่านปฏิบัติตามที่หลวงปู่มั่น และครูบาอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานได้เคยอบรมมาทุกประการ ผ่านป่าเขาลำเนาไพร เมื่อพบสถานที่อันเป็นสัปปายะ หลวงปู่จะพักและปฏิบัติภาวนาอยู่หลายวัน เมื่อเริ่มคุ้นเคยและเริ่มจะติดสถานที่ ท่านก็จะออกเดินทางต่อไป เพื่อไม่ให้ติดสุขในที่นั้นๆ
หลวงปู่บัว เดินธุดงค์ไปพบสถานที่ชื่อว่า ถ้ำจันทร์ อยู่ในเขตอำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย หลวงปู่ได้เข้าไปพำนักภาวนาที่ถ้ำแห่งนั้น ท่านได้อธิษฐานจิตพิจารณาตัดกิเลสอาสวะขั้นอุกฤษฏ์ให้ได้ในครั้งนั้น
ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน ทำใจให้แน่วแน่ลงไปโดยอ้างการกระทำดีทั้งปวงมาเป็นสักขีพยาน เอาศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องรองรับจิตใจ ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า“ถ้าแม้ข้าพเจ้าไม่ได้ธรรมะ อันเป็นสิ่งเดียว ที่สามารถจะพาจิตใจพ้นไปเสียจากกิเลส ตัณหา อุปาทานได้แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ลุกจากที่แม้ชีวิตจะดับสลายไป”
แล้วท่านก็ลงมือนั่งสมาธิภาวนา กำหนดจิตใจให้แน่วแน่ลงไปอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จนกระทั่งชาวบ้านเกิดความสงสัยว่า ทำไมหลวงปู่ไม่ลงมารับบาตรเลย อยู่แต่ในถ้ำตลอดเวลา หรือว่ามีใครส่งข้าวส่งน้ำให้
หลวงปู่นั่งภาวนาโดยไม่ขยับเขยื้อนจนเวลาล่วงเลยไปได้ ๑๐ วัน ชาวบ้านคิดว่าท่านได้มรณภาพในถ้ำเสียแล้วเพราะท่านไม่ได้ฉันข้าวฉันน้ำเลย
ข่าวลือการมรณภาพของหลวงปู่บัว ได้ขยายวงออกไปจนถึงจังหวัดอุดรธานี และทราบไปถึงท่านหลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน แห่งสำนักวัดป่าบ้านตาด
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
25
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:12
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๕
ต้องส่งพระไปนิมนต์กลับ
เมื่อข่าวลือว่าหลวงปู่บัวปฏิบัติธรรมจนมรณภาพที่ถ้ำจันทร์ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย แพร่สะพัดออกไป ท่านหลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน มีความมั่นใจว่าหลวงปู่ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าปล่อยให้ท่านอยู่ต่อไปคงต้องมรณภาพอย่างแน่นอน
ท่านหลวงตาพระมหาบัวได้ใช้ให้พระลูกวัดชื่อพระบัว กับโยมชาวบ้านชื่อพรหม ไปนิมนต์หลวงปู่บัวให้ออกจากการภาวนาและเดินทางกลับวัด โดยเขียนหนังสือกำกับไปว่า
“ถ้ามรณภาพแล้วให้เอาลงมา ถ้ายังไม่มรณภาพก็ให้ลงมา ใครจะขัดขวางไม่ได้”
หลังจากได้รับคำสั่งแล้ว พระบัว กับโยมพรหมได้ทำเปลไม้ไผ่ขึ้น แล้วออกเดินทาง ปีนั้นเป็น พ.ศ. ๒๔๙๘
เมื่อพระบัว และโยมพรหม ไปถึงถ้ำจันทร์ได้พบว่าหลวงปู่บัว“นั่งนิ่งเลย ข้าวน้ำไม่ได้ฉันมา ๑๑ วัน ๑๑ คืน” หลวงปู่นั่งนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น ไม่รู้สึกอาลัยในสังขารร่างกายเลยแม้แต่น้อย แม้กำลังวังชาจะไม่มี ป่วยก็ป่วย นั่นเป็นเรื่องของสังขาร ส่วนจิตใจนั้นท่านรู้สึกปีติอยู่ในธรรม อิ่มเอิบสว่างไสวตลอดทุกขณะจิตทีเดียว
พระบัวเข้ากราบเรียนหลวงปู่บัวว่า “บัดนี้ท่านพระอาจารย์มmบัว ญาณสมฺปนฺโน วัดป่าบ้านตาด ใช้ให้กระผมมานิมนต์หลวงปู่กลับบ้านหนองแซงครับกระผม”
ท่านหลวงปู่บัว ตอบว่า “เออ...ออกก็ออก”
พระได้นิมนต์ท่านลงเปลไม้ไผ่ หามออกมาใส่เรือ ล่องน้ำมาขึ้นฝั่งที่ท่าอำเภอโพนพิสัย แล้วขึ้นรถผ่านตัวจังหวัดหนองคาย มุ่งสู่วัดป่าบ้านหนองแซง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
นี่เป็นตัวอย่างความมานะอดทนปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจังของครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ท่านยอมตายถวายชีวิตเพื่อให้ได้ธรรมตามแนวทางของพระพุทธองค์ แล้วนำมาอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาได้อย่างมั่นใจ เป็นธรรมที่ท่านแจกมาด้วยชีวิต รู้ธรรมจากการทดลองด้วยตัวเองจนเห็นประจักษ์ ไม่เพียงแต่การจดจำจากตำราหรือจากคำบอกเล่าเท่านั้น นับเป็นคุณานุปการแก่ลูกศิษย์ลูกหาเป็นอย่างยิ่ง พวกเราทั้งหลายควรได้ระลึกถึงพระคุณของพระอริยเจ้าผู้ปฏิบัติดีรอดตายกลับมาสอนพวกเรา เราควรแสดงความกตัญญูรู้คุณด้วยการปฏิบัติอย่างจริงจังตามควรแก่อัตภาพของแต่ละคน
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
26
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:13
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๖
การปฏิบัติธรรมต้องอาจหาญ
หลักยึดมั่นของนักปฏิบัติภาวนา ได้แก่
“บุรุษอาชาไนย จะอ่อนแอไม่ได้ ถ้าอ่อนแอ ข้าศึก (กิเลส) จะได้ใจ เข้าโจมตีผู้อ่อนแอย่อยยับ เมื่อรู้ตนว่าเข้าสู่สนามรบแล้ว จะต้องเข้มแข็ง อาจหาญดุจพญาราชสีห์ฉะนั้น”
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เป็นพระกรรมฐานที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ไม่ยอมท้อถอยให้แก่กิเลสมารแต่ประการใด ท่านสละชีวิตเพื่อธรรมอย่างแท้จริง หลังจากที่ท่านมาอยู่ประจำที่วัดป่าบ้านหนองแซงแล้ว ท่านก็ยังประกอบความเพียรโดยสม่ำเสมอต่อไป ไม่หยุดยั้งว่างเว้นเลย
ในระหว่างพรรษา หลวงปู่ออกโปรดญาติโยม สอนการปฏิบัติภาวนา พร้อมทั้งแสดงธรรมอบรมสั่งสอนให้เหมาะสมกับจริตและความสนใจของบุคคลกลุ่มต่างๆ ในขณะเดียวกัน ถ้ามีเวลาท่านก็จะเดินทางไปรับข้อธรรมเพิ่มเติมจากครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพนับถือในจังหวัดใกล้เคียงอยู่เป็นประจำ
ส่วนธรรมที่หลวงปู่ได้ประจักษ์ในจิตใจ ท่านก็ขยายความไปสู่หลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นพระสหธรรมิกของท่านมีการไปมาหาสู่ แลกเปลี่ยนอรรถธรรม และอุบายการปฏิบัติภาวนาซึ่งกันและกันอย่างสม่ำเสมอแม้ท่านผู้ใดมีข้อสงสัยติดขัด ก็ให้ข้อแนะนำกันด้วยอัธยาศัยไมตรี นับเป็นแนวทางที่ดีที่คพูาอาจารย์ท่านพาดำเนิน
๓๗
ภาวนาที่ถ้ำภูค้อบนเทือกเขาภูพาน
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เคยออกเดินธุดงค์ภาวนาที่ถ้ำภูค้อ บนเทือกเขาภูพาน ได้นำพระสงฆ์ในวัดหลายองค์รวมทั้งหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม พระบุตรชายของท่านร่วมเดินทางในครั้งนั้นด้วย
หลวงปู่เพ็ง ได้เล่าประสบการณ์การออกธุดงค์ในครั้งนั้นให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังว่า
“เป็นความประสงค์ของหลวงปู่ของท่าน เพราะท่านเคยไปอยู่เจริญภาวนาที่นั่นมาก่อน เป็นที่สงบวิเวกเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร หลวงปู่ไปได้ธรรมจากที่นี่มากนะ ท่านสามารถพิจารณาตัดโลกธรรม ๘ ได้อย่างเด็ดขาด
บนเทือกเขาภูพานนี้ คนโบราณเขาเคยอยู่กันมาก่อน บางแห่งมีสิ่งของล้ำค่ามากมาย จำพวกเพชรนิลจินดานี่มีมาก พระพุทธรูปูทองคำต่างๆ ก็มีไม่น้อย อยู่ในถ้ำบ้าง ถูกฝังกลางดินบ้าง กาลเวลาผ่านพ้นไป น้ำได้เซาะเป็นทางน้ำเล็กๆ สมบัติเหล่านั้นถูกพัดพาเกลื่อนกลาดไป
เรื่องนี้แหละ หลวงปู่ จึงพาไปทดสอบและสอนเรื่องปัจจัยเครื่องต่อแก่ลูกศิษย์ลูกหา ท่านบอกว่านี่แหละ ถ้าบุคคลเอาจิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในโลกธรรมแล้วก็จะหมุนไปตามโลกอย่างไม่หยุดยั้ง
ถ้าบุคคลใดพิจารณาเห็นโทษของมัน ก็จะเบื่อหน่าย จะถอนเอาจิตของตนมาตั้งอยู่ในความสงบ โลกธรรมทั้ง ๘ ก็จะทำอะไรเราไม่ได้ เพราะจิตเราอยู่เหนือโลก เหนือพวกนี้ทั้งหมด...”
หลวงปู่บัว ท่านสอนศิษย์ของท่านว่า
“พระที่ยังติดโลกธรรมมีมากนะ เห็นของจำพวกนี้ไม่ได้ ต้องหยิบเก็บเอาไปเป็นของแถม ไม่รู้ว่าเจ้าของเขามีหรือไม่ จงอย่าเอาเยี่ยงอย่าง ถ้ารักการปฏิบัติ รักตัว ต้องทำตัวให้บริสุทธิ์ ทำใจให้สะอาดเท่านี้เป็นพอ”
ต่อจากนั้นหลวงปู่บัว ก็พาศิษย์ไปพักภาวนาบนถ้ำภูค้อ แล้วย้อนกลับลงมาเมื่อสิ้นสุดการทดสอบกิเลสภายในได้แล้ว
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
27
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:13
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๘
สามเณรเสน ผู้เป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงปู่
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เคยได้รับการปรนนิบัติจากสามเณรน้อยรูปหนึ่งชื่อ สามเณรเสน สามเณรน้อยรูปนี้อยู่กับท่านมานาน แล้วได้จากหายไป จนสึกออกไปมีภรรยาและบุตร แม้เณรจะจากท่านไปเป็นเวลานานท่านก็ยังจำได้เป็นอย่างดี
อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่บัว ได้พูดคุยกับหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม พระลูกชายของท่านว่า
“เอ...เณรน้อยคนนั้น มันไปไหนหนอ มันเป็นไข้มาลาเรีย...เราพยายามรักษามันจนจะหายแล้วไม่พาหนีจากเราไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน”
หลังจากหลวงปู่ปรารภถึงสามเณรน้อยของท่านได้เพียง ๒ วันเท่านั้น สามเณรของท่านก็กลับมา แต่มาในฐานะพระภิกษุเสน ปญฺญาธโร บวชได้ ๒ พรรษาแล้ว การปรารภของหลวงปู่ในครั้งนั้นเหมือนท่านได้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ต่อมาภายหลัง
พระอาจารย์เสน
ได้รับมอบภาระให้เป็นเจ้าอาวาส ปกครองวัดป่าบ้านหนองแซง สืบต่อจากหลวงปู่ ได้ทำการพัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ จนกระทั่งปัจจุบัน
๓๙
การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
เหตุการณ์ที่ควรนำมากล่าวอีกครั้งหนึ่งได้แก่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคอิสาน (ผู้เขียนไม่มีเวลาที่จะสอบทาน ปี พ ศ. ได้ เพราะมีเวลาจำกัดมาก) เหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ชาวบ้านร้านตลาดอย่างมาก ตลอดถึงชาวนาที่ตกกล้าเอาไว้ ต้องสูญเสียพืชผลและทรัพย์สินมากมายในปีนั้น
ก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ชาวบ้านไม่รู้วี่แววอะไรมาก่อนเลย วิทยุของทางการก็มิได้ประกาศเตือนเรื่องน้ำท่วมแต่อย่างใด ช่วงนั้น นายกิมก่าย เศรษฐีใหญ่แห่งจังหวัดหนองคาย ซึ่งครูบาอาจารย์บอกว่า เป็นเศรษฐีชาติที่ ๗ ได้เดินทางมากราบหลวงปู่บัวที่วัดป่าบ้านหนองแซง
ทันทีที่หลวงปู่เห็นหน้าท่านเศรษฐีก็พูดว่า
“ระวังน้ำมันจะท่วมนะ ที่จังหวัดหนองคายนั่น”
ท่านเศรษฐีได้กราบเรียนขอคำแนะนำจากหลวงปู่ว่า
“จะให้กระผมเก็บข้าวของไหมครับ หลวงปู่”
หลวงปู่ ท่านตอบว่า “เออ...รีบเก็บเสียเถิด”
เศรษฐีกิมก่าย รีบกลับจังหวัดหนองคาย สั่งคนงานช่วยกันเก็บข้าวของลงเรือใหญ่ถึงแปดลำ แล้วน้ำก็ท่วมจังหวัดหนองคายจริงๆ ข้าวของของท่านไม่เสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว
ตั้งแต่นั้นมา ท่านเศรษฐีกิมก่ายได้เกิดความศรัทธาเชื่อมั่นในหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าหลวงปู่มีญาณรู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ภายหลังจากหลวงปู่มรณภาพแล้ว ท่านเศรษฐีกิมก่ายได้สละทรัพย์สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่ ด้วยความศรัทธาและด้วยกตัญญูที่มีต่อหลวงปู่
ผู้ที่บันทึกและนำเสนอเรื่องราวที่หลวงปู่มีญาณรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ใน ๒ เหตุการณ์นี้ คือ คุณดำรงค์ ภู่ระย้า นักเขียนธรรมะชื่อดังแห่งนิตยสารโลกทิพย์ ได้กล่าวถึงเหตุผลที่นำมาบอกกล่าวว่า “เท่าที่ผู้เขียน (คุณดำรงค์) นำเรื่องราวอิทธิฤทธิ์อำนาจของท่านลงไว้สองเรื่องนี้ ก็เพื่อท่านผู้อ่านวางใจในการประพฤติปฏิบัติของท่านตามขั้นตอน และช่วยกันจดจำเหตุการณ์อันจะเป็นบันไดของนักปฏิบัติใหม่ๆ จะได้มีกำลังใจยิ่งขึ้น”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
28
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:13
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๔๐
ร่วมแผ่บารมีช่วยหลวงปู่ศรี มหาวีโร สร้างวัดป่ากุง
สมัยก่อน เมืองไทยเรายังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ การที่ชาวบ้านและพระสงฆ์องค์เจ้าจะปลูกบ้านเรือนและสร้างวัดวาอารามต่างๆ ก็ต้องเข้าถากถางป่าเตรียมสถานที่เพื่อจะทำการปลูกสร้างสิ่งต่างๆ นั้น
หลวงปู่อ่อนตา จนฺทสโร ได้เล่าถึงการก่อสร้างวัดป่ากุง (วัดประชาคมวนาราม) ในอำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ของหลวงปู่ศรี มหาวีโร ดังนี้
“สมัยนั้น ต้นไม้ในป่านี้ คนธรรมดาๆ ไปทำอะไรมันไม่ได้ มันเอาจริงๆ นะ ถ้าไปแตะไปต้องมันเข้า ปีนั้น
ท่านหลวงปู่ศรี มหาวีโร
จะสร้างวัดป่ากุง (วัดประชาคมวนาราม) ที่จังหวัดร้อยเอ็ด แล้วที่ตรงนั้นมันก็แรงต้องอาถรรพ์ ใครไปทำอะไรแตะต้องมันไม่ได้
หลวงปู่ศรี มหาวีโร คิดว่าต้องนิมนต์พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน และหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ มาช่วยกันนั่งแผ่เมตตา รวมเป็นสามแรงก็จะดี
หลวงปู่ศรี เลยไปรับอาจารย์มหาบัว และหลวงปู่บัว ที่จังหวัดอุดรฯ มาจังหวัดร้อยเอ็ด มาแผ่เมตตาจิต และทำการวางฤกษ์ปลูกสร้างวัดป่ากุง (วัดประชาคมวนาราม)”
วัดป่ากุง ได้รับการพัฒนาตั้งแต่นั้นมา ด้วยบารมีและความสามารถของหลวงปู่ศรี วัดป่ากุงได้มีความเจริญเป็นอย่างมาก เป็นวัดปฏิบัติที่มีชื่อเสียงขจรขจาย ได้ขยายเป็นวัดสาขาออกไปยังจังหวัดต่างๆ มากกว่าร้อยสาขา และได้สร้างพระมหาเจดีย์ ที่วัดผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มีมูลค่าเป็นพันล้าน สร้างด้วยพลังศรัทธาของประชาชน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สาธุชนควรหาโอกาสไปนมัสการเพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต ปัจจุบันได้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติไปนมัสการ และเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย
๔๑
การถือสัจจวาจา
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ นอกจากท่านยึดมั่นต่อศีลต่อพระธรรมวินัยแล้ว ท่านมีความพึงพอใจต่อการรักษาสัจจะ และนับเป็นยอดปรารถนาของท่าน หากศิษย์คนใดมีจิตใจแน่วแน่ที่จะรักษาสัจจวาจาแล้วจะเป็นที่นิยมและชอบใจของหลวงปู่ยิ่งนัก
หลวงปู่บัว ต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้มีสัจจะประจำจิตใจในการปฏิบัติธรรม การมีสัจจะช่วยให้เกิดสมาธิได้ดี และเมื่อต้องการทำความดี ก็จะสามารถละโลภ โกรธ หลง ได้อย่างสิ้นเชิงทีเดียว
มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า มีอุบาสิกาท่านหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ เดินทางไปกราบหลวงปู่ และได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่นานพอสมควรก่อนลากลับ ได้ขออนุญาตถ่ายรูปหลวงปู่ไว้เป็นที่ระลึก
อุบาสิกาท่านนั้นพูดว่า “ถ้าหลวงปู่ยิ้มสักนิดหนึ่ง ดิฉันจะขอตั้งสัจจะไม่ยอมแต่งงานเลยทีเดียวเจ้าค่ะ”
หลวงปู่ได้แย้มยิ้ม ยินดีให้ถ่ายรูปได้ ซึ่งโดยปกติหลวงปู่ท่านไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้วเป็นนิสัย เมื่อท่านยิ้มก็หมายความว่า “ขอให้รักษาสัจจะที่พูดไว้ให้ดีก็แล้วกัน อย่าลืมสัจจะของตัวเอง”
จากข้อเขียนของคุณดำรงค์ ภู่ระย้า ยืนยันว่า อุบาสิกาท่านนั้นได้รักษาสัจจะที่ให้ไว้กับหลวงปู่ เป็นอย่างดี น่านิยมเป็นอย่างยิ่ง ถ้าคนเรารักษาสัจจะเช่นอุบาสิกาท่านนั้นสังคมมนุษย์คงจะมีความสุขสงบอย่างแท้จริง สาธุ !
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
29
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:13
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๔๒
ธรรมะของหลวงปู่
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ได้เริ่มต้นชีวิตในเพศบรรพชิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เมื่อท่านมีอายุได้ ๕๓ ปี แม้ท่านจะบวชเมื่ออายุมากแล้วก็ตาม ถือว่าไม่เป็นการสายในการปฏิบัติธรรม
ประวัติและธรรมะของท่านน่าสนใจศึกษาเป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ขาดการรวบรวมเก็บบันทึกไว้ (หรืออาจจะมีก็ได้ แต่ผู้เขียนไม่มีโอกาสเสาะหา ด้วยมีเวลาจำกัดต้องเขียนให้ทันแจกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ในวันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๕)
จากข้อมูลในหนังสือ ๘๐ พระกรรมฐาน ของนิตยสารโลกทิพย์ ได้กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่บัว ว่า
“เป็นการปฏิบัติภาวนาขั้นอุกฤษฏ์ทั้งสิ้น เช่น อดอาหาร ๑๐ วัน ๒๐ วัน ไม่นอนหลายๆ คืน เดินจงกรมทั้งวัน นั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืน ยืนพิจารณาอยู่กับที่โดยไม่กระดุกกระดิกตัวเลยเป็นครึ่งๆ วันก็มี...ด้วยเหตุนี้หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณจึงต้องถูกหามกลับลงมาจากเขาก็หลายครั้งหลายหน
ความที่หลวงปู่บัว ท่านมีจิตใจอาจหาญเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมแพ้ต่อกิเลสมาร ที่จะเข้ามารบเร้าจิตใจของท่านให้อ่อนไหวไปตามกระแสอารมณ์ ท่านได้ต่อสู้จนถึงเส้นชัย...”
หลวงปู่บัวได้ประกอบคุณงามความดีด้วยการแสดงธรรมอบรมบ่มนิสัยให้แก่ญาติโยมในถิ่นใกล้ไกลอยู่เป็นนิจ ธรรมะที่ท่านมอบให้ปฏิบัตินั้น ท่านจะย้ำอยู่เสมอ
“ให้พยายามรักษาสติให้ได้ เพราะสตินี้จะเป็นฐานสู่ความสงบของจิต จนเข้าสู่กระแสปัญหาได้โดยง่าย”
เมื่อสติครบถ้วนมีกำลังแล้ว ท่านให้นักภาวนาเปลี่ยนมาดูกาย พิจารณากายอันเป็นที่ตั้งของธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะอินทรีย์ทั้งหลาย นักปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปหาไกลอื่นธรรมะมีอยู่ในตัวทั่วพร้อมแล้ว “ขอให้พิจารณาตัวเราให้มันเห็นตามความเป็นจริงก็แล้วกัน”
เมตตาบารมีธรรมของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ยังตราตรึงใจแก่ผู้ที่เคยได้กราบไหว้ และได้รู้เรื่องราวของท่านอย่างไม่มีวันจางหายไปจากหัวใจได้เลย
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
30
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-8-8 18:14
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๔๓
วาระสุดท้ายของชีวิต
ในวัย ๘๐ ปี สภาพสังขารของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ได้ทรุดโทรมโดยลำดับ เป็นไปตามธรรมชาติ ความชรามรณะคืบคลานเข้ามาทุกลมหายใจ เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือทุกอย่างตกอยู่ในกฎของความเป็นจริง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามคำสอนของพระพุทธองค์
ในช่วงท้ายของชีวิต แม้โรคาพยาธิจะเข้ามาย่ำยี หลวงปู่บัวไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้เห็น ท่านเตือนลูกศิษย์ใกล้ชิดให้ดูความเปลี่ยนแปลงในสังขารร่างกายของท่านเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ให้รีบเร่งทำความเพียร อย่าได้ประมาท เพราะทุกอย่างต้องเสื่อมโทรมไปตามกาลอย่าได้รอช้าในการปฏิบัติ
อาการเจ็บป่วยของหลวงปู่ เพิ่มทวีขึ้นโดยลำดับ ท่านนายแพทย์อวย เกตุลงห์ แห่งโรงพยาบาลศิริราชได้ถวายการรักษาหลวงปู่ด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง แต่อาการป่วยไข้ของท่านมิได้ทุเลาลงเลย
หลวงปู่ได้พูดถึงคุณความดีของท่านนายแพทย์อวยให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดได้ยินกันว่า
“หมออวยท่านนี้ มีน้ำใจเป็นบุญเป็นกุศล เป็นคนที่ประเสริฐยิ่งนัก แต่อาตมารู้ว่ารักษาอย่างไรมันก็ไม่หาย โรคของอาตมานี่นะ”
หลวงปู่ ท่านปฏิเสธการรักษาไม่ว่าด้วยการฉันยา ฉีดยาหรือด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น ท่านกำหนดวันมรณภาพของท่านในเวลา ๓ เดือน ท่านกำหนดจิตเข้าสู่สมาธิภาวนาตลอดเวลา ท่านมักถามลูกศิษย์ที่เฝ้าปรนนิบัติอยู่เสมอว่า “ถึง ๓ เดือนแล้วหรือยัง” สติของท่านดีเป็นปกติ ไม่เลอะเลือน มั่นคงตลอดเวลา
ทั้งพระและฆราวาสเข้าเยี่ยมอาการท่านตลอดเวลาท่านเคยดุผู้ที่ร้องไห้เสียใจว่า
“นี่แหละจงพิจารณาซิ อย่าเอาแต่โศกาอาดูร มันไม่เกิดประโยชน์อะไร พิจารณาความตายเสียบัดนี้ ว่าเกิดมาแล้วต้องตายทุกคนแต่ก่อนตายจากไป เราต้องทำความดีไว้ให้มากๆ”
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
หน้าถัดไป »
1
2
3
4
/ 4 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...