ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1953
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

บุญหรือบาป??? พระเจ้าอโศกฯ”จัดการโล้นห่มเหลือง

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2016-8-1 07:49

ย้อนรอย”พระเจ้าอโศกฯ”จัดการโล้นห่มเหลืองสุดเด็ดขาด ชำระล้างวงการสงฆ์


                ครั้งนึงในอดีต “พระเจ้าอโศกมหาราช” ผู้ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส สั่งสมของมัวเมาในลาภสักการะ
เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ

จากนั้นทรงเป็นศาสนูปถัมภกในการสังคยานา และส่งสมณฑูตประกาศพระพุทธศาสนา
พระเจ้าอโศกมหาราช (AShoka the great) แห่งราชวงศ์ โมริยะ กษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนอินเดีย (พ.ศ.๒๗๖ – พ.ศ.๓๑๒)
พระองค์ทรงมีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่น ทรงสร้างวัด วิหาร
พระสถูป พระเจดีย์ และหลักศิลาจารึกเป็นต้น ได้บำรุง พระภิกษุสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ คือ อาหาร ที่อยู่ อาศัย เครื่องนุ่งห่ม
และยารักษาโรค

การที่พระองค์ทรงบำรุงพระภิกษุสงฆ์เช่นนี้ ก็เพื่อจะได้พระภิกษุในพุทธศาสนาได้รับความสะดวก
มีโอกาสบำเพ็ญสมณธรรมได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลในการแสวงหาปัจจัย ๔
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แต่กลับปรากฏว่ามีพวกนักบวชนอกศาสนาเป็นจำนวนมาก
ปลอมบวชในพุทธศาสนา เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ

เมื่อบวชแล้วก็คงสั่งสอนลัทธิศาสนาเก่าของตน โดยอ้างว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา
แสดงลัทธิธรรมให้ผิดคลองพระพุทธบัญญัติกระทำให้สังฆมณฑลยุ่งเหยิง แตกสามัคคีด้วยสัทธรรมปฏิรูป
ข้อนี้ทำให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ (คนละรูปกับพระมหาโมคคัลลานะเถระในพุทธกาล)
ซึ่งเป็นผู้ที่มีความแตกฉานในพระไตรปิฎก เกิดความระอาใจต่อการประพฤติปฏิบัติของเหล่าพระภิกษุอลัชชีที่ปลอมบวชทั้งหลาย
จึงได้ปลีกตัวไปอยู่ที่ ถ้ำอุโธตังคบรรพต เจริญวิเวกสมาบัติอยู่ที่นั้นอย่างเงียบๆ เป็นเวลา ๗ ปี
และมอบภารกิจคณะสงฆ์ให้พระมหินทเถระดูแลแทน
ในสมัยนั้นจำนวนของพระอลัชชี มีมากกว่าพระภิกษุแท้ๆ
จึงทำให้ต้องหยุดการทำอุโบสถสังฆกรรมถึง ๗ ปี
เพราะเหตุที่พระสงฆ์ ผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ยอมร่วมกับพระอลัชชีเหล่านั้น
จึงทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สบายพระหฤทัยในการแตกแยกของพระสงฆ์
ทรงปวารณาจะให้พระสงฆ์เหล่านั้นสามัคคีกัน จึงได้ตรัสสั่งให้อำมาตย์หาทางสามัคคี
ฝ่ายอำมาตย์ฟังพระดำรัสไม่แจ้งชัด สำคัญผิดในหน้าที่ จึงได้ทำความผิดอันร้ายแรง
คือ ได้บังคับให้พระภิกษุบริสุทธิ์ทำอุโบสถร่วมกับพระอลัชชี
พระภิกษุผู้บริสุทธิ์ต่างปฏิเสธที่จะร่วมอุโบสถสังฆกรรม อำมาตย์จึงตัดศีรษะเสียหลายองค์
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวนี้ ทรงตกพระทัยยิ่งจึงเสด็จไปขอขมาโทษต่อพระภิกษุที่อาราม
และได้ตรัสถามสงฆ์ว่า การที่อำมาตย์ได้ทำความผิดเช่นนี้ ความผิดจะตกมาถึงพระองค์หรือไม่
พระสงฆ์ถวายคำตอบไม่ตรงกัน บ้างก็ว่า ความผิดจะตกมาถึงพระองค์ด้วยเพราะอำมาตย์ทำตามคำสั่ง
แต่บางองค์ก็ตอบว่าไม่ถึงเพราะไม่มีเจตนา
คำวิสัชนาที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชกระวนกระวายพระทัยยิ่งนัก
ทรงปรารถนาที่จะให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้มีความสามารถและแตกฉานในพระธรรมวินัยถวายคำวิสัยชนาอย่างแจ่มแจ้ง
จึงได้ตรัสถามถึง พระภิกษุเหล่านั้นก็ได้ตรัสตอบว่า มีแต่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระรูปเดียวเท่านั้นที่อาจแก้ความสงสัยได้
พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้ส่งสาส์นไปอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ให้ท่านเดินทางมายังเมืองปาฏลีบุตร
แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระเถระไม่ยอมเดินทางมาตามคำอาราธนา พระเจ้าอโศกมหาราชก็ทรงไม่หมดความพยายาม
จึงได้รับสั่งให้พนักงานออกเดินทางโดยทางเรือรบท่านตามคำแนะนำของพระติสสะเถระ ผู้เป็นพระอาจารย์ของโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ
ในที่สุดพระเถระก็ยอมมาและในวันที่ท่านเดินทางมาถึงนั้น
พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จไปรับพระเถระด้วยพระองค์เอง
ได้เสด็จลุยน้ำไปถึงพระชานุ แล้วยื่นพระกรให้พระเถระจับและตรัสว่า “ขอพระคุณท่านจงสงเคราะห์ข้าพเจ้าเถิด”
แล้วได้นำท่านไปสู่อุทยาน ได้ทรงแสดงความเคารพพระเถระอย่างสูง และได้ตรัสถามพระเถระว่า
การที่อำมาตย์ได้ตัดศีรษะพระภิกษุนั้นจะเป็นบาปกรรมตกถึงตนหรือไม่
พระเถระได้ตอบว่า “มหาบพิตร จะเป็นเป็นบาปได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มีเจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น”
คำวิสัชนาของพระเถระนั้น ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก
ฝ่ายพระอลัชชีผู้ปลอมบวชในพุทธศาสนานั้นก็ยังพยายามที่จะประกอบมิจฉาชีพอยู่ต่อไป
พระเหล่านั้นได้มัวเมาหลงใหลในลาภสักการะไม่พอใจในการปฏิบัติธรรม
อาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่สำรวมระวังในสีลาจารวัตร
เที่ยวอวดอ้างคุณสมบัติโดยอาการต่างๆ เพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ
เพื่อหาลาภสักการะเข้าตัว
เพราะเหตุนี้จึงทำให้พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพลอยด่างพร้อยไปด้วย
ความอลเวงได้เกิดขึ้นในวงการของพุทธศาสนาทั่วไปลาภสักการะมีอำนาจเหนือ อุดมคติของผู้เห็นแก่ได้
แม้กระทั่งผู้ทรงเพศเป็นพระภิกษุห่มเหลืองก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน
ที่จริงผู้มีลาภคือผู้มีบุญ แต่มัวเมาในลาภคือสั่งสมบาป การที่พระได้ของมามากๆ จากประชาชนที่เขาบริจาคด้วยศรัทธานั้น
นับว่าเป็นการดีไม่มีผิด
แต่การที่พระสั่งสมของมัวเมาในลาภ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ
จนลืมหน้าที่ของตนนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
พ.ศ.๒๘๗ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ถวายเทศนาแก่พระเจ้าอโศกมหาราช
จนพระองค์ทรงมีความเลื่อมใส และซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์
ได้ประทับอยู่ที่อุทยานนับเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์ที่เข้ามาปลอมบวช
ในวันที่ ๗ พระองค์ได้ประกาศบอกนัดให้พระภิกษุที่อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มาประชุมที่อโศการาม
เพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน ภายใน ๗ วัน พระองค์ประทับนั่งภายในม่านกับท่านโมคคัลลีบุตรติสสเถระ
ได้สั่งให้ภิกษุผู้สังกัดอยู่ในนิกายนั้นๆ นั่งรวมกันเป็นนิกายๆ
แล้วตรัสถามให้พระภิกษุเหล่านั้นอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์
ซึ่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้อธิบายผิดไปตามลัทธิของตนๆ
พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ตรัสให้สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวน ๖๐,๐๐๐ รูป
ครั้นกำจัดพระภิกษุพวกอลัชชีให้หมดไปจากพุทธศาสนาแล้ว
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ขึ้น
ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่


http://www.zocialx.com/702/


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-1 07:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แต่ผู้รู้ นักวิชาการ ระบุว่า การจับสึกพระภิกษุสมัยนั้น
ที่เป็นการ ทำร้าย และ ให้ร้าย กัน
ในทางการเมือง(สงฆ์) ก็มีอยู่นะครับ

สังเกต "ข้อพิรุธ" ได้จาก  คัมภีร์ กถาวัตถุ
ของท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ นั่นแหละครับ

ดังนั้น จึงสรุปยากนะครับ
ว่าการสึกพระ
ในสมัยนั้น เป็นบุญ หรือว่าเป็นบาป กันแน่ ?
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-1 07:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตัวอย่างเช่น .......


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-1 07:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ถ้าไม่คิดอะไรก็ดูเหมือนกับว่าดี  แต่ในยุคนั้นพระเจ้าอโศกศาสนาหนึ่งมีไม่แบ่งวรรณะ หรือมีการแบ่งวรรณะน้อยที่สุด
ศาสนาพุทธอาจให้คำตอบได้  แต่ตอนนั้นใครเป็นผู้มีอำนาจปกครองคณะสงฆ์ไม่ก็ไม่รู้  มีบางตอนในคัมภีร์มหาวงศ์อ่านแล้วก็อดคลางแคลงใจไม่ได้
ตอนที่มีเดียรถีปลอมบวชในพุทธศาสนา จนสงฆ์ไม่ยอมทำสังฆกรรมร่วมกัน และ.... พระเจ้าอโศกฯ มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปบอกให้พระทำสังฆกรรม
ผลก็คือ พระเถระระดับสูงๆ ไม่ยอมทำสังฆกรรมไม่ว่าจะบังยังไง
เจ้าหน้าที่เลยใช้ไม้ตาย ขัดคำสั่งกษัตริย์ โทษประหารชีวิต
พระเถระถูกประหารไล่ไปตามลำดับ  จนกระทั่งถึง..... พระที่เป็นอดีต พระอนุชาของพระเจ้าอโศกฯ เจ้าหน้าที่ถึงเข้าไปถามพระเจ้าอโศกว่าจะให้ทำอย่างไร  (ตอนนี้พระอนุชากลายเป็นมหาเถระที่แก่ที่สุดไปโดยปริยาย เพราะองค์อื่นๆ โดนประหารไปหมดแล้ว)
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-1 07:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในทางการเมือง พระโมคัลลีบุตร เป็นฝ่ายถูก
อาจเพราะมีอำนาจของพระเจ้าอโศกหนุนหลัง

ถ้าพระเจ้าอโศก หนุนพระรูปอื่น หรือนิกายอื่น
พระโมคัลลีบุตรอาจเป็นฝ่ายถูกจับสึกก็ได้ครับ

ที่มา..http://pantip.com/topic/35435628

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้