|
เมื่อมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อไป ครั้งหลังนี้เกิดขึ้นหลังจากครั้งแรกหลายสิบปีอยู่จำได้ว่าตอนนั้นทำงานแล้ว กำลังเฟื่อง เพิ่งจะมีรถ ทั้งที่เริ่มทำงานได้ไม่กี่ปี ตอนนั้นอยู่ในช่วงบอลโลกฟีเวอร์ ปีอะไรจำไม่ได้รู้แต่ว่า ปีนั้นจัดที่อิตาลี ขณะนั้นถนนสุวินทวงศ์กำลังก่อสร้าง รถวิ่งผ่านออกไปถึงบางปะกงได้แล้วแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ตอนนั้นแต่งตัวเนี๊ยบใส่สูทผูกเน็กไท ใส่สแล็คเป็นหนุ่มออฟฟิต เรื่องพระเพลาลงแยะเพราะมีกิเลสอื่นมาบังตามากมายไปหมด ค่านิยมในการคล้องพระหลายองค์หมดไป ในคอจึงมีเพียงสร้อยทองเคเส้นเล็ก ๆ ตามสมัยนิยม และพระแก้วมรกต แบบพระฉีดลอยองค์ทรงเครื่องฤดูร้อน ลงสีเขียวบนผิวพระแบบที่พบเห็นตามร้านพระนับร้อยในท่าพระจันทร์หรือร้านทองทั่วไป ขนาดองค์เล็ก ๆ ตามขนาดของสร้อยพร้อมเลี่ยมจับขอบทองอยู่หนึ่งองค์
อันพระแก้วองค์นี้ Jorawis จำได้ว่าได้รับจากมือของหลวงพ่อขอม แห่งวัดไผ่โรงวัว เมื่อครั้งนั่งเรือไปเที่ยวที่วัดไผ่โรงวัว (ในช่วงนั้นจะไปเที่ยววัดไผ่โรงวัว จะต้องนั่งเรือไปแต่เช้าจาก ท่าช้าง โดยผ่านประตูน้ำ และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเช่น แวะดูนกปากห่าง ที่วัดไผ่ล้อม ในจังหวัดปทุมธานี ) โดยก่อนหน้าที่จะไปกราบหลวงพ่อขอมนั้น Jorawis ไม่ได้ห้อยพระ แต่ห้อยจี้ขนาดเล็กรูปบ้องกัญชาขนาดเล็กทำด้วยเงิน ที่มีเพื่อนคนนึงซื้อมาฝาก ไอ้เจ้าจี้บ้องกัญชาเจ้ากรรมดันแลบออกนอกคอเสื้อ ตอนที่ไปก้มลงกราบหลวงพ่อท่านจึงถามด้วยความเมตตาว่า
“เอ็งคล้องพระอะไรหรือลูก ไหนขอหลวงพ่อดูหน่อยซิ???”
เวรกรรมจริง ๆ ตอนนั้นยังเด็ก ๆ ไปเที่ยวกับครอบครัว หันมามองตาผู้ใหญ่แล้วไม่กล้าขัด จึงจำใจถอดสร้อยพร้อมจี้อันนั้น ส่งให้หลวงพ่อท่านไป
“ มันเป็นอะไรหรือลูก ไอ้ที่ห้อยอยู่เนี่ย หน้าตาพิกล?”
เมื่อโดนถามหนัก ๆ เข้า ก็ต้องกราบเรียนท่านไปตามตรง ท่านจึงบอกว่า
“อย่าไปคล้องคอเลยลูก มันเป็นของไม่ดี??”
พอพูดจบเท่านั้นท่านก็ยึดไว้แล้วพูดต่อว่า
“เอาแบบนี้ไปคล้องดีกว่า หลวงพ่อให้ แล้วขอแลกสร้อยเก่าที่ลูกคล้องมาก็แล้วกัน”
ว่าแล้วท่านก็ส่งพระองค์เล็ก ๆ เลี่ยมพลาสติกไว้ มีสร้อยคอ สเตนเลส ขนาดเล็ก ๆ มาให้พร้อมกันเสร็จสรรพ
เสียดายของก็เสียดาย ของรักของหวงซะด้วยไอ้ครั้นจะไม่ยอมแลก ก็เกรงใจผู้ใหญ่ที่ตั้งตนเป็นกองเชียร์อยู่รอบข้างก็เลยต้องยอมแลกไปในที่สุด
และพระองค์นี้เมื่อกลับมาจากวัดจึงนำไปเลี่ยมทองจับขอบไว้ เก็บลืมไปนานหลายปี เมื่อถึงยุคใส่สร้อยทองเส้นเล็ก สั้นติดคอจึงนำมาใส่ด้วยขนาดที่เล็ก และเป็นพระเลี่ยมทองอยู่แล้วจึงเข้าชุดกันพอดี
วันที่จะเกิดเรื่อง Jorawis มีธุระด่วนต้องขับรถกระบะไปตามถนนสุวินทวงศ์ กลางดึก ในช่วงเวลานั้นถนนเส้นที่ว่านี้ตลอดสานมีหลายช่วงหลายตอนที่มีการซ่อมสร้างผิวจราจรต้องขับเปลี่ยนเลนไปมาตลอด ก่อนเข้าช่วงโค้งใหญ่สุดท้ายก่อนเข้าเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา มีฝนตกพรำๆ ทางข้างหน้ามีดสนิท ไม่มีรถ ส่วนด้านหลังมีรถบรรทุกแบบพ่วงขับตามกันมา ทิ้งระยะห่างพอสมควร เนื่องจากผิวทางด้านซ้ายค่อนข้างขรุขระ จึงเปลี่ยนเลนมาขับในช่องทางด้านขวาแทน ช่วงนั้นเองเป็นจังหวะที่รถพ่วงด้านหลังกำลังจะเร่งแซง เมื่อJorawis เปลี่ยนเลนมาทางขวา จึงต้องแซงทางด้านซ้ายแทน แต่ทางข้างหน้ากำลังจะเข้าทางโค้งด้านขวา เมื่อรถพ่วงเร่งแซงแล้วจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนมาทางขวาทันที เมื่อรถเปลี่ยนเลนกะทันหันทำให้ช่วงท้ายของรถตัวพ่วงฟาดเข้ากับ ประตูด้านข้างคนขับของรถกระบะที่Jorawis ขับอยู่ เสียงดังสนั่นจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ แรงปะทะทำให้รถกระบะเสียหลัก พลิกคว่ำหลายสิบตลบไปอยู่ในถนนฝั่งตรงข้าม ที่มีคูร่องน้ำกั้นอยู่ตรงกลาง ประตูด้านคนขับฉีกขาดออกด้วยแรงอัดจากแรงปะทะของประตูฝั่งตรงข้าม ตัวของJorawis ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยจึงกระเด็นออกจากในรถพร้อมกันกับประตู กระเด็นไปคนละทาง ห่างจากจุดที่รถหยุดเกือบ 70 เมตร เมื่อหายจุกJorawis จึงลุกมาสำรวจบาดแผลตามร่างกายของตัวเอง น่าแปลกที่มีแค่เพียงบาดแผลเหนือหัวคิ้วด้านขวาเป็นรอยเล็กๆ ความยาวไม่ถึง 2 ซ.ม และแผลฉีกขาดไม่ใหญ่นัก จากเศษโลหะมีคมของประตูที่ฉีกขาดออกมาจากแรงปะทะ ที่บริเวณเหนือเข่าด้านซ้าย และที่เหลือเชื่อกว่านั้นก็คือ !!!! สร้อยทองเคเส้นบางๆ ขนาดน้ำหนักไม่เกิน 3 กรัม และพระแก้วเลี่ยมจับขอบทององค์นั้น ยังอยู่เป็นปกติในคอเหมือนเดิม หลังจากนั้นอีกไม่นานนัก ก็มีรถกู้ภัยของมูลนิธิร่มไทร เจ้าของพื้นที่ก็มาถึงก่อนเพื่อน และมีอีก มูลนิธิตามมาติด ๆ ส่วนไอ้เจ้ารถพ่วงคู่กรณีนั้น ไม่ต้องพูดถึง ห้อตะบึงหนีไปตามระเบียบ ( ไม่รู้ว่าใคร??? เกิดอุบัติเหตุทีไรก็หนีไปตามตาคนนี้ทุกที) เมื่อเห็นสภาพรถที่เหมือนกระดาษโดนขยำจนไม่เหลือสภาพรถในที่เกิดเหตุแล้วต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“คนขับไม่น่ารอด สงสัยต้องเดินตามเก็บชิ้นส่วนกันอีกแล้ว”
ทั้ง ๆ ที่คนขับก็ยืนหมดสภาพอยู่ข้าง ๆ นั่นเอง!!!!
ที่ว่าสภาพรถเละไม่ต่างจากกระดาษที่โดนขยำนั้น ไม่เกินความจริงไปจนโอเวอร์หรอกจ้า เพราะหลังจากนั้น Jorawis ต้องไปเคลียร์เรื่องรถกับบริษัทประกัน ตามกรมธรรม์คุ้มครอง เป็นประกันชั้น1 ซ่อมห้าง บริษัทตีมูลค่าการซ่อมรถที่เละเทะขนาดเครื่องยนต์ทะลักออกมานอกฝากระโปรงถึง 250,000 บาท(ราคาเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว) เลยกัดฟันขายคืนซากรถไปแค่ 75,000 บาท
น่าเสียดายว่าต่อมา อีก 2-3 ปีหลังจากเกิดอุบัติครั้งนั้น พระแก้วเลี่ยมทององค์นั้น ได้หายไปไม่แน่ใจว่าตกหล่นหรือโดนขโมยไป จนบัดนี้ยังหาไม่พบเลยจ้า
|
|