ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2754
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลงนิมิต

[คัดลอกลิงก์]


ในช่วงปลายปี ๒๕๓๒ ก่อนที่หลวงปู่ดู่จะละสังขาร
มีประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าไม่อาจลืม เพราะมันคืออุทาหรณ์ในการปฏิบัติธรรมอย่างสำคัญ ที่คอยเตือนไม่ให้เราเดินไปทางผิดทั้งที่คิดว่าถูก

เพื่อน ของข้าพเจ้าคนหนึ่งเริ่มมาสนใจเรื่องปฏิบัติสมาธิภาวนา โดยเริ่มจากการอ่านตำรับตำรา และซักถามผู้รู้ต่าง ๆ เขาเป็นคนมุมานะ เอาจริงเอาจังมาก เขาเป็นคนมีนิมิตมากด้วยเช่นกัน เขาเริ่มมองเห็นวิญญาณตามข้างถนนเป็นเรื่องปรกติ เขานั่งสมาธิได้เป็นหลาย ๆ ชั่วโมง และมีครูบาอาจารย์มาสอนในทางนิมิต

เดิมทีข้าพเจ้ารู้สึก ชื่นชมในความอุตสาหะในการปฏิบัติสมาธิภาวนาของเขา แต่ก็มาตั้งข้อสังเกตในตอนที่เห็นประสิทธิภาพในการทำงานของเขาลดลง เพราะดูเขาจะไม่อยู่กับปัจจุบัน แค่เขาหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านไม่ถึงนาที จิตของเขาก็รวมดำดิ่งลงไป ไม่รับรู้โลกภายนอก...

ข้าพเจ้าเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าเขามาผิดทางแล้ว ตรงที่เขามากระซิบกับข้าพเจ้าว่าเขาบรรลุธรรมขั้น...แล้ว

ข้าพเจ้าตัดสินใจพาเขาไปหาหลวงปู่ดู่ ที่วัดสะแก
และ ที่นี้เอง ที่ข้าพเจ้าเห็นลีลาของหลวงปู่ในการแก้จิตของนักปฏิบัติที่จิตตกภวังค์แล้ว ไม่มีกำลังพอจะออกจากภวังค์ด้วยกำลังสติปัญญาของตนเอง

หลวงปู่ให้เขาไปนั่งสมาธิที่หอสวดมนต์ (สมัยนนั้นยังไม่มีประตูกั้น)
จากนั้นท่านก็สนทนากับญาติโยมไปตามปรกติ
สัก ครู่ ท่านหันหน้าไปทางเพื่อนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ แล้วพูดตะโกนออกไปว่า "ถอนจิตขึ้นมา" ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเพื่อนคนนั้นขยับกายฮึดฮัดขึ้นมา บ่งบอกว่าจิตถอนออกมารู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น"
เหตุการณ์เป็นดังนี้ประมาณ ๒-๓ เที่ยว

เพื่อนคนนี้ ก็กลับมาทำการทำงานได้ตามปรกติ เพราะมีกำลังจิตที่จะดึงจิตตัวเองออกจากภวังค์ได้

แต่ แล้วเหตุการณ์เลวร้ายก็ได้เกิดขึ้น ภายหลังจากที่หลวงปู่มรณภาพในต้นปีถัดมา เพราะเขาหลงนิมิตและดำดิ่งกับสมาธิอย่างเก่าอีก เขาเชื่อมั่นว่าตนบรรลุธรรม แม้ไปบวชเป็นพระ อยู่ในสำนักครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ในวงกรรมฐาน ก็ไม่แคล้วต้องเข้าโรงพยาบาล ภายหลังทำร้ายตัวเอง ตามเสียงนิมิตที่มาบอกว่าให้ฝึกขันติขั้นอุกฤษฎ์

เรื่องนี้จึงเป็น เครื่องเตือนใจข้าพเจ้าตลอดมา และบอกกับตัวเองเสมอ ๆ ว่า ปฏิบัติเพื่อละ มิใช่ปฏิบัติเพื่อเอา ซึ่งหลวงปู่ชาก็เตือนลูกศิษย์ในเรื่องนี้เช่นกันว่า ปฏิบัติธรรมเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อเอา เพื่อเป็น โสดา สกิทา ฯลฯ ไม่ต้องเป็นทั้งนั้น

เรื่องนี้ ทำให้ข้าพเจ้าหนักแน่นขึ้นกับคำสอนหลวงปู่ที่ว่าเขาวัดผลการปฏิบัติที่การละ โลภ โกรฑ หลง มิใช่การเห็นนิมิตนั่นนี่ การเห็นจะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อเชื่อมโยงมาสู่การปฏิบัติชำระกิเลสตนเอง หากมันจะเป็นอะไร (ตามอย่างทฤษฎี) มันก็จะเป็นไปเองตามสภาวะธรรม โดยที่เราไม่เสี่ยงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นให้กิเลสอุปาทานเข้าครอบงำเราได้ ง่าย ๆ

จึงขอบันทึกเรื่องนี้ไว้อีกเรื่องเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่คนรุ่นหลัง จะได้ไม่ติด "กับดัก" ในระหว่างทางของเส้นทางสายปฏิบัติ

อุทาหรณ์ เรื่องนี้ ยังสอนให้รู้ว่าตัวเช็คอีกอย่างหนึ่งคือ จิตที่เป็นสมาธิที่จัดเป็นสัมมาสมาธิ ต้องมีภาวะรู้ ตื่น เบิก บาน มิใช่ซึมกระทือ หรือฟูจัด รวมทั้งต้องมีศีลเป็นบาทฐาน และมีปัญญาเป็นตัวต่อยอด มิใช่สมาธิเพื่อสมาธิ จนกลายเป็นความดำดิ่งที่เข้าไปสู่โลกส่วนตัว แล้วสุดท้ายก็หลงทาง ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร หรือหลงไปว่าตนวิเศษวิโสกว่าคนอื่นใด
จากบทความของ คุณสิทธิ์
ที่มา ขอเชิญร่วมบุญฉลองพระพุทธรูปรับวัตถุมงคล




2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-7-30 16:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

Entry เมื่อวาน ได้คุยกับคุณ SriNapa ในช่วงแสดงความเห็นว่าเคยหลงโอภาส คิดไปว่าเป็นดวงธรรม วันนี้เลยอยากเล่าถึงเหตุการณ์นั้นค่ะ


กิดขึ้นเมื่อประมาณ ๗ ปีที่แล้ว คืนหนึ่งดูหนังไททานิคก่อนนอน ผู้สร้างเค้าช่างทำดีนัก ฉากท้ายที่เห็นผู้คนลอยตายเกลื่อนทะเล ให้ความรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก


ลยคิดขึ้นว่าคนเราก็เท่านี้ ดีชั่ว ยากมี สุดท้ายก็หนีความตายไม่พ้น ต้องทิ้งร่างเกลื่อนกล่น


ล้วจึงทำสมาธิ คืนนั้นรู้สึกว่าจิตสงบเป็นพิเศษ พักเดียว ก็เห็นดวงแก้วสุกสว่าง กระจ่างราวดวงอาทิตย์เล็กๆ ผุดขึ้นกลางความมืดใต้เปลือกตา ความที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเห็นอะไรได้ในสมาธิ จึงสงสัย ว่าอะไรนั่น สวยจังเลย แล้วหลงจ้องมองดวงใสสว่างนั้นอย่างหลงใหล


ท่านั้นเองค่ะ ตกวูบหายไปเลย เหมือนดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นหลังเขา มากระจ่างอยู่กลางฟ้าชั่วขณะ แล้วตกลับหลังเขาไปตามเดิม


อดีมีเพื่อนที่เค้าทำสมาธิสม่ำเสมอ จึงไปถาม เค้าบอกว่าเป็นดวงธรรม ตอนนั้นก็เชื่อเค้า ( หลงเชื่ออยู่เป็นปีเหมือนกันค่ะ พอทำสมาธิครั้งต่อๆมา ก็ปรารถนาเห็นดวงแก้วนั้นอีก )


ต่พอมาหาความรู้ด้วยตัวเองเอง จึงเริ่มไม่แน่ใจ จนในที่สุด ก็เชื่อว่าไม่ใช่ ที่เห็นเป็นแค่วิปัสสนูปกิเลสที่เรียกว่าโอภาส เท่านั้น


ยากนำข้อเขียนของหลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มาเล่าต่อค่ะ


“ การทำสมาธิ เมื่อจิตลงสู่ความสงบแล้ว ย่อมมีมารเข้ามาแทรกซ้อนได้ง่าย และทำให้จิตเกิดความเห็นผิด ในกลลวงของกิเลสตัณหาส่วนมาก มารจะแฝงเข้ามาในรูปนิมิตที่เกิดจากสมาธิ และทำให้จิตมีความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของจริงเพราะกิเลสอยู่ที่จิต จึงหลอกจิตได้ง่าย เช่น จิตมีความสงบแล้ว ก็จะเกิดแสงสว่างในลักษณะต่างๆ จะเข้าใจเองว่าแสงสว่างนี้เป็นปัญญาบ้าง เป็นวิปัสสนาญาณบ้าง เป็นนิโรธสมาบัติบ้าง บางครั้งมีแสงสว่าง มีทั้งรูปนิมิต เป็นไปในลักษณะต่างๆ เช่น เห็นเด็กเกิดใหม่บ้าง เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ และเห็นเป็นคนตายนอนอยู่ข้างหน้าบ้าง หรือเห็นท้องฟ้าที่สว่าง หรือเห็นก้อนเมฆ เห็นดวงดาว เห็นแม่น้ำ เห็นฟองน้ำ หรือเห็นเป็นนานาชนิด หรือพระพุทธรูป เห็นดวงแก้ว


ารเห็นอย่างนี้จะตีความหมายไปว่าเป็นวิปัสสนาญาณไม่ได้ จะตีความหมายว่ามีความรอบรู้ในสรรพสังขารก็ไม่ถูก จะเข้าใจว่าตนรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมก็ไม่ได้ นี้เป็นเพียงนิมิตที่เกิดขึ้นจากสมาธิเท่านั้น ถ้าผู้มีปัญญาเป็นพื้นฐานมาแล้ว นิมิตนี้จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาด้วยเป็นอย่างดี หรือถ้าผู้มีปัญญาเฉียบแหลมฝังอยู่ที่จิตแล้ว นิมิตต่างๆจะไม่เกิดขึ้น เพราะนิมิตต่างๆนั้นยังตกอยู่ในสังขาร เป็นของไม่เที่ยงด้วยกันทั้งหมด ( ตอนนี้กระจ่างแล้วเรื่องนิมิตล่าสุดที่ถามไปยังพระคุณเจ้า ที่ท่านเมตตานักตอบมาว่าให้มีสติ และอย่าปรุงแต่งต่อ ยังแอบคิดต่อว่า ที่จริง ต้องบอกว่าท่านเมตตายิ่งนักต่างหาก ที่ไม่บอกตรงๆว่าอย่าไปโง่ ไปหลงนิมิต หวุดหวิดหน้าแตกไปแล้ว.... ใช่มั๊ยเจ้าคะ )


จิตที่มีปัญญาเป็นพื้นฐานมาแล้ว จะให้กิเลสสังขารมาหลอกลวงจิตได้ยาก เพราะปัญญาเป็นสิ่งที่รู้รอบ รอบรู้ในสรรพสังขารตามความเป็นจริงอยู่แล้ว นิมิตนั้นเหมือนนักต้มตุ๋นหลอกลวงอันดับโลก แต่ก็จะต้มตุ๋นหลอกลวงได้เฉพาะบุคคลที่หัวอ่อนเท่านั้น จะไปหลอกลวงต้มตุ๋นบุคคลที่มีความฉลาดนั้นไม่สำเร็จเลย เขาจะต้มตุ๋นหลอกลวงกับใคร เขาต้องเข้าใจในความต้องการของคนคนนั้น


ถ้าผู้ต้องการเงิน เขาก็เอาเรื่องของเงินนั่นแหละมาเป็นเครื่องหลอกลวง เอาเงินมาออกกลอุบายให้คนนั้นตายใจ จึงหลอกลวงเอาเงินคนได้ ถ้าผู้ต้องการความสวยงาม เขาก็เอาเครื่องสำอางนั่นแหละมาเป็นสิ่งหลอกลวงเพื่อให้ตายใจฉันใด กิเลสสังขารหลอกลวงจิต กิเลสสังขารก็เอาสิ่งที่จิตมีความต้องการนั่นแหละมาหลอกลวงจิต จิตมีความต้องการในสิ่งใด กิเลสสังขารก็เอาสิ่งนั้นมาหลอกลวงจิต เพราะกิเลสสังขารอยู่ที่จิต จึงหลอกจิตได้ง่าย ถ้าจิตหยาบ กิเลสสังขารก็เอาสิ่งหยาบๆมาลวงให้จิตหลง ถ้าภาวนาจิตมีความสงบละเอียด กิเลสสังขารก็หาสิ่งละเอียดมาหลอกลวง ฉะนั้น จิตจึงถูกกิเลสสังขารหลอกลวงต้มตุ๋นมาตลอด ไม่ว่าอยู่ในเพศใด ฐานะสูงต่ำอย่างไร คนรวย คนจน ตลอดจนกำพร้าอนาถา ขอทาน คนบอดหนวก ธาตุขันธ์พิกลพิการ ก็ถูกกิเลสสังขารหลอกลวงทั้งนั้น”


คยโง่มาแล้ว จึงอยากนำมาเล่าต่อค่ะ คนที่ฉลาดกว่าดิฉันมีอยู่มาก แต่ก็อยากเป็นคนโง่คนสุดท้ายค่ะ


ไม่หลง แต่จิตมันไปไม่รู้ตัว ไม่รู้ด้วยว่าอะไร เหมือนฝันไป เพ้อเจ้อ ปรุงแต่ง แต่กันไม่อยู่ เหอๆๆ
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-7-18 16:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
majoy ตอบกลับเมื่อ 2017-7-18 07:58
ไม่หลง แต่จิตมันไปไม่รู้ตัว ไม่รู้ด้วยว่าอะไร เหมือนฝันไป เพ้อเจ้อ ปรุงแต่ง แต่กันไม่อยู่ เหอๆๆ

ก็ให้เเค่รู้ว่ามันเป็นก็พอครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้