ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนานพระเกจิอาจารย์แห่งแดนสยาม
»
หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 4500
ตอบกลับ: 5
หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี
[คัดลอกลิงก์]
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2016-8-10 17:41
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
http://board.palungjit.org/f127/ ... 2-1-8-a-292037.html
https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%94%E0%B8%B9&tbm=isch&imgil=0spkRMW1UxEhKM%253A%253BgL_q9rdR060PtM%253Bhttp%25253A%25252F%25252Fwww.dhammajak.net%25252Fforums%25252Fviewtopic.php%25253Ft%2525253D45936&source=iu&pf=m&fir=0spkRMW1UxEhKM%253A%252CgL_q9rdR060PtM%252C_&usg=__DpM_GsRfM23gjT7UBy9yYonsoSQ%3D&biw=1366&bih=667&ved=0ahUKEwin4fK61LbOAhVFuY8KHS-MAS0QyjcIKw&ei=oASrV6eRKcXyvgSvmIboAg#imgrc=0spkRMW1UxEhKM%3A
นามเดิมชื่อ
พิศ สิงหพันธุ์(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพิศดู) ชื่อเล่นชื่อ โบ๊ะ
เกิด
เมื่อ วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2466 ปีกุน ที่ ต.เกาะปอ อ.เกาะกง จ.ปัจจันตคีรีเขต(ปัจจุบันคือ จ.กำปอด) ประเทศกัมพูชา
โยมบิดา
ชื่อ อี้
โยมมารดา
ชื่อ เพี้ยน
มีพี่น้องร่วมสายโลหิตด้วยกัน รวม 3 คน หลวงปู่เป็นพี่คนโต
อุปนิสัย เป็นคนเรียบร้อย รักสันโดษ เอาจริงเอาจัง เฉลียวฉลาดและมีความจำดีเยี่ยม
บรรพชา
พออายุได้ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเกาะปอ อยู่จำพรรษาได้เพียง 1 พรรษา พออายุได้ 16 ปีก็ได้อพยพหนีภัยสงครามเข้ามา อยู่ที่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ประเทศไทย พำนักอยู่ ณ วัดลำดวน ต่อมาจึงได้เดินทางมายัง จ.จันทบุรี และได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับท่านพ่อลี ธมฺมธโร ยอดขุนพลแห่งกองทัพธรรมสายป่า ท่านพ่อลีเห็นแววว่าเณรพิศนี้ต่อไปจะได้บวชยาว และจะได้ดีในวันข้างหน้าจึงรับไว้ในการดูแลและให้ช่วยงานอยู่วัดป่าคลองกุ้ง อ.เมือง จ.จันทบุรี จวบจนอายุได้ 21 ปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
อุปสมบท
พออายุได้ 21 ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทสีมา วัดจันทนาราม ต.จันทนิมิตร อ.เมือง จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2487 เวลา 15.15 น. โดยมีพระอมรโมลี เป็นพระอุปปัชฌาย์ และมีท่านพ่อลี ธมฺมธโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
สังกัดธรรมยุตินิกาย
ได้รับฉายาว่า
ธมฺมจารี
แปลว่า
ผู้ประพฤติธรรม
ได้อยู่จำพรรษาที่วัดป่าคลองกุ้ง และได้ดูแลอุปัฏฐากรับใช้ท่านพ่อลีด้วยดี รวมทั้งได้เรียนนักธรรมบาลี จนสอบได้นักธรรมชั้นโท หลวงปู่ท่านเป็นคนที่มีปัญญามากไม่ว่าจะเรียนรู้อะไรก็สามารถสำเร็จและเจนจบได้อย่างรวดเร็ว
แม้แต่การท่องจำบทพระปาฏิโมกข์ก็สามารถท่องได้จบภายใน 15 วัน
โดยที่ไม่ต้องเปิดทวนตำราเลย จากนั้นจึงเข้าสู่เส้นทางศึกษาการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง โดยรับเอาพระกัมมัฏฐานการปฏิบัติภาวนา พุทโธ ตามแบบสายพระป่าอาจารย์มั่น หลวงปู่ท่านบอกว่า เพียงแค่ท่านพ่อลีสอนการภาวนา ท่านก็ทำตามได้ไม่นานจิตก็รวมเข้าสู่ฐานได้อย่างรวดเร็ว บังเกิดความสว่างไสวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจเป็นที่สุด จากนั้นท่านก็เอาดีแต่ทางปฏิบัติเพียงอย่างเดียว และได้เที่ยวเดินตามธุดงค์ไปกับท่านพ่อลีและคณะ ไปกันทั่ว บุกป่าฝ่าดงไปตามป่าเขาลำเนาไพร จนถึงประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการขัดเกลากิเลส และได้พจญภัยมาทุกรูปแบบ ท่านเป็นพระที่ท่านพ่อลีไว้ใจ และโปรดปรานมากเป็นพิเศษ ถึงกับขนาดบอกและฝากฝังกับลูกศิษย์ต่างๆเอาไว้เลยว่า ต่อไปภายหน้าถ้าเกิดเรา(ท่านพ่อลี)ไม่อยู่แล้ว ให้พวกเธอไปหาท่านพิศดูแทนนะ ต่อไปท่านจะแทนเราได้
พอพรรษาได้ 10 พรรษาก็ได้ออกธุดงค์เพียงรูปเดียวไปแถบภาคเหนือเพราะได้มีเสียงเล่าลือกันว่าที่นั่นมีของดี ด้วยความอยากรู้ท่านก็อยากพิสูจน์ด้วยตาตนเอง และทางภาคเหนือนั้นเป็นที่ๆนักปฏิบัติรุ่นเก่าๆชอบไปภาวนากัน ท่านได้จาริกไปถึง จ.เชียงใหม่ อยู่ที่นั่นได้ 1 ปีเต็มๆ โดยจำพรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้มีโอกาสเข้ากราบครูบาอาจารย์ต่างๆหลายองค์ อาทิหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมเป็นต้น หลวงปู่ท่านเล่าว่า อยู่ที่นั่นก็เที่ยวจาริกไปเรื่อยๆ และก็ได้พบของดีอย่างที่เขาว่าจริงๆ แต่หลวงปู่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไร
ต่อมาได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดทรายงาม ต.หนองบัว อ.เมือง จ.จันทบุรี หลวงปู่อยู่ที่นั่นได้เพียง 5 พรรษาช่วงนั้นท่านเร่งทำความเพียรอย่างหนักเพื่อหาหนทางแห่งการดับทุกข์ด้วยตนเอง จวบจนบรรลุในสิ่งที่ตั้งความปรารถนาไว้
หลวงปู่ท่านมีจริตเป็นพระปัจเจกภูมิ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติท่านมักไม่ได้ไปศึกษาความรู้จากใคร มีแต่ผึกฝนเรียนรู้และหาคำตอบด้วยตัวท่านเองเป็นหลัก
เคยถามท่านว่า หลวงปู่มีอาจารย์ที่สอนการปฏิบัติคือใครบ้าง ท่านก็ตอบมาคำเดียวสั้นๆว่า มีท่านพ่อลีองค์เดียว
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2016-8-10 17:42
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จากนั้นท่านก็ยังปลีกตัวออกธุดงค์เที่ยวหาความวิเวก และดื่มด่ำในรสอมตะธรรม หาความสงบสันโดษตามจริตวิสัยที่มีมาแต่เดิมอย่างมิรู้สิ้น และโปรดสัตว์เรื่อยไป ไม่ค่อยได้อยู่เป็นที่เป็นทาง ส่วนใหญ่ท่านชอบหาความสงบวิเวกแถวๆเทือกเขาสระบาปซึ่งเป็นเทือกเขาใหญ่ สมัยก่อนเป็นป่าชัฏ ดงดิบ เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์น้อยใหญ่ แมกไม้นาๆพันธ์ รวมทั้งไข้ป่า และสาง สมิง วิญญาณที่ชาวบ้านชาวป่าต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง แต่องค์หลวงปู่ท่านก็สามารถฟันฝ่า และอาศัยอยู่ที่นั่นได้เป็นปกติ และส่วนใหญ่ท่านจะออกธุดงค์เพียงองค์เดียว จะมีบ้างในบางครั้งที่มีลูกศิษย์อาสาคอยเดินติดตามรับใช้ อาหารส่วนใหญ่ก็เป็นพวกพลไม้ป่าที่ลูกศิษย์เก็บหามาถวาย แต่ในบางครั้งก็หาไม่ได้ก็ต้องยอมอดกัน แต่ท่านก็อยู่ได้โดยไม่มีความวิตกเดือดร้อน แต่ก็มีหลายครั้ง ที่เป็นเรื่องแปลกๆ คือ ในบางวันที่อยู่กันกลางป่ากลางเขา ไม่มีบ้านคน บางครั้งหลวงปู่จะออกไปบิณฑบาต องค์เดียว กลับมาพร้อมกับข้าวสุก 2-3 ปั้น บางครั้งท่านก็ให้ลูกศิษย์เดินตามเข้าไปบิณฑบาตด้วย เดินกันไปถึงตีนเขา ท่านก็บอกว่ารอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวเรามา ท่านก็เดินขึ้นเขาไปองค์เดียว ไม่ถึง 10 นาที กลับลงมาพร้อมกับข้าวสุกสีเขียวอ่อนอมเหลือง และมีกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ในบาตร 2-3 ปั้น ซึ่งอาหารดังกล่าวนี้ มักเรียกกันว่า ข้าวเทวดา หรือว่าอาหารทิพย์นั่นเอง เรื่องนี้เคยได้ฟังจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นมาเล่าให้ฟังเองเลย
แม้แต่ที่วัดทรายงาม และที่วัดเทพธารทองเองท่านก็เคยได้รับบิณฑบาตอาหารทิพย์จากชาวลับแล หรือพวกกายทิพย์บ้างหลายครั้ง สังเกตุดูถ้าจะมีพวกชาวบังบดมาถวายอาหาร ท่านก็จะนั่งอยู่หน้ากุฏิแล้วเอาบาตรมาตั้งไว้ สักพักก็จะมีชาวบ้านแต่งตัวแปลกๆ เหมือนกับคนสมัยก่อนย้อนไปสัก 60-70 ปี ตามลักษณะที่ได้รับการบอกเล่ามานั้น ชาวบังบดหรือลับแลที่มา มีลักษณะหน้าตาผิวพรรณดี สะอาดเรียบร้อย ไม่พูดมาก และบริเวณคางจะเป็นเหลี่ยมๆ ได้มาใส่บาตรท่าน เรื่องนี้ก็เคยได้ฟังมาจากพระชุดอุปัฏฐากสมัยเก่าๆเล่าให้ฟังอีกว่า พอพวกเขากลับไป หลวงปู่ท่านก็ฉันแล้วก็ยังแบ่งให้ลูกศิษย์ได้จัดการต่อ ท่านก็จะบอกว่าให้กินซะ นี่แหละข้าวทิพย์ หากินยากนะ... สิ่งที่น่าแปลกก็คือแม้เป็นเพียงข้าวเปล่าๆ แต่พอได้กินเข้าไปกลับมีความอร่อย นุ่มละมุนละมัย และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ รสชาติพอดีๆ อร่อยกว่ากว่าข้าวที่เราได้กินกันเป็นไหนๆ
องค์หลวงปู่ท่านได้ออกได้ธุดงค์จาริกไปเรื่อยๆ สลับกับการจำพรรษาตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดเขาน้อยท่าแฉลบ วัดเขาแก้ว บางพรรษาก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี โดยการนิมนต์ของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พักอยู่ที่นั่นได้ประมาณ 2 ปี จึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดเนินดินแดงต่อไป เนื่องด้วยสถานที่ไม่ค่อยถูกกับจริตวิสัย อีกอย่างถูกหมู่พระด้วยกันดูถูกว่าท่านไม่ค่อยร่วมลงสังฆกรรมด้วยกัน เอาแต่พักอยู่แต่ในห้องในกุฏิ ความนี้รู้ถึงท่านหลวงปู่สมชาย จึงเรียกประชุมลูกศิษย์พร้อมกันเพื่ออบรมณ์ และให้ไปขอขมากรรมต่อองค์หลวงปู่พิศดู ข้อหาปรามาสพระอริยะเจ้า..
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2016-8-10 17:52
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มาอยู่วัดเทพธารทอง
ต่อมาท่านได้รับคำสั่งจากทางคณะสงฆ์ให้ไปอยู่ที่วัดเทพธารทอง หมู่ 6 บ้านคลองตะเคียน ต.พลวง กิ่งอ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เมื่อประมาณปี พ.ศ.2520 ซึ่งขณะนั้นมีสภาพคล้ายวัดร้าง ไม่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา สมัยนั้นมีเพียงศาลาอเนกประสงค์ยกใต้ถุนสูง 1 หลัง และกุฏิโทรมๆอีกเพียง 2-3 หลังเท่านั้น รอบๆบริเวณวัดนั้นยังเป็นป่าชัฏ ยังมีมีไก่ป่าและสัตว์ป่าอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก หลวงปู่ได้อาศัยศาลาอเนกประสงค์ดังกล่าวใช้เป็นกุฏิที่พำนักเรื่อยมา และต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดเทพธารทองอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2522
เดิมทีในวันแรกที่มาพำนักอยู่นั้น ท่านมีความกังวลนิดๆอยู่เรื่องหนึ่งว่า อาหาร และการเป็นอยู่ที่นี่ช่างลำบากแท้เหมือนกับว่าถูกสั่งให้มาทิ้งให้อยู่คนเดียว แต่ก็เพียงการรำพึงรำพันเล่นๆเท่านั้น หาเอามาเป็นอารมณ์ไม่ และในคืนนั้นเองขณะที่ท่านได้เจริญภาวนาอยู่เป็นปกติ ได้ปรากฏมีเทวดา และกายทิพย์มากมาย ที่อาศัยอยู่ ณ บริเวณเขาคิชฌกูฏ มาหาท่าน และขอถวายตัวเป็นลูกศิษย์ดูแล โดยกล่าวว่า เรื่องอาหารบริโภคและการเป็นอยู่ พระคุณเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป เรื่องเหล่านี้ไว้เป็นหน้าที่ของพวกโยมเอง พอรุ่งขึ้นอีกวันก็มีคนคนเข้ามาทำบุญกับองค์หลวงปู่มากมาย และตั้งแต่นั้นมา หลวงปู่ท่านก็ไม่เคยขัดสนขาดแคลนเครื่องบริโภคใดๆเลย
หลวงปู่ท่านอยู่แบบสมถะ เรียบง่ายตามข้อวัตรปฏิบัติขิงพระกรรมฐานสายป่า และไม่ค่อยจุคลุกคลีกับผู้ใด จะมีบ้างก็ตรงที่อาจไม่เป็นที่ชอบใจของพวกพรานป่าระแวกใกล้เคียงนั้น ตรงที่องค์หลวงปู่ท่านชอบคอยตามแก้บ่วงบาศก์และเครื่องมือดักจับสัตว์ต่างๆที่พวกเขาชอบเอามาดักจับเพื่อนำไปขาย พวกเขาจึงคิดหาวิธีกลั่นแกล้งท่านต่างๆนาๆ มีอยู่ทุกรูปแบบ ทั้งเล่ห์ กล มนต์คาคารวมถึงวิชาไสยศาสตร์ต่างๆ แต่ก็ไม่อาจทำอันตรายแก่องค์หลวงปู่ได้เลย มีแต่จะส่งผลย้อนกลับเข้าหาตัวผู้กระทำอย่างรวดเร็วและสาสม โดยที่ท่านมิได้ทำการ ตอบโต้ใดๆเลย บางคนถึงกับเสียชีวิตเลยก็มี ทั้งนี้เป็นเพราะผลกรรมล้วนๆ
เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนรู้จักองค์หลวงปู่
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2542 ได้เกิดฝนตกหนักบริเวณพื้นที่ กิ่งอ.เขาคิชฌกูฏ และอ.ใกล้เคียง ติดต่อกันหลายวัน ทำให้ภูเขาที่มีลักษณะเป็นดินทรายปนหิน พังถล่มลงมา ทั้งท่อนไม้ ต้นไม้ หักโค่งลงมาอย่างถอนรากถอนโคน ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่นี้เพียง 7 วันนั้นเอง องค์หลวงปู่ท่านก็ได้บอกเตือนชาวบ้านที่มาทำบุญที่วัดถึงภัยธรรมชาติอันจะเกิดขึ้นอีกเพียงไม่กี่วัน แต่ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจกับคำเตือนนั้นเท่าที่ควร ท่านก็ได้แต่ปลงธรรมสังเวช แต่ท่านก็รับรองสถานที่ๆปลอดภัยที่สุดให้กับผู้ที่เชื่อในท่านว่า ที่อื่นเราไม่รับรองนะ แต่ที่วัดเทพฯนั้นปลอดภัยแน่นอน พอผ่านไปได้ 7 วันเขาคิชฌกูฏ ทางฝั่งต้นน้ำสายหนึ่ง ก็เกิดพังถล่มลงมา ทำให้ท่อนไม้ท่อนซุงจำนวนหลายร้อยหลายพันท่อน ไหลลงมาตามกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากอย่างบ้าคลั่งด้วยกำลังมหาศาลยากที่สิ่งใดจะต้านทานได้ แต่ด้วยเดชะบุญมหาบารมีธรรมขององค์หลวงปู่พิศดู กระแสน้ำทะเลซุง ที่กำลังโหมลงมาผ่านพื้นที่ของวัดนั้น ปรากฏว่าได้มีท่อนซุงขนาดใหญ่ ที่ไหลลงมาจากภูเขา ผ่านลำธารทองวัดเทพธารทอง กลับเรียงซ้อนกันตามแนวขอบเขตริมฝั่งคลองของวัด ทำให้กระแสน้ำที่ไหลมาได้ปะทะกับท่อนซุงอย่างจัง ทำให้กระแสน้ำนั้นได้หักเหเหลี่ยนทิศทางไม่เข้ามาในวัด จึงเกิดเป็นคลองสายที่สองขึ้นขนาบกับคลองเก่าที่มีอยู่แต่เดิม วัดของท่านจึงรอดพ้นภัยด้วยปาฏิหาริย์ ทั้งๆที่มีกุฏิริมน้ำที่ตั้งอยู่ ก็เป็นแนวขวางกระแสน้ำนั้นด้วย แต่ก็กลับหาอันตรายได้ไม่ แต่เป็นที่น่าเวทนา ที่กระแสน้ำทะเลซุงนั้นได้ไหลลงไปตามลำคลอง พัดพังถล่มทำให้สถานีตำรวจเก่าเกิดความเสียหาย ถนนและการคมนาคนถูกตัดขาดสิ้นเชิง ข่าวการรอดพ้นจากภัยธรรมชาติของวัดเทพธารทอง ทำให้เป็นที่สนใจของผู้คน รวมทั้งสื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์หลายฉบับก็ต่างประโคมข่าวปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ องค์หลวงปู่พิศดู และวัดเทพธารทอง จึงเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปนับตั้งแต่บัดนั้นเอง เคยได้ถามองค์หลวงปู่ว่า เหตุการณ์ตอนนั้นองค์หลวงปู่ทำอย่างไร ท่านก็ตอบว่า ก็นอนก่ายเกกสวดมนต์ (คาถาป้องกันภัย) อยู่ที่กุฏิเฉยๆ
ครูบาอาจารย์บางท่านก็เมตตาเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงปู่ท่านเข้าสมาบัติโดยฉัพพรรณ (ในอิริยาบทนอนก่ายเกก..) และใช้กระแสจิตบังคับท่อนซุงขนาดใหญ่ให้มาเรียงซ้อนกัน ตามแนวขอบเขตริมฝั่งคลองของวัดเป็นที่อัศจรรย์ นับเป็นความอาจหาญ และเชี่ยวชาญในด้านการใช้อำนาจจิต ด้วยฤทธิ์อภิญญาขององค์หลวงปู่เป็นที่ยิ่ง.. สาธุ
และองค์หลวงปู่ท่านอยู่จำพรรษาที่วัดเทพธารทองนี้เรื่อยมาตราบจนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดเทพธารทองอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2545-บัจจุบัน
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
4
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2016-8-10 17:53
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เริ่มอาพาธ
และในปี 2545 นั้นองค์หลวงปู่ท่านก็เริ่มอาพาธด้วยโรคปอด และทางเดินหายใจ จึงเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสองพี่น้อง ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี โดยเป็นภิกษุไข้พิเศษ ในความดูแลของหลวงปู่ฟัก สันติธัมโม เจ้าอาวาสวัดเขาน้อยสามผาน เดิมทีนั้นองค์หลวงปู่ท่านไม่อยากจะไป ท่านตั้งใจจะรักษาตัวเองที่วัด แต่ก็ได้นิมิตรเห็นหลวงปู่ขาว อนาลโย มาบอกให้เปลี่ยนที่อยู่ชั่วคราว เพื่อดำรงค์สังขารอยู่โปรดบริวารไปก่อน จึงยอมเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลดังกล่าว เป็นระยะเวลา 2 ปี จึงได้ย้ายกลับมาจำพรรษาที่วัดเทพธารทองดังเดิม นับตั้งแต่นั้นมา องค์หลวงปู่ท่านก็อาพาธเรื่อยมา และได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลต่างๆ อยู่เสมอ ด้วยอาการของโรคปอดและทางเดินหายใจ ตราบจนกระทั้ง
วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2553 ทางวัดได้จัดงานตักบาตรพระมหาอุปคุตประจำปี ในวันนั้นองค์ท่านได้ประกาศบอกลูกศิษย์ทั้งหลายว่า ให้มาตักบาตรท่านพ่ออุปคุตพร้อมกัน ปีนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่ ครั้งสุดท้ายแล้วนะ ปีหน้าไม่มีแล้ว ให้บอกต่อๆกันด้วย
และพิธีในวันนั้นจัดได้อย่างดีที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดมาในทุกๆปี พอหลังจากวันดังกล่าวเพียง 2 วัน วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2553 หลวงปู่ก็ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า ด้วยมีอาการบวมน้ำตามร่างกาย สาเหตุจากขาดโปรตีนมาก และต่อมาก็ติดเชื้อที่ปอด จึงต้องเจาะคอ จึงได้ย้ายท่านไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2553 เป็นต้นมา อาการทุกอย่างดีขึ้นบ้างตามลำดับ และจนกระทั่ง ย่างเข้าเดือนมีนาคม พ.ศ.2554 อาการขององค์หลวงปู่เริ่มทรุดลงอีกเรื่อยๆ เนื่องจากไตขับของเสียไม่ได้
มรณภาพ
และวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2554 เวลา 13.00 น. สิริอายุได้ 88 ปี 2 เดือน 11 วัน พรรษาที่ 67 ..
องค์หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี พระอริยะสงฆ์ดวงประทีปแก้วแห่งบูรพาภาค ได้มรณะภาพลง อย่างสงบ ราบเรียบที่สุด หาได้มีสิ่งใดมารบกวนท่านเลย โดยท่านค่อยๆผ่อนชีพจรและความดันลงเองเรื่อยๆ ตราบจนหมดลมอย่างสงบเข้าสู่แดนธรรมธาตุนิพพานต่อไป
หลวงปู่พิศดู จัดเป็นทายาทธรรมสายพระป่าโดยแท้ ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านพ่อลี ธมฺมธโร แห่งวัดอโศการาม อดีตยอดขุนพลแห่งกองทัพธรรมสายป่าและอดีตพระเกจิชื่อดัง ตลอดชั่วอายุขัยขององค์ท่านได้ยึดแนวปฏิบัติสายพระป่าของพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และท่านพ่อลี ธมฺมธโร ผู้เป็นพระอาจารย์จวบจนละสังขาร หลวงปู่ท่านยังเป็นพระอริยะที่องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโณ ยกย่องอีกว่า เป็นเพชรน้ำหนึ่งแห่งภาคตะวันออก.. ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตามหาบารมีธรรม.. ซึ่งเราท่านทั้งหลายสามารถยอกรประนมก้มกราบแทบเท้าได้อย่างสนิทใจ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
ธี
ธี
ออฟไลน์
เครดิต
2786
5
#
โพสต์ 2016-8-10 20:52
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
6
#
โพสต์ 2016-8-29 11:21
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...