ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 16910
ตอบกลับ: 51
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ตำนานเหล็กไหล

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Marine เมื่อ 2015-8-16 19:05

ตำนานเหล็กไหล


เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุที่มีความลี้ลับพิสดาร แปลกประหลาดมหัศจรรย์แตกต่างไปจากโลหะธาตุทั้งปวง จึงได้ถูกจัดอยู่ในฐานะ "ธาตุกายสิทธิ์" ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามวิบากของกฎแห่งกรรม ที่บันดาลให้วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิ ในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์มี อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั่วไป

ดังนั้น "เหล็กไหล" จึงถือเสมือนหนึ่งเป็น "สัตว์โลกที่มีชีวิต" เผ่าพันธุ์หนึ่งในโลก เพราะเหล็กไหลมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย สามารถเคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคน้ำผึ้งเป็นอาหาร มีการขับถ่ายออกมาได้ ซึ่งเรียกกันว่า "ขี้เหล็กไหล" นอกจากนี้ยังสามารถเสพกามได้ แต่เป็นการเสพกามกันทางกระแสจิตวิญญาณ เพราะเพียงแต่มีความรู้สึกใคร่ในกามารมณ์ ก็สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ในทันที โดยไม่ ต้องมีการถูกต้องสัมผัสกัน และชอบพักผ่อนหลับนอนในสถานที่สงบตามถ้ำ

เหล็กไหลจึงจัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเผ่าพันธุ์หนึ่งของโลก จัดอยู่ในจำพวกเทพ แต่เป็นเทพที่ มาชดใช้วิบากกรรมในโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงทำให้มีพวก ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ นาค คอยให้ความอารักขาอีกทีหนึ่ง เหล็กไหลจึงมีถิ่นกำเนิด และบารมีที่แตกต่างกันไป ตามเผ่าพันธุ์และวรรณะ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ และสมมุติเรียกหาเพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น เช่น



2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-10 22:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ข้อมูลจากForward Mail
เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม

          เหล็กไหล...ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา

            ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรง รวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิดได้อย่างน่าอัศจรรย์นั่นเอง

          คำว่า "ธาตุกายสิทธิ์" นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซึมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้า แล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า "เหล็กไหล" จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้

          1. ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น

          2. ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาเป็นหินสีต่างๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี

          3. ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่างๆ ไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่างๆ จากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช

          4. ปรอท หรือธาตุอื่นๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่างๆ ได้

          ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุกายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า "เหล็กไหล" ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่างๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้

          ดังนั้น "เหล็กไหล" จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่... เกิดขึ้นมาได้อย่างไร... เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่...? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มีประสบการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน "เหล็กไหล" ที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-10 22:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



สีสันและคุณประโยชน์  


          1. สีเงินยวง เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับ อรูปฌาณ รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมในชั้นสูง พบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม เช่นประเทศทิเบต จีน แถบภาคเหนือของไทย ลาว ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล

          เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด สมัยโบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะอยู่ในความครอบครองของนักบวชต่างๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา

          2. สีเขียวปีกแมลงทับ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้ที่มีบุญบารมี และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมีบริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม ที่บังเอิญผ่านเข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจของเทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่ บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย

         ดีเด่นในทุกๆ ทาง ไม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้ เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง

          3. สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธือำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป

          ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ

          4. สีเขียวอมดำ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหม เป็นอริยะธรรมในระดับสูง ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันต์ธาตุที่สำคัญไว้ จึงมักจะปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่เป็นสีแสงคุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน

          เด่นทางด้านอิทธิ์ฤทธิ์ เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตรสมาธิ หรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง

          5. สีชมพู เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็ไหลที่มี บารมีธรรมในระดับสูงรองลงมาจาก อรูปฌาณ พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจธรรมเท่านั้น

         ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่อธิษฐานไว้ โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-10 22:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
6. สีเหลือง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ ที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มักแฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูงๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิ์ฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้มากมาย เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

          เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่างๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษาอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิ์ฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใดๆ เว้นแต่ขอชมบารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตรต่างๆ ในขณะนั่งสมาธิ

         7. สีฟ้าอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็กไหลชนิดนี้ จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมในระดับปานกลาง จนถึงระดับสูงขึ้นไป

          มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูติผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน

          8. สีน้ำตาลอมแดง เหล็กไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง

          มีฤทธิ์อำนาจในทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูติผีปีศาจได้

         9. สีดำเหมือนนิลเหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือยังมีความ โลภ โกรธ หลง ติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่นๆ

          มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาดกันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน

         10. เจ็ดสีประกายรุ้ง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ อริยะพรหมผู้รักษาเหล็กไหล ที่ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมี อำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรมตามวาสนาเท่านั้น

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-11 21:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิธีการหาเหล็กไหล

การที่จะรู้ได้ว่าสถานที่แห่งใด ถ้ำหรือภูเขาใดเป็นสถานที่ ที่มีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลอยู่นั้น นอกจากจะสามารถสังเกตได้ จากลักษณะของถ้ำตามที่ได้กล่าวถึงในข้างต้นไปแล้วนั้น ยังมีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือถ้ำที่มีเหล็กไหลอยู่นั้นจะพบว่ามี ขุยดินหรือขุยเหล็กอันเกิดจากการเคลื่อนตัวของเหล็กไหลตก อยู่ตามบริเวณพื้นถ้ำโดยรอบ ขุยดินหรือขุยเหล็กที่ว่านี้จะมี ลักษณะเป็นเม็ดกลมมนสีดำๆ มีเนื้อคล้ายโลหะหรือมีลักษณะ เป็นขุยผงสีดำๆ ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ขี้ดิบเหล็กไหล" ซึ่งขี้ดิบเหล็กไหลยังถือว่าเป็นของขลังอีกอย่างหนึ่งด้วย

หากขี้ดิบเหล็กไหลยังอยู่ในสภาพใหม่ๆ แสดงว่าตัวเหล็กไหล ยังคงอยู่ในบริเวณนั้น แต่ถ้าสังเกตเห็นขี้ดิบเหล็กไหลมีลักษณะเก่า แสดงว่าบริเวณนั้นเคยมีเหล็กไหลมาอาศัยหลบซ่อนตัวอยู่แต่ว่า ได้ย้ายจากไปแล้ว อย่าได้เสียเวลาเฝ้าสังเกตขี้ดิบเหล็กไหลเก่า เพราะเหล็กไหลน้ำหนึ่ง(ประเภทเหล็กไหลปีกแมลงทับ) เมื่อย้ายที่อยู่แล้วจะไม่ย้อนกลับมาอยู่ในสถานที่เดิมอีก

ขี้ดิบเหล็กไหลที่กองอยู่บริเวณพื้นถ้ำนั้นสันนิษฐานได้ว่าเกิด ขึ้นจากการเคลื่อนตัวของเหล็กไหลขณะที่เข้า-ออกจากรัง แล้ว รังสีจากเหล็กไหลไปทำปฏิกิริยากับหินในบริเวณนั้นจนเกิดเป็นขุย เหล็กไหลหรือขี้เหล็กไหลร่วงลงมาแล้วทับถมกันเป็นเวลานาน. ดังนั้นบริเวณที่พบกองขี้ดิบเหล็กไหลตกอยู่จึงค่อนข้างมีโอกาส ที่จะพบว่ามีเหล็กไหลอยู่

ในการจะหาเหล็กไหลชั้นดีหรือเหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่ง ได้จะต้องสังเกตขี้ดิบเหล็กไหลให้เป็นเสียก่อน โดยต้องสามารถ แยกให้ออกว่าเป็นขี้ดิบของเหล็กไหลประเภทไหน และเป็นขี้ดิบ เหล็กไหลใหม่หรือเก่า เพราะถ้าเป็นขี้ดิบเหล็กไหลเก่าแล้วหากทำ พิธีเรียกไปก็เสียเวลาเปล่า เนื่องจากตัวเหล็กไหลย่อมไม่ได้อยู่ใน บริเวณนั้นแล้ว ในการเรียกเหล็กไหลจึงต้องสังเกตขี้ดิบเหล็กไหล ให้เป็นเสียก่อน โดยเลือกเอาเฉพาะขี้ดิบเหล็กไหลที่ยังใหม่อยู่ และจะต้องเป็นขี้ดิบเหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่งเท่านั้น



การหาเหล็กไหลอีกวิธีหนึ่งสามารถทำได้โดยการสังเกตว่า ในวันที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนวันเพ็ญจะมีเหล็กไหลบางชนิดออกมาจากรังเพื่ออาบแสงจันทร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักเป็นบริเวณที่ราบ เชิงเขาที่มีลำธารไหลผ่านและบริเวณนั้นจะต้องมีลักษณะเป็นหินกรวดก้อนเล็กๆ คล้ายเม็ดทราย เมื่อดวงจันทร์เดินทางเข้าใกล้โลก มากที่สุดแร่เหล็กไหลจะผุดตัวเองขึ้นมาเล่นแสงจันทร์เหมือนหอยหลอดที่ผุดขึ้นมาจากพื้นทราย และเหล็กไหลที่มีอานุภาพมาก ๆ จะเปล่งแสงเป็นดวงไฟออกมาเล่นกับแสงจันทร์ ดังนั้นในบริเวณที่มีแสงดังกล่าวจึงอาจจะพบรังเหล็กไหลอันเป็นเหล็กไหลชั้นรองได้ นักเล่นแร่แปรธาตุในสมัยโบราณมักนิยมหาเหล็กไหลตามธรรมชาติ กันด้วยวิธีการนี้ เพราะไม่ต้องมีพิธีกรรมให้ยุ่งยาก เพียงแค่เฝ้า คอยสังเกตให้ถูกที่และถูกเวลาเท่านั้นก็จะสามารถได้ธาตุกายสิทธิ์ เหล็กไหลมาแต่โดยง่าย

ผู้ที่มีวิชาและรู้เคล็ดลับของธรรมชาติจึงมักจะไปคอยดักเก็บ เหล็กไหลประเภทนี้ ในต่างประเทศก็มีปรากฏการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ในหลายแห่งทั่วโลก ดังที่ได้เคยแพร่ภาพในสารคดีของต่างประเทศ ที่ช่างภาพได้ไปเฝ้าบันทึกภาพแร่เหล็กไหลผุดขึ้นจากดินในคืนวัน พระจันทร์เต็มดวงเช่นกัน แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึง ปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ว่าเกิดจากอำนาจแรงดึงดูดของดวงจันทร์ ที่มีผลต่อโลกจึงส่งแรงดึงดูดนั้นไปยังแร่ธาตุบางชนิดที่ฝังตัวอยู่ใต้ ผิวดินและเป็นผลให้แร่ใต้ดินผุดตัวขึ้นมาบนดินได้

ผู้ที่รู้แหล่งของแร่เหล็กไหลประเภทนี้มักไปดักรอเก็บ เหล็กไหลที่ผุดตัวขึ้นมาจากดิน ว่ากันว่าเหล็กไหลประเภทนี้ มีอานุภาพพอสมควร ถึงแม้จะไม่ใช่เหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่ง ที่หายากที่สุด แต่ก็จัดได้ว่าเป็นสายพันธุ์ของเหล็กไหลอันเป็น วัตถุธาตุที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกธาตุ เพราะการที่เหล็กไหลได้ผุดตัวขึ้นมาเองนี้ก็ถึอได้ว่าเป็นการแสดงอานุภาพอันน่าอัศจรรย์ จนอาจกล่าวได้ว่าเหล็กไหลที่ผุดตัวขึ้นมาจากพื้นดินเมื่อได้กระทบกับแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญย่อมถือเป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง

ที่มา http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_346.html


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-11 21:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็น ศิริมงคลพระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้

พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ

สะกะพะจะ ปูชาจะ บูชาท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพ

อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา

เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า

สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ

นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ

พระคาถาอาคมต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน นับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยาก ไม่มีตำราจะให้ศึกษา เพราะคนโบราณจะหวงวิชา จะให้วิชาที่ตนรู้ ทำได้ ตายไปพร้อมกับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้น คนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกัน บางครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมด เพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน

เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากการอธิษฐานจิต ของผู้ที่มีคุณธรรม ที่มีความประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหล เพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนา โดยมิได้ใช้เวทมนต์วิชาการต่าง ๆ ไปบีบคับหรือแย่งชิงเอา แต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติ และเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน

เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวา นาคนาคา คนธรรพ์ ยักษ์ ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ จะนิมิตบอกให้รู้ เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษา เพราะผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อน จึงมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมาก จึงสามารถเป็นเจ้าของเหล็กไหลนี้ ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชาหรือจะด้วยแรงอธิษฐาน หรือนิมิตบอกก็ตาม

แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากเทพพรหมเทวา ผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรมจนเข้าสู่อริยมรรค หรือ พ้นจากวิบากกรรมบางอย่าง จะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่ โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอาไว้ในถ้ำหรือสถานที่ลึกลับ ให้เทพเทวาหรือยักษ์ คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษา จนกว่าจะพบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธี หนึ่งดังนี้

1.เหล็กไหล ที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถ้ำซอกผา มีลักษณะเป็นแผ่น ๆ เป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่าง ๆ ฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่ลี้ลับ รอเวลาผู้มีวาสนาเอาไปทำประโยชน์ เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีก แต่จะถูกพรางตาจากบุคคลผู้ไร้วาสนา หากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้อง ก็จะมีฤทธิ์อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น 1 ได้เหมือนกัน

2.องค์เหล็กไหล สำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถ้ำลึกลับ เทพผู้รักษาจะมอบให้ ถ้าต้องการ


ที่มา : [size=13.1999998092651px]http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_7063.html
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-11 21:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เหล็กไหลรักษาโรค

เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์เป็นหนึ่งในวัตถุที่มีพลังงานพิเศษที่เทพเจ้าได้มอบไว้ให้โลกมนุษย์ เนื่องจากภายในเหล็กไหลมีเจตจำนงบางประการของเทพเจ้าซ่อนอยู่ ซึ่งผู้รู้ในยุคต่อๆมาได้ไขปริศนาเกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลว่าเป็นวัตถุที่สามารถช่วยโลกให้พ้นจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นได้ แต่การนำเหล็กไหลมาใช้ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน เพราะวิธีการใช้เหล็กไหลนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตของผู้ครอบครองเหล็กไหลโดยตรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าผู้ที่สามารถนำเอาพลังงานพิเศษของเหล็กไหลมาใช้ได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิจิตมาเป็นอย่างดีแล้วนั้นเอง

"พลังงานจากเหล็กไหลสามารถนำมาใช้ในเรื่องอะไรได้บ้าง?" คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจมากเหล็กไหลมีพลังงานสูงส่งภายในตัว และสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกมากมาย และดูเหมือนว่าจะไม่จำกัดด้วยซ้ำ อานุภาพจากเหล็กไหลที่มากมายนี้ สามารถนำมาใช้ได้หลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถพบเห็นมาก ที่สุดคือการนำพลังอำนาจของเหล็กไหลในทางการบำบัดรักษาโรค


ที่มา [size=13.1999998092651px]http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_2932.html
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-11 21:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
น้ำมนต์เหล็กไหลรักษาโรค

น้ำมนต์เหล็กไหล
น้ำมนต์เหล็กไหลคือน้ำมนต์ศักดสิทธิ์ที่เกิดจากการแผ่ พลังงานจากเหล็กไหลลงสู่ธาตุน้ำโดยการนำเหล็กไหลซึ่งอาจเป็น องค์เหล็กไหลชั้นเยี่ยมหรือจะเป็นรังเหล็กไหลก็ได้ลงไปแช่ในน้ำ โดยทั่วไปจะแช่ทิ้งไว้เฉย ๆ เป็นเวลาตั้งแต่ 20นาทีขึ้นไป เพราะตาม ธรรมชาติของเหล็กไหลนั้นย่อมแผ่รัศมีของตัวเอง และเมื่อเหล็กไหล ได้แผ่รังสีลงในน้ำก็จะทำให้น้ำนั้นเริ่มมีประจุพลังงานของเหล็กไหล วิ่งไปมาอยู่ภายใน ประจุพลังงานของเหล็กไหลทีกระจายลงน้ำไม่เป็นอันตราย ต่อคนและสัตว์

ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้น้ำธรรมดาๆเป็นนํ้าอมฤตที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บป่วย หรือทำให้ร่างกายแข็งแรงทนทานต่อเชื้อโรคในอากาศ และช่วยในการปรับธาตุ ให้ร่างกายสมดุลกับอากาศรอบๆตัวด้วย แต่ลำพังการนำเอาเหล็กไหลมาแช่น้ำไว้โดยให้เหล็กไหล คลายพลังตามธรรมชาติของตนเองออกมานั้น พลังงานที่ได้อาจน้อย เกินไปหรือไม่ก็ต้องใช้เวลานานดังนั้นในกรณีที่มีผู้เจ็บป่วยหนักหรือต้องการพลังงานที่มากกว่านั้นเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้นในเวลา อันสั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาลัยอำนาจพลังงานทางจิตจากตัว มนุษย์ด้วยวิธีการเพ่งกสิณในขั้นตอนที่นำเอาเหล็กไหลลงไปแช่ในน้ำ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ได้น้ำมนต์เหล็กไหลที่มีอานุภาพมากขึ้นซึ่งผู้ที่จะเพ่ง หรือทำวิธีการนี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่เคยฝึกกสิณมาบ้างแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กสิณไฟ" เพราะกสิณไฟเป็นวิชาที่สามารถเพ่งเหล็กไหลให้ พลังงานภายในเหล็กไหลเกิดการแตกตัวได้

ก่อนที่จะเพ่งเหล็กไหลด้วยการใช้กสิณไฟจะต้องมีการ บอกกล่าวต่อครูบาอาจารย์ที่เป็นพระฤาษีด้วย เพราะการแตกตัวของพลังงานภายในเหล็กไหลที่เกิดจากการใช้กสิณไฟนั้นสามารถเทียบได้กับการแตกตัวของพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งผู้ที่ทำพิธีอาจได้ รับอันตรายอันเกิดจากกระแสพลังงานของเหล็กไหลที่แผ่ออกมาอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขอความคุ้มครองจากจิตวิญญาณที่มีอานุภาพสูงส่งกว่าและสามารถควบคุมเหล็กไหลได้

พลังงานภายในตัวเหล็กไหลจะแตกตัวแบบทวีคูณ โดยพลังงานเหล่านั้นจะเริ่มแตกตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่และเพิ่มทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในจุดนี้ผู้ที่ทำพิธีจะสามารถส่งโทรจิตและรับรู้ถึงการแตกตัวของอญูธาตุเหล็กไหลได้เฉพาะตัว แต่ผู้ทำพิธีก็สามารถ ทำให้ผู้อื่นรับรู้เป็นรูปธรรมได้ด้วยการที่ผู้ทำพิธีจะเริ่มหยดน้ำตาเทียนลงบนผิวน้ำ โดยสามารถสังเกตได้จากน้ำตาเทียนทุกหยดที่ตกลงไปบนแผ่นน้ำจะแตกตัวออกเป็นแฉกคล้ายรูปดอกพิกุลอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าจากเดิมภายในน้ำที่เรามองไม่เห็นว่าแตกต่าง อะไรจากน้ำเปล่าธรรมดาทั่วไปนั้นตอนนี้กลับเต็มไปด้วยพลังงานลี้ลับบางอย่างที่มีอานุภาพแห่งการบำบัดขั้นสูง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถรักษา โรคได้หลายชนิด เช่นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง เบาหวานไต แต่ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับศรัทธาของผู้ที่มาขอรับน้ำมนต์เหล็กไหลด้วย

น้ำมนต์เหล็กไหลเกิดขึ้นจากพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นการดื่มน้ำมนต์เหล็กไหลจึงต้องใช้ความศรัทธาของผู้ดื่มมาประกอบ จึงจะบังเกิดผลได้อย่างเต็มที่นอกจากนี้การทำบุญแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมจะยิ่งส่งผลให้ โรคกรรมต่างๆทุเลาลงและหายได้ในที่สุด


ที่มา [size=13.1999998092651px]http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_2767.html
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้