ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2916
ตอบกลับ: 10
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ผลของการบริจาคทาน

[คัดลอกลิงก์]

การที่จะมีทรัพย์สินจะมากหรือน้อยก็ตามได้มาจากผลของการบริจาคทาน
การให้ทานเป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์สินในชาติต่อไป ความจริงถ้าเป็นนักบุญ
ที่เนื่องในการให้ทานจริง ๆ ทำน้อย ๆ พอไม่เดือดร้อน แต่ทำบ่อย ๆ ให้ติดต่อกันเป็นประจำ เช่นการถวายสังฆทานเป็นปกติ
สังฆทานก็ไม่ต้องลงทุนมาก ใส่บาตรวันละองค์สององค์ หรือเอาข้าวเปลือกข้าวสารใส่ที่เก็บเล็ก ๆ ไว้วันละนิดหน่อย ตั้งใจว่าข้าวที่เก็บไว้นี้เราจะรวมไว้ เมื่อมีมากพอสมควรจะเอาไปถวายเป็นอาหารของพระอย่างนี้เรียกว่า ถวายสังฆทาน
ทำอย่างนี้เสมอ ๆ ขอให้ค่อยๆ พิจารณา เมื่อวันเวลาผ่านไปสักปีหรือสองปี จะเห็นว่าผลของทานแม้เล็กน้อยเพียงเท่านี้จะทำให้ความเป็นอยู่เพิ่มพูนขึ้นกว่าปกติมาก มีการหาได้คล่องตัวขึ้น ถ้าชาติหน้าจะรวยมหาศาลขั้นมหาเศรษฐีอย่างอานันทเศรษฐี ก่อนตายทีเดียว
จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๖ หน้าที่ ๓๗ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน คัดลอกโดย ด.ญ.ปุณยนุช ขจรนิธิพร (ลูกหลาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สนับสนุนเครื่องคอมฯ ในการโพสต์ธรรมทานนี้ค่ะ)


3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-7-10 09:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
"การมอบธรรมทานก็คือการศึกษาพระพุทธธรรมอย่างหนึ่ง แต่การศึกษาพุทธธรรมจะต้องไม่ทำอย่างภาษิตท่านว่า "ตระหนี่สมบัติ จนชาติวิบัติ" กล่าวคือ ยามที่เรามีทรัพย์สมบัติมากพอที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ เช่น มีแก้วจินดามณีที่จะสามารถดลบันดาลให้เกิดเงินทองของมีค่าและแก้วมณี รวมถึงโภชนาหารต่างๆ หากเรามีแก้วสารพัดนึกนี้แล้ว ปัญหาความยากจน และทุกขภัยจะไม่ใช่เรื่องสาหัสสากรรจ์อีก แต่หากมีแก้วสารพัดนึกแต่ไม่นำมันมาใช้ประโยชน์ ปล่อยให้ผู้คนในชาติทุกข์ทน อดอยากล้มตาย ท่านได้แต่ยืนดูความทุกข์โทมนัสนี้โดยมิได้ยื่นมือช่วย ก็เป็นดั่งภาษิตว่า "ตระหนี่สมบัติ จนชาติวิบัติ" อีกตัวอย่างก็คือ แสดงธรรมเป็น แต่ไม่ยอมแสดงธรรมนั้น เพราะเกรงว่า หากคนอื่นๆ ได้สดับพระธรรมแล้วจะมีความเจริญก้าวหน้ากว่าตน สู้เก็บความรู้ไว้คนเดียวให้ตนเหนือกว่าคนอื่นจะดีกว่า ความคิดเช่นนี้ก็ไม่ผิดอะไรกับ "ตระหนี่สมบัติ จนชาติวิบัติ" เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรเผยแพร่ธรรมะ และแนะนำให้เขาเหล่านั้นสดับพระธรรม เพื่อขัดเกลาจิตใจ ได้รู้แจ้งเห็นจริงในที่สุด"
อรรถาธิบายกษิติครรภโพธิสัตวมูลปณิธานสูตร ว่าด้วยอานิสงส์ของการบริจาคทาน โดยพระฌานาจารย์เซวียนฮว่า ( 宣化)










ให้ข้าวสารแก่พระ ท่านต้องไปหุ่้งเป็นข่้าวสวยก่อนจึงฉันได้ และท่านเก็บไว้ไม่ได้จะเป็นอาบัติ ถือเป็นการทำบุญหรือเปล่า.....
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-7-11 20:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2016-7-11 20:22
ธี ตอบกลับเมื่อ 2016-7-10 19:42
ให้ข้าวสารแก่พระ ท่านต้องไปหุ่้งเป็นข่้าวสวยก่อนจึ ...

เอาตามความเห็นผมนะ^^
ผมถือว่าได้บุญ ครับ แต่จะมีวิธีปลีกย่อยยังไง คุณธี ลองนึกว่าเป็นพระรูปนั้นเเล้วจะทำยังไง ^^ดีครับ สำหรับผมมีวิธีอยู่ในใจเเล้วครับ
เพราะถ้าญาติโยมถวายของแล้วจะทำให้เราต้องอาบัติเเล้วเราไม่รับจะอาบัติมั๊ย เเต่ถ้าเรารับอพื่อสนองศรัทธาญาติโยมได้ทำให้จิตใจเขาอิ่มบุญได้ผมว่าดีนะครับ โดยส่วนตัวผมเองมีทางออกที่น่าจะดีเเละอาจจะเป็นบุญต่อบุญได้ด้วยครับ. อันนี้สำหรับเรื่องข้าวสารนะครับ  ถ้าอย่างอื่นก็ต้องหาทางเเก้กันไปครับ^^
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-7-12 08:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ธี ตอบกลับเมื่อ 2016-7-10 19:42
ให้ข้าวสารแก่พระ ท่านต้องไปหุ่้งเป็นข่้าวสวยก่อนจึ ...

อ้ออีกนิดครับ คำตอบเเรกอาจจะไม่ตรงคำถาม^^  
ผมขอตอบตามข้อที่ ลพ.ฤาษี บอกเเล้วกันนะครับ

ลพ.ท่านให้ใส่ข้าวสาร ตรงหิ้งพระน่ะครับ ถ้าใส่ข้าวหุงเเล้วคงจะไม่ได้อาจจะเน่าก่อนครับ
ขอบคุณครับ ข้าวสาร-ข้าวสุก ก็คือข้าว สรุป มีประโยชน์ทั้ง 2 แบบ ตามสถาพ ได้ข้าวสารก็ให้นกกินได้ ได้บุญอีกชั้นหนึ่ง บุญ 2 ชั้น คนให้ดีใจยังทำบุญต่อได้อีก
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-7-25 22:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ธี ตอบกลับเมื่อ 2016-7-25 18:36
ขอบคุณครับ ข้าวสาร-ข้าวสุก ก็คือข้าว สรุป มีประโ ...

สาธุธรรมครับ^^
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้